วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) ต.ห้วยขวาง อ. กำแพงเสน จ.นครปฐม

บทที่ ๑๘ ภาวนาภายนอก ภาวนาภายใน ปัญญาภาวนา

ปราณโอสถ กายรวมใจ รักษาใจไม่ให้กระเพื่อม

ชื่อเรื่อง ภาวนาภายนอก ภาวนาภายใน ปัญญาภาวนา  

แสดงธรรมวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๖๕

สาระสังเขป

         กล่าวถึงความหมายของภาวนาภายนอก และภาวนาภายใน ภาวนาภายนอก คือ สมถะภาวนา  ภาวนาภายใน คือ วิปัสสนาภาวนา การสร้างองค์ภาวนาให้เกิดขึ้นภายในกาย เป็นภาวนาที่ปลอดจากนิวรณ์ หรือเครื่องร้อยรัดทั้งปวง เครื่องขัดขวางความดีทั้งปวงได้ เข้าถึงความตั้งมั่นยั่งยืน ความบริสุทธิ์ บริบูรณ์ของจิต ของอารมณ์ได้ง่าย อีกทั้งเป็นการหักห้ามไม่ให้เกิดการปรุงแต่งในสังขารขันธ์ทั้งปวง ยังแยกออกไปอีกเป็นส่วนของปัญญาที่เรียกว่า ปัญญาภาวนา คือเห็นสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ผู้หวังความเจริญต้องทำภาวนาให้ปรากฏอย่างถูกวิธี การเจริญอิทธิบาท ๔ ต้องใช้เวลาสั่งสมสี่อสงไขยแสนมหากัป  จึงจะยืดอายุขัยของตนออกไปได้ กำหนดที่เกิดที่ตายของตนก็ได้ สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสถานที่ที่คนอื่นอยู่ได้ยากก็ได้ ต้องทำให้ได้ทุกเวลา ใช้ศักยภาพของความเป็นมนุษย์ สร้างองค์ภาวนาให้สมบูรณ์ มีหลักคิดที่เป็นสัมมาทิฐิ

เนื้อหา

เมื่อคืน​นี้​ มีอาคันตุกะ​มาถามปัญหา​ว่า​  
๐ อะไรเรียกว่า ภาวนาภายนอก อะไรเรียกว่า ภาวนาภายใน 

ภาวนา​ภายนอก​ คือ​ สมถะภาวนา​ ​ ​ 

ภาวนาภายใน​ คือ​ วิปัสสนา​ภาวนา 

พวก สมถะภาวนา​ ต้องอาศัยนิมิต​ คือ​ เครื่องหมาย​ แม้กระทั่ง​ลมหายใจ ก็เรียกว่า ภาวนาภายนอก​ เป็นสมถะ 

ส่วน ภาวนาภายใน​ คือ​ กระบวนการ​รู้สภาพของจิตที่ปรากฏ  จิตรับ​ จิตจำ​ จิตรู้​ จิตคิด​ เรียกอีกอย่าง​ว่า​ จิตตภาวนาก็ได้​ เรียกว่า​ ภาวนาภายใน 

ภาวนาภายนอกมีทั้งสมถะ​ และตัวสมถะยังแบ่งแยกอ​อกเป็น​อุปจารภาวนา​ ขณิกภาวนา​ ภาวนาที่เรียกว่า​ พื้นฐาน​เบื้องต้น ในสมถะภาวนา​ ยังมีอัปปนาภาวนา​ นั่นถึงขั้นฌาน ปฐมฌาน​ ทุติฯ​ ตติฯ​ จตุฯ 

ส่วนจิตตภาวนา​ เป็น​กระบวนการ​เฝ้าดู​ความเป็นไป เกิดขึ้น​ ตั้งอยู่​ ดับ​ไป​ การทำงานของจิตที่ปรากฏ อีกทั้งในจิตตภาวนา​ ยังแยกออกไปอีกเป็นส่วนของปัญญา​ที่เรียกว่า​ ปัญญาภาวนา​ หรือเรียกอีกอย่างว่า วิปัสสนาภาวนา ก็ได้ 

ผู้ถามคงต้องการจะรู้ให้กระจ่าง​ชัดว่า​ ในภาวนาทั้ง​ ๒ ภาวนาภายนอก​ มีอะไรบ้าง ภาวนาภายใน​ มีอะไรบ้าง 

รวมความแล้ว คือ ภาวนาภายนอก เป็นส่วนของสมถะ 

ส่วนภาวนาภายใน เป็นส่วนของ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน 

ในตำรายังแบ่งแยกออกเป็น​ สมถะภาวนา กับวิปัสสนา​ภาวนา​ แต่เวลาปฏิบัติ​จริงๆ​ แล้ว​ ยังมีข้อปลีกย่อย​รายละเอียด​เยอะแยะ 

 
๐ ทีนี้ เราต้องมาเทียบดูว่าเวลานี้เราอยู่ในขั้นตอนของภาวนาชนิดไหน ภาวนาอะไรอยู่ 

ในที่นี้ ภาวนาภายนอก คือ การส่งจิตออกจากกาย 

  •  นะโม​ ตัสสะ​ ภะคะวะโต​ อย่างนี้​ ภาวนาภายนอกหรือ ภายใน​ (ภายนอก) 
  •  อิติปิโสฯ​ พาหุงฯ​ มหากาฯ​ อย่างนี้​ เรียกว่า​ ภาวนาภายนอก 

 

๐ ทำให้ภาวนาภายนอก เป็นภาวนาภายใน  
ทำให้ภาวนาภายนอกเป็นภาวนาภายในได้มั้ย ทำได้  วิธี​คือ​ดึงเอาคำภาวนา​มาอยู่ในกาย เคยสอนพวกมึงแล้ว ตาดูมนต์​ ปากท่องมนต์​ ใจรู้มนต์​ คือ​ ดึงเอาคำภาวนาภายนอกเข้ามาเป็นภาวนา​ภายใน 

การสร้าง​องค์​ภาวนาให้เกิดขึ้น​ภายใน​กาย​ เป็นภาวนาที่  ปล​อดจากนิวรณ์​  คือ​ เครื่อง​ร้อยรัด​ทั้งปวง​ เครื่อง​ขัดขวาง​ความดีทั้งปวงได้​ เข้าถึงความตั้งมั่นยั่งยืน​ ความบริสุทธิ์​ บริบูรณ์​ของจิต​ ของอารมณ์​ได้ง่าย อีกทั้งเป็น​การ​หักห้าม​ไม่ให้เกิดการปรุงแต่งในสังขารขันธ์​ทั้งปวง​ คือ​ รูปขันธ์​ เวทนาขันธ์​ สัญญา​ขันธ์​ วิญญาณ​ขันธ์​ จะไม่มีกระบวนการ​ปรุงแต่ง​ใดๆ​ เพราะว่า​ กระบวนการ​ภาวนาอยู่ภายใน​ คือ​ ภายในจิตที่จะเกิดกระบวนการ​ปรุงแต่งเต็มสมบูรณ์​แล้ว​ ไม่มีช่องว่างให้เกิดการปรุงแต่ง​ใดๆ ​แล้ว 

คน​ถ้าไม่เข้าใจ​เรื่องพวกนี้ก็จะทำส่งเดชไป​ แต่อย่างน้อยเป็นการสั่งสมบารมีธรรมไปเรื่อย ๆ​ งูๆ​ ปลาๆ​ หลับหู​หลับตาทำ​ ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง​ ขอให้ได้ทำ​ แต่จะได้แต่เปลือก​ กระพี้​ ไม่ได้แก่นของ​การภาวนา 

ถ้าจะเข้าถึงแก่นในการภาวนา ต้องรู้จักที่จะทำให้การภาวนานั้นบริสุทธิ์ บริบูรณ์ ที่ปราศจากการปรุงแต่งในสังขารทั้งปวง คือ ให้จิตนี้ห่างไกลจากการปรุงแต่ง 

๐ ปัญญาภาวนา 
ทีนี้จะขยับพัฒนา​เข้ามาสู่คำว่า​ ปัญญา​ภาวนา กว่าจะถึงปัญญา​ภาวนา​ มีขั้นมีตอนของมัน 

 

ปัญญาภาวนา คือ อะไร 

คือ​จะมองเห็น​โลก​ตามความเป็นจริง​ได้อย่างโดยไม่ต้องมาเสียเวลานั่งตรึก​ นั่งคิด​  เหมือนกับแสงเอกซเรย์​ที่มองผู้หญิง-ผู้ชาย​ไม่ใช่ผู้หญิง​-ผู้ชาย เป็น​แต่เพียง​หนังหุ้ม​กระดูก มองสัตว์​ทั้งหลายเป็นเพียงแค่สภาพธรรม​ที่ปรากฏ เกิด​ แก่​ เจ็บ​ ตาย​ คือ​ไม่ได้ยึดติด​ใน​สมมติ​ ข้ามสมมติ​เข้าไปสู่​โลก​แห่ง​ปรมัตถ์​ อย่างนี้เขาเรียกว่า​ ผู้มีปัญญาภาวนา เห็นสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง 

ทุกข์​ทั้งหลาย​ที่เกิดจากกาย​-ใจ จะบรรเทาเบาบาง​ อันตรธานหายไป​ อย่างนี้เขาเรียกว่า​ ผู้เข้าถึงปัญญา​ภาวนา 

จบคำตอบนี้​ อาคันตุกะ​สาธุ​ ๓​ ครั้งแล้วไปไหนก็ไม่รู้​ มารบกวน​กูกำลังหลับกำลังนอน 

 

๐ วิถีแห่งภาวนา  

ไม่จำเป็น​ต้องมาวัดแล้วได้ภาวนา​ อยู่ที่ไหนก็ภาวนาได้​ บนถนน​ในรถ​ เรือ​ บ้านช่อง​ อาคาร​ เรือกสวน​ไร่นา​ เดินทางไกล​ เดินทางใกล้​ ทำการงาน ทำให้ตัวเองมีตบะ​ มีเดช​ มีศักดาในจิต​ มีอำนาจ​ อานุภาพ​จิต​ เรียกว่า​เป็น​จิตตานุภาพ​ ทีนี้จะง่าย​ ประสบความ​สำเร็จ​ในการทำการงาน ทำอะไร​ พูดอะไร​ คิดอะไร​ จะสำเร็จ​ประโยชน์​ รุ่งเรือง​ เจริญ​ เพราะ​ ภาวนา​แปลว่า​ เครื่อง​ประกอบแห่งความเจริญ​ หรือสิ่งที่ทำให้เราเจริญ 

ผู้หวังความเจริญ ไม่ใช่ได้จากการเซ่นสรวง อ้อนวอน ขอพรใดๆ  
แต่หมายถึงการลงไม้ลงมือกระทำ ทำภาวนาให้ปรากฏ บังเกิดขึ้นอย่างถูกวิธี อย่างเข้าใจ รู้จัก ชัดเจน ถูกต้อง นั่นแหละเรียกว่า กระบวนการภาวนาให้สำเร็จประโยชน์ 

๐ การเจริญอิทธิบาท ๔  

เหมือนๆ กับที่มีคนชอบถามว่า​ พระพุทธ​เจ้าทรงสอนก่อนจะปรินิพพาน​ว่า​ ถ้าเจริญ​อิทธิบาท​ ๔​ จะทำให้อายุขัย​ยืนยาวได้เป็นกัป 

การเจริญอิทธิบาท​ ๔​ ไม่ใช่อยู่ดีๆ​ มาเจริญ​เอาแค่ปัจจุบัน​ชาติ​ ต้องสั่งสม​ อบรม​ บำเพ็ญ​บารมี​  พระพุทธเจ้า​ กว่าพระองค์​จะได้เป็นพระพุทธเจ้า​ มีอายุขัย​ มีชีวิต​ เกิดๆ​ ตายๆ​ ผ่านพ้นมา​ สี่อสงไขย​กับแสนมหากัป อานิสงส์​ของการบำเพ็ญอิทธิบาท​ ๔​ อย่างสมบูรณ์​จะเกิดได้ต้องใช้เวลาสั่งสมสี่อสงไขย​แสนมหากัป  จึงจะยืดอายุขัย​ของ​ตนออกไปได้ ไม่ใช่บำเพ็ญ​วันนี้​ แล้วพรุ่งนี้มึงจะบอกยืดอายุ..ไม่ใช่ และกระบวนการ​บำเพ็ญ​อย่างที่เขียนบรรยาย​ อธิบายความไว้ 

 

๐ อิทธิบาท ฝ่ายโลกียะ  และอิทธิบาท ฝ่ายโลกุตระ 

อิทธิบาท ๔  มีตั้งแต่อิทธิบาท ๔ ฝ่ายโลกียะ  และอิทธิบาท ๔ ฝ่ายโลกุตระ 

ขยันหา รู้จักรักษา คบคนดี เลี้ยงชีวีพอประมาณ ทั้ง​ ๔ กระบวนการ​นี้ต้องประกอบด้วยอิทธิบาท​ ๔​ คือ​ 

  • ฉันทะ​ ความพึงพอใจ 
  • วิริยะ​ ความเพียร 
  • จิตตะ​ เอาใจจดจ่อ​ 
  • วิมังสา​ ใช้ปัญญา​ใคร่​ครวญ 

ทำให้ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา มีอยู่ทุกการงาน ทุกลมหายใจ ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ ถ้าทำอย่างนี้อยู่​ต่อเนื่อง​ เนือง​ๆ ทำการงาน​ ปลูก​พืชปลูก​ผัก​ ล้างถ้วยล้างชาม​ ปัดกวาดเช็ดถู​ ทำความสะอาดบ้านเรือน​ ทำด้วยความพึงพอใจ​ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกรำคาญ​ ลำบากลำบน​ ทุกข์​ทนเสียเหลือเกิน​ อย่างนี้มีฉันทะมั้ย..ไม่มี 

ฉะนั้นสร้างกระบวนการอิทธิบาท ในการงานเบื้องต้นในการดำรงชีวิตเสียให้ได้ก่อน แล้วจึงจะมาพัฒนาไปสู่คำว่า มหาปทานอิทธิบาท คือ มีชีวิตอยู่ด้วยมีอิทธิบาทเป็นตัวขับเคลื่อน​  

เรียกว่า​ ผู้มีมหาปทานอิทธิบาท​ ๔​ มีอิทธิบาท​ ๔​ เป็นประธาน​ เป็นผู้นำในการขับเคลื่อน​พลังชีวิต​ เรียกว่า​ มีชีวิต​ มีพลัง​ ใช้อิทธิบาท​ ๔​ เป็นกระบวนการ​ขับเคลื่อน​พลังชีวิตให้ไปสู่การงาน​ และทำสาระด้วยความพึงพอใจ​  ด้วยความเพียร​ ด้วยความมุ่งมั่น​ จดจ่อ​ จับจ้องและใช้สติปัญญา​ใคร่ครวญ​ พินิจ​พิจารณา 

ฝึกไปเรื่อย ๆ​ พระพุทธ​เจ้าทรงยืนยัน​ว่า​ ผู้ใดที่ทำอิทธิบาท​ ๔​ ให้ปรากฏ​ ให้เจริญ​ทั้งในกาย​ วาจา​ ใจ​ จะเป็นผู้สำเร็จ​ประโยชน์​ได้ทุกที่​ ทุกสถาน​ ในกาลทุกเมื่อ​ แม้ต้องการในสิ่งที่คนอื่นได้มายาก​ เราจะได้มาง่าย​   

๐ เขาจึงเรียกอีกอย่างว่า อิทธิบาท คือ คุณเครื่องยังให้สำเร็จประโยชน์ 

  • ยืดอายุขัยก็ได้ 
  • กำหนดที่เกิดที่ตายของตนก็ได้ 
  • สามารถ​ดำรงชีวิตอยู่​ในสถานที่ที่คนอื่นอยู่ได้ยากก็ได้​ 

       ที่ที่คนอื่นอยู่ลำบาก​ เรากลับอยู่สบาย อย่างนี้เป็น​ต้น 

๐ ต้องทำให้ได้ทุกเวลา 

ฉะนั้น กระบวนการทำอิทธิบาท ไม่ใช่ต้องรอภาวนา หรือรอใกล้ตาย หรือรอว่าเวลานั้นเวลานี้แล้วมาทำอิทธิบาท แต่ต้องทำให้ได้ทุกเวลา 

มึงเห็นกูทำการ​งานมั้ย กลางแดดกูก็ทำ​ กลางฝนกูก็ทำ​ กูทำด้วยความ​รู้สึก​ลำบาก​ลำบนมั้ย (ไม่)​ บ่น​ เบื่อเหลือเกิน​ ทุกข์​ทรมาน​ วุ่นวาย​ มีมั้ย ก็มีฉันทะไง​ ความพึงพอใจ​ในการงาน​ที่​ตัวเอง​ทำ  ฝึกไปเรื่อย ๆ​ จนเข้ากระดูกดำ​ เข้าสันดาน​ เข้าจิตวิญญาณ​ มีความพึงพอใจ​ในสิ่งที่ตัวเองทำ 

 
งานทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กงานใหญ่ งานมากงานน้อย งานสูงงานต่ำ ทำความพึงพอใจให้ได้ในทุกเรื่อง เรียกว่า ผู้มีฉันทะ วิริยะ คือ ความเพียรหมั่น ทำให้ลุล่วงสำเร็จ 

 

กูทำงานอยู่กลางแดด​กลางฝน​ ถ้ามองไม่เห็นว่ามืด​ กูจะไม่เลิก คือ​ ทำอยู่อย่างนั้นแหละ ในขณะที่​ทำ​ ถามว่า​ ปวดหลังมั้ย ปวด.. ปวดกระดูก​มั้ย ปวด.. ปวดเมื่อยมั้ย ปวด คนทำงานด้วยมีฉันทะ​ มีความรัก​ มันทำได้เรื่อย ๆ​ ทำได้ต่อเนื่อง​ ทำแบบไม่ต้องกลัวเหนื่อยหรือไม่รู้จักเหนื่อย ทำไปเรื่อย ๆ​ ทำไปจนจบแล้วเลิก​ กลับ​ พระอาทิตย์​ตกดินพอดีถึงที่พัก​ ทำด้วยความรัก 

คนเราทำอะไรด้วยความรัก​ ถ้าไม่ได้ทำ​ จะรู้สึก​ขาดอะไร​ มึงเคยคิดอย่างนั้นมั้ย​ เหมือนคนติดยาเสพติด​ เหมือนคนเสพติดในอะไรสัก​อย่าง​หนึ่ง​ เพราะทำด้วยความรัก  เหมือนกับถึงเวลาต้องสวดมนต์​ ถ้าไม่สวดก็จะขาดอะไรไปสักอย่าง​ ชีวิต​เราจะหายไป  กู​ไม่ว่าจะเหนื่อย​มาขนาดไหน​ ทำการงานอยู่กลางแดด​กลางฝน​ พอเข้าห้องปุ๊บ​ สรงน้ำ​ สิ่งหนึ่งที่กูต้องทำก่อนเบื้องต้น​ คือ​สวดมนต์​  เจริญ​ภาวนา​ นั่งสมาธิ​ อะไรไป​ คือ​ถ้าวันไหนไม่ทำจะอึดอัด​ จะมีความรู้สึก​ ชีวิต​กูขาดอะไรไป​ นั่นแหละเรียกว่า​ ผู้มีฉันทะ และมีวิริยะ​ ความเพียร​ต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำไปบ่นไป​ อึดอัด​ไป 

คนมีฉันทะ​ ทำอะไรประณีต​ บรรจง​ ละเอียด​อ่อน​ สุขุม​ ไม่สุรุ่ยสุร่าย 

ทำทุกอย่างเหมือนกับเพื่อตัวเอง​ กับตัวเราเอง​  สมมุติ​จะหุงข้าว​ ทำกับข้าว​ ก็หุงทำเพื่อตัวเองกิน 

ทำด้วยความรัก​ มันละเอียด​อ่อน​ ละเมียดละไม 

ฝึกไปเรื่อย ๆ​ ลูก มนุษย์​ ไม่ได้เกิดมาแค่ชาติสองชาติ พระพุทธ​เจ้าตรัสว่า​ กัปหนึ่ง​ นับอย่างไร  นับไม่ได้​ ภิกษุ​ ประมาณ​ไม่ได้  ทั้งสัตว์และมนุษย์​ไม่ได้เกิดแค่กัปเดียว​ เกิดมากี่ร้อยกี่พันกัปก็ไม่รู้ แต่ละคนหาที่สุดมิได้  

คิดดูแล้วกัน ถ้าเราสามารถ​สร้าง​ภพชาติ​ที่เต็มเปี่ยม​ไปด้วยฉันทะ​ วิริยะ​ จิตตะ​  และวิมังสา​ ก็เป็นเครื่อง​คาดหวัง​ได้ว่า​ การที่จะกำหนดเวลาเกิด​ เวลาตาย​ ทำไม่ยาก​ เพราะเราได้สั่งสม​ อบรมฉันทะ​ วิริยะ​จิตตะ​ และวิมังสา​ มาตลอด​ระยะเวลา​เป็น​อสงไขย​ เป็นกัป ไม่ใช่แค่วันเดียว​ เวลาเดียว​ ชั่วโมงเดียว​ นาทีเดียว​ อย่าง​นี้เป็น​ต้น 

หลวง​ปู่​จึงเขียนบทโศลก:​  

ลูกรัก.. มนุษย์ไม่ใช่ได้ดีเพราะมียี่ห้อว่าเป็นมนุษย์ มนุษย์ได้ดีเพราะว่า ฝึกหัด ปฏิบัติ อบรม เรียนรู้ ลงมือกระทำ 

ไม่ใช่ได้ดีเพราะมียี่ห้อ​ แต่ได้ดีเพราะทำดี​ พูดดี​ คิดดี​ ฝึกฝนอบรมดี​ จึงจะเรีย​กว่า​เป็น​มนุษย์​ที่ดี 

วันนี้​ เราได้คุณลักษณะ​ของความเป็นมนุษย์​ แต่ประมาท วางตนอยู่ในความมัวเมาประมาท​ ปล่อยให้ชีวิต​เผลอ​เลอ​ หลงผิด​ ทำผิด​ พูดผิด​ คิดผิด​ เลอะเทอะ​ เปรอะเปื้อน​ แชเชือน​ มั่วไปกับเรื่องกามคุณ​ รูป​ รส​ กลิ่น​ เสียง​ สัมผัส​ จนชีวิตตัวเองจมปลักอยู่​กับความผิดพลาด ไม่ขวนขวาย​ เรียกว่า​ ไม่มีความเพียร​ ไม่มีพัฒนาการ​ ใช้คำว่า​ ไม่มีภาวนา​ คือ​ ไม่ทำให้ชีวิตเราเจริญ​ เพราะ​ ภาวนา​ แปลว่า​ เจริญ​ เลยกลายเป็น​ลุ่มๆดอนๆ​ หัวมงกุฎ​ท้ายมังกร​ ได้บ้างเสียบ้าง 

ทีนี้​ถ้าอะไรที่อยากได้ก็เผื่อว่า​ อาจจะ​ ใช่มั้ง​ หรือไม่ก็หันไปพึ่งคนนั้นคนนี้​ นู่นนี่นั่น​ บวงสรวง​ อ้อนวอน​ ขอพรเทพเจ้า​ อะไรก็ว่าเรื่อยเปื่อย​ไปตามเหตุตาม​ปัจจัย ​แล้วแต่ที่จะขอได้​ สรรหามา​ เพราะอะไร? 

เพราะเราอ่อนแอ​ เราไม่ใช้สมรรถนะ​ของความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์​แบบ​ เราปล่อยให้ความเป็นมนุษย์สูญเสีย​เปล่า​ คุณ​ลักษณะของมนุษย์เลยโดนเหยียบย่ำ​ เหยียดหยาม​ ดูถูก​ ทำให้เสียหาย​ เสียโอกาส​ในการเกิดเป็นมนุษย์ 

 

ใช้ศักยภาพของความเป็นมนุษย์ สร้างองค์ภาวนาให้สมบูรณ์ 

เพราะฉะนั้น​ ถ้าเราใช้เวลาในการมีชีวิตอยู่​ ฝึกฝน​ อบรมอะไรสักอย่างในคุณธรรม​ ๘๔,๐๐๐ ​อย่าง​ ให้ได้สักอย่าง​ เอาเป็นที่พึ่งให้ได้​ ไม่ว่าจะเป็นศีล​ เป็นธรรม​ เป็นทาน​ เป็นภาวนา​ จะทำให้เรามีที่พึ่ง​ มีเกราะ มีปราการ​ มีเครื่องป้องกัน 

ไม่ใช่ทำอะไรก็บ่นไป​ กระฟัดกระเฟียด  เอางานมาให้กูอีกละ​ สร้างปัญหา​ให้กูอีกละ​ มีแต่เรื่องเยอะแย​ะ​มากมาย  

เขามีแต่มีโอกาส เมื่อวานกูไปหาหมอ​  หมอถาม​ ท่านทำงานเยอะขนาดนั้น​ ขึ้นไปปีนต้นไม้​ ปีนกะได​ อยู่กลางแดด​กลางฝน​ แล้วไม่ปวดหลัง​เหรอ​ กระดูก​สึกขนาดนี้​ ดูภาพแล้วน่าจะทรมาน 

"หมอ​ เป็นโอกาส​นะ​ นี่เป็นบุญ" 

 ถาม​  เป็นโอกาส​อย่างไร 

เป็น​โอกาส​ที่ทำให้เรามีสติ​ไง เราแยกกายกับใจออกจาก​กัน​ ไม่ทำให้มีอำนาจครอบงำเราได้​ เวทนาอยู่แค่กาย​ แต่ใจเราไม่ต้องไปเอาเวทนา​มาปรุงแต่ง  

ถ้าไม่เจ็บ​ เราจะมีบาป ถามว่า​ เพราะอะไร มันประมาท​ มัวเมา​ ทำอะไรเลอะเทอะ​เรื่อย​ เปรอะเปื้อน​ไป คนบางคน​ ปวดนั่นปวดนี่​ โวยวาย​ ทุกข์​ทรมาน​  ไม่ไหวแล้ว​ กูตายแล้ว​ ตาย​ ตาย​ ตาย  นอนไม่หลับ​ ก็ทำไมนอนไม่หลับเสียที​ กระส่ายกระสับก็ไม่หลับ​ ดิ้นจนหนังกลับก็ยังไม่หลับ  

สำหรับกู นั่นคือ บุญ  คนนอนไม่หลับ เป็นบุญ ถามว่าทำไม? 

อย่างน้อยเราจะมีเวลาภาวนาได้เยอะขึ้น คิดเป็นมั้ย ไม่เป็น ทำไมนอนไม่หลับเสียที​ แทนที่อย่างนั้น​สวดมนต์​ ภาวนากาย​ ภาวนาใจ​ จะเป็นสมถะภาวนา​ วิปัสสนา​ภาวนา​ หรือ​ จิตตาภาวนา​ ก็เอาเข้า​ คือ​ทำให้เจริญ เช้าขึ้นมาก็ไม่ได้เพลีย​ ไม่ได้เปลี้ย​ ไม่ได้แย่ 

กูทำงานแยะๆ​ อย่างนั้น​ กูตื่นตี​ ๓​ ทุกวัน​ แถมยังเขียนบทความทุกวันอีก นั่นเป็นช่องทางให้เรา ใช้ศักยภาพ​ของ​ความ​เป็น​มนุษย์​ สร้างองค์​ภาวนา​ให้สมบูรณ์ 

ไม่ได้ไปโทษ​ ทำไมกูนอนไม่หลับ ทำไมกูปวด ทำไมกูทรมาน  ทำไมกูป่วย อย่างนั้นเรียกว่า​ มีชีวิต​อยู่​ให้โลกเหยียบย่ำ เราเป็นผู้เหยียบยืนบนโลก​ ไม่ใช่แบกโลกไป  มีชีวิต​เพื่อ​จะเหยียบยืนบนโลก​ เพื่อตั้งมั่น​ ไม่ใช่มีชีวิตอยู่เพื่อจะแบกโลกและให้โลกมาเหยียบย่ำเรา 

 

๐ มีหลักคิดที่เป็นสัมมาทิฐิ 

ทำความเข้าใจเสียใหม่ มีหลักคิดที่เป็นสัมมาทิฐิ​ หลักคิดที่ถูกต้อง​น่ะลูก​ เพราะจะทำให้ชีวิตเราพลิกกลับจากสิ่งที่พลาดมาเป็น​สิ่ง​ที่​ถูกต้อง สิ่งที่ผิดกลายเป็น​สิ่ง​ที่​ดีพร้อม 

แต่ถ้ามีชีวิต​อยู่​แบบล่องลอยตามยถากรรม 

  • ตาเห็นรูปสวย​ ชอบ 
  • หูฟังเสียงเพราะ​ ชอบ 
  • จมูก​ดมกลิ่น​ ชอบ 
  • ลิ้น​รับรส ติดใจ 
  • กายสัมผัส​นุ่มนวล​ พึง​พอใจ​ 

ว่าไปตามเหตุปัจจัย​  กิน​ กาม​ เกียรติ​ โกรธ​ แสวงหาของที่โปรด​ ตกอยู่ในอำนาจ​ใฝ่ต่ำอยู่เนืองๆ​ ต่อเนื่อง​ ตลอดชีวิต​ อย่างนั้นมีชีวิตอยู่อย่างเศร้าหมอง​ เขาเรียกว่า​ ประมาท​ มีชีวิตอยู่​ด้วยความมัวเมา​ ประมาท 

ที่สุดแล้วความตายหนีไม่พ้น ชาติภพก็หนีไม่พ้น สุคติ​ ทุคติเราก็หนีไม่พ้น แต่ทั้งหมดเราเป็นคนสร้างเอง​ ไม่มีใครสร้างให้เรา เทวดา​ พรหม​ ผู้ยิ่งใหญ่​ใน​ ๓​ โลก​ ทำอะไรให้เราไม่ได้ 

เราเป็นคนสร้างนรก​ สร้างสวรรค์​ สร้างความสุข​ความทุกข์​ สร้าง​ความเสื่อม​ สร้างความเจริญ​ให้แก่ตัวเราเอง 

 
๐ จะเสื่อมกาย  ใจอย่าให้เสื่อม  
ร่างกายมนุษย์ ไม่มีวันหนีพ้นความเสื่อมไปได้ แต่อย่าทำให้ใจเสื่อมตาม 

เมื่อใดที่ใจเสื่อมตาม  ทีนี้​ กายก็เสื่อม​ ใจก็เสื่อม​ จิตวิญญาณ​พลอยเสื่อมไปด้วย​ สติปัญญา​ก็เสื่อม​ไปหมด บางคนเจ็บป่วย​นิดหน่อยก็หลงๆ​ ลืมๆ​ เลอะๆ​ เลือนๆ​ งุ่มๆ​ ง่ามๆ​ เสียจริต​ ทำตนเป็นคนบื้อบ้าใบ้​ เลอะเทอะ​ เปรอะเปื้อน​ไป 

แต่ถ้าเรารู้จักมองให้เป็น​ เข้าใจให้ถูก​ต้อง​ แล้วแยกให้ได้ว่า​ อะไรคือของจริง​ อะไรคือของหลอกลวง​ อะไรคือมายาการ​ อะไรคือสมมติ​ และอะไรคือปรมัตถ์ 

คือ​ อยู่ในโลกอย่างเป็นผู้รู้จักแยกแยะให้เป็น 

ไม่ใช่เหมารวมเป็นจับฉ่าย​หม้อเดียวกัน​ แล้วไปยึดถือ​ แบกหม้อจับฉ่าย​เดินไป  
          ชีวิต​มนุษย์​ยุคปัจจุบัน​เป็นแบบนี้​ มนุษย์จับฉ่าย​ และก็แบกหม้อจับฉ่ายเดินไป​ มั่วไปหมด​ หัวมงกุฎ​ท้ายมังกร​ อะไรไม่รู้​ เลอะเทอะ​ เปรอะ  

          อยู่ที่วิธีคิดน่ะลูก วิธี​คิดว่า​เราจะคิดถูก ​สมกับสถานะยี่ห้อของความเป็นมนุษย์มั้ย ถ้าคิดไม่ถูก​ แสดงว่าเราได้แต่ยี่ห้อ​ลักษณะ​มา​ แต่คุณ​ธรรม​ของมนุษย์ไม่ได้มา​ ก็ไม่ทำให้เกิดคุณ​ประโยชน์​ ถ้าอย่างนี้​เสียชาติเกิด 

 

๐ ภพชาติ ใครก็หนีไม่พ้น 

พระพุ​ทธเจ้าทรงยืนยัน​แล้วว่า​ มนุษย์​และสัตว์​เกิด-ตาย​ นับไม่ใช่อสงไขย​ ไม่ใช่กัป.. นับไม่ถ้วนหาจุดเริ่มต้นของมนุษย์​ ๑​ ชีวิตไม่ได้ และหาจุดที่สุดของมนุษย์ก็ไม่ได้​ นั่นสำหรับ​มนุษย์​ที่มัวเมา​ ประมาท 

แต่มนุษย์ที่มีสติปัญญาตั้งมั่น หาจุดเริ่มต้นและหาที่สุดของชีวิตได้ แม้บางทีเราไม่อาจจะหาจุดเริ่มต้นได้ แต่หาที่สุดของชีวิตตัวเองได้ 

เหมือนมีคำกล่าวโบราณ​ว่า​ไม่รู้ที่มา แต่รู้ว่าจะไปไหน.. มนุษย์​รู้ที่มาที่ไปได้นะลูก ถ้าฝึกดีๆ​ ภาวนาให้ถึงที่สุด แล้วเราจะรู้ว่า​ เรามาจากไหนแล้วเราจะไปที่ไหน  

แต่ที่เราไม่รู้เพราะเราฝึกไม่ดี ภาวนาไม่ถึงที่สุดไง

 

แหล่งข้อมูล

หลวงปู่พุทธะอิสระ.  (๒๕๖๖).  ภาวนาภายนอก ภาวนาภายใน ปัญญาภาวนา  ใน ปราณโอสถ: กายรวมใจ รักษาใจไม่ให้กระเพื่อม, (น.๒๗๒ - ๒๘๓). นครปฐม: มูลนิธิธรรมอิสระ.

วันอาทิตย์ที่​ ๒ ตุลาคม ๒๔๖๕ ช่วงบ่าย ช่วงที่ ๑ หลวงปู่พุทธะอิสระ แสดงธรรม และปฏิบัติธรรม วิชาปราณโอสถเทