บทที่ ๑๘ ภาวนาภายนอก ภาวนาภายใน ปัญญาภาวนา
ปราณโอสถ กายรวมใจ รักษาใจไม่ให้กระเพื่อม
ชื่อเรื่อง ภาวนาภายนอก ภาวนาภายใน ปัญญาภาวนา
แสดงธรรมวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๕
สาระสังเขป
กล่าวถึงความหมายของภาวนาภายนอก และภาวนาภายใน ภาวนาภายนอก คือ สมถะภาวนา ภาวนาภายใน คือ วิปัสสนาภาวนา การสร้างองค์ภาวนาให้เกิดขึ้นภายในกาย เป็นภาวนาที่ปลอดจากนิวรณ์ หรือเครื่องร้อยรัดทั้งปวง เครื่องขัดขวางความดีทั้งปวงได้ เข้าถึงความตั้งมั่นยั่งยืน ความบริสุทธิ์ บริบูรณ์ของจิต ของอารมณ์ได้ง่าย อีกทั้งเป็นการหักห้ามไม่ให้เกิดการปรุงแต่งในสังขารขันธ์ทั้งปวง ยังแยกออกไปอีกเป็นส่วนของปัญญาที่เรียกว่า ปัญญาภาวนา คือเห็นสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ผู้หวังความเจริญต้องทำภาวนาให้ปรากฏอย่างถูกวิธี การเจริญอิทธิบาท ๔ ต้องใช้เวลาสั่งสมสี่อสงไขยแสนมหากัป จึงจะยืดอายุขัยของตนออกไปได้ กำหนดที่เกิดที่ตายของตนก็ได้ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสถานที่ที่คนอื่นอยู่ได้ยากก็ได้ ต้องทำให้ได้ทุกเวลา ใช้ศักยภาพของความเป็นมนุษย์ สร้างองค์ภาวนาให้สมบูรณ์ มีหลักคิดที่เป็นสัมมาทิฐิ
เนื้อหา
เมื่อคืนนี้ มีอาคันตุกะมาถามปัญหาว่า
๐ อะไรเรียกว่า ภาวนาภายนอก อะไรเรียกว่า ภาวนาภายใน
ภาวนาภายนอก คือ สมถะภาวนา
ภาวนาภายใน คือ วิปัสสนาภาวนา
พวก สมถะภาวนา ต้องอาศัยนิมิต คือ เครื่องหมาย แม้กระทั่งลมหายใจ ก็เรียกว่า ภาวนาภายนอก เป็นสมถะ
ส่วน ภาวนาภายใน คือ กระบวนการรู้สภาพของจิตที่ปรากฏ จิตรับ จิตจำ จิตรู้ จิตคิด เรียกอีกอย่างว่า จิตตภาวนาก็ได้ เรียกว่า ภาวนาภายใน
ภาวนาภายนอกมีทั้งสมถะ และตัวสมถะยังแบ่งแยกออกเป็นอุปจารภาวนา ขณิกภาวนา ภาวนาที่เรียกว่า พื้นฐานเบื้องต้น ในสมถะภาวนา ยังมีอัปปนาภาวนา นั่นถึงขั้นฌาน ปฐมฌาน ทุติฯ ตติฯ จตุฯ
ส่วนจิตตภาวนา เป็นกระบวนการเฝ้าดูความเป็นไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป การทำงานของจิตที่ปรากฏ อีกทั้งในจิตตภาวนา ยังแยกออกไปอีกเป็นส่วนของปัญญาที่เรียกว่า ปัญญาภาวนา หรือเรียกอีกอย่างว่า วิปัสสนาภาวนา ก็ได้
ผู้ถามคงต้องการจะรู้ให้กระจ่างชัดว่า ในภาวนาทั้ง ๒ ภาวนาภายนอก มีอะไรบ้าง ภาวนาภายใน มีอะไรบ้าง
รวมความแล้ว คือ ภาวนาภายนอก เป็นส่วนของสมถะ
