บทที่ ๒๔ บุญกิริยาวัตถุ
ปราณโอสถ กายรวมใจ กรรมฐานในวิถีมรรคาปฏิปทา
ชื่อเรื่อง บุญกิริยาวัตถุ
แสดงธรรม ๒๔ กันยายน ๒๕๖๖
สาระสังเขป
อธิบายความหมายของบุญกิริยาวัตถุและอานิสงส์ของการมีบุญกิริยาวัตถุ การผูกจิตไว้กับอาจิณณกรรมฝ่ายกุศล เช่นการภาวนา ความงดงามที่เราทำทั้งกาย วาจา ใจนี้ มันก็ส่งผลเป็นต้นทุนบุญกุศลหนุนนำเรา เรียกว่าเป็นอุปถัมภกกรรม เป็นชนกกรรม กรรมตกแต่งให้เกิด อุปถัมภกกรรม คือกรรมเลี้ยงดู อุปปีฬกรรม กรรมส่งเสริมสนับสนุน ทั้งหมดล้วนแล้วมาจาก อาจิณณกรรมที่เรากระทำอยู่ทุกวัน ทำกิจกรรมการงานใดๆ ก็จะลุล่วงสำเร็จง่าย อย่าประมาท ศึกษาเรียนรู้ทั้งรอบตัว นอกตัว และในตัว เรียนรู้ศึกษาธรรมะมันก็ต้องรู้ได้รอบๆ ตัว รู้ทั้งภายในและภายนอก ว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไรอย่างชนิดที่ไม่ใช่เอาตัวรอด แต่ทุกคนต้องรอดกับเรา
เนื้อหา
ความงดงามในกิจกรรมทั้งหลายที่พวกเราทั้งหลายได้พยายามสั่งสมอบรมให้กับตัวเอง อย่าคิดว่ามันทำเล่นสนุกๆนะ มันเป็นสิ่งที่สร้างริ้วรอยสะสม บุญกิริยาวัตถุ
บุญ อันประกอบไปด้วยกิริยาและวัตถุ
บุญเป็นผล ผลที่เกิดจากกิริยาและวัตถุ
กิริยา ก็คือพฤติกรรมของกายของวาจาของใจ และวัตถุอันเป็นเครื่องประกอบ และทำให้เกิดบุญ
ผู้ที่มีบุญกิริยาวัตถุเป็นต้นทุนหนุนนำ ทำกิจกรรมการงานใดๆ ก็จะลุล่วงสำเร็จง่าย ไม่อึดอัดขัดเคือง ไม่ฝืดเคือง และมีชีวิตอยู่ได้อย่างผ่อนคลายโปร่งเบาสบายแม้นปัจจุบันชาติ มันไม่ได้ให้ผลแค่นี้ ในอนาคตชาติ ชาติต่อไป ๆ บุญกิริยาวัตถุก็จะหนุนนำ
ความงดงามที่เราทำทั้งกาย วาจา ใจนี้ มันก็ส่งผลเป็นต้นทุนบุญกุศลหนุนนำเรา เรียกว่าเป็นอุปถัมภกกรรม เป็นชนกกรรม กรรมตกแต่งให้เกิด อุปถัมภกกกรรม คือกรรมเลี้ยงดู กรรมส่งเสริมสนับสนุน ทั้งหมดล้วนแล้วมาจาก อาจิณณกรรมที่เรากระทำอยู่ทุกวันทุกวัน
เราจะมี “ชนกกรรม” กรรมแต่งให้เกิด “อุปถัมภกกรรม” กรรมเลี้ยงดู “อุปปีฬกรรม” กรรมเบียดเบียน ได้ก็ต่อเมื่อ เราต้องทำให้ได้ทุกวัน เรียกว่าทำเป็นอาจิณ
เรียกว่า อาจิณณกรรม ทำทุกวัน ทุกเวลา
อะไรที่เป็นคุณงามความดี ทำทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจ ทำบ่อยๆ ทำเรื่อยๆ ทำอยู่ต่อเนื่องเป็นอาจิณเรียกว่า “อาจิณณกรรม” คราวนี้ อุปฆาตกกรรมที่จะมาตัดรอน หรือว่ากรรมที่มาบีบคั้นซึ่งเราอาจจะเผลอทำเอาไว้โดยไม่รู้ตัวในปัจจุบันชาติหรือในอดีตชาติ เราก็ไม่รู้ ย้อนหลังไม่ได้ ไม่มีสติปัญญามากพอ
แต่เราก็ใช้อำนาจแห่งอาจิณณกรรมสั่งสมอบรมต้นทุนบุญกุศลในบุญกิริยาวัตถุ ทั้งกิริยา ทั้งวัตถุ อันประกอบจนเป็นผลบุญอันยิ่งใหญ่ สั่งสมไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ จนกลายเป็นชนกกรรม เป็นอุปถัมภกกรรม กรรมสนับสนุนส่งเสริม อุปปีฬกรรม
ทั้งชนกกรรม - กรรมแต่งให้เกิด ทั้งอุปถัมภกกรรม - กรรมเลี้ยงดู
ทั้งอุปปีฬกรรม - กรรมสนับสนุน ล้วนแล้วแต่เกิดมาจาก อาจิณณกรรมในอดีตทั้งนั้น
ที่เราได้เป็นมนุษย์อยู่ทุกวันนี้ เพราะอาจิณณกรรมในอดีต เป็นมนุษย์ถามว่าลำบากขนาดไหน ลำบากไหม ก็ต้องกลับไปถามพ่อแม่เรากว่าจะโตมาถึงทุกวันนี้ได้ กว่าจะอยู่มาได้ถึงวันนี้ หลายคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็จะรู้ว่ามันลำบากขนาดไหน ฉะนั้น กระบวนการรำลึกถึงคุณความดีของบิดามารดาเกิด ผู้มีอุปการะคุณ ผู้ที่อุปถัมภ์บำรุงเลี้ยงดูสนับสนุนเรา เป็นผู้มีคุณของเรา แสดงความกตัญญูรู้คุณกตเวทิตาตอบแทนคุณอยู่เรื่อยๆ เนืองๆ อย่างนี้เป็นอาจิณณกรรมในส่วนที่สั่งสมอบรมทำให้เกิดอุปถัมภกกรรมกรรม คือกรรมเลี้ยงดู อุปปีฬกรรม - กรรมสนับสนุน มันก็จะช่วยผลักดันอุปฆาตกกรรมที่มันหนักๆ กรรมใดๆ ที่เราทำไว้ในอดีต ไม่รู้ตัวเผลอพลั้งทำโดยไม่ตั้งใจ กรรมเสียหายเลวร้ายเหล่านั้นมันก็จะให้ผลน้อยลงเบาบางลง แม้ว่าจะตัดไม่ได้ขายไม่ขาดก็ตามที แต่สุดท้ายมันก็เบาบางลง เพราะอำนาจแห่งอาจิณณกรรมสั่งสมไว้จนกลายเป็นชนกกรรม - กรรมแต่งให้เกิด อุปถัมภกกรรมรรม - กรรมเลี้ยงดู อุปปีฬกรรม - กรรมสนับสนุน ในวิถีแห่งต้นทุนบุญกุศล เรียกว่าประกอบไปด้วยบุญกิริยาวัตถุอันสมบูรณ์อย่างนี้ ทำมันให้ได้ทุกวัน ทำให้ต่อเนื่อง ทำมันทุกอิริยาบถ อย่าทำเฉพาะบางวันบางโอกาส บางทีที่มาวัด
เรื่องง่ายๆ ไม่ต้องไปทำอะไรเยอะแยะมากมาย เช้าสวดมนต์ กลางวันสวดมนต์ เย็นสวดมนต์ เช้าสวดมนต์ กลางวันภาวนา เย็นสวดมนต์ แค่นี้ก็ได้แล้ว ดีกว่าปล่อยให้ชีวิตจิตวิญญาณไปหลงระเริงอยู่กับอารมณ์แห่งความรัก โลภ โกรธ หลง ความเมามันสนุกสนานครื้นเครง รื่นเริงเฮฮา บันเทิง
ก็ผูกจิตเอาไว้กับองค์ภาวนา ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข ขอสัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์ อะไรก็ได้ ทำทุกวันๆ แล้วสังเกตดูว่าเราจะนอนหลับได้ง่ายขึ้น นอนหลับง่ายนี้ กูรู้ว่ามึงทำทุกวัน ยืนหลับนั่งหลับนอนหลับอะไรอย่างนี้ แล้วก็ไม่คิดเยอะ ไม่คิดมาก ใจสงบนิ่งไม่ฟุ้งซ่าน ไม่มีอารมณ์อกุศลใด ๆ มามีอำนาจครอบงำจิตนี้ ทำให้จิตนี้ตั้งมั่นได้ง่าย ความว้าวุ่นร้อนรุ่มกระวนกระวาย จิตใจเราสับสน กลิ้งกลอกทั้งหลาย มันก็จะบรรเทาเบาบางลงด้วยผลแห่งกรรมที่เราทำอาจิณณกรรมในฝ่ายกุศลอยู่เนือง ๆ
อารมณ์เป็นอาหารของจิต
จิตนี้มันปฏิเสธอารมณ์ไม่ได้ลูก เพราะอารมณ์มันเป็นอาหารของจิต เราปฏิเสธไม่ได้ แต่เราเลือกได้ เลือกที่จะให้อารมณ์ใดให้จิตนี้มันกัดกิน หรือเสพติดอารมณ์ที่เป็นฝ่ายกุศลได้ ใหม่ๆ เราอาจจะอึดอัดขัดเคือง ยุ่งยาก อึดอัดเป็นภาระที่ต้องมานั่งภาวนาสวดมนต์ อยู่ดีๆ ก็ต้องมาบังคับกฎเกณฑ์ บังคับบัญชาให้จิตนี้มันคอยภาวนาอยู่เนืองๆ ดูมันไม่มีอิสระไม่มีเสรีภาพ มันเป็นภาระอันหนัก ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปอยู่ที่เดิม มันมีอิสระในการคิดการอ่าน การใคร่ครวญคำนวณพินิจพิจารณา มีโลภ มีรัก มีโกรธ มีหลง รู้สึกเหมือนเป็นอิสระ รู้สึกมันรื่นเริงบันเทิง รู้สึกมันผ่อนคลาย
ในมุมกลับกันถ้าดึงมันมาอยู่กับบทสวดมนต์ บทภาวนาให้มันมาอยู่กับ กายรวมใจ
ใจรวมกาย รู้สึกมันอึดอัด มันต้องผูก มันต้องมัด ต้องคอยฉุดรั้ง ไม่มีโอกาสที่จะไปเสพอารมณ์อื่นๆ ได้ อยู่แต่อารมณ์เดียวอยู่เป็นอาจิณ มันทำให้รู้สึกเหมือนถูกกักขัง ใหม่ๆ มันจะเป็นอาการอย่างนี้ แล้วมันก็เป็นอย่างนี้กันทุกคน ไม่ยอมที่จะอดทนอดกลั้น ไม่ยอมที่จะต่อสู้ฝ่าฟัน ไม่ยอมที่จะเชื่อในบุญกุศล ไม่เชื่อในบุญกิริยาวัตถุ ไม่เชื่อในคำภาวนา ไม่เชื่อในผลอานิสงส์ของคุณงามความดี แล้วก็ไม่เชื่อในคุณลักษณะของมนุษย์ที่สามารถสั่งสมอบรมและเจริญขึ้นมาให้ได้ เรียกว่าไม่มีศรัทธาในตัวเอง
พูดง่ายๆ ไม่มีศรัทธาในความเป็นมนุษย์ ไม่มีศรัทธาในพุทธานุภาพ ไม่มีศรัทธาใน
ธรรมมานุภาพ ไม่มีศรัทธาใน โพธิยานุภาพ ไม่มีศรัทธาในสังฆานุภาพ ไม่มีศรัทธาในศีลในทานในธรรม ไม่มีศรัทธาในคุณงามความดี และไม่มีศรัทธาความเชื่อมั่นในตัวเอง เราก็จะหันไปศรัทธาต่อ รัก ต่อโลภ ต่อโกรธ ต่อหลง ต่อราคะ ต่อโทสะ ต่อโมหะ ต่ออวิชาตัณหาอุปาทาน ซึ่งเราเคยศรัทธามันตลอด เราเคยตกอยู่ในอำนาจการครอบงำของมันตลอด จนกระทั่งกลายเป็นความคุ้นเคย ทั้งที่มันเป็นคนแปลกหน้าแต่เรากลับคุ้นเคยกับมัน เรากลับมองสิ่งที่ควรจะคุ้นเคยและเป็นมิตรที่ดีที่สุด เป็นเพื่อนแสนใกล้ชิด ที่พึ่งพาอาศัยได้ทั้งชาตินี้ชาติหน้า ภพใดก็สามารถพึ่งได้และเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ เรากลับมองเป็นแขกแปลกหน้า ไปมองเป็นเรื่องภาระ เป็นเรื่องน่ารังเกียจ เป็นเรื่องกักขัง เป็นเรื่องอึดอัด เป็นเรื่องที่เราอดทน เป็นเรื่องที่เราต้องไม่ไหว เบื่อเหนื่อย ยุ่งยากซับซ้อน ทำไมเราต้องมาผูกใจไว้กับอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งมันไม่มีอิสระในการแสดงออก ไม่มีอิสระในการแสดงอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ทำไมเราจะต้องมาทำให้ตัวเองไม่มีอิสระ
นี่คือธรรมชาติของพวกที่มี อาจิณณกรรม ในฝ่ายอกุศลอยู่ต่อเนื่อง แล้วมันก็จะย้อนกลับมาอีกว่า แสดงว่าในอดีตชาติเราคุ้นเคยกับการส้องเสพอกุศล เรามีสันดานอกุศลเป็นต้นทุน เรามีสันดาน ใช้คำว่าไฝ่ต่ำก็ได้เป็นต้นทุน พอถึงคราวที่จะใฝ่สูงบ้าง รู้สึกเหนื่อย โอ้ย.. ต้องตะกายต้องแบกต้องหาม ต้องเป็นภาระ รู้สึกอึดอัด ฝืดเคือง ตอนนี้เราอาจจะยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อถึงคราวที่มัจจุราชเข้ามาใกล้แล้ว เราจะรู้สึกได้ทันทีว่า โอ้.. ช่างน่าหวาดกลัวที่ตกอยู่ในอำนาจของอาจิณณกรรมในฝ่ายอกุศลนี้ ช่างน่ากลัว มันน่าสะดุ้งผวาน่าวิตกกังวล มันจะทำให้เราอยู่ลำบาก นอนลำบาก ไม่มีโอกาสจะได้นอนด้วยซ้ำ ยืนลำบากนั่งลำบาก ทุกอย่างทุกข์ยากลำบากไปหมด
แล้วเป็นความยากลำบากที่ใครก็ช่วยไม่ได้ ถึงจะไปร้องเรียกแสวงหาความช่วยเหลือเท่าไหร่ หลวงปู่เจอเยอะแยะคนลำบาก สัตว์ลำบาก มนุษย์ลำบาก ที่ตายตกไปแล้วไม่สามารถจะเรียกร้องให้ใครมาช่วยได้ แม้นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผ่านมาก็ช่วยไม่ได้
ถามว่าเพราะอะไร นั่นกำลังเสพกรรม อย่าว่าแต่คน สามัญธรรมดา พระอริยเจ้าก็ช่วยไม่ได้ พระพุทธเจ้าเองก็ทรงช่วยไม่ได้ ถ้าพระพุทธเจ้าช่วยได้หมดก็คงจะต้องปลดสัตว์นรกให้พ้นจากนรกได้หมด สัตว์นรกก็คงไม่ต้องตกนรก ในยุคที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุอยู่ ใช่หรือไม่
เพราะอะไร เพราะว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ทำกรรมอย่างอย่างไรก็ต้องรับกรรมอย่างนั้น ถ้าไปยุ่งกับเรื่องของเขามากไป เดี๋ยวเราก็ต้องกลายเป็นผู้ใช้หนี้แทนเขา ต้องรับภาระแทนเขา และกูก็เห็นแบบนี้ประจำ บางทีก็สงสาร บางทีก็สมเพช ก็ภาวนากรวดน้ำแผ่เมตตา วันข้างหน้าถ้ามันมีสติปัญญามันระลึกได้ มันเหมือนกับยา ยาที่วางข้างหน้ากับน้ำตาลที่วางข้างหน้า ถ้ามึงจะหยิบมึงหยิบอะไร หยิบน้ำตาล ทั้งที่น้ำตาลมันกินแล้วเป็นโรค แต่ยากินแล้วหายโรค แต่มึงก็เลือกที่จะหยิบน้ำตาล มนุษย์ สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสูรกายที่มันตาย ตายแล้วก็มีสภาพแบบนั้น
มึงแผ่เมตตาให้ตาย ต่อให้มันไม่ถึงคราวที่จะรับเมตตาของเรา มันก็เห็นเมตตาเรากลายเป็นยาขมไป เพราะว่ามันยังไม่ถึงคราวที่จะได้ไง มันกำลังเสวยทุคติอยู่
ให้มึงเอายาวิเศษไปวางข้างหน้า เป็นอมฤตสุข เป็นยาพิสดารที่แก้สารพัดโรคได้ มันก็มองไม่เห็น มองไม่เห็นประโยชน์ แต่กลับหันไปเห็นสิ่งที่เป็นโทษว่าเป็นประโยชน์เสียเอง
วิ่งเข้าไปหา เขาจึงบอกว่าเหมือนดั่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ เห็นแสงไฟเป็นความงดงามแล้วบินเข้าไปหา นึกว่านั่นคือความสุขสมบูรณ์ พอเข้าไปแล้ว อ้าว.. เผาลนตนเองตาย นี่แหละคือลักษณะของผู้เสพทุคติภพ เสพทุคติภูมิ เพราะเหตุโทษฐานมาจากการเสพติดอาจิณณกรรมในฝ่ายอกุศลอยู่ต่อเนื่อง ไม่รู้จักสลัดหลุดตัวเองให้พ้นจากอาจิณณกรรมในฝ่ายอกุศล วันๆ เอาแต่นั่ง นินทากาเลชาวบ้าน ตำหนิติด่า คืออารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง มีตัณหา อุปาทาน ภพชาติเยอะแยะมากมาย ปรุงแต่งไปเรื่อยๆ
๐ ผูกจิตไว้กับกระบวนการภาวนา
การที่เราผูกจิตเอาไว้กับกระบวนการภาวนา แม้มันจะหนักหนาสาหัส แม้มันจะขม แต่มันรักษาโรคหาย มันรักษาโรคหาย
ในมุมกลับกันเรามีเสรีภาพไม่ต้องมาผูกใจ เฮ้ย หกโมงแล้วสวดมนต์ เที่ยงแล้วต้องภาวนา เย็นแล้วต้องกราบพระก่อน เฮ้อ.. ไม่เอาเหนื่อย ทำใจให้มันอิสระ วันนี้ขอมีอิสระสักวัน หนึ่ง ยังไม่พอขอพรุ่งนี้อีกวัน ต่อไปเรื่อยๆ
แรกๆ ก็สวดอิติปิโส พาหุง นะโมพุทธายะ แผ่เมตตาอะไรก็แล้วแต่หลายบท พอวันต่อๆ ไป โห.. เมื่อวานสวดเยอะ วันนี้หลวงพ่อ..เหมือนเดิมแล้วกัน เอานะโมตัสสะ 3 จบพอ มันช่วยกันได้มั้ยวันแรกกับวันนี้
วันไหนมึงทำวันนั้นมึงได้วันไหนมึงไม่ทำ วันนั้นมึงไม่ได้ เวลาไหนมึงทำ เวลานั้นมึงได้ เวลาไหนมึงไม่ทำ เวลานั้นมึงไม่ได้ มึงจะมาอ้างว่าเหมือนเดิม แล้วหลวงพ่อจำไม่ได้อ่ะ จำไม่ได้ว่าเหมือนเดิมของมึงคืออะไร เอาเป็นว่ามึงขี้เกียจก็แล้วกัน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราเสพเป็นอาจิณณกรรม คือความขี้เกียจ ความสันหลังยาว ความไม่ศรัทธาในบุญกุศล คุณงามความดี ในศีล ในธรรม ในทาน เราก็เลยปล่อยให้จิตนี้โดนอกุศลครอบงำทั้งวัน..รักมา โลภมา หลงมา โกรธมา ไม่ระมัดระวัง ปล่อยให้จิตนี้สร้างอยู่แต่เรื่องอกุศลอันเป็นอาจิณ เมื่อมีอกุศลอันเป็นอาจิณ อย่าไปถามหาชนกกรรม - กรรมแต่งให้เกิดให้งดงาม มันแต่งให้เกิดอยู่ในอเวจี อยู่ในสัตว์เดรัจฉาน อยู่ในเปรต อยู่ในอสูรกาย แม้เกิดเป็นคนก็พิกลพิการ ง่อยเปลี้ยเสียขา แม้ไม่ง่อยเปลี้ยไม่เสียขาก็สมองมึนทึบ โง่เขลาเบาปัญญา อับเฉาในวาสนา เพราะไม่ได้สั่งสมต้นทุนบุญกุศลเป็นอาจิณมา มีญาติก็จ้องทำร้าย มีพ่อแม่ก็จ้องฆ่า เหมือนอย่างมีข่าวพ่อแม่แท้ ๆ ยังฆ่าเลย เพราะอะไร เพราะว่ามันไม่ได้ทำต้นทุนบุญกุศลมา มันทำอกุศลมาเป็นอาจิณ ออกมาหน่อยก็โดนฆ่าทิ้งซะงั้น เพราะฉะนั้น เหตุผลก็เพราะ เราจมปลักอยู่ในฝ่ายออาจิณณกรรมกุศล จนกลายเป็นตัวเรา แม้ไม่มีสิทธิ์ที่จะเจริญเติบโต หรือว่าหายใจในร่างของมนุษย์ต่อไป ต้องตายเสียตั้งแต่เด็ก จะน่าสงสารหรือน่าสมเพชก็แล้วแต่ แต่มันเป็นกรรมของสัตว์ มันเป็นกรรมของเด็ก์ แล้วมันก็เป็นกรรมของคนทำด้วยเป็นกรรมของพ่อแม่
มันเป็นสิ่งที่เราต้องมานั่งคิดกันแล้วว่า คนเหล่านี้ทำกรรมอะไรมาหนักหนาขนาดนี้ แต่เราไม่ชอบถามไง เราชอบมองผลสุดท้ายว่ามึงชั่ว มึงไม่ดี มึงเลว แต่ไม่ถามเหตุุ เราดูแต่ผลว่าเออ ทำไมพ่อคนนี้มันโหดอย่างนี้ ทำไมมันฆ่าลูกได้ทุกคนทุกคน มันฆ่าได้ยังไงก็ด่ามัน แต่ไม่ถามหาเหตุว่า ทำไมมันถึงฆ่า เด็กคนนั้นทำไมต้องมาถูกฆ่า หลายคนทำไมต้องมาถูกพ่อแม่ฆ่า ฉะนั้นต้องสาวไปหาเหตุ แล้วจะได้รู้ได้เห็นว่า โอ นี่มันเป็นอาจิณณกรรมของมัน อาจิณณกรรมที่สั่งสมอบรมมาจนทำให้ตนเองไม่มีโอกาสเจริญเติบโต ต้องตายเสียตั้งแต่ยังเล็กๆ เพราะพ่อแม่เป็นผู้ฆ่าเองไม่ต้องให้ผู้อื่นฆ่า คนอื่นฆ่าวาสนาก็ยังดีกว่านะ แต่ให้พ่อแม่ตัวเองฆ่าเนี่ยมันไม่มีวาสนาอะไรเหลือเลยนะ มันถือว่าเป็นผู้ไร้วาสนาจริงๆ นี่แหละเขาเรียกว่าผู้ไร้วาสนาจริงๆ
ที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ไปทับถมเด็กที่โดนฆ่า แต่พูดให้เห็นว่า โทษฐานจากการสั่งสม
อาจิณณกรรมในฝ่ายอกุศล จนกระทั่งทำให้ตนเองไม่มีวาสนา ไร้วาสนา
อายุขัยของสัตว์ เป็นผู้กำหนดวาสนา
อยู่มาจนอายุถึง ๕๐ ปี ๖๐ ปี เขาถือว่าเป็นผู้มีวาสนานะ อยู่มาจนถึงอายุ ๙๐ ปี ๑๐๐ ปี ยิ่งมีวาสนาใหญ่นะ เพราะฉะนั้นพวกมึง นี่ก็ถือว่าเป็นผู้มีวาสนานะ (สาธุ) เขาถือว่าผู้มีอายุยืนเนี่ยเป็นพวกมีวาสนา โดยหลักแล้วเขาถือกันอย่างนั้น ผู้มีวาสนาไม่ได้หมายถึงผู้มีศักดิ์ศรี
มียศถาบันดาศักดิ์ ์มีชื่อเสียงเกียรติยศไม่ใช่ อายุขัยเรานี่แหละ เป็นตัวกำหนดวาสนา อายุขัยของสัตว์เป็นผู้กำหนดวาสนา เป็นตัวกำหนดวาสนาว่าคนนี้มีวาสนาดีอายุยืน อย่างนี้เป็นต้น สัตว์ตนนี้เป็นผู้มีวาสนาดี ดีอย่างไร เป็นสัตว์ที่มีอายุยืนกว่าสัตว์ทั้งปวงอย่างนี้ อายุยืนกว่า ก็เท่ากับว่าเรียนรู้ศึกษาได้มากกว่า สุขทุกข์มันก็ได้มากกว่า รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด เลือกทำสิ่งดีสิ่งชั่วสิ่งถูกสิ่งผิด มันเลือกได้มากกว่า อายุมากกว่าอายุยืนกว่า นั่นแหละเขาถึงเรียกว่ามีวาสนา ไม่ใช่มีวาสนาหมายถึงเกิดในตระกูลสูงส่ง ยศถาบรรดาศักดิ์ดีเกิดเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินไม่ใช่ ถ้าอายุสั้นแล้วมันจะมีวาสนาตรงไหน เพราะฉะนั้น อายุยืนจึงถือว่าเป็นผู้มีวาสนา
วาสนามีเยอะแล้วเนี่ย เยอะนะ คนที่ไม่มีวาสนาก็นอนกันในโลงไปหมดแล้ว เหลือแต่คนที่มีวาสนา ก็ขอให้วาสนาจงรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ โชติช่วงชัชวาล อยู่นานๆ อย่าตายบ่อย (สาธุ)
อย่าประมาท
ก็เตือนให้รู้ว่าอย่าประมาทลูก พระพุทธเจ้าทรงสอนเรา สอนก่อนปรินิพพาน ทรงเตือนครั้งสุดท้ายด้วยความห่วงใย มีไมตรีจิตอย่างสูงต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายว่า
“ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท”
ศึกษาเรียนรู้ทั้งรอบตัว นอกตัว และในตัว
การศึกษาเรียนรู้สิ่งละอันพันละน้อยรอบตัว ทั้งรอบตัว และในตัว มันจำเป็น
มีคนชอบถามว่า ท่านเดี๋ยวก็แสดงธรรม เดี๋ยวก็วิจารณ์การเมือง เดี๋ยวก็ทำกับข้าว พูดวิจารณ์นี่โน่นนั่น
ธรรมะจากเก็บมะกอก
พูดถึงทำกับข้าวเมื่อวานโทรด่า..... โทรด่าเรื่องอะไร ช่วงเข้าพรรษามาอยู่หน้าศาลาทุกวันทุกวันพอเวลาจะเข้าห้องน้ำเดินไปข้างหลัง มึงเดินไปข้างหลังห้องน้ำ เห็นต้นอะไรไหม มีต้นอะไรบ้าง มะกอก เราก็ชะเง้อมองมันทุกวันว่า เออนี่มันเริ่มออกดอก นี้มันออกลูกแล้ว นี่มันจะแก่แล้ว พอมันแก่ก็บอกเณร มีเณรเล็กๆ สององค์ บอกว่าเณรอยู่ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไร ลองไปปีนต้นมะกอกดีกว่า เก็บมะกอก ไม่เคยเห็นเขาเก็บ มึงเคยได้กินมะกอกไหม มีแต่อีสายทำไง พออีสายตายก็ไม่มีใครทำ ต้นมะกอกก็ออกลูกทุกปี ออกทุกปีแต่ไม่มีใครเก็บ อุตส่าห์ปลูกไว้อยู่หลังศาลาไม่มีใครเก็บ อย่าว่าแต่มะกอกเลยต้นมะพร้าว ต้องบอกว่าเณร โทรไปหาสมภารซิ เรานั่งอยู่ เดี๋ยวก็ตูม นั่งอยู่เดี๋ยวก็ตูม ซ้ายบ้างขวาบ้าง มะพร้าวมันแก่มันร่วงไง บอกสมภารให้เก็บมะพร้าวไปส่งโรงครัว ปลูกเอาไว้ไม่มีใครเก็บ ปล่อยให้มันเน่าหรือว่าให้กระรอกเจาะ
ต้นมะพร้าวรอบๆ นี่ มะพร้าวน้ำหอมนะ กระรอกชอบกินนะ ไม่เคยได้ฉันลูกกับเค้าสักที เพราะว่ากระรอกมันกินหมด พระไม่ได้ฉัน แล้วก็ไม่มีใครเก็บมะพร้าวแก่ เราก็ต้องบอก มะพร้าว บอกไปแล้ว พอมามะกอกไม่มีใครบอก ก็เลยให้เณรมาเก็บมะกอก เสร็จแล้วทำไง ส่งไปให้อีพรมันดองแล้วก็แช่อิ่ม เค้าก็ไปจัดการดองเก็บได้ตั้งเข่งใหญ่เลยนะ เขาดองเสร็จ ก็ให้เอาไปแช่อิ่มแล้วเอามาให้กูลองชิมสิ พอเช้าเค้าก็เอามาให้ชิม นี่มันดองยังไม่ถึง ดองแค่คืนเดียวไม่พอ มันต้องอย่างน้อย ๓ คืน แล้วก็เค็มปี๋เลย
เราก็เลยบอกว่าต้มก่อนนะ เอามาต้มเพื่อล้างเกลือออก อย่าให้มะกอกมันเค็ม เพราะเค็มมันจะเป็นโทษต่อคนกิน มันจะเป็นโรคไต ของหมักดองเนี่ยเกลือมันเค็ม คนกินน่ะอร่อย แต่สุดท้ายมันจะตาย อีพรเค้าแก้ความเค็มยังไงรู้ไหม ใส่น้ำตาลลงไป เราอุตส่าห์บอกนะ ว่าให้เอาไปต้มนะให้หมดเค็ม เสร็จเรียบร้อยแล้วมันก็เอาไปแช่น้ำตาล พอเช้าขึ้นมาก็เอามาถวาย ฉันไปลูกนึงก็โทรไปด่าเลยว่า
อีพร..ทำไมมะกอกมึงยังแข็ง แล้วก็ฝาดและเค็มอยู่ละ
ก็ต้มแล้วค่ะ
ต้มแล้วทำไงต่อ ก็เอาน้ำเดือดใส่แล้วก็คนๆ แล้วก็เอาขึ้น
แล้วยังไง ก็เอาไปแช่น้ำตาล
แล้วตอนที่มึงแช่มึงชิมไหม เค็ม ไหมเค็มค่ะ
แล้วทำไง ก็คิดว่าน้ำตาลมันจะทำไห้หายเค็มค่ะ..
ก็เลยต้องบรรยายว่า เอามะกอกไปต้มน้ำเปล่า ๆ จนกระทั่งมันเดือด เดือดแล้วก็คนปล่อยไว้สัก ๕ นาทีแล้วก็ตักขึ้นให้มันเย็น เย็นจนแห้งแล้วจึงจะเอาไปแช่น้ำตาลน้ำเชื่อม อย่างนี้มันจะหายเค็ม แล้วคนกินก็จะได้ผล ได้ประโยชน์เพราะมะกอกมันมีวิตามินซีสูงมาก
มึงกินหรือยัง เปรี้ยวไหม
เมื่อเช้านี้เขาเอามาให้ฉัน ฉันไปลูกหนึ่ง อืม นี่มันเปรี้ยวแต่เค็มไม่มี แต่ไม่แข็ง ครั้งแรกที่เขาทำแข็ง บอกว่าเที่ยวนี้ถ้ามึงไม่ทำนะ กูจะหักค่าน้ำตาลหักเงินค่าน้ำตาลมึง
เพราะคนอยู่ห้องยาเนี่ย ลิ้นมันต้องไวต่อความรู้สึก มันต้องรับรู้ว่ารสชนิดไหนมันเป็นโทษต่อไตและตับต่อร่างกาย ไม่ใช่อยู่ห้องยาแล้วเค็มใส่น้ำตาล จืดใส่เกลือ อย่างนั้นมันไม่ใช่
มันต้องแก้ให้ถูกเหตุ เค็มก็ต้องล้าง ต้มเอาน้ำเกลือออกให้หมด แล้วต้มมะกอกจะไม่ให้ฝาด เพราะถ้ากินมะกอกผลดิบเนี่ยมันเป็นยานะ มะกอกผลดิบเป็นยาถ้ามันไม่มีฝาด ถ้ามันมีรสฝาดมันจะทำให้ท้องผูก มีวิตามินซีแต่ทำให้ท้องผูก เพราะฉะนั้น เราจะต้องลดการท้องผูกลง โดยการเอาไปต้มเอาน้ำฝาดออก ถ้ากินสดๆ มันจะทั้งฝาดขมขื่นและก็เปรี้ยว
ฉะนั้นต้องไปต้มเอาน้ำฝาดออก แล้วเวลาต้มก็ต้องทุบ ให้น้ำมันเข้าไปซึมอยู่ข้างใน ใส่เกลือน้อยๆ ที่จริงเขาไม่ต้องเอาไปดองหรอกถ้าทำจริงๆ นะ เขาจะเติมเกลือลงไปในน้ำที่ต้ม ไม่ต้องมาก แล้วจึงเอาไปต้มกับน้ำเกลือจนสุก ชิมดูก่อนว่าเค็มพอดีมั้ยในน้ำเกลือนั้น น้ำที่ต้มเค็มพอดีไหม ถ้าเค็มพอดี ไม่เค็มมาก ถ้าเอามะกอกใส่ไปแล้ว มันจะพอดีกัน
ต้มจนกระทั่งมะกอก สุกนิ่ม แล้วก็ตักขึ้นแล้วปล่อยให้เย็นแห้ง การปล่อยให้มะกอกเย็นและแห้ง เวลาเอามาใส่น้ำเชื่อมมันจะดูดน้ำเชื่อมเข้าไปเยอะๆ แต่ถ้าตักมาแล้วมะกอกเปียก มันไม่ดูดน้ำตาล มันก็จะเคลือบอยู่เฉพาะผิว พอกินเข้าไปมันก็จะยังเปรี้ยวยังขื่นอยู่ ฉะนั้นต้องปล่อยให้มะกอกมันแห้ง ทิ้งไว้อย่างน้อยเป็นชั่วโมง แห้งแล้วเราจึงใส่ไปในน้ำเชื่อม
น้ำเชื่อมถามว่าต้องเย็นหรือร้อน ร้อนน่ะดี ใส่ลงไปในน้ำเชื่อมร้อน แช่ทิ้งไว้คืนนึง แล้วก็เอาขึ้นใช้ได้แล้ว
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับธรรมะ มึงว่ามันเกี่ยวอะไร นี่แหละคือธรรมะ นี่แหละคือกระบวนการบริหารการจัดการ ไปรู้เรื่องการเมือง รู้เรื่องสังคม รู้เรื่องบ้านเมือง รู้เรื่องสังคม รู้เรื่องสิ่งแวดล้อม รู้เรื่องครัว รู้เรื่องยา รู้เรื่องชีวิตสัตว์ รู้เรื่องธรรมชาติ เมื่อเช้านี้สั่งมูลนิธิ ให้ใครไปขายเครดิตคาร์บอนให้กูทีวะ มีคนถามอะไรคะ เครดิตคาร์บอน นี่มันคนโลกไหน ในไม่ทันสมัยเสียเลย มึงรู้ไหมเครดิตคาร์บอนคืออะไร อากาศไง วัดนี้อากาศสดชื่นไหม ต้นไม้มันเยอะไง เดี๋ยวนี้ บริษัทต่างชาติ ถ้าบริษัทไหนมีเครดิตคาร์บอนเป็นตัวชูโรงส่งสินค้าไปขายที่ยุโรปได้นะ ในหลายประเทศเดี๋ยวนี้ถ้าสินค้าตัวไหนไม่มีเครดิตคาร์บอนการันตี เค้าไม่ซื้อนะ เพราะว่าเขาต้องการลดปัญหาโลกร้อน แล้วบริษัทที่ผลิตสินค้าอยู่ในประเทศไทยมีสักกี่บริษัทที่ปลูกต้นไม้ พอไม่มีพื้นที่จะปลูกต้นไม้ก็ต้องมาหาซื้อ ซื้อตรงไหน ไม่ได้ซื้อต้นไม้ ซื้ออากาศ ซื้อพื้นที่บริเวณที่มีต้นไม้เพื่อเอาไปเคลมว่าสินค้าของเขามีเครดิตคาร์บอน เขาสนับสนุนให้เกิด
การปลูกต้นไม้เพื่อลดสภาวะโลกร้อน มันก็ทำให้สินค้าเขาเป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ
เพราะฉะนั้นต้นไม้ทุกต้นมีมูลค่าในตัวมัน ก็คือมันมีการผลิตอากาศที่ช่วยทำให้มลพิษในอากาศหมดไป และทำให้โลกเย็นขึ้น ถ้าทุกคนช่วยกันปลูกก็ช่วยทำให้เป็นประเทศที่มีเครดิตคาร์บอนขายไปทั่วโลกได้ เพราะมีบางประเทศที่เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ เขาก็จะมารับซื้อ
วัดกูนี่ปลูกต้นไม้มากมายมหาศาล ทั้งที่นี้ ทั้งที่เมืองกาญจน์ ขายได้ เอาไปเสนอขายบริษัทใหญ่ๆ เขารับซื้อ จ่ายเงินเป็นปี ทำได้..อะไรนี่พวกมึงไม่รู้เลยเหรอ โบราณไม่ทันสมัย มันต้องรอบรู้ต้องเข้าใจ
ธรรมะมันไม่ได้ทำให้เราโง่
เรียนรู้ศึกษาธรรมะมันก็ต้องรู้ได้รอบๆ ตัว รู้ทั้งภายในและภายนอก ว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไรอย่างชนิดที่ไม่ใช่เอาตัวรอด แต่ทุกคนต้องรอดกับเรา การเรียนธรรมะมันต้องมีหลักคิดอย่างนี้ ไม่ใช่เรียนธรรมะแล้วกูเอาตัวรอดอย่างเดียวแล้ว กูไม่สนใจใคร ใครจะเป็นจะตายช่างมัน ให้กูรอดอยู่พอแล้ว เรียนธรรมะประเภทนี้เขาเรียกว่าคนเห็นแก่ตัว
เพราะฉะนั้นคนเรียนศึกษาธรรมะ หรือวิปัสสนา หรือปัญญา
ต้องรู้ทุกเรื่อง หยิบแล้ววาง
รู้ทุกเรื่อง คือหยิบเข้ามา แล้วรู้จักวางให้เป็น วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น
ไม่ใช่อยู่ดี ๆ แล้วก็เอาล่ะ กูจะนั่งสมาธิ กูจะทำกรรมฐาน กูจะไม่สนใจโลก ใครจะเป็นอะไรช่างมึง ให้กูรอดก่อน เรียนธรรมะอย่างนี้ โลกเข้าไม่คบมึงหรอก อย่าว่าแต่โลกเลยคนในบ้านเขาก็ไม่คบ เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ มันเห็นแก่ตัวนี่ มันควรจะเลิกสอนกันได้แล้ว วิธีเรียนธรรมะแบบนี้ โลกยุคปัจจุบันมันต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ใช่อยู่เพียงลำพังลำแข้งตัวเองคนเดียว อยู่รอดที่ไหน มันอยู่ไม่รอดหรอก ไม่งั้นพระพุทธเจ้าจะสอนหรือว่า ประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม เพราะฉะนั้นมันควรจะต้องถ้อยทีถ้อยอาศัย เห็นอกเห็นใจ เอื้ออาทร เกื้อกูลต่อกันและกัน เลิกความคิดที่ว่าเรียนธรรมะเพื่อเอาตัวรอดเถอะ
เรียนธรรมะ เพื่อทำให้โลกรอด สังคมรอด เพื่อให้สิ่งแวดล้อมรอด
และเพื่อให้ตัวเรารอดมันขั้นตอนสุดท้าย
แล้วเรียนแบบนี้มันจำเป็นต้องรู้อะไรบ้าง ก็รู้ทุกเรื่องที่มนุษย์ควรรู้ไง อย่างกูนี่รู้ทุกเรื่องมั้ย ไม่..กูมีหลายเรื่องที่กูไม่รู้ กูยังมีอีกหลายเรื่องที่กูไม่รู้
ฉะนั้นต้องทำความเข้าใจ จะได้วางตัวถูกในสถานการณ์สิ่งแวดล้อมแบบนี้ เราจะได้ไม่เป็นคนที่ใช้คำว่าเห็นแก่ตัวเกินไป เอาเปรียบเอาตัวรอด ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขอให้กูรอดก็พอแล้วอย่างนี้ไม่ได้ถ้าเป็นอย่างนี้พระพุทธเจ้าคงไม่สอนพระภิกษุรุ่นแรกๆ ว่า
ภิกษุทั้งหลาย เธอจงไปสู่คามนิคมชนบท เธอจงไปแสดงธรรมอันบริสุทธิ์บริบูรณ์ไพเราะในเบื้องต้นท่ามกลาง และที่สุด และมีประโยชน์
เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนารุ่งเรืองเจริญ มาถึง ๒,๐๐๐ กว่าปีนี้ ก็เพราะว่าพระสงฆ์ในแต่ละยุคที่ผ่านมา เขาไม่เห็นแก่ตัว เขาไม่เอาตัวรอดเหมือนยุคปัจจุบัน เขาเที่ยวไปเผยแพร่ไปชี้แจง เขาเที่ยวได้ไป แสดงธรรมในบริษัท ไปประกาศสัจธรรมประกาศพรหมจรรย์จนคนศรัทธาเลื่อมใส แต่สมัยนี้ไปมั้ยล่ะ วัดใครวัดมัน วัดกูมึงอย่ามายุ่งก็มี บางวัดสมภารเจ้าอาวาสเป็นพระใต้ พระอีสานมาอยู่ไม่ได้นะ นี่เรื่องจริงเลย มันควรจะเลิกได้แล้ว พระพวกเดียวกัน พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน มันจะคับแคบตระหนี่ อย่างนี้ไม่สมควรเลย แล้วก็มีเยอะ
เกลื่อนกล่นไปหมด วัดบางวัดก็รุ่งเรืองร่ำรวย จากการสวดมนต์ฉันเพลสวดผี พอมีพระต่างถิ่นมาขออยู่อาศัย ไม่รับ บอกกุฏิเต็ม กลัวว่าจะมาแย่งลาภสักการะที่ตัวเองมี ไม่เชื่อลองไปเอาพระบ้านนอกมาสักองค์แล้วไปถามหาวัดอยู่ตามกรุงเทพดูสิ จะได้อยู่ไหม ไม่หรอก เพราะว่าเห็นแก่พวก เห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ไม่ได้มองถึงประโยชน์ส่วนรวม ไม่ได้มองถึงการสงเคราะห์อนุเคราะห์กัน มันไม่ได้มีมาในยุคสมัยนี้นะ ในอดีตก็มีคนที่ห่วงลาภ แล้วห้ามภิกษุไปอยู่อาศัย มีประวัติอยู่ในพระชาดกจนเป็นที่น่ารังเกียจต่อคณะสงฆ์ จน กระทั่งเข้าหูพระศาสดาจึงทรงให้ลงพรหมทัณฑ์ประกาศขับออกจากอาวาสเสียก็มี เพราะว่าเป็นบุคคลที่เรียกว่าเห็นแก่ลาภเป็นใหญ่ ไม่เห็นแก่พระศาสนา ไม่เห็นแก่สมณสารูป ไม่คิดว่ายุคปัจจุบันนี้มันจะมีพระแบบนี้เกลื่อนกลนเยอะแยะติดเชื้อมาจากไหนก็ไม่รู้เห็นแก่ตัวเอาเปรียบ ไม่ต้องมองอะไรมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องธรรมยุตมหานิกายข้ามถิ่นกันไม่ได้ อย่าว่าแต่อยู่วัดเลยแค่บิณฑบาตข้ามถิ่นก็ยังตบด้วยบิณฑบาตฝ่าบาทหัวทิ่มเลยก็มี กูก็เจอกับตัวเองพระวัดคลองเตยไปบิณฑบาต ตบกันกลางตลาดเสียงดังเพ่งหัวทิ่ม หวั่นวัดคลองเตย กับวัด สะพานข้ามถิ่นกัน ตก ทำไงไม่รู้เลยโดนตบซะด้วยฝ่าบาท อ่าวอันนี้ภาคพระนะ คือรู้ให้มันทุกเรื่องเพื่อประโยชน์อะไร
ไม่ใช่เปล่าประโยชน์ มันทำให้จิตใจเราซัดส่ายแต่เพื่อทดสอบจิตใจ การที่เราปิดหูปิดตาเป็นพระภควัมปติไม่ยอมดูอะไร ฟังอะไรรู้อะไรเห็นอะไร คนพวกนี้น่ากลัว แล้วก็อันตรายกับจิตวิญญาณของตัวเองถามว่าเพราะอะไรเพราะเราไม่ให้โอกาสในการเปิดประตูธรรมชาติ เปิดประตูวิญญาณแห่งธรรมชาติในการเรียนรู้ เรามีหน้าที่ให้มองหูมีหน้าที่ให้ฟังจมูกมีหน้าที่ให้
ดม ลิ้นมีหน้าที่ให้รับรส กายมีหน้าที่ให้สัมผัสใจมีหน้าที่ให้รู้อารมณ์ ครับเราไปหัก ห้าม ปิดกั้นกระบวนการรับรู้สัมผัสสุดท้ายการเรียนรู้มันจะเกิดขึ้นอย่างไร มันรู้จักการรู้มันรู้จักกันฟังพระพุทธเจ้าในการสอนยังมีคำสอนที่ว่า วิถีทางแห่งปัญญาคือ ๑. สุตมยปัญญาฟัง ๒. จินตามยปัญญาคิด ๓. ภาวนามยปัญญากระทำเสียที แล้วถ้าเราจะปิดตาปิดหูปิดจมูกปิด การรับรู้หมด แล้วมันจะเอาปัญญามาจากไหน ก็ปัญญาอ่อนไปสิ ฉะนั้นการเรียนรู้พระธรรม ในวิถีแห่งวิปัสสนานั้นต้องรู้ทุกเรื่อง เข้าใจรู้และทำความเข้าใจแล้วก็วาง ว่าง ดับ เย็น ไม่ใช่ไม่รู้ทุกเรื่องแล้วก็บอกว่ากูวาง ว่าง จะเอาอะไรมาวางตัวมึงยังวางไม่ได้เลย ตัวมึงยังไม่รู้เลยมึงรู้แต่ตัวมึงเองแล้วสุดท้ายตัวมึงใหญ่ที่สุดแล้วก็วางตัวเองไม่ได้ในที่สุด ฉะนั้นไปทำความเข้าใจเสียใหม่ไม่ใช่วิถีสมถะวิปัสสนานี้เป็นวิธีปัญญา วิธีปัญญานี้มันต้องฟังรูรับจำคิด ฟังรูรับ ฟังดู ดมสัมผัสรับรส รับมาแล้วก็จำคิดอ่านวิเคราะห์ใคร่ครวญพินิจพิจารณาให้ถ่องแท้ถี่ถ้วน แล้วจะถึงคำว่าอ อนิจจังทุกขังอนัตตามันเป็นเช่นนี้เอง
เหมือนอย่างที่หลวงปู่เขียนเรื่องจตุธาตุวัฏฐาน ๔ นะตอนที่ อ่านกันหรือเปล่า เดี๋ยวนี้ ขี้เกียจอ่านก็อัดเทปให้ฟังนะ ป้อนกันถึงที่ได้ฟังไหม นั่นก็เพราะถูกแบนจะอ่านหนังสือไม่ออก เออ ถ้าพยายามก็พยายามอัดเทปให้ฟังทุกวันทุกวัน เพื่อเข้าใจอะไร เข้าใจบริบทของคำว่าเมื่อไรเราควรจะวาง เมื่อไหร่ที่เราควรจะวาง เมื่อไหร่ที่เราควรจะดับแล้วเย็น เมื่อในเมื่อได้ที่เราจะได้เห็นว่าอนิจจังเป็นอย่างนี้นะ ทุกครั้งเป็นอย่างนี้นะ อนัตตาไม่มีอยู่จริงเป็นอย่างนี้มันต้องผ่านกระบวนการอะไรมาก่อน
เรียนรู้ศึกษา รู้รับจำคิด ให้ชัดเจนก่อนในธาตุดิน ๒๐ กอง ธาตุดินทั้ง๒๐ กองมีอยู่ในร่างกายเรา นี่รู้รับจำคิดให้ชัดเจน มันถึงมาจบสุดท้ายว่า วางธาตุดินได้เพราะเห็นอนิจจังเห็น ทุกขัง เห็นอนัตตา ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วมึงจะเห็นอนิจจังเห็นทุกขังเห็นอนัตตาลอยมาทั้งที่ไม่ได้รู้อะไรเลย แล้วมันจะมาวางอะไร เพราะมันไม่รู้อะไร แล้วมันจะวางอะไรได้ ไอ้การวางอะไรไม่ได้เนี่ยน่ากลัวที่สุด ยังน่ากลัวที่สุดสุดท้ายแม้ตัวมึงเองก็ว่างไม่ได้ เพราะไม่รู้จะวางอะไร น่ากลัวที่สุด รู้แล้ววาง เนี่ยไม่น่ากลัวเลย เพราะรู้แล้วว่ามันมีคุณมีโทษมีสุขมีทุกข์ มีประโยชน์หรือไม่ใช้ประโยชน์ แล้วจึงว่าง เข้าใจมั้ย เข้าใจมั้ย
ตอนนี้ถึงบทสรุปของธาตุดินกับธาตุน้ำวันนี้ไม่ได้เขียนเดี๋ยวพรุ่งนี้ จะเขียนต่อบทสรุปของธาตุลมและธาตุไฟอ่านให้ชัดฟังให้รู้เรื่องวิเคราะห์ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ แล้วเราแล้วเราถึงคราวว่างเราก็จะรู้ว่าวางอะไร วางอย่างไรวางแบบไหน จะได้เห็นอนิจจังเห็นทุกขังเห็นอนัตตาภายในกายนี้อย่างไร
ถ้ามีเวลาก็จะพยายามเขียนให้ครบกรรมฐานทั้ง ๔๐
เพื่อให้ได้เรียนรู้ศึกษาอย่างน้อยมันก็เป็นการสั่งสมประสบการณ์ของสัมมาทิฏฐิ ความเห็นตรงถูกต้องอันชอบธรรม ถามว่าในตำราเขาก็มีนี่ทำไมท่านต้องมานั่งเขียน เพราะในตำราเขาเขียนเพื่อให้มึงอ่าน เขาไม่ได้เขียนให้มึงทำ มึงเข้าใจกูไหม เอ่อ ในตำราเขาเขียนให้มึงอ่านเขาไม่ได้เขียนให้มึงทำ แต่ที่เขียนให้มึงทำเนี่ย แต่ที่เขียนนะ เขียนให้ทำ เขียนเพื่อให้ลูกหลานทำเพื่อให้เข้าใจว่านี่แหละวิธีทำเขาทำกันอย่างนี้น่า ไม่ได้เขียนให้อ่าน แล้วก็เอ่อนี่รู้แล้วอ่านแล้วจบ อ่านผ่านๆมาแล้วจบเหมือนกับพระชาดก พระชาดกแต่ละเรื่องแต่ละเรื่อง ที่ไปลอกตำรามานะเขาให้มึงอ่านแต่เขาไม่ได้ให้มึงเข้าใจก็ต้องมาแปลความให้เข้าใจให้แจ่มชัด แล้วบางอย่าง ก็เอามาทำได้ในชีวิตประจำวัน มันคนละภาษา มันมีภาษาหนังสือกับภาษากายและก็ภาษาใจประกอบเข้าไปในบทความนั้นๆ นะ แต่ในตำรามันมีแค่ภาษาหนังสือ เราก็จะอ่านได้ใจความตามหนังสือที่เขาเขียนมาตามตัวอักษรที่เขียนมา เรียกว่าภาษาอักษรก็ได้ภาษาหนังสือก็ได้
ใครอยากถามอะไร
การเรียนรู้ศึกษา ที่จริงกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองมันเป็นกรรมฐานประจำธาตุ ประจำจริต ประจำชีวิตและประจำโรคประจำคนด้วยนะ ถ้าเรียนรู้ให้ครบเราจะรู้ว่าคนธาตุนี้ควรจะเรียนกรรมฐานอะไร คนจริตอย่างนี้ควรจะเรียนรู้กรรมฐานอะไร คนไว้อย่างนี้ควรจะเรียนรู้กรรมฐานอะไร อายุเยอะๆ ไปไม่ไหวแล้วเนี่ยจะมานั่งทำสมาธิบำเพ็ญกสิณ ทำได้ไหม ได้ไม่มีอะไรทำไม่ได้ทำได้ แต่จะไปรอดไหมจะไปรอดไหมยังมาเล่นฤทธิ์ อีกหรือยาย อย่ายังไม่สิ้นฤทธิ์อีกหรือยาย อย่างนี้เป็นต้น อย่างงั้นเค้าเรียกกรรมฐานประจำ ไม่เคยได้ยินใช่ไหมก็ได้ยินซะ กรรมฐานประจำธาตุก็มีเราเป็นธาตุไฟถ้าไปเล่นกสิณไฟจะไปรอดไหม ก็ไม่รอด ก็โหมไฟให้ลุกกระพือ ร่างกายเราจะทุรนทุรายเพราะฉะนั้นกรรมฐาน ๔๐ เนี่ยพระพุทธเจ้าทำไมจึงให้ถึง ๔๐ เพราะว่าคนแต่ละวัยไม่เหมือนกันถ้าแต่ละธาตุก็ไม่เหมือนกันจริตแต่ละจริตก็ไม่เหมือนกัน ก็เพศแต่ละเพศไม่เหมือนกัน แล้วก็กรรมฐานประจำทุกเพศก็มีนะ เพศหญิงเพศชาย ถามว่ากรรมฐานอะไรประจำเพศ ให้ผู้หญิงไปบำเพ็ญอสุภกรรมฐานเนี่ยมันไปไหม ไม่ไปหรอก ให้ไปเจริญมรณานุสติกรรมฐานในป่าช้า ผู้หญิงไปไหม ไม่ไป แค่จิ้งจกตุ๊กแกก็กลัวขี้ขึ้นสมองแล้ว แล้วก็ไม่มีในประวัติว่า พระอรหันต์อสีติมหาสาวกเป็นผู้หญิงแล้วเจริญ บรรลุธรรมด้วยอสุภสัญญา หรือมรณานุสติกรรมฐาน ไม่มี ฉะนั้น เราท่านทั้งหลายจะเรียนรู้อะไรก็ต้องให้เข้าใจแจ่มแจ้งนั่นแหละสำคัญที่สุด ฉะนั้นเวลาหลวงปู่เขียนหนังสือก็เขียนให้อ่านแล้ว ทำไม่ได้เขียนให้จดจำแล้วเอาไว้มาคุย ให้ทำได้ให้เข้าใจถึงบริบทของหนังสือแต่ละบทแต่ละบทว่ากำลังจะบอกอะไรเรา เข้าใจในบทนั้นๆ ไหมแล้วเรา สามารถทำได้ขนาดไหน นั่นต่างหาก คือเป้าหมายในการเขียนหนังสือ จบ
แหล่งข้อมูล
มูลนิธิธรรมอิสระ. (๒๕๖๗). บุญกิริยาวัตถุ ใน ปราณโอสถ กายรวมใจ
กรรมฐานในวิถีมรรคาปฏิปทา, (น. ๒๒๓ - ๒๔๑). นครปฐม: มูลนิธิ.
หลวงปู่พุทธะอิสระ แสดงธรรม ช่วงบ่าย ๒๔ กันยายน ๒๕๖๖, สืบค้น ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๗ จาก
https://www.youtube.com/watch?app=desktop&v=AQpL-De7Ft8