วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ต.ห้วยขวาง อ. กำแพงเสน จ.นครปฐม

บทที่ ๑ กรรม ๑๒

ปราณโอสถ กายรวมใจ รักษาใจไม่ให้กระเพื่อม

ชื่อเรื่อง กรรม ๑๒

แสดงธรรมวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๕

 

สาระสังเขป

          อธิบายมูลเหตุการเขียนเรื่องกรรม ๑๒ ความเชื่อกรรมตามวิถีพุทธ กรรมคืออะไร บทสรุปของการเชื่อเรื่องกรรมและอัตตาหิอัตโนนาโถคือการสอนให้เชื่อตัวเองว่ามีสติปัญญา เชื่อว่าพละ๔ จะทำให้มีพัฒนาการในทางดีงาม พละ ๕ ทำให้พัฒนาตนเองให้หลุดพ้นจากอัตภาพแห่งความเป็นมนุษย์และโลกนี้ไปได้ พระพุทธศาสนาแบ่งกรรมและผลของกรรมเป็น ๑๒ ลักษณะ ได้แก่ ชนกกรรม อุปัตถัมภกกรรม อุปีฬกกรรม อุปฆาตกกรรม ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม อุปปัชขเวทนียกรรม อปราปริยเวทนียกรรม อโหสิกรรม ครุกรรม พหุลกรรมหรืออาจิณณกรรม  อาสันนกรรม และกตัตตากรรม  อธิบายความเกี่ยวพันของกรรมทั้ง ๑๒ ว่าเป็นวัฏจักร เป็นได้ทั้งกุศลกรรม อกุศลกรรมและอัพยากตกรรม ถ้าไม่อยากทำกรรม ต้องรักษาจิตไม่ให้กระเพื่อม โดยใช้สติ ปัญญา และสมาธิ สอนฝึกวิธีปฏิบัติเพื่อรักษาจิตไม่ให้กระเพื่อม ซึ่งเป็นพื้นฐานของปราณโอสถ

เนื้อหา

เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนใฝ่ดี ที่รักทุกท่าน

วันนี้ถือว่าเป็นวันแสดงธรรมประจำเดือนมีนาคม 2565 เป็นสัปดาห์แรกของเดือน ย้ายไปย้ายมาหนีวิกฤตโควิด

ถามว่า ลงตัวหรือยัง ยังไม่รู้จะลงตัวตอนไหน เพราะว่าสถานการณ์ล่อแหลม ไม่ปลอดภัย วันละแสนน่าจะมาแน่ แต่คงต้องใช้เวลา เดี๋ยวหลังสงกรานต์คงจะถึง

 

๐ กรรม ๑๒

มูลเหตุแห่งการเขียนเรื่องกรรม ๑๒ และไม่ได้เขียนเรื่องอื่นในช่วงระยะเวลาสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณา เรียนรู้ ศึกษาให้ถ่องแท้ จะได้เข้าใจว่า มนุษย์และสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม และเป็นไปตามกรรมแบบไหนที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า กัมมุนา วัตตติ โลโก สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม

เชื่อกรรมตามวิถีพุทธ

 

เป็นไปตามกรรมอย่างไรจึงจะถือว่า เราเชื่อกรรมตามวิถีแห่งพุทธ ไม่ใช่เชื่อกรรมตามลัทธินอกพระพุทธศาสนา ซึ่งเชื่อกรรมแบบชนิดปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม คือ ไม่ขวนขวาย เพราะไหนๆ กูมีกรรมแล้วนี่ ชีวิตเราเป็นไปตามกรรม ก็ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ไม่ต้องอะไรเยอะ ไม่ต้องไปขวนขวาย เดือดร้อน ทุรนทุราย เพราะยังไงๆ ก็หนีกรรมไม่พ้น

 

เชื่อแบบนี้ เขาเรียกว่า เชื่อตามลัทธินอกศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ

แต่ถ้าเชื่อกรรมโดยการเรียนรู้ ศึกษา และทำความเข้าใจว่า การเชื่อกรรม.. สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม.. กรรมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลวหยาบ จะทำให้ชีวิตของมนุษย์ผู้ที่เชื่อในกฎของกรรมต้องทำตัวอย่างไร

 

กรรม คือ อะไร

กรรม คือ การกระทํา

แล้วใครเป็นผู้กระทำ(ตัวเรา) ก็สอดคล้องกับคำสอน

“อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน”

แล้วเชื่อสิ่งที่ตนกระทำ ทำอย่างไรต้องรับผลอย่างนั้น ทำดีรับผลดี ทำชั่วต้องได้รับผลชั่ว เท่ากับว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เชื่อตัวเองอย่างชาญฉลาด มีสติปัญญา นั่นเอง

 

บทสรุปของการเชื่อกรรม และอัตตาหิ อัตโนนาโถ

 

เมื่อเอา ๒ อย่างมาผนวกกัน จะทำให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน แต่ทรงสอนให้เชื่อตัวเองที่เต็มพร้อม เต็มตื้นไปด้วยศักยภาพของความมีสติปัญญา

 

พละ ๔

ถ้าเชื่อในระดับมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่อย่างมีศักยภาพ มีความรู้ ความสามารถ มีความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง มั่นคง ก็เชื่อตนเองในวิถีแห่งพละ ๔ มี ปัญญา วิริยะ ซื่อตรง มีจาคะ อยู่ร่วมกันด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย เรียกว่า แบ่งปัน เกื้อกูลกัน มีน้ำใจ ให้อภัย ไม่เห็นแก่ตัว และมีปฏิสัมพันธ์อันดีกับคนรอบข้าง ชีวิตเราจะสุขมั้ย ปลอดภัยมั้ย ผ่อนคลายมั้ย โปร่ง เบา สบาย และเจริญได้

เราจะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้อย่างไม่ทุกข์มากไป ไม่ทรมานเยอะไป และมีพัฒนาการอันดีงาม คือ มีปัญญาเป็นตัวหลัก

 

พละ ๕

ถ้าเชื่อในพละ ๕ คือ เชื่อว่า มนุษย์ผู้นั้นจะสามารถหลุดพ้นจากการครอบงำของ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และรัก โลภ โกรธ หลง ได้ นั่นคือ มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา คือ เชื่อในวิถีแห่งการพัฒนาตนเองให้หลุดพ้นจากอัตภาพแห่งความเป็นมนุษย์และโลกนี้ไปได้

 

นี่คือ การเชื่อกรรมแบบมีที่มาที่ไป มีเหตุมีผล ลูก

เชื่อแบบนี้แหละ พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า กัมมุนา วัตตติโลโก สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เชื่ออย่างมีหลักการ มีเหตุมีผล

 

หลวงปู่ : อ่านเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อแห่งกรรม อ่านพร้อมๆ กัน

 

ถามมา ตอบไป

๒ มีนาคม ๒๕๖๕

ขออธิบายที่มีคำถามเข้ามาเรื่องลัทธินอกพุทธศาสนา มีอะไรบ้าง

เพิ่มเติมในประเด็นคำตอบที่ได้ตอบไปแล้วว่า “แม้ความเชื่อกรรมก็เป็นลัทธินอกพุทธศาสนาด้วย”

พอตอบไปเช่นนี้ อาจทำให้ผู้ที่ไม่ศึกษา หรือศึกษาโดยไม่กระจ่าง จะเข้าใจไขว้เขว คลาดเคลื่อน แล้วสงสัยว่า

ทำไมพุทธะอิสระถึงได้ตอบว่า ความเชื่อกรรม เป็นความเชื่อนอกพุทธศาสนา

เพราะเหล่าพุทธบริษัท ก็ถูกสอนกันมาว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลวหยาบ เป็นต้น

แล้วทำไมพุทธะอิสระยังกล้าพูด กล้าอธิบายว่า การเชื่อเรื่องกรรม เป็นความเชื่อนอกศาสนาอีกเล่า

อธิบายว่า กรรมที่พระพุทธศาสนาสอน ไม่ใช่ให้คนเชื่อ แล้วปล่อยชีวิตเป็นไปตามกรรม โดยไม่ขวนขวาย ไม่มุ่งมั่นพัฒนา เฉกเช่น ผู้ที่ยอมรับชะตากรรม โดยไม่คิดจะทำอะไร

 

ในพระพุทธศาสนาสอนให้ศึกษากรรมโดยแบ่งกรรมและการให้ผลของกรรมไว้ ๑๒ ลักษณะ

 

๑. ชนกกรรม กรรมที่นำมาให้เกิดหรือกรรมที่ตกแต่งให้เกิด หาได้เกิดในชาติภพอย่างเดียวไม่ แม้ก่อกำเนิดให้เกิดกรรมทางกาย วาจา และใจ ทั้งในทางดีและชั่วได้ด้วย

 

หลวงปู่ขยายความ : ฟังคำอธิบายเรื่อง ชนกกรรม หลายคนอาจจะสงสัย หรือเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า ชนกกรรม คือ กรรมที่ตกแต่ง ประดับประดาให้เราได้มาเกิดเป็นคน เชื่ออย่างนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องผิด เพราะกว่าจะได้มาเป็นคน เป็นมนุษย์ยุคปัจจุบัน ชาติภพนี้ได้ ต้องมีการประดับประดาตกแต่งมาจากกระบวนการแห่งการทำกรรมในอดีต เรียกว่า อตีตากรรม

 

แต่กระบวนการทำงานแห่งกรรม ไม่ได้มีเฉพาะแค่ภพใดภพหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่ง แต่มีแม้กระทั่งที่มีอยู่ในขณะหนึ่งๆ เช่น พรุ่งนี้เราต้องการจะไปใส่บาตร เรามีจิตศรัทธาปสาทะ ด้วยศรัทธา ด้วยความเพียร สติ สมาธิ ปัญญา แล้วพอถึงเวลาพรุ่งนี้เราได้ใส่บาตร นี่คือ กระบวนการทำงานของคำว่า ชนกกรรม ฟังเข้าใจมั้ย คือ ทุกอย่างมาจากเหตุปัจจัย

พระพุทธเจ้าทรงสอน

เย ธมฺมา เหตุ ปัพฺพวา คือ ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ใส่บาตรโดยไม่คิด ไม่วิเคราะห์ ไม่คำนวณ ไม่วางแผน คือ ไม่มีอารมณ์ศรัทธาใส่บาตร มีมั้ย ไม่มี เป็นไปไม่ได้

ชนกกรรม หมายถึง กระบวนการที่ทำให้เราได้ทำกระบวนการนั้นๆ สำเร็จประโยชน์

ชนก แปลว่า พ่อ ชนนี แปลว่า แม่ เมื่อมีพ่อมีแม่ แล้วจึงมีลูก กระบวนการอย่างนั้นแหละ เขาเรียกว่า ความหมายแห่งชนกกรรม คือ อยู่ดีๆ อารมณ์ใส่บาตรจะลอยมาเฉยๆ ไม่ได้ ต้องมีพ่อ มีแม่ แล้วจึงจะมีคำว่า ใส่บาตร

มีศรัทธา มีความเพียร มีขันติ ความอดทน มีปัญญา มีสติ จึงจะถึงคำว่า มีการบำเพ็ญบุญใส่บาตร

ไม่ใช่อยู่ดีๆ บอกว่า ชนกกรรมทำให้เราได้มาเกิดอย่างเดียว..ไม่ได้ แม้กระทั่งกระบวนการทำกรรมต่อๆไป อย่างเช่น มาวัด ไม่ใช่อยู่ดี ๆ หยิบกุญแจถือขึ้นรถ มาวัด ไม่มีคิดไว้เลย คิดไว้ก่อน ใช่มั้ย คิดว่า จะมาวัด มาเพื่อ (ฟังธรรม)

นั่นแหละการทำงานของชนกกรรม

จึงสรุปเอาไว้ว่า ชนกกรรมให้ผลแม้ขณะหนึ่งๆ ขณะจิตหนึ่งหนึ่ง ขณะอารมณ์หนึ่ง ก็เป็นกระบวนการแห่งชนกกรรม เข้าใจมั้ย

 

๒. อุปัตถัมภกกรรม กรรมที่คอยสนับสนุน เลี้ยงดู รวมทั้งให้การอุปถัมภ์ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ให้ส่งผลอย่างสม่ำเสมอ

 

หลวงปู่ขยายความ : อุปัตถัมภกกรรม เหมือนกับพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูก เราจะใส่บาตร มีศรัทธาอย่างเดียวได้มั้ย ต้องมีกระบวนการอะไร.. ต้องมีความเพียร มีกระบวนการอุปถัมภ์ เอาความเพียรเข้ามาอุปถัมภ์ความศรัทธาที่ตั้งมั่น ตั้งใจไว้ให้มันสำเร็จประโยชน์

มีขันติ

เวลาที่ประกอบอาหาร ไปซื้ออาหาร ต้องมีขันติ ความอดทน

กระบวนการเหล่านั้น เขาเรียก อุปัตถัมภกกรรม ทำให้กิจกรรมที่เราตั้งความหวังว่าจะทำสำเร็จประโยชน์

ชนกกรรมก็ดี อุปัตถัมภกกรรมก็ดี มีแต่ฝ่ายกุศลอย่างเดียวมั้ย อกุศลมีมั้ย.. มี

 

คนคิดจะไปปล้นเขา อยู่ดีๆ จะหยิบมีด หยิบปืนไปมั้ย ต้องโลภก่อน ต้องโง่ก่อนด้วยนะ เพราะ "โง่" เป็นปัจจัยหลักของคนทำกรรมชั่ว และปัจจัยหลักของคนทำความดี คืออะไร ฉลาด คนทำความดีต้องมีปัญญา นั่นคือ ปัจจัยหลักในการทำความดี เพราะเห็นคุณ เห็นประโยชน์ในการกระทำความดีว่า ทำแล้วไม่มีโทษ ไม่มีผลส่งให้เกิดความทุกข์ทรมาน เหล่านี้แหละ เรียกว่า อุปัตถัมภกกรรม

ฉะนั้น อุปัตถัมภกกรรมของกุศลกรรม คือ ความฉลาด ความเพียร มีศรัทธา ความเชื่อในสิ่งที่ทำ เหล่านี้คือ องค์ประกอบ

บอกแล้วไง ถ้าเข้าใจพุทธธรรมก็จะเข้าใจว่า เอา "เหตุ" เป็นตัวตั้ง ธรรมใดเกิดแต่เหตุ ทุกอย่างเป็นกระบวนการของเหตุทั้งหมด แล้วมาสรุปผลตรงที่ "ผล" ออกมาอย่างไร พูดอย่างนี้เข้าใจหรือเปล่า

ดังนั้น อุปัตถัมภกกรรม ไม่ใช่อุปถัมภ์กรรมดีอย่างเดียว แม้แต่กรรมที่ตกแต่งให้เกิดแล้วทำชั่ว เรียกว่า อกุศล ก็จัดว่า

เป็นอุปัตถัมภกกรรมเหมือนกัน และการอุปถัมภ์ให้กรรมนั้นสำเร็จประโยชน์ จึงจัดว่า เป็นอุปัตถัมภกกรรมทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว

 

๓. อุปปีฬกกรรม กรรมที่บีบคั้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งก็ทำหน้าที่บีบคั้นจากชั่วให้เป็นดี และบีบคั้นจากดีกลายเป็นชั่ว รวมทั้งบีบคั้นให้ไม่ดี ไม่ชั่ว เป็นกลางๆ ได้ด้วย

 

หลวงปู่ขยายความ : จะตั้งใจมาวัด ขับมากลางทาง รถเสีย ยางแตก รถติด ตำรวจจับ ฝนตก อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นอุปสรรคขวางหนาม หรือที่ทำให้เราไม่ได้ดั่งหวัง เขาเรียกว่า อุปปีฬกกรรม กรรมที่บีบคั้นให้เปลี่ยนแปลงผลที่จะเกิดจากจุดมุ่งหมายที่กระทำ

บางที เราซื้อของมา ลงทุน ๑๐ บาท แต่ขายของทำไมได้กำไรตั้ง ๑๐๐ บาท นั่นจัดเป็นอุปปีฬกกรรม กรรมที่บีบคั้นให้เกิดมีการเปลี่ยนแปลงที่มีผลเป็นเลิศกว่าการลงทุน แต่ไม่ได้ไปใช้เทคนิค ล่อลวงให้ใครหลงเชื่อด้วยกลอุบาย..ไม่ใช่ นั่นไม่จัดเป็นอุปปีฬกกรรม แต่จัดว่าเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดการฉ้อฉล ต้องจัดกรรมนั้นเข้าไป

ถ้าเป็นอุปปีฬกกรรม ต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากสิ่งหนึ่งไปอีกสิ่งหนึ่ง จึงเรียกว่า อุปปีฬกกรรม ฟังเข้าใจมั้ย

 

๔. อุปฆาตกกรรม กรรมที่ทำหน้าที่กัดกร่อน ตัดรอนในทุกกรรม ไม่ว่าจะดีหรือเลว โดยไม่มีกาลเวลา แม้ที่สุดกำลังจะดีก็ทำให้ตายได้ด้วย

 

หลวงปู่ขยายความ :

 

เรื่องนี้ต้องอธิบายต่อไปว่า บางทีไม่เพียงแค่รถติด ฝนตก ถนนลื่น แต่ก็ถึงตายได้เพราะมาไม่ถึงวัด ส่วนใหญ่ อุปฆาตกรรม เป็นกรรมหนัก มาเร็ว และแรง ทำให้ขาดสูญ หวังผลไม่ได้อีกต่อไป เขาจะใช้คำว่า อุปฆาตกรรม ทำให้เสื่อมและหลุดพ้น เช่น

อยู่ดีๆ หลุดพ้นจากอำนาจที่เราดำรงอยู่ อย่างนี้มีอุปฆาตกรรม เป็นรัฐมนตรีอยู่ดีๆ แว็บเดียวไปติดคุกแล้ว เป็นพระอยู่ดีๆ แว็บเดียวไปติดคุกแล้ว อย่างนี้เรียกว่า อุปฆาตกรรม เข้าใจมั้ย

เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปทันที จากมีชีวิตที่สดสวย บ้านเพิ่งปลูกใหม่ อยู่ดีๆ ไฟไหม้

อุปปีฬกกรรม เหมือนกับไฟช็อตในบ้านหลังใหม่ มองเห็นควันไฟ เราไปดับได้ทัน นี่เรียก อุปปีฬกกรรม ทำให้เสื่อม ตัดรอน ไม่ให้เจริญ แต่อุปฆาตกรรม ทำให้ฉิบหายวายป่วง ทำให้บรรลัย หาย ขาดสูญไปเลย

 

หลวงปู่ขยายความ :

 

ตั้งแต่ข้อ ๑-๔ เป็นกรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ ไม่มีใครจะดลบันดาลให้เกิด

จำไว้ ในกรรม ๔ หมวดนี้ ใครเป็นผู้ดลบันดาลให้เกิด ไม่มีคนอื่น นอกจากตัวเราเอง

ฉะนั้น เมื่อตัวเราเองเป็นผู้ทำให้เกิดกรรมทั้ง ๔ แล้วใครเป็นผู้รับกรรม ตัวเราเป็นผู้รับกรรม แล้วกรรมทั้ง ๔ มีหน้าที่ที่จะส่งผลให้ผู้กระทำกรรมทั้ง ๔ นั้น ไม่ใช่คนอื่นดลบันดาลให้ส่งผล

 

กรรมทั้ง ๔ จึงจัดเป็นกรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ เข้าใจมั้ย.. ไม่มีใครดลบันดาล บังคับ ขู่เข็ญ ขอร้อง อ้อนวอน หรือทำให้ส่งผล.. เราเองนั่นแหละ

 

ทำมาก ทำเร็ว ทำบ่อย ทำถี่ ก็จะส่งผลเร็ว ส่งผลมาก ส่งผลถี่ ถ้าทำช้า ทำไม่บ่อย นานๆทำที

 

แม้กรรมทั้ง ๔ มีหน้าที่ต้องให้ผล ก็ให้ผลตามกระบวนการกระทำ คือ ให้ผลช้า นานๆ ให้ที ไม่ได้ให้ผลถี่

 

ในกรรมทั้ง ๔ ถ้าเราเลือกที่จะทำเฉพาะกรรมฝ่ายกุศล เรียกว่า ฉลาดแล้วทำกรรม แล้วทำบ่อยๆ ทำเรื่อยๆ ทำถี่ๆ ไม่ใช่นานๆ ทำที มันก็ให้ผลตามหน้าที่ของมัน คือ จะให้ผลดี ให้คุณประโยชน์ ให้ผลเป็นสุข เป็นความสำเร็จ รุ่งเรือง เจริญ บ่อยๆ ถี่ๆ

 

เพราะฉะนั้น กรรมทั้ง ๔ จึงจัดว่าเป็นกรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ ถ้าอยากจะได้ "ผล" แห่งกรรมดีอันเป็นกุศลบ่อยๆ ส่งผลให้เกิดความรุ่งเรือง เจริญ มั่งคั่ง มั่นคง สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว วาสนาดี บารมีมากมาย ต้องทำกรรมทั้ง ๔ ถี่ๆ บ่อยๆ เร็วๆ ไม่ใช่นานๆ ทำที และต้องเป็นกรรมทั้ง ๔ ที่อยู่ในกุศลกรรม

 

หลักของกุศลกรรม

ต้นเหตุแห่งการทำกุศลกรรม คืออะไร รากฐานเลย เมื่อกี้บอกไปแล้ว ฉลาด คนฉลาด ทำกุศล คนโง่ ทำอกุศล กรรม ๑๒ จึงต้องเรียนรู้ ศึกษาให้แจ่มชัด ไม่ใช่เชื่อกรรมแบบไม่มีคำอธิบาย แล้วปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม อันนั้นเรียกว่า เชื่อตามลัทธินอกศาสนา

 

ทีนี้ เข้าใจกระบวนการกรรมทั้ง ๔ หรือยัง ชนกกรรม อุปัตถัมภกกรรม อุปปีฬกกรรม อุปฆาตกรรม

ที่จริงกรรมทั้ง ๔ กูพูดมาบ่อยมั้ย บ่อยนะ แล้วได้แบบนี้มั้ย มึงเข้าใจแบบที่กูอธิบายนี้มั้ย เพิ่งจะเข้าใจ เข้าใจมานานแล้ว กูมองภาษากายพวกมึงไม่ออกว่า เข้าใจมานานแล้ว หรือเพิ่งจะเข้าใจ เออ เข้าใจมากขึ้น

 

๕. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน หมายรวมไปถึงปัจจุบันขณะด้วย ซึ่งก็มีทั้งกรรมดี กรรมเลว และวางเฉย

 

หลวงปู่ขยายความ :

 

กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันมีอะไรบ้าง อย่างนี้เห็นไม่ยาก ปล้นร้านทอง สองวันตำรวจจับได้ ให้ผลในปัจจุบันมั้ย ไม่ใช่ปีหน้า ตำรวจจับได้

ประเภทที่ ๑ คือ กรรมอะไรที่ทำแล้วเกิดผลกระทบต่อส่วนรวมโดยมาก และเป็นต้นแบบ/เยี่ยงอย่างที่ไม่ดีต่อส่วนรวมได้เยอะ ทำให้คน/สัตว์ตกทุกข์ทรมานได้มาก กรรมชนิดนั้นจะให้ผลในปัจจุบัน เรียกว่า "อะยัมภะทันตา" ตามให้ผลแบบชนิดปัจจุบันทันด่วน ใกล้เคียงกับกรรมอันหนักที่เรียกว่า ครุกรรม นี่ประเภทที่ ๑ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน

ประเภทที่ ๒ คือ ทำในปัจจุบันแล้วให้ผลในนาทีนั้น อย่างกรณีในอดีตชาติ พระเทวทัต ทำครุกรรมเยอะแยะมากมาย.. ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต.. ทำสงฆ์ให้แตกกัน สุดท้ายไม่ต้องรอชาติหน้า พอออกจากพระวิหาร แผ่นดินแยก ธรณีสูบ นี่ให้ผลในขณะนั้นเลย ไม่ต้องรอชาติหน้า

ดังนั้น กรรมที่ให้ผลในปัจจุบัน คือ ทำแล้ว

▫ คนอื่นเดือดร้อนมาก สังคมเป็นทุกข์มาก

▫ สิ่งแวดล้อมเสียหายมาก และเป็นต้นแบบที่ไม่ดี เลวร้ายต่อมนุษยชาติได้มากๆ จะเกิดการให้ผลในปัจจุบันโดยไม่ต้องรอนาน

 

ประเภทสุดท้าย ทำกรรมไว้เมื่อไหร่กูก็ไม่รู้ แต่อยู่ดีๆ บ้านไฟไหม้ ลูกโดนรถชนตาย เราประสบอุบัติเหตุขาหัก แขนหัก ทั้งทึ่ไม่เคยไปทำร้ายทำลายใครเลย แต่ส่งผล เรียกว่า "อดีตกรรม" ส่งผลให้รับผลในปัจจุบันกรรม

นี่ประเภทสุดท้าย ฟังเข้าใจมั้ย

เรียกว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม หมายรวมถึง ทุกขณะด้วย

 

ทีนี้ อธิบายในเรื่อง "ทุกขณะ"

 

คำว่า ทุกขณะ ที่พูดมาเมื่อครู่นี้ทั้งหมด เป็นผลฝ่ายครุกรรม คือ เห็นด้วยตา จับต้องสัมผัสได้ด้วยมือ รู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสปสาทะทั้ง ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย

แต่ "ใจ" กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันที่บางที "กาย" ไม่ได้รู้เรื่องอะไร แต่ใจเราทุรนทุราย รัอนรุ่ม ว้าวุ่น อยู่ดีๆ ทำไมร้อนรุ่ม กลัดกลุ้ม ว้าวุ่นอย่างนี้ อยู่ดีๆ ทำไมฟุ้งซ่าน หงุด หงิด รำคาญ

จำไว้ว่า กรรมมี ๓ อย่าง คือ

๑.กายกรรม

๒.วจีกรรม

๓.มโนกรรม

กรรม ที่ให้ผลโดยที่กายเรา ไม่ได้รับรู้ วจีเรา ไม่ได้รับผลกระทบ แต่ มโน คือ ใจรับรู้ได้ทันที คือ กรรมที่กระทำโดย "มโนกรรม" อันนี้เป็นไปโดยทุกขณะ เช่น โลภ-อยากได้ของเขา พยาบาท- ปองร้ายเขา เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม ถ้ากระทำลงไปแล้ว ไม่ต้องรอชาติหน้าให้ผล มันให้ผลในปัจจุบัน

ฉะนั้น ถ้าจะอธิบายว่า กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันโดยตรง คือ มโนกรรม ก็ได้ เพราะมโนกรรม นี่คนอื่นทำให้เรามั้ย เราต้องทำกับคนอื่นมั้ย ไม่

▫ แค่เกลียด มันก็ให้ผลแล้ว

▫ แค่โลภ-อยากได้ของเขา มันก็ให้ผลแล้ว โลภ..ทำให้เราทุรนทุราย นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย

▫ มักมากในกามคุณ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จิตเรา สงบมั้ย (ไม่) นั่นแหละ ได้ผลแล้ว

ส่วนการกระทำทางกาย เช่น ไปปล้นเขา ไปฆ่าเขา ยังช้าอยู่ เพราะว่า อีก ๒ วันกว่าตำรวจจะจับได้

พระเทวทัต กว่าจะโดนธรณีสูบ ต้องทำกรรมหนักมาหลายรอบมาก ตั้งแต่คิดจะประทุษร้ายพระพุทธเจ้า จนกระทั่งทำให้สงฆ์แตกกัน ใช้เวลานานแต่ก็ให้ผลในปัจจุบัน สุดท้ายโดนธรณีสูบให้คนทั้งหลายได้เห็นชัดๆ แต่ยังไม่เป็นปัจจุบันขณะ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันขณะได้ คือ กรรมที่เกิดจากมโนกรรม

 

๖. อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในอนาคต หมายถึง นาทีหน้าและชั่วโมงต่อๆ ไปจนถึงวันต่อๆ ไป เดือนต่อไปและปีต่อๆ ไป

 

หลวงปู่ขยายความ :

ถามว่า ทำไมไม่เขียนว่า ชาติต่อๆไป ด้วยเหตุผลว่า

มี อปราปริยเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในภพภูมิต่อไป

เราจะเห็นว่า กรรม เหมือนคนวิ่งผลัด วิ่งมาแล้วมึงรับไม้ต่อ ไม่มีคำว่า วิ่งมาแล้วมึงรับทำไม้ตก.. ไม่มีนะ ส่วนมันจะเร็วจะแรง ก็อยู่กำลังของแต่ละคนที่วิ่งไม้ นั่นหมายถึง อยู่ที่กำลังของกรรมที่กระทำ จะส่งผลเร็ว ส่งผลแรงอย่างไรขึ้นอยู่กับกรรมของผู้กระทำนั้น ว่าทำโดยเจตนาอันแรงกล้า เบาบาง หรือแทบไม่ได้เจตนา

เหมือนคนขยันวิ่งก็วิ่งมากๆ วิ่งเร็ว ขยันวิ่งแต่หมดแรง กูก็เอาแค่นี้ วิ่งได้แค่นี้ บางคน ไม่เอาล่ะ เดินไปดีกว่า อย่างน้อยไม้นั้นไม่เคยตกมือ แสดงว่า กรรมนั้นไม่เคยร่วงไปไหน ต้องถึงปลายทางในที่สุด และเราเป็นผู้ยืนอยู่ไม้สุดท้าย

ที่จริงเราอยู่กับไม้คนแรก มาอยู่กับคนที่๒..คนที่๓..และสุดท้าย เราไปอยู่กับคนที่วิ่งไม่สุดท้าย เราไปอยู่กับคนที่วิ่งไม้สุดท้าย

สรุปแล้ว รับไม้มาทุกช่วง

เพราะฉะนั้น อปราปริยเวทนียกรรม กรรมให้ผลในภพภูมิต่อๆ ไป จึงไม่เข้ามาวุ่นวายอยู่กับอุปปัชชเวทนียกรรม - กรรมที่ให้ผลในอนาคต คือ ทำวันนี้ พรุ่งนี้ให้ผล พรุ่งนี้เป็นอนาคตมั้ย

(เป็น) "นาทีหน้า ชั่วโมงต่อไปจนถึงวันต่อๆไป เดือนต่อๆไป"

ทำวันนี้ เราอาจะไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร ไม่เป็นไรน่ะ โกงเขาไปก่อน โกหกเขาไปก่อน หลอกเขาไปก่อน เป็นกรรมมั้ย (เป็น) แต่มันยังไม่ให้ผลไง เลยไม่เป็นไร แล้วเมื่อถึงวันมันให้ผล เขาเรียกว่า อุปปัชชเวทนียกรรม คือ ยืนยันกรรมนี้ว่า ไม่ว่าคุณจะทำแล้วได้ผล/ไม่ได้ผล ในเวลาปัจจุบันก็ตาม แต่สุดท้าย อนาคตคุณจะต้องเป็นผู้รับกรรมนั้นอยู่ดี

ข้อนี้เขาอธิบายความแบบนี้ แม้ปัจจุบัน คุณจะโกหก จะโกง จะขโมยเขา เขาไม่รู้.. คุณทำร้าย เขาจับคุณไม่ได้ เรารู้สึกไม่เป็นไร แต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่ จะต้องใช้หนี้กรรมในอนาคตอยู่ดี ยืนยันอย่างนี้ เข้าใจมั้ย พวกข้างล่าง เข้าใจมั้ย

 

๗. อปราปริยเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในภพภูมิต่อๆ ไป ซึ่งถูกส่งผลต่อเนื่องมาจากอุปปัชชเวทนียกรรม จนปรากฏในภพภูมิต่อๆ ไป

 

หลวงปู่ขยายความ : อันนี้วงเล็บมาเลย กรรมชนิดใดบ้างที่ให้ผลในภพภูมิต่อๆ ไป กรรมที่เกิดจากการ "ทุศีล"

▫ สีเลนะ สุคะติง ยันติ มีศีล ต้องทำให้สู่สุคติ ภพแห่งสุคติ จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีศีลเป็นเครื่องกำกับ

 

▫ สีเลนะ โภคะสัมปะทา ศีลย่อมยังให้เกิดโภคทรัพย์

▫ สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลย่อมยังให้สู่พระนิพพาน

ฉะนั้น ผู้ที่ทุศีล แม้นปัจจุบัน เราไม่รู้สึกเดือดร้อนกับมัน เหมือนกับคนยุคปัจจุบันนี้ ทุศีล กันเป็นว่าเล่น พูดโกหก ตอแหล หลอกลวง ปลิ้นปล้อน กะล่อน มดเท็จ หยาบ ถ่อย สถุล ด่าพ่อแม่ออกสื่อเต็มไปหมด ผิดศีลมั้ย (ผิด) ทุศีลไปบ่อยๆ ไปเรื่อย ๆ มันหายไปมั้ย วันนี้ไม่เห็น แต่ชาติภพต่อไปจะเห็นผล

ฉะนั้น ศีล คือตัวกำหนดผลแห่งกรรมที่ตัวเองทุศีลจะแสดงผลในอนาคต คือ ภพภูมิต่อๆ ไป

ทุศีลมากๆ เช่น ฆ่าสัตว์มากๆ เราไม่มีสิทธิ์เป็นมนุษย์ เพราะไม่ได้ไปสู่สุคติ เพราะมนุษย์เป็นสุคติหรือทุคติ..สุคติ

ไม่ได้ไปสู่สุคติ ก็จะไปเจอแต่ทุคติ

สีเลนะ โภคะสัมปะทา อยากร่ำรวยในภพภูมิหน้า ต้องรักษาศีล ไม่ใช่แค่บริจาคทานอย่างเดียวแล้วไม่มีศีล สร้างบ้านใหญ่โต เงินเต็มคลัง อ้าว หันมาดู ไฟไหม้หมด โทษมาจากการทุศีล ไม่สามารถรักษาอริยทรัพย์ไว้ได้ อย่างนี้เป็นต้น

ศีล เป็นตัวนำในการที่จะส่งผลข้ามภพภูมิ เหมือนกับพ่วงแพ ถ้าเราทำให้แพรั่ว ก็ไปไม่ถึงฝั่ง

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน

v สีเลนะ สุคะติง ยันติ ศีลย่อมยังให้สู่สุคติ

v สีเลนะ โภคะสัมปะทา ศีลย่อมยังให้ถึงโภคทรัพย์

v สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลย่อมยังให้สู่พระนิพพาน

ฉะนั้น กรรมที่กระทำส่งผลในภพภูมิหน้า คือ กรรมอะไร.. การผิดศีล

แล้วศีล มีอะไรบ้าง..

ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่เสพของมึนเมา เมื่อใดที่เราทำอย่างหนึ่งอย่างใดใน ๕ อย่าง ถือว่าเป็นการทุศีล ผิดศีล และยังแยกอีกว่า ผิดศีลข้อไหน จะส่งผลไปกี่ภพกี่ชาติ แต่ท่านสอนไว้ว่า ผิดศีลข้อสุดท้าย ส่งผลให้เกิดทุกภพทุกชาติ ข้อสุดท้าย คืออะไร (เสพของมึนเมา) มันทำให้ขาดสติ

ขาดสติ คือ โง่ พอโง่แล้ว ทำชั่วไหมล่ะ มันก็ส่งผลให้ทุกภพทุกชาติเลย เราจะโง่ตลอดไปเลย เพราะเป็นคนเสพเครื่องดองของมึนเมา ไม่ใช่ของเล่นนะ อย่านึกว่า เอาน่ะ วันนี้มาฆ่าเวลา ก๊งกันสักกรึ๊บ มานึกอีกที ตายแล้วกู ขาดสติไปแล้ว พอขาดสติ ก็ทำชั่ว/ทำกรรมฝ่ายอกุศลไปแล้ว เข้าใจมั้ย เรียนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวบรรลุเอง

 

๘. อโหสิกรรม กรรมที่ล้มเลิกการให้ผล หรือกรรมที่หยุดยั้งการให้ผล

 

หลวงปู่ขยายความ :

ด้วยเพราะอโหสิกรรมนี่แหละ จึงมีคำสอนในบทโศลกว่า รู้จักเผื่อแผ่ อย่าเห็นแก่ตัว เสียสละ แบ่งปัน รู้จักให้ แม้ให้ที่สุดคือ ให้อภัย อภัยทาน อภัยธรรม

การให้อภัย เป็นการให้ที่สุดยอด เพราะจะหยุดยั้งกรรมทั้งหลายได้ แต่ไม่ใช่หมายถึงว่า คนทำชั่วแล้วให้อภัยไปเรื่อยๆ ไม่ใช่นะ เพราะพระพุทธเจ้ายังทรงมีหลักอีก ไม่ใช่อภัยไป ๆ ไม่เป็นไร ไม่ใช่นะ อภัยแบบนั้นเขาเรียก อภัยแบบลัทธินอกพระพุทธศาสนา

ถามว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้อภัย แม้นมีคำสอนให้อโหสิกรรม เป็นการหยุดยั้งกรรมทั้งปวง มันน่าจะดี น่าจะถูกต้อง แล้ว

พระพุทธเจ้าทรงสอนเรื่อง นิคคัยหะ ปัคคัยหะ ได้อย่างไร

v ข่มในเวลาที่ควรข่ม

v ยกในเวลาที่ควรยก

ในการปกครองคนถ้าใช้คำว่า ให้อภัยอย่างเดียว แล้วจะข่มคนที่ควรข่ม ได้มั้ย ..ไม่ได้ ยกกับคนที่ควรจะยก ได้มั้ย.. ก็ไม่ได้อีก

เพราะให้อภัยไปแล้ว ถือว่า เราหมดอำนาจแล้ว ไม่มีอะไรที่จะไปครอบงำเขาได้ แล้ว สุดท้ายสิ่งที่เขากระทำกลายเป็นเหมือนกับเขาได้ใจ คนชั่วได้ใจ คนดีเสียใจ

แม้ในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงปรับอาบัติไว้ตั้ง ๒๒๗ ข้อ

ถ้ามีคำว่า อโหสิกรรม ให้อภัย พระพุทธเจ้าจะมาทรงปรับอาบัติทำไม ถ้าใช้คำว่า ให้อภัยไม่เป็น ปาราชิก๔ จะมาจากไหน

เสพเมถุน ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ อวดอุตตริมนุสสธรรม ประพฤติผิดในกาม จะมาจากไหน

กรรมอย่างนี้กรรมหนัก อภัยกันไม่ได้ เห็นมั้ย จะบอกว่า อโหสิ ให้อภัย สุดท้ายก็ก่อเชื้อชั่ว ไม่ใช่ก่อตัวเรา แต่ไปก่อตัวเขา

เราน่ะให้อภัยเขา

เพราะฉะนั้น กรณีของคำว่า อโหสิกรรม เป็นอโหสิกรรมของตัวเอง แต่ไม่ใช่อโหสิกรรมให้กับคนอื่นโดยที่ตัวเองรับกรรม ..ไม่ใช่

การให้อภัยคนอื่น ตัวเองจะไม่ต้องรับกรรมใด ๆ จากคน ๆ นั้นทำกับเรา

แต่ถามว่า คน ๆ นั้นต้องรับกรรมมั้ย ยังรับอยู่ จะบอกว่า ให้อภัย อโหสิแล้วคนๆ นั้นไม่ต้องรับกรรม มึงไปปล้นเขา เออ กูให้อภัย มึงไม่ต้องติดคุก ได้มั้ย..ไม่ใช่นะ ไม่ได้

ยังต้องมีการทำ นิคคัยหะ ปัคคัยหะ ข่มในเวลาที่ควรข่ม ยกในเวลาที่ควรยกอยู่ แล้วใครจะทำหน้าที่ข่มบุคคลที่ควรข่ม ยกบุคคลที่ควรยกเล่า นี่ต้องมาวิสัชนากัน

 

หน้าที่บัณฑิต

 

พระพุทธเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่เหล่านี้ให้กับ "บัณฑิต" ผู้ที่รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้สถานที่ ชุมชน รู้จักบุคคล คือบุคคลที่ควรจะข่มบุคคลอื่นในเวลาที่ควรข่ม ยกคนอื่นในเวลาที่ควรยก

บัณฑิตไม่ได้รับกรรมต่อเนื่องมา หรือ

ด้วยอำนาจคุณธรรมแห่งการรู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้สถานที่-ชุมชน รู้จักบุคคล นี่แหละเป็นเกราะป้องกันไม่ให้บัณฑิตเหล่านั้นต้องมารับผลกรรมที่ตัวเองได้กระทำกับบุคคลในเวลาที่ควรข่ม และยกในเวลาที่ควรยก

แม้พระพุทธเจ้าในอดีตก็เคยเกิดเป็นผู้ชี้เหตุชี้ผล ชี้ตน ชี้ถูกชี้ผิด กับคนทั้งหลายเยอะแยะมากมาย เช่น เกิดเป็นสุวรรณสาม พระมโหสถ อย่างนี้เป็นต้น เพราะเป็นบัณฑิตทำหน้าที่เป็นตุลาการ ชี้ถูกชี้ผิด ข่มในเวลาที่ควรข่ม ยกคนในเวลาที่ควรยก

ฉะนั้น การอโหสิกรรม เป็นการหยุดยั้งกรรมที่จะเกิดกับตน แต่ไม่ใช่หยุดยั้งกรรมที่จะเกิดกับคนทำผิด คนทำผิดยังมีกรรมอยู่

แล้วใครจะเป็นผู้ชี้ถูกชี้ผิด คนๆ นั้นต้องเป็นบัณฑิตเท่านั้น จึงจะไม่ได้รับผลกรรมที่บัณฑิตนั้นกระทำต่อผู้ที่ควรจะรับกรรม

กรรมตั้งแต่ข้อ ๕ - ๘ นี้ผลัดกันให้ผลต่างเวลาไป

 

หลวงปู่ขยายความ :

กระบวนการทำงานของกรรมตั้งแต่ ๕ - ๘ จะผลัดกันให้ผลเหมือนกับคนวิ่งไม้ ไม่ได้ให้ผลพร้อมๆ กัน

กรรมข้อ ๑-๔ ให้ผลตามหน้าที่ คือ พอหมดหน้าที่กรรมนั้นก็หยุดแต่ในขณะที่ทำหน้าที่อยู่ กรรมอื่นมาแทรกไม่ได้

แต่กรรมข้อ ๕-๘ ผลัดกันให้ผล คือไม่แน่นอน คนนี้เข้า คนนู้นออก บางทีวันหนึ่งเข้าออกเป็นสิบรอบ จะผลัดกันเลี้ยงดูคนๆ นั้นให้มีชีวิต เหมือนกับแม่นมหลายคนผลัดกันให้นมลูก เพื่อให้ลูกเจริญเติบโต มีชีวิตอยู่ต่อไป

กรรมข้อ ๕-๘ จึงเป็นกรรมที่เหมือนกับถือไม้รอไว้แล้วพร้อมจะวิ่ง ในหนึ่งวันอาจจะมีกรรมตั้งแต่ ๕-๖-๗-๘วิ่งเข้าวิ่งออก สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนวุ่นวายไปหมด บัดเดี๋ยวอยากทำร้ายมัน บัดเดี๋ยวอโหสิกรรมมัน

พิสูจน์ได้จากอะไร บางทีบางครั้งชีวิตเราดูเหมือนจะเดินไปอย่างราบเรียบ วันนี้ตอนเช้าโล่ง สบาย พอตอนบ่ายนั่นก็สะดุด นี่ก็สะดุด ผลัดกันให้ผล ไม่ได้ราบเรียบไปทั้งหมด

 

แล้ววิธีแก้ ทำอย่างไร ตามดูต่อไป

 

๙. ครุกรรม กรรมอันหนัก ซึ่งมีทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศล เช่น พัฒนาตนจนได้เป็นพระอริยเจ้า หรือทำร้ายพระอรหันต์ เป็นต้น

 

หลวงปู่ขยายความ : ครุกรรม ในอดีต มี ๒ ท่าน ยกให้เป็นต้นแบบ

o ครุกรรมฝ่ายกุศล คือ พระองคุลีมาล

o ครุกรรมฝ่ายอกุศล คือ พระเทวทัต

พระองคุลีมาลถามว่า เป็นครุกรรมอย่างไร

ฆ่าคนตายเป็นพันคน เป็นกรรมหนักมั้ย (หนัก) แต่ถามว่า ทำไมท่านจึงไม่รับกรรมนั้นอย่างเต็มที่..

ไม่ใช่ไม่รับ แต่ไม่รับอย่างเต็มที่ เพราะท่านมีครุกรรมอันเป็นยอดแห่งกรรมทั้งปวง คือ กุศลกรรม ทำให้จิตของตนพ้นจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง จึงเรียกว่า

ครุกรรมฝ่ายกุศล ฆ่าคนตายมาเป็นพัน หลับตาทีไร เห็นคนตายอยู่ตลอดเวลา จนไม่สามารถนั่งนิ่งอยู่ได้ ต้องไปขอเฝ้าพระพุทธเจ้า

พระองค์ทรงสอนวิธีกำหราบจิต เรียนรู้ศึกษามาแล้ว มาพัฒนาจิตจนกระทั่งเข้าสู่ครุกรรม คือ กรรมอันใหญ่ยิ่ง จิตหลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัดจากการปรุงแต่งขันธ์ทั้ง ๕ ดับสูญหมด เข้าสู่ครุกรรมฝ่ายกุศล

ส่วนพระเทวทัตเล่า ก็เข้าสู่ครุกรรม แต่เป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล เพราะจิตเหิมเกริม อยากใหญ่ อยากมีลาภสักการะ มีอำนาจวาสนา อวดดี อวดเด่น ตัวกูของกูยิ่งใหญ่ สุดท้ายรับครุกรรมฝ่ายอกุศล คือธรณีต้องสูบลง

ฉะนั้น บุคคล ๒ ท่านนี้ จึงเป็นต้นแบบของครุกรรมฝ่ายกุศล และฝ่ายอกุศล

 

๑๐. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม คือ กรรมที่ทำซ้ำๆ อย่างเดียวกันเป็นเวลานานๆ จนมีผลเทียบชั้นครุกรรมทีเดียว

 

หลวงปู่ขยายความ :

พวกมึงทำกันบ่อยมาก อาจิณณกรรม กูเห็นว่างเมื่อไหร่ก็ "กด(พิมพ์ข้อความบนมือถือ) ปัด" ทีแรกนิ้วเดียวปัด ต่อไปเล่นทั้งมือ "ปัด" เรื่อยไปเลย ทำกันทั้งวันทั้งคืนอย่างนี้เขาเรียกอะไร ทำเป็นอาจิณ นี่ฝ่ายกุศลหรืออกุศล ฝ่ายอกุศล

มีบ้างไหม เช้าขึ้นมา นั่งหน้าหิ้งพระสวดมนต์ พอตกเย็นเข้าห้องพระสวดมนต์ นั่งสมาธิ ทำวัตร เจริญภาวนา พอบ่ายๆ สายๆ ภาวนาจิต รักษา อบรมจิต มีบ้างมั้ย

 

ทั้งวันชั่วชีวิตพวกมึงทำเป็นอาจิณ เป็นสันดาน นั่งปัดมันอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วมึงรู้มั้ย มึงตายไป มึงจะไปทำอะไร มึงก็นั่งปัดของมึงไปอย่างนั้นแหละ มึงปัดอะไรกูก็ไม่รู้ แต่มึงปัดของมึง มึงทำมาแบบนี้ไง บางคนปัดด้วยด่าด้วย โกหกไปด้วย ทำเป็นอาจิณ จนกลายเป็นครุกรรม

เห็นมั้ยไม่ต้องไปทำร้ายคนอื่นเลย ทำร้ายตัวเองเป็นอาจิณ

มีบ้างมั้ย ..เออ แม่มึง ลูก มาสวดมนต์กัน ชวนกันฟังธรรม ฟังหลวงปู่ท่านบ่นก็ได้ แบบนี้หายากงมเข็มในมหาสมุทรมีแต่เรื่องง่ายๆ ทำแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ ทำชีวิตให้ตกต่ำ หมกหมุ่นอยู่กับความมอดไหม้ไร้สาระทำกันเป็นอาจิณ มนุษย์ยุคนี้ทำอะไร กูถึงได้หน่ายกับมนุษย์ยุคปัจจุบันพัฒนายาก

แค่ชีวิตประจำวัน ก็ยากจะหลุดพ้น ถอนตัวเองออกจาก อาจิณณกรรมนี้ไม่ได้ คือ เลือกอาจิณณกรรมในฝ่ายกุศลไม่ได้ ก็ทำแต่อาจิณณกรรมในฝ่ายอกุศลอยู่ทุกวี่ทุกวัน ยาวนานต่อเนื่อง ทุกเรื่องทุกราว

คนที่เป็นโรคเบาหวาน โรคไต โรคตับ

มาจากอาจิณณกรรม

เบาหวาน กินแต่ของหวานๆ กลายเป็นครุโรค ไขมันอุดตัน กินแต่ของมันๆ เล่นจนเป็นอาจิณ กลายเป็นโรค เป็นครุกรรม

มึงเห็นหลวงปู่มั้ย พยายามจะทำชีวิตให้เป็นอาจิณกับ วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ หาความเพียร สร้างความเพียรให้กับตัวเอง และทำความเพียรให้ปรากฏอยู่ตลอด ทั้งวันทั้งคืนให้เกิดความเพียร เรียก อาจิณณกรรม

บางคน วันทั้งวันเอาแต่ด่าๆ ด่า เปิดเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ด่าๆ ทำเป็นอาจิณ สุดท้าย ผลที่จะรับ คนอื่นรับแทนเรามั้ย มึงรับเอง มึงทำร้ายตัวเอง ทรมานตัวเอง ทำให้ตัวเองต้องเสื่อมทราม ตกต่ำ เพราะฉะนั้น อาจิณณกรรม ทุกคนทำมั้ย (ทำ) แล้วจะเลิกได้มั้ย เดี๋ยวกูออกไป มึงก็หยิบมาดูแล้ว ใครส่งมามั่ง ไลน์มายังไง มาแบบไหน ทำเป็นอาชีพน่ะพอเข้าใจ

อาจิณณกรรมฝ่ายอาชีพ เขามีนะ เช่น ช่างทอง ในสมัยก่อนครั้งพุทธกาล มีอาจิณณกรรมที่ส่งผล

ลูกชายนายช่างทองมาบวชกับพระสารีบุตร ซึ่งให้กรรมฐานกี่ข้อๆ ลูกชายนายช่างทองเรียนไม่ได้ ไม่รู้ แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญู หมายถึง ผู้รู้อดีต อนาคต ปัจจุบันทรงรู้ว่า ลูกชายนายช่างทองทำทองเป็นอาจิณมา ๕๐๐ ชาติ จะชอบของสวยๆ งามๆ อารมณ์สุนทรี ละเอียดอ่อน ละเมียดละไม จะให้กรรมฐานหยาบ ๆ ทำไม่ได้ เพราะไม่คุ้นชินกับอาจิณณกรรมที่ตนสะสมมา ๕๐๐ ชาติ

พระองค์ทรงเนรมิตดอกบัวทองคำให้ลูกชายนายช่างทองพิจารณา จนทำให้ดอกบัวทองคำกลายเป็นดอกบัวเหี่ยว ค่อยๆหล่นทีละกลีบๆ จนแตกสลาย อาจิณณกรรมที่เคยจับจ้องแต่สีทองคำ เห็นสีทองคำหมองหม่นไปเรื่อย ๆ จิตก็เปลี่ยนไปตามสีที่หมองหม่น เพราะอาจิณณกรรมนั้นเป็นนิมิตเครื่องหมายของจิตนั้นมา ๕๐๐ ชาติแล้ว พอเปลี่ยนไปก็รู้สึกได้ว่ามันเปลี่ยน

 

โอ้หนอ ทองคำยังเปลี่ยนสีได้ เราไม่เคยเห็นความเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ ตามดูต่อไปเรื่อย ๆ จนมันหลุดร่วง ย่อยสลายเป็นผุยผง จิตหลุดพ้นจากขันธ์ทั้งปวง การยึดติดในขันธ์ทั้งปวงหายไป นั่นคือ อาจิณณกรรมส่งผล เป็นอาจิณณกรรมฝ่ายอาชีพ

คนทุกคนมีอาจิณณกรรม

พระอรหันต์ทุกรูปที่มีมาแล้วในอดีต และจะมีต่อไปในปัจจุบัน ก็มีอาจิณณกรรม และเป็นอาจิณณกรรมในฝ่ายกุศล จึงได้เป็นอรหันต์ได้ ไม่ใช่อาจิณณกรรมในฝ่ายอกุศล

พระโมคคัลลานะก็มีอาจิณณกรรม ถามว่า เพราะอะไร

ในอดีตตัวเองชอบสะสม เรียนรู้ ศึกษาสรรพวิทยา วิชาการ ฤทธิ์เดช เวทมนตร์ มงคลต่างๆ จนสั่งสมอุปนิสัยกลายเป็นคนรักที่จะแสดงฤทธิ์ แสดงเดช อย่างนี้เป็นต้น มาเทียบกับมนุษย์ยุคปัจจุบัน ก็ไม่รู้อาจิณณกรรมแบบนี้ ชาติหน้ามันจะออกมาเป็นอะไร ไม่ต้องไปดูชาติสุดท้าย เอาชาติหน้าแล้วกัน ก็มองไม่ออก เดี๋ยวมันก็เป็นเดรัจฉาน เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เดี๋ยวก็เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นเปรต เป็นอสุรกาย ที่เป็นมากที่สุดคือ สัตว์เดรัจฉานกับสัตว์นรก แล้วจะไปแสวงหาความเจริญได้อย่างไร เพราะอาจิณณกรรมมันทำแบบนั้น

อาจิณณกรรม เป็นสิ่งสำคัญที่สั่งสมนิสัย เรียกว่า "อนุสัย"

ฉะนั้น อย่าไปดูแคลน อาจิณณกรรมนะ เป็นสิ่งสำคัญที่สั่งสมนิสัย เขาเรียกว่า "อนุสัย" มีผลจนถึงอนุสัยเชียวนะ

อนุสัย คือ สิ่งที่ฝังอยู่ในกมลสันดาน จะลบล้างมันได้ต่อเมื่อหลุดพ้นเท่านั้นแหละ หลุดพ้น คือ เป็นพระอรหันต์เท่านั้น พระโสดาบัน สกิทาคาฯ อนาคาฯ ยังล้างอนุสัยไม่ได้ ต้องเป็นอรหันต์เท่านั้น

ฉะนั้น สิ่งที่จะสามารถลบล้างอาจิณณกรรมได้ เวลากินอาหาร บางคนสารพัดชอบ แต่บางคนชอบของมันอย่างนั้นๆ ต้องหวานนะ ต้องเผ็ดนะ นั่นคือการสร้างอาจิณณกรรม

ฉะนั้น ต้องกินให้หลากหลาย ชีวิตต้องมีหลากหลาย ทำอย่างหนึ่งอย่างใดที่เป็นฝ่ายอกุศลไม่ได้ ต้องเทียบด้วยว่า

อาจิณณกรรมที่เราทำเป็นฝ่ายกุศลหรืออกุศล ต้องวิเคราะห์ให้ได้ ถ้าเป็นฝ่ายกุศล ทำไปเถอะ ทำไปเป็นประจำ

พอมีคำว่าอาจิณณกรรม ตัวชนกกรรม อุปัตถัมภกกรรม อุปปีฬกกรรม อุปฆาตกรรม ก็ได้ทำหน้าที่แต่เป็นการทำหน้าที่ในฝ่ายส่วนกุศล ทุกกระบวนการจะทำหน้าที่เพราะอาจิณณกรรมเราทำนำ เป็นกรรมที่นำหน้ากรรมอื่นๆ ทั้งปวงได้

 

๑๑. อาสันนกรรม กรรมที่เฉียดฉิว หรือ กรรมจวนเจียน หรือที่เรียกว่า เกือบไปแล้ว เช่น พฤติกรรมที่เสี่ยงตาย หรือ ลุ้นเลขหวยแล้วเฉียดฉิวใกล้ถูก แต่สุดท้ายมันก็ไกลเกินฝัน

 

หลวงปู่ขยายความ :

 

"กูว่าแล้ว" อะไรประมาณนี้ "ถ้าเลขนี้ ถ้ากูกลับสักนิดนะ" พวกนี้เจอ อาสันนกรรม เคยเจอมั้ย เจอทุกงวด ว่าแล้ว จวนเจียน เฉียดไป

วิธีหยุดอาสันนกรรมได้อย่างดีที่สุด คือ สติ และปัญญา

สติและปัญญาเท่านั้นที่จะหยุดอาสันนกรรมได้ เผื่อว่า อาจจะ ใช่มั้ง จวนเจียน จะไม่เกิดขึ้น จะตรงเป๊ะๆ ตลอดเวลา

ฉะนั้น เจริญสติ รุ่งเรืองปัญญาให้อย่างต่อเนื่อง ยาวนาน พวกลุ้นๆ ทั้งหลาย จวนเจียนจะตายไม่ตายแหล่ หรือใกล้ตาย มีอุบัติเหตุเฉียดตาย พวกนี้เจออาสันนกรรมแล้วมันเกิดอย่างไร

พระพุทธเจ้าทรงสอน วิธีหยุดอาสันนกรรม คือ

▫ สติ

▫ ปัญญา

▫ ความไม่มัวเมา ประมาท

พวกนี้เป็นกรรมที่มาเขาเรียก ลมเพลมพัด มาตามลม เราไปทำไว้ตั้งแต่ชาติไหน ไม่รู้ล่ะ ครั้งไหน ด้วยวิธีอะไร เราไม่รู้ล่ะ เพราะคำว่า “ไม่รู้” นี่แหละก็เลยเฉียดฉิว จวนเจียน เผื่อว่า อาจจะ ใช่มั้ง จะตายแหล่ไม่ตายแหล่ ก็ไม่รู้ล่ะว่า ทำไมเราถึงตาย

และพวกตายด้วยอาสันนกรรมนี่นะ ที่ไปคือ สัมภเวสีและอสุรกาย เปรตนี่ไม่ค่อยได้เจอ ส่วนใหญ่จะเป็นสัมภเวสี อสุรกาย ผู้หาเรือนอยู่ หาที่อยู่ไม่ได้ และผู้ที่หวาดกลัวและไม่รู้ว่าตัวเองตาย เพราะเหตุผลว่า เกิดมาจากเหตุแห่งความไม่รู้ล่ะ

ฉะนั้น วิธีแก้ คือ ต้องมีสติ มีปัญญา และไม่ประมาท จึงจะหยุดยั้งอาสันนกรรมได้ เข้าใจมั้ย

 

๑๒. กตัตตากรรม กรรมที่กระทำโดยมิได้ตั้งใจ หรือทำด้วยเจตนาอันอ่อน กตัตตากรรมนี้จะให้ผลต่อเมื่อไม่มีกรรมใดให้ผลแล้วจึงจะได้รับผลของกรรมนี้ เช่น กรณีพุทธะอิสระ เป็นต้น

 

หลวงปู่ขยายความ :

เช่น เวลาพระออกเดินบิณฑบาต ไม่รู้ว่าได้ไปเหยียบมดหรือแมลงตาย อย่างนี้เรียกว่า กตัตตากรรม ถ้าจำเป็นจะต้องได้รับผล นั่นหมายถึงว่า ไม่มีกรรมอื่นให้ผลแล้ว กตัตตากรรม เป็นกรรมอันเบามาก เหมือนกับปุยนุ่นที่ลอยมาในอากาศ เขาเรียก ลมเพลมพัด มันมาโดยที่ไม่มีเป้าหมาย มันฟุ้งไปในอากาศ

เราไม่มีกรรมอื่นปกครองอยู่ ไม่มีเครื่องป้องกันจากกรรมอื่นๆ กรรมอื่นๆ ไม่มี เราก็ต้องรับผลอันนั้น

 

แต่ถ้ายังมีกรรมอื่น ไม่ว่าเป็นชนกกรรม อุปัตถัมภกกรรม อุปปีฬกกรรม อุปฆาตกรรม หรือ ปัจจุบันกรรม อดีตกรรม อนาคตกรรม กำลังให้ผลอยู่ กตัตตากรรมจะไม่เข้าใกล้

ต่อเมื่อเราว่างจากกรรมอื่นทั้งหมดแล้ว กตัตตากรรมจะมาทันที แต่จะให้ผลอ่อนๆ เช่น ทำให้เราเปลี้ย ป่วย ซึม ไม่สบาย ชีวิตไม่ผ่อนคลาย บางทีบางครั้งมีการเปลี่ยนแปลง ก็ไม่มีโทษอันหนัก เป็นไปโดยค่อยเป็นค่อยไป ไปเรื่อยๆ

บางคนให้ผลในบั้นปลายชีวิต คือ ป่วยตาย แห้งตายไปเอง อย่างนี้เป็นต้น ไม่ทำให้รู้สึกว่า กรรมนี้กำลังจะให้ผล กรรมนี้

กำลังทรมาน แต่ค่อยเป็นค่อยไป ท่านกล่าวไว้ เหมือนกับไฟสุมขอน มันไม่ลุกโชน แต่ไฟพวกนี้กลัวฝน

ฉะนั้น ขณะที่มีฝน กรรมนี้จะไม่เข้าใกล้ นั่นหมายถึงว่า ถ้ามีกรรมอื่นเข้ามาอยู่ ต้องชดใช้กรรมอื่นอยู่ กรรมนี้รอผลไปก่อน แต่ไม่ได้หาย

สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม จริงๆ ไม่ได้หาย

เพราะฉะนั้น กตัตตากรรม เป็นกรรมสุดท้ายของมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงที่จะต้องชดใช้

พอชดใช้แล้ว ถามว่าจบมั้ย ต้องดูว่า เราไปทำกรรมอื่นเพิ่มมั้ย นั่นหมายถึงว่า ที่บรรทุกรถสิบล้อมาทั้งหมด มึงใช้หนี้เขาหมดแล้ว เหลืออยู่ฝุ่นละอองบนรถสิบล้อ ต้องทำความสะอาด นั่นแหละเขาเรียก กตัตตากรรม ปัดกวาดเช็ดถูให้เรียบร้อย แต่ถ้าเอาอะไรมายัดใส่ไว้อีก อย่างนี้ต้องมาบริหารจัดการกันอีก

 

คำถามว่า จะหยุดกรรมทั้ง ๑๒ ได้อย่างไร

ฉลาด มีสติ มึปัญญา ไม่ประมาท

สรุปลงตรงคำว่า ฉลาด จะทำกุศลกรรม

ถ้าโง่ ไปทำอกุศลกรรม

ย้ำว่า หยุดกรรม ๑๒ ได้อย่างไร ฉลาด มีสติ มีปัญญา และไม่ประมาท กรรมตั้งแต่ข้อ ๙ ถึงข้อ ๑๒ จะให้ผลไปตามความหนัก ความรุนแรงที่ได้กระทำ

เมื่อศึกษาในกรรม ๑๒ จนแตกฉานแล้ว เราท่านทั้งหลายจะเห็นว่า กระบวนการแห่งกรรมหาได้ทำให้เราไม่ขวนขวาย หรือปล่อยชีวิตให้มันเป็นไปตามยถากรรม

 

หลวงปู่ขยายความ :

คำว่า "หาได้ทำให้เราไม่ขวนขวาย" ต้องมาวิสัชนา แล้วถ้าเราจะขวนขวาย ขวนขวายแบบไหน

เรียนรู้ศึกษากรรมแต่ละชนิดให้แจ่มชัด และเลือกสรรที่จะทำกรรมในฝ่ายกุศลอย่างมีสติปัญญา ไม่มัวเมา ประมาท

 

นี่แหละจึงจะถือว่า เราได้ขวนขวายแล้วต่อการใช้ชีวิตตามยถากรรม หรือว่าให้สอดคล้องกับกระบวนการให้ผลแห่งกรรม ซึ่งเราเลือกที่จะทำแต่กุศลกรรม

คำว่า ขวนขวาย หมายถึงคำนี้ หมายอย่างนี้

ขวนขวายที่จะทำแต่ฝ่ายกุศลกรรม ไม่ใช่ทำแต่อกุศลกรรม หรือปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามยถากรรม จดเอาไว้บันทึกเอาไว้ด้วย เพราะจะเป็นข้อมูลในการศึกษาชีวิตในปัจจุบันของเรา

เพราะชีวิตปัจจุบัน ทำกรรมมั้ย ทำกันทุกคนแหละ หลวงปู่ก็ทำ แต่จะเป็นกรรมดีกรรมชั่ว

▫ อยู่ที่โง่กับฉลาด

▫ อยู่ที่เรามีสติปัญญา ประมาทมั้ย

ฉะนั้น เราหนีกรรมไม่พ้น ถ้ามีสติปัญญา แต่ยังมัวเมา ประมาท ก็อาจจะพลาดไปทำกรรมชั่วได้อีกเหมือนกัน

ย้ำนะ แม้มีสติปัญญา แต่มัวเมา ประมาท ก็อาจจะพลาดไปทำชั่วได้เหมือนกัน

ถ้ามีสติปัญญา และไม่มัวเมา ประมาท ก็จะทำแต่กุศลกรรม

อ่านบ่อยๆ ที่แจกให้เป็นชีท เอากลับไปบ้าน อ่านแล้วตีความ ศึกษาวิเคราะห์ โดยเฉพาะอาจิณณกรรม ชัดเจน ชัดแจ้ง เพราะเป็นกรรมในปัจจุบันที่เราจับต้อง หยิบฉวยได้

วันนี้ กูจะทำอะไรหว่า

เอา "กุศล" "อกุศล" ตั้ง

อาจิณณกรรมอยู่ตรงกลาง

ทำกุศลดึงมา อกุศลไม่ดึงมา ถ้าทำได้อย่างนี้ โง่หรือฉลาด ฉลาดใช่มั้ย แล้วเมื่อไหร่ล่ะ แต่มันมีการบริหารจัดการ เลือกสรรกระทำกรรมที่เป็นคุณประโยชน์ที่ดีที่สุด จักได้รับผลในทางดีงาม

 

หลวงปู่ขยายความ :

"แต่มีการบริหารจัดการ" เรารู้ว่าชีวิตเราต้องเป็นไปตามอำนาจของกรรม ไม่ใช่ตามยถากรรม

พอเป็นไปตามอำนาจของกรรม เราก็เอากรรมนั้นมาบริหาร มาจัดการ จัดระเบียบ จัดระบบให้เข้ากับ นี่มึงอกุศล นี่มึงกุศล แล้วกูจะเลือกทำอะไร ก็ต้องถามว่า กูฉลาด หรือกูโง่

ถ้ากูโง่ ก็จะไปทำกรรมอกุศล

ถ้ากูฉลาด กูก็จะไปทำกรรมกุศล

นี่คือ กระบวนการบริหารการจัดการ

ถ้ารู้จักบริหารจัดการกรรมอย่างดียิ่ง คือคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ แม้ไม่บรรลุธรรมก็ไม่ตกนรก แม้ยังไม่ตายก็ไม่เผชิญต่อความทุกข์เดือดร้อน

ทุกข์ มีทุกข์ประจำ - ทุกข์จร - ทุกข์อาจิณ ทุกข์จรไม่เกิด

 

ทุกข์ประจำ แน่นอนว่าร่างกายจะต้องทุพพลภาพ เปลี่ยนแปลง มันปวด เมื่อย เจ็บ เป็นธรรมชาติ กรรมอะไรก็หยุดมันไม่ได้ เพราะการได้มาซึ่งอัตภาพร่างกายนี้ก็เป็นชนกกรรมอย่างหนึ่ง

ที่นั่งๆ กันอยู่นี่ผลแห่งชนกกรรมอย่างหนึ่ง

อุปัตถัมภกกรรม ทุกวัน นู่นก็เข้ามา นี่ก็เข้ามา เข้ามาแบบไม่เลือกสรร นั่นแหละ อุปถัมภ์ให้ร่างกายเราเป็นแบบนี้ หงิกๆ งอๆ เบี้ยวๆ บูดๆ โง่ๆ ซื่อบื้อ หรือ ฉลาด รุ่งเรือง เจริญ ก็อยู่ที่สิ่งที่อุปถัมภ์เรา

แล้วยิ่งไปเร่งเร้า อุปปีฬกกรรมให้แสดงผลเร็วขึ้น คือ การเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ หรือไม่ก็ค่อยๆ เป็นไปทีละน้อยๆ เราไม่รู้ตัว

แล้วอุปฆาตกรรมก็มาตัดรอนให้เราเสื่อมลงอย่างชนิดหัวทิ่มหัวตำ หรือตายคาที่ หรือตัดรอนให้เรารุ่งเรืองเจริญ

แบบชนิดที่อยู่ดีๆ ก็ถูกหวยโดยไม่ต้องซื้อหวย ก็จัดเป็นอุปฆาตกรรมเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่า ชนกกรรม อุปัตถัมภกกรรม อุปปีฬกกรรมเราทำมาอย่างไร และขึ้นอยู่กับกระบวนการกรรม ๑๒

แม้ที่สุด อาจิณณกรรม กรรมที่ทำอยู่ทุกวัน มันย้อนไปเป็นวงกลม

กระบวนการกรรม ๑๒ เป็นวัฏจักร ไม่ใช่เส้นตรง เป็นวงกลม งูกินหาง

พวกมึงกินกันมากี่รอบแล้วก็ไม่รู้ กินจนน่ากลัว ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗-๘-๙-๑๐-๑๑-๑๒...๑-๒-๓.. วนกันอยู่อย่างนี้

 

รหัสนัยแห่งกรรม ๑๒ ถ้าศึกษาให้ดี จะทำให้วงกลมนี้ดัดเป็น "เส้นตรง" ได้ ด้วยอาศัยสติ ปัญญา และความไม่มัวเมาประมาท ทำได้มั้ย แต่หากปล่อยชีวิตให้มันเป็นไปตามยถากรรม ตามความเชื่อเรื่องกรรมของลัทธินอกพุทธศาสนา มันจะเหมือนกับมนุษย์หรือสัตว์ที่ตกลงน้ำแล้วไม่ขวนขวายแหวกว่ายเข้าฝั่ง รอให้น้ำพัดพาเข้าฝั่งเอง สุดท้ายก็หมดแรงจมน้ำตายในที่สุด

 

หลวงปู่ขยายความ :

ปัจจุบันนี้ พวกมึง มนุษย์ยุคปัจจุบันเป็นแบบนี้ เชื่อกรรมแบบลัทธินอกศาสนาพุทธ

รู้มั้ย รู้ เข้าใจมั้ย เข้าใจ ขวนขวายมั้ย ลงไปในน้ำก็ปล่อยให้ไหลไปเรื่อย

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ธรรมของพระองค์เป็นเครื่องทวนกระแส แต่เราก็ไม่เข้าใจคำว่า "ทวนกระแส" คือ อะไร คือ ต้องขวนขวาย แล้วพระองค์ทรงสอนต่อว่า วิริเยน ทุกขมัจเจติ บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ก็ไม่ใส่ใจอีก

ทุกข์ เกิดจากอะไร เกิดจากกรรม ๑๒ เราก็ไม่ใส่ใจอีก ไม่คิดจะบริหารจัดการ ไม่คิดจะพัฒนา แก้ไข ฝืน ปล่อยไปให้มันพาเราหมุนวนอยู่อย่างนี้ ๑๒ รอบ ๒๔ รอบ อะไรก็ไม่รู้ บางทีเป็นร้อย ๆ รอบ พัน ๆ รอบแล้ว เราปล่อยชีวิตเราไปเป็นแบบนี้

 

ไม่ต้องอะไรเยอะลูก แค่เข้าใจ กรรม ๑๒ อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน แล้วเราจัดวางกรรมทั้ง ๑๒ อย่างเป็นผู้รู้ ผู้เข้าใจ ผู้ขวนขวาย พัฒนาแล้ว เราก็พ้นแล้วซึ่งนรกภูมิ ทุคติภพไม่มากล้ำกรายเราแล้ว แม้นชาตินี้และชาติต่อ ๆ ไป

นี่คือ รางวัลของผู้บริหารจัดการกรรม ๑๒

ถามว่า ชีวิตเราในปัจจุบัน เป็นผู้เชื่อลัทธิพุทธศาสนา หรือว่านอกลัทธิพุทธศาสนาในเรื่องกรรม

บอกตรง ๆว่า คนปัจจุบันนี้ แม้แต่นักบวชก็เชื่อกรรมนอกลัทธิพุทธศาสนา ไม่อย่างนั้นจะเกิด ๒ พส.เหรอ ใช่มั้ย แล้วยังมีอีกเยอะแยะที่ยังห่มเหลืองอยู่ เพราะไม่ได้เชื่อกรรมแบบชนิดที่เข้าใจกรรม จะเลือกทำแต่เฉพาะกุศลกรรม และละเว้นไม่กระทำต่ออกุศลกรรม

เพราะตราบใดที่เว้นอกุศลกรรมไม่ได้ เราคือ เชื่อกรรมตามลัทธินอกศาสนาพุทธ

ย้ำว่า เมื่อใดที่เรายังหยุดยั้งกรรมในฝ่ายอกุศลกรรมไม่ได้ เราคือบุคคลที่เชื่อกรรมตามคำสอนลัทธินอกศาสนาพุทธ ไม่ขวนขวาย ไม่พัฒนา ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม เหมือนคนตกน้ำ ไม่ขวนขวายที่จะว่ายทวนกระแสหาฝั่งเข้า

ทุกวันนี้ เราไม่ต่างอะไรกับมนุษย์และสัตว์ที่อยู่ในทะเลแห่งทุกข์ เราก็ไปของมันเรื่อย กูมองพวกมึงแล้วกูอนาถ

หลวงปู่ไม่ได้สูงส่ง แต่เราเป็นคนที่รู้จักเข้าใจ พอรู้จัก เข้าใจ เลยรู้สึกสงสาร เห็นว่านี่ควรจะต้องเตือนให้รู้ ให้เข้าใจ ให้รู้จัก เตือนให้ขวนขวาย ควรจะแจ้ง แถลง บอก ชี้แจ้ง ควรจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้สัตว์ทั้งหลายได้เข้าใจว่าตัวเองกำลังว่ายอยู่ในวังวนแห่งทะเลในความทุกข์ระทม ในการให้ผลกดดันแห่งกรรมทั้ง ๑๒

ถามว่า ทุกคนเชื่อกรรมตามพระพุทธศาสนามั้ย เชื่อหมด แต่ก็ใช้ชีวิตไปตามยถากรรม

จึงสรุปได้ว่า เป็นผู้เชื่อกรรมนอกลัทธิพุทธศาสนา

ฉะนั้นการเชื่อกรรมในทางผิด ๆ มันจะทำให้ผู้เชื่อกลายเป็นคนไร้สาระ ไร้ประโยชน์ ไร้เหตุ ไร้ผล เป็นโมฆบุรุษ โมฆสตรีหาประโยชน์มิได้

วิสัชนาเรื่องกรรมก็ขอจบลงไว้แต่เพียงเท่านี้ เพราะหากจะอธิบายขยายความ เรื่องกรรมให้กระจ่างกว่านี้ ก็ต้องลงลึกไปถึง

ทุกเรื่องที่คิดเป็นกรรม

ทุกคำที่พูดเป็นกรรม

ทุกสิ่งที่ทำก็เป็นกรรมทั้งนั้น

 

หลวงปู่ขยายความ :

เข้าใจความหมายของคำว่า

 

o ทุกเรื่องที่คิด เป็นกรรมมั้ย เป็นอะไร เป็นมโนกรรม

o ทุกคำที่พูด เป็นกรรมมั้ย เป็นวจีกรรม

o ทุกสิ่งที่ทำ เป็นกายกรรม

หนีไม่พ้น เรื่องที่เราทำ คำที่เราพูด สูตรที่เราคิด ลงไปจัดอยู่ในกรรม ๑๒

ในกรรมทั้ง ๑๒ นี่แหละ จะเข้าล็อกไหนแล้วแต่เราจะพูดเรื่องอะไร คิดเรื่องอะไร ทำเรื่องอะไร ก็จะกระจายไปอยู่ใน ๑๒ ห้อง คลังเก็บกรรม ๑๒ ถึงเวลาก็จะจัดไป ผลงานของกรรมออกมาให้เรารับเอาไป ๆ มึงเอาไปทำ มึงเอาไป ให้ผลไป

คนโง่เขาทำอย่างนี้ เพราะกรรมเหล่านั้นจะส่งผลมา

▫ ถ้าทำกรรมดี ก็ส่งผลมาให้เราเป็นสุขในระดับที่ตื่นเต้น

สดชื่น รื่นเริง

▫ ถ้าทำกรรมชั่ว ก็ส่งผลให้เราเป็นทุกข์

เพราะฉะนั้น ห้องกรรมทั้ง ๑๒ ของแต่ละคน ถ้าจัดเป็นฝ่ายอกุศล วิหารหลังนี้ใส่กรรมทั้ง ๑๒ ยังเล็กไป ใส่ไม่หมด ล้นออกประตู หน้าต่าง แต่ห้องกรรมฝ่ายกุศล ขวดใบนี้ยังไม่เต็ม ยังพร่องอยู่เลย แล้วหลับตาคิดดู เราจะหาความสุขมาจากไหนในเมื่อกรรมดีมีแค่นี้ กรรมชั่วทั้งห้อง

จะเอาความสุขมาจากไหน จะวิงวอนเทพเจ้าองค์ใดให้บันดาล

ต้นทุนมึงมาแค่นี้ เห็นมั้ย เพราะโทษแห่งความไม่รู้ ไม่เข้าใจ โง่ มัวเมา ประมาท แล้วไม่ขวนขวาย ไม่เข้าใจวิถีแห่งกรรม

กูน่ะ อยากกลับไปอยู่บ้านกูจริง ๆ บ้านกูที่มีแต่แสงสว่างเรืองรอง มองใครก็มีใบหน้าสดใส มีกุศลกรรมอำไพ มีจิตใจโปร่ง เบา ใส สบาย ลงมาอยู่บ้านหลังนี้แล้ว โอ๊ย ทึบ มืดตึ๊บ มองที่ไหนก็มึนตึ๊บ ไม่เห็นแสง อับเฉา ตายๆ ตาย

ขึ้นอยู่ที่ว่าจะเลือกคิด พูด ทำ กรรมดี หรือกรรมเลว หรือเฉย ๆ

จบแล้วนะจ๊ะ

 

พุทธะอิสระ

 

**********

 

หลวงปู่ขยายความ :

เราพูดแต่เรื่องกุศลกรรม กับอกุศลกรรม มาปิดท้ายตรงคำว่า เฉย ๆ

 

ข้อนี้น่าจะวิสัชนาให้แจ่มชัด

กรรม"เฉยๆ" มี ๒ อย่าง

▫ เฉยๆ เพราะสันหลังยาว

▫ เฉย เพราะรู้ชัดตามความเป็นจริง แล้วไม่สร้างเวรกรรมต่อ ไม่สืบต่อกรรมนั้นๆ และไม่ทำกรรมนั้นๆ จึงเรียกว่า เฉยๆ

กรรมชนิดนี้ เรียกว่า อัพยากตกรรม คือ กรรมที่วางเฉยด้วยสาเหตุแห่งการรู้ชัดตามความเป็นจริง

แต่ถ้า เฉยเพราะสันหลังยาว ไม่ขวนขวาย โง่เขลา รู้ไม่เท่าทัน ถ้าเฉยแบบนี้เป็นคุณหรือเป็นโทษ (เป็นโทษ)

เฉย เพราะสันหลังยาว แบบรู้ไม่เท่าทัน โง่เขลา มีมากกว่าเฉยเพราะรู้เท่าทันตามความเป็นจริงมั้ย มากกว่า

ฉะนั้น ในกรรมทั้ง ๓ บริบท คือ กุศล อกุศล และเฉย ๆ ถ้าสามารถ เฉย เพราะรู้ชัดตามความเป็นจริงได้ เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราจับวงล้อแห่งกรรมมายืดออก และเป็นเส้นตรง เราก็ไปอยู่ปลายข้างใดข้างหนึ่ง

ถ้าใช้สติ ปัญญา และไม่มัวเมาประมาท ก็เฉยแบบชนิดรู้ชัดตามความเป็นจริง ก็จะยืดวงล้อกลมๆ แห่งกรรม ๑๒ ออกไปสองฝั่ง แล้วเราไปอยู่ปลายข้างใดข้างหนึ่ง

แต่กว่าจะมา "รู้" ชัดตามความเป็นจริงในกรรมทั้ง ๑๒ ต้องประกอบด้วย สติ ปัญญา และไม่มัวเมาประมาท จึงจะถึงคำว่า เฉย ๆ

จบ สุดท้าย วิสัชนาในกรรม ๑๒ พอหอมปากหอมคอ พอเป็นสังเขป ไม่ได้ลงลึกไปถึง กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม

โดยเฉพาะ มโนกรรม ชั่วขณะจิตหนึ่งก็เป็นกรรมแล้ว

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ถ้าไม่อยากทำกรรม "รักษาจิต" ไม่อยากให้จิตเป็นมโนกรรมก็ "รักษาจิต" "รักษาจิต" ไม่เป็นกุศลกรรม ไม่เป็นอกุศลกรรม แต่เป็นกระบวนการทำงานของสติ ปัญญา สมาธิ ยังไม่ได้ลงมือทำกรรม

เป็นกระบวนการบริหารจัดการของคำว่า คุณธรรมแห่งสติ ปัญญา สมาธิ และคุณธรรมแห่งความไม่มัวเมาประมาท กำลังบริหารจัดการจิตไม่ให้ไปฝืนกระทำกรรมในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

 

(กราบ)

 

----------

 

ช่วงปฏิบัติธรรม – วิธีพ้นจากกรรม ๑๒

ลุกขึ้นยืน

ยืน แล้วเข้าเป้าเลย ไม่ต้องฟุตเวิร์คเยอะแยะ ไหว้คงไหว้ครูอะไร.. ไม่ต้อง

ส่ง "ความรู้สึก"เข้าไปในกาย

เข้าไปใน "กาย"และเข้าไปใน "จิต"เลย..รวดเร็ว

รักษาจิตไม่ให้กระเพื่อมตาม ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัส อารมณ์ที่ปรากฏกับจิต ไม่กระเพื่อมตาม..จิตตั้งมั่น

ประคับประคองจิตไม่ให้กระเพื่อม เท่านี้ ไม่ได้มีอะไรเยอะ

เท่านี้ เราก็พ้นจากการครอบงำแห่งกรรม ๑๒ แล้ว

จิต ถ้าไม่กระเพื่อม สงบ นิ่ง เกิด "ลหุตา" คือ ความเบาสบาย

กรรมใดๆ ก็เข้าใกล้ไม่ได้

กรรม ๑๒ ก็ไม่ปรากฏ คือ ให้ผลไม่ได้ พูดง่ายๆ

ขยายความไม่กระเพื่อม ความนิ่ง เบา สบาย ให้กว้างออกไปๆจนกลายเป็น "นครแห่งกาย นครจิต" ครอบคลุมไปทุกอณู.. ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.. วาง ว่าง ดับ เย็น จะเกิดความเย็นกาย เย็นใจ.. สบายกาย สบายใจ.. เบากาย เบาใจ.. สมองเบา กายเบา ใจเบา แล้วกรรม ๑๒ จะให้ผลตรงไหน

......

ผู้ที่รักษาจิตได้ลำดับต้น จะเบาหน้าอก เราจะรู้สึกว่างๆ โล่งๆ ในทรวงอก ในสมอง ในกาย

 

คนที่ไม่คุ้นเคย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

ง่ายๆ

v อย่าส่งความรู้สึกออกนอกกาย

v อย่าส่งจิตออกนอกกาย

v ให้รู้อยู่ภายในกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

ทำแค่นั้นแหละ เรียกว่า เป็นการระวังรักษาจิต ระวังรักษากาย ไม่นำพาเอากายกับจิตไปทำกรรมในฝ่ายอกุศล

......

การระวังรักษาจิต ไม่ต้องการกรรม เราต้องการทิ้งกรรม หนีจากอำนาจแห่งกรรมทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม

......

ทีนี้ กลับมาอยู่กับลมหายใจ

หายใจเข้าอยู่ หรือหายใจออกอยู่

หายใจเข้า ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข

หายใจออก ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์

......

ยกมือไหว้พระกรรมฐาน.. นั่งลงลูก(กราบ)

 

แหล่งข้อมูล

หลวงปู่พุทธะอิสระ.  (๒๕๖๖).  กรรม ๑๒ ใน ปราณโอสถ: กายรวมใจ รักษาใจไม่ให้กระเพื่อม,

(น.๙๕– ๑๒๗). นครปฐม: มูลนิธิธรรมอิสระ.

เสียงแสดงธรรมเรื่องกรรม๑๒ และปฏิบัติธรรม : หลวงปู่​พุทธะอิสระ เมื่อวันอาทิตย์​ที่​ ๖ มีนาคม ๒๕๖๕

ช่วงบ่าย ณ วัดอ้อน้อย(ธรรมอิสระ) อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม, สืบค้น มีนาคม ๒๕๖๗ จาก https://www.facebook.com/watch/live/?ref=watch_permalink&v=651076802808405

Qr Code

161 | 18 กรกฎาคม 2024, 15:42
บทความอื่นๆ