ส่วนภาวนาภายใน เป็นส่วนของ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน
ในตำรายังแบ่งแยกออกเป็น สมถะภาวนา กับวิปัสสนาภาวนา แต่เวลาปฏิบัติจริงๆ แล้ว ยังมีข้อปลีกย่อยรายละเอียดเยอะแยะ
๐ ทีนี้ เราต้องมาเทียบดูว่าเวลานี้เราอยู่ในขั้นตอนของภาวนาชนิดไหน ภาวนาอะไรอยู่
ในที่นี้ ภาวนาภายนอก คือ การส่งจิตออกจากกาย
- นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อย่างนี้ ภาวนาภายนอกหรือ ภายใน (ภายนอก)
- อิติปิโสฯ พาหุงฯ มหากาฯ อย่างนี้ เรียกว่า ภาวนาภายนอก
๐ ทำให้ภาวนาภายนอก เป็นภาวนาภายใน
ทำให้ภาวนาภายนอกเป็นภาวนาภายในได้มั้ย ทำได้ วิธีคือดึงเอาคำภาวนามาอยู่ในกาย เคยสอนพวกมึงแล้ว ตาดูมนต์ ปากท่องมนต์ ใจรู้มนต์ คือ ดึงเอาคำภาวนาภายนอกเข้ามาเป็นภาวนาภายใน
การสร้างองค์ภาวนาให้เกิดขึ้นภายในกาย เป็นภาวนาที่ ปลอดจากนิวรณ์ คือ เครื่องร้อยรัดทั้งปวง เครื่องขัดขวางความดีทั้งปวงได้ เข้าถึงความตั้งมั่นยั่งยืน ความบริสุทธิ์ บริบูรณ์ของจิต ของอารมณ์ได้ง่าย อีกทั้งเป็นการหักห้ามไม่ให้เกิดการปรุงแต่งในสังขารขันธ์ทั้งปวง คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ จะไม่มีกระบวนการปรุงแต่งใดๆ เพราะว่า กระบวนการภาวนาอยู่ภายใน คือ ภายในจิตที่จะเกิดกระบวนการปรุงแต่งเต็มสมบูรณ์แล้ว ไม่มีช่องว่างให้เกิดการปรุงแต่งใดๆ แล้ว
คนถ้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ก็จะทำส่งเดชไป แต่อย่างน้อยเป็นการสั่งสมบารมีธรรมไปเรื่อย ๆ งูๆ ปลาๆ หลับหูหลับตาทำ ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ขอให้ได้ทำ แต่จะได้แต่เปลือก กระพี้ ไม่ได้แก่นของการภาวนา
ถ้าจะเข้าถึงแก่นในการภาวนา ต้องรู้จักที่จะทำให้การภาวนานั้นบริสุทธิ์ บริบูรณ์ ที่ปราศจากการปรุงแต่งในสังขารทั้งปวง คือ ให้จิตนี้ห่างไกลจากการปรุงแต่ง
๐ ปัญญาภาวนา
ทีนี้จะขยับพัฒนาเข้ามาสู่คำว่า ปัญญาภาวนา กว่าจะถึงปัญญาภาวนา มีขั้นมีตอนของมัน
ปัญญาภาวนา คือ อะไร
คือจะมองเห็นโลกตามความเป็นจริงได้อย่างโดยไม่ต้องมาเสียเวลานั่งตรึก นั่งคิด เหมือนกับแสงเอกซเรย์ที่มองผู้หญิง-ผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง-ผู้ชาย เป็นแต่เพียงหนังหุ้มกระดูก มองสัตว์ทั้งหลายเป็นเพียงแค่สภาพธรรมที่ปรากฏ เกิด แก่ เจ็บ ตาย คือไม่ได้ยึดติดในสมมติ ข้ามสมมติเข้าไปสู่โลกแห่งปรมัตถ์ อย่างนี้เขาเรียกว่า ผู้มีปัญญาภาวนา เห็นสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง
ทุกข์ทั้งหลายที่เกิดจากกาย-ใจ จะบรรเทาเบาบาง อันตรธานหายไป อย่างนี้เขาเรียกว่า ผู้เข้าถึงปัญญาภาวนา
จบคำตอบนี้ อาคันตุกะสาธุ ๓ ครั้งแล้วไปไหนก็ไม่รู้ มารบกวนกูกำลังหลับกำลังนอน
๐ วิถีแห่งภาวนา
ไม่จำเป็นต้องมาวัดแล้วได้ภาวนา อยู่ที่ไหนก็ภาวนาได้ บนถนนในรถ เรือ บ้านช่อง อาคาร เรือกสวนไร่นา เดินทางไกล เดินทางใกล้ ทำการงาน ทำให้ตัวเองมีตบะ มีเดช มีศักดาในจิต มีอำนาจ อานุภาพจิต เรียกว่าเป็นจิตตานุภาพ ทีนี้จะง่าย ประสบความสำเร็จในการทำการงาน ทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร จะสำเร็จประโยชน์ รุ่งเรือง เจริญ เพราะ ภาวนาแปลว่า เครื่องประกอบแห่งความเจริญ หรือสิ่งที่ทำให้เราเจริญ
ผู้หวังความเจริญ ไม่ใช่ได้จากการเซ่นสรวง อ้อนวอน ขอพรใดๆ
แต่หมายถึงการลงไม้ลงมือกระทำ ทำภาวนาให้ปรากฏ บังเกิดขึ้นอย่างถูกวิธี อย่างเข้าใจ รู้จัก ชัดเจน ถูกต้อง นั่นแหละเรียกว่า กระบวนการภาวนาให้สำเร็จประโยชน์
๐ การเจริญอิทธิบาท ๔
เหมือนๆ กับที่มีคนชอบถามว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนก่อนจะปรินิพพานว่า ถ้าเจริญอิทธิบาท ๔ จะทำให้อายุขัยยืนยาวได้เป็นกัป
การเจริญอิทธิบาท ๔ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มาเจริญเอาแค่ปัจจุบันชาติ ต้องสั่งสม อบรม บำเพ็ญบารมี พระพุทธเจ้า กว่าพระองค์จะได้เป็นพระพุทธเจ้า มีอายุขัย มีชีวิต เกิดๆ ตายๆ ผ่านพ้นมา สี่อสงไขยกับแสนมหากัป อานิสงส์ของการบำเพ็ญอิทธิบาท ๔ อย่างสมบูรณ์จะเกิดได้ต้องใช้เวลาสั่งสมสี่อสงไขยแสนมหากัป จึงจะยืดอายุขัยของตนออกไปได้ ไม่ใช่บำเพ็ญวันนี้ แล้วพรุ่งนี้มึงจะบอกยืดอายุ..ไม่ใช่ และกระบวนการบำเพ็ญอย่างที่เขียนบรรยาย อธิบายความไว้
๐ อิทธิบาท ๔ ฝ่ายโลกียะ และอิทธิบาท ๔ ฝ่ายโลกุตระ
อิทธิบาท ๔ มีตั้งแต่อิทธิบาท ๔ ฝ่ายโลกียะ และอิทธิบาท ๔ ฝ่ายโลกุตระ
ขยันหา รู้จักรักษา คบคนดี เลี้ยงชีวีพอประมาณ ทั้ง ๔ กระบวนการนี้ต้องประกอบด้วยอิทธิบาท ๔ คือ
- ฉันทะ ความพึงพอใจ
- วิริยะ ความเพียร
- จิตตะ เอาใจจดจ่อ
- วิมังสา ใช้ปัญญาใคร่ครวญ
ทำให้ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา มีอยู่ทุกการงาน ทุกลมหายใจ ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ ถ้าทำอย่างนี้อยู่ต่อเนื่อง เนืองๆ ทำการงาน ปลูกพืชปลูกผัก ล้างถ้วยล้างชาม ปัดกวาดเช็ดถู ทำความสะอาดบ้านเรือน ทำด้วยความพึงพอใจ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกรำคาญ ลำบากลำบน ทุกข์ทนเสียเหลือเกิน อย่างนี้มีฉันทะมั้ย..ไม่มี
ฉะนั้นสร้างกระบวนการอิทธิบาท ๔ ในการงานเบื้องต้นในการดำรงชีวิตเสียให้ได้ก่อน แล้วจึงจะมาพัฒนาไปสู่คำว่า มหาปทานอิทธิบาท ๔ คือ มีชีวิตอยู่ด้วยมีอิทธิบาทเป็นตัวขับเคลื่อน
เรียกว่า ผู้มีมหาปทานอิทธิบาท ๔ มีอิทธิบาท ๔ เป็นประธาน เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนพลังชีวิต เรียกว่า มีชีวิต มีพลัง ใช้อิทธิบาท ๔ เป็นกระบวนการขับเคลื่อนพลังชีวิตให้ไปสู่การงาน และทำสาระด้วยความพึงพอใจ ด้วยความเพียร ด้วยความมุ่งมั่น จดจ่อ จับจ้องและใช้สติปัญญาใคร่ครวญ พินิจพิจารณา
ฝึกไปเรื่อย ๆ พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า ผู้ใดที่ทำอิทธิบาท ๔ ให้ปรากฏ ให้เจริญทั้งในกาย วาจา ใจ จะเป็นผู้สำเร็จประโยชน์ได้ทุกที่ ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ แม้ต้องการในสิ่งที่คนอื่นได้มายาก เราจะได้มาง่าย
๐ เขาจึงเรียกอีกอย่างว่า อิทธิบาท ๔ คือ คุณเครื่องยังให้สำเร็จประโยชน์
- ยืดอายุขัยก็ได้
- กำหนดที่เกิดที่ตายของตนก็ได้
- สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสถานที่ที่คนอื่นอยู่ได้ยากก็ได้
ที่ที่คนอื่นอยู่ลำบาก เรากลับอยู่สบาย อย่างนี้เป็นต้น
๐ ต้องทำให้ได้ทุกเวลา
ฉะนั้น กระบวนการทำอิทธิบาท ๔ ไม่ใช่ต้องรอภาวนา หรือรอใกล้ตาย หรือรอว่าเวลานั้นเวลานี้แล้วมาทำอิทธิบาท ๔ แต่ต้องทำให้ได้ทุกเวลา
มึงเห็นกูทำการงานมั้ย กลางแดดกูก็ทำ กลางฝนกูก็ทำ กูทำด้วยความรู้สึกลำบากลำบนมั้ย (ไม่) บ่น เบื่อเหลือเกิน ทุกข์ทรมาน วุ่นวาย มีมั้ย ก็มีฉันทะไง ความพึงพอใจในการงานที่ตัวเองทำ ฝึกไปเรื่อย ๆ จนเข้ากระดูกดำ เข้าสันดาน เข้าจิตวิญญาณ มีความพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองทำ
งานทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานใหญ่ งานมากงานน้อย งานสูงงานต่ำ ทำความพึงพอใจให้ได้ในทุกเรื่อง เรียกว่า ผู้มีฉันทะ วิริยะ คือ ความเพียรหมั่น ทำให้ลุล่วงสำเร็จ
กูทำงานอยู่กลางแดดกลางฝน ถ้ามองไม่เห็นว่ามืด กูจะไม่เลิก คือ ทำอยู่อย่างนั้นแหละ ในขณะที่ทำ ถามว่า ปวดหลังมั้ย ปวด.. ปวดกระดูกมั้ย ปวด.. ปวดเมื่อยมั้ย ปวด คนทำงานด้วยมีฉันทะ มีความรัก มันทำได้เรื่อย ๆ ทำได้ต่อเนื่อง ทำแบบไม่ต้องกลัวเหนื่อยหรือไม่รู้จักเหนื่อย ทำไปเรื่อย ๆ ทำไปจนจบแล้วเลิก กลับ พระอาทิตย์ตกดินพอดีถึงที่พัก ทำด้วยความรัก
คนเราทำอะไรด้วยความรัก ถ้าไม่ได้ทำ จะรู้สึกขาดอะไร มึงเคยคิดอย่างนั้นมั้ย เหมือนคนติดยาเสพติด เหมือนคนเสพติดในอะไรสักอย่างหนึ่ง เพราะทำด้วยความรัก เหมือนกับถึงเวลาต้องสวดมนต์ ถ้าไม่สวดก็จะขาดอะไรไปสักอย่าง ชีวิตเราจะหายไป กูไม่ว่าจะเหนื่อยมาขนาดไหน ทำการงานอยู่กลางแดดกลางฝน พอเข้าห้องปุ๊บ สรงน้ำ สิ่งหนึ่งที่กูต้องทำก่อนเบื้องต้น คือสวดมนต์ เจริญภาวนา นั่งสมาธิ อะไรไป คือถ้าวันไหนไม่ทำจะอึดอัด จะมีความรู้สึก ชีวิตกูขาดอะไรไป นั่นแหละเรียกว่า ผู้มีฉันทะ และมีวิริยะ ความเพียรต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำไปบ่นไป อึดอัดไป
คนมีฉันทะ ทำอะไรประณีต บรรจง ละเอียดอ่อน สุขุม ไม่สุรุ่ยสุร่าย
ทำทุกอย่างเหมือนกับเพื่อตัวเอง กับตัวเราเอง สมมุติจะหุงข้าว ทำกับข้าว ก็หุงทำเพื่อตัวเองกิน
ทำด้วยความรัก มันละเอียดอ่อน ละเมียดละไม
ฝึกไปเรื่อย ๆ ลูก มนุษย์ ไม่ได้เกิดมาแค่ชาติสองชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่า กัปหนึ่ง นับอย่างไร นับไม่ได้ ภิกษุ ประมาณไม่ได้ ทั้งสัตว์และมนุษย์ไม่ได้เกิดแค่กัปเดียว เกิดมากี่ร้อยกี่พันกัปก็ไม่รู้ แต่ละคนหาที่สุดมิได้
คิดดูแล้วกัน ถ้าเราสามารถสร้างภพชาติที่เต็มเปี่ยมไปด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา ก็เป็นเครื่องคาดหวังได้ว่า การที่จะกำหนดเวลาเกิด เวลาตาย ทำไม่ยาก เพราะเราได้สั่งสม อบรมฉันทะ วิริยะจิตตะ และวิมังสา มาตลอดระยะเวลาเป็นอสงไขย เป็นกัป ไม่ใช่แค่วันเดียว เวลาเดียว ชั่วโมงเดียว นาทีเดียว อย่างนี้เป็นต้น
หลวงปู่จึงเขียนบทโศลก:
ลูกรัก.. มนุษย์ไม่ใช่ได้ดีเพราะมียี่ห้อว่าเป็นมนุษย์ มนุษย์ได้ดีเพราะว่า ฝึกหัด ปฏิบัติ อบรม เรียนรู้ ลงมือกระทำ
ไม่ใช่ได้ดีเพราะมียี่ห้อ แต่ได้ดีเพราะทำดี พูดดี คิดดี ฝึกฝนอบรมดี จึงจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ที่ดี
วันนี้ เราได้คุณลักษณะของความเป็นมนุษย์ แต่ประมาท วางตนอยู่ในความมัวเมาประมาท ปล่อยให้ชีวิตเผลอเลอ หลงผิด ทำผิด พูดผิด คิดผิด เลอะเทอะ เปรอะเปื้อน แชเชือน มั่วไปกับเรื่องกามคุณ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จนชีวิตตัวเองจมปลักอยู่กับความผิดพลาด ไม่ขวนขวาย เรียกว่า ไม่มีความเพียร ไม่มีพัฒนาการ ใช้คำว่า ไม่มีภาวนา คือ ไม่ทำให้ชีวิตเราเจริญ เพราะ ภาวนา แปลว่า เจริญ เลยกลายเป็นลุ่มๆดอนๆ หัวมงกุฎท้ายมังกร ได้บ้างเสียบ้าง
ทีนี้ถ้าอะไรที่อยากได้ก็เผื่อว่า อาจจะ ใช่มั้ง หรือไม่ก็หันไปพึ่งคนนั้นคนนี้ นู่นนี่นั่น บวงสรวง อ้อนวอน ขอพรเทพเจ้า อะไรก็ว่าเรื่อยเปื่อยไปตามเหตุตามปัจจัย แล้วแต่ที่จะขอได้ สรรหามา เพราะอะไร?
เพราะเราอ่อนแอ เราไม่ใช้สมรรถนะของความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์แบบ เราปล่อยให้ความเป็นมนุษย์สูญเสียเปล่า คุณลักษณะของมนุษย์เลยโดนเหยียบย่ำ เหยียดหยาม ดูถูก ทำให้เสียหาย เสียโอกาสในการเกิดเป็นมนุษย์
ใช้ศักยภาพของความเป็นมนุษย์ สร้างองค์ภาวนาให้สมบูรณ์
เพราะฉะนั้น ถ้าเราใช้เวลาในการมีชีวิตอยู่ ฝึกฝน อบรมอะไรสักอย่างในคุณธรรม ๘๔,๐๐๐ อย่าง ให้ได้สักอย่าง เอาเป็นที่พึ่งให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นศีล เป็นธรรม เป็นทาน เป็นภาวนา จะทำให้เรามีที่พึ่ง มีเกราะ มีปราการ มีเครื่องป้องกัน
ไม่ใช่ทำอะไรก็บ่นไป กระฟัดกระเฟียด เอางานมาให้กูอีกละ สร้างปัญหาให้กูอีกละ มีแต่เรื่องเยอะแยะมากมาย
เขามีแต่มีโอกาส เมื่อวานกูไปหาหมอ หมอถาม ท่านทำงานเยอะขนาดนั้น ขึ้นไปปีนต้นไม้ ปีนกะได อยู่กลางแดดกลางฝน แล้วไม่ปวดหลังเหรอ กระดูกสึกขนาดนี้ ดูภาพแล้วน่าจะทรมาน
"หมอ เป็นโอกาสนะ นี่เป็นบุญ"
ถาม เป็นโอกาสอย่างไร
เป็นโอกาสที่ทำให้เรามีสติไง เราแยกกายกับใจออกจากกัน ไม่ทำให้มีอำนาจครอบงำเราได้ เวทนาอยู่แค่กาย แต่ใจเราไม่ต้องไปเอาเวทนามาปรุงแต่ง
ถ้าไม่เจ็บ เราจะมีบาป ถามว่า เพราะอะไร มันประมาท มัวเมา ทำอะไรเลอะเทอะเรื่อย เปรอะเปื้อนไป คนบางคน ปวดนั่นปวดนี่ โวยวาย ทุกข์ทรมาน ไม่ไหวแล้ว กูตายแล้ว ตาย ตาย ตาย นอนไม่หลับ ก็ทำไมนอนไม่หลับเสียที กระส่ายกระสับก็ไม่หลับ ดิ้นจนหนังกลับก็ยังไม่หลับ
สำหรับกู นั่นคือ บุญ คนนอนไม่หลับ เป็นบุญ ถามว่าทำไม?
อย่างน้อยเราจะมีเวลาภาวนาได้เยอะขึ้น คิดเป็นมั้ย ไม่เป็น ทำไมนอนไม่หลับเสียที แทนที่อย่างนั้นสวดมนต์ ภาวนากาย ภาวนาใจ จะเป็นสมถะภาวนา วิปัสสนาภาวนา หรือ จิตตาภาวนา ก็เอาเข้า คือทำให้เจริญ เช้าขึ้นมาก็ไม่ได้เพลีย ไม่ได้เปลี้ย ไม่ได้แย่
กูทำงานแยะๆ อย่างนั้น กูตื่นตี ๓ ทุกวัน แถมยังเขียนบทความทุกวันอีก นั่นเป็นช่องทางให้เรา ใช้ศักยภาพของความเป็นมนุษย์ สร้างองค์ภาวนาให้สมบูรณ์
ไม่ได้ไปโทษ ทำไมกูนอนไม่หลับ ทำไมกูปวด ทำไมกูทรมาน ทำไมกูป่วย อย่างนั้นเรียกว่า มีชีวิตอยู่ให้โลกเหยียบย่ำ เราเป็นผู้เหยียบยืนบนโลก ไม่ใช่แบกโลกไป มีชีวิตเพื่อจะเหยียบยืนบนโลก เพื่อตั้งมั่น ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อจะแบกโลกและให้โลกมาเหยียบย่ำเรา
๐ มีหลักคิดที่เป็นสัมมาทิฐิ
ทำความเข้าใจเสียใหม่ มีหลักคิดที่เป็นสัมมาทิฐิ หลักคิดที่ถูกต้องน่ะลูก เพราะจะทำให้ชีวิตเราพลิกกลับจากสิ่งที่พลาดมาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ผิดกลายเป็นสิ่งที่ดีพร้อม
แต่ถ้ามีชีวิตอยู่แบบล่องลอยตามยถากรรม
- ตาเห็นรูปสวย ชอบ
- หูฟังเสียงเพราะ ชอบ
- จมูกดมกลิ่น ชอบ
- ลิ้นรับรส ติดใจ
- กายสัมผัสนุ่มนวล พึงพอใจ
ว่าไปตามเหตุปัจจัย กิน กาม เกียรติ โกรธ แสวงหาของที่โปรด ตกอยู่ในอำนาจใฝ่ต่ำอยู่เนืองๆ ต่อเนื่อง ตลอดชีวิต อย่างนั้นมีชีวิตอยู่อย่างเศร้าหมอง เขาเรียกว่า ประมาท มีชีวิตอยู่ด้วยความมัวเมา ประมาท
ที่สุดแล้วความตายหนีไม่พ้น ชาติภพก็หนีไม่พ้น สุคติ ทุคติเราก็หนีไม่พ้น แต่ทั้งหมดเราเป็นคนสร้างเอง ไม่มีใครสร้างให้เรา เทวดา พรหม ผู้ยิ่งใหญ่ใน ๓ โลก ทำอะไรให้เราไม่ได้
เราเป็นคนสร้างนรก สร้างสวรรค์ สร้างความสุขความทุกข์ สร้างความเสื่อม สร้างความเจริญให้แก่ตัวเราเอง
๐ จะเสื่อมกาย ใจอย่าให้เสื่อม
ร่างกายมนุษย์ ไม่มีวันหนีพ้นความเสื่อมไปได้ แต่อย่าทำให้ใจเสื่อมตาม
เมื่อใดที่ใจเสื่อมตาม ทีนี้ กายก็เสื่อม ใจก็เสื่อม จิตวิญญาณพลอยเสื่อมไปด้วย สติปัญญาก็เสื่อมไปหมด บางคนเจ็บป่วยนิดหน่อยก็หลงๆ ลืมๆ เลอะๆ เลือนๆ งุ่มๆ ง่ามๆ เสียจริต ทำตนเป็นคนบื้อบ้าใบ้ เลอะเทอะ เปรอะเปื้อนไป
แต่ถ้าเรารู้จักมองให้เป็น เข้าใจให้ถูกต้อง แล้วแยกให้ได้ว่า อะไรคือของจริง อะไรคือของหลอกลวง อะไรคือมายาการ อะไรคือสมมติ และอะไรคือปรมัตถ์
คือ อยู่ในโลกอย่างเป็นผู้รู้จักแยกแยะให้เป็น
ไม่ใช่เหมารวมเป็นจับฉ่ายหม้อเดียวกัน แล้วไปยึดถือ แบกหม้อจับฉ่ายเดินไป
ชีวิตมนุษย์ยุคปัจจุบันเป็นแบบนี้ มนุษย์จับฉ่าย และก็แบกหม้อจับฉ่ายเดินไป มั่วไปหมด หัวมงกุฎท้ายมังกร อะไรไม่รู้ เลอะเทอะ เปรอะ
อยู่ที่วิธีคิดน่ะลูก วิธีคิดว่าเราจะคิดถูก สมกับสถานะยี่ห้อของความเป็นมนุษย์มั้ย ถ้าคิดไม่ถูก แสดงว่าเราได้แต่ยี่ห้อลักษณะมา แต่คุณธรรมของมนุษย์ไม่ได้มา ก็ไม่ทำให้เกิดคุณประโยชน์ ถ้าอย่างนี้เสียชาติเกิด
๐ ภพชาติ ใครก็หนีไม่พ้น
พระพุทธเจ้าทรงยืนยันแล้วว่า มนุษย์และสัตว์เกิด-ตาย นับไม่ใช่อสงไขย ไม่ใช่กัป.. นับไม่ถ้วนหาจุดเริ่มต้นของมนุษย์ ๑ ชีวิตไม่ได้ และหาจุดที่สุดของมนุษย์ก็ไม่ได้ นั่นสำหรับมนุษย์ที่มัวเมา ประมาท
แต่มนุษย์ที่มีสติปัญญาตั้งมั่น หาจุดเริ่มต้นและหาที่สุดของชีวิตได้ แม้บางทีเราไม่อาจจะหาจุดเริ่มต้นได้ แต่หาที่สุดของชีวิตตัวเองได้
เหมือนมีคำกล่าวโบราณว่าไม่รู้ที่มา แต่รู้ว่าจะไปไหน.. มนุษย์รู้ที่มาที่ไปได้นะลูก ถ้าฝึกดีๆ ภาวนาให้ถึงที่สุด แล้วเราจะรู้ว่า เรามาจากไหนแล้วเราจะไปที่ไหน
แต่ที่เราไม่รู้เพราะเราฝึกไม่ดี ภาวนาไม่ถึงที่สุดไง
แหล่งข้อมูล
หลวงปู่พุทธะอิสระ. (๒๕๖๖). ภาวนาภายนอก ภาวนาภายใน ปัญญาภาวนา ใน ปราณโอสถ: กายรวมใจ รักษาใจไม่ให้กระเพื่อม, (น.๒๗๒ - ๒๘๓). นครปฐม: มูลนิธิธรรมอิสระ.
วันอาทิตย์ที่ ๒ ตุลาคม ๒๔๖๕ ช่วงบ่าย ช่วงที่ ๑ หลวงปู่พุทธะอิสระ แสดงธรรม และปฏิบัติธรรม วิชาปราณโอสถเทศกาลถือศีลกินเจเดือนเก้า (เก้าอ้วงฮุกโจ้ว) ณ ศาลา
ปฎิบัติธรรม วัดอ้อน้อย(ธรรมอิสระ) อ.กำแพงแสน จ. นครปฐม, สืบค้น ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๗ จาก
https://www.facebook.com/watch/live/?ref=watch_permalink&v=443734367849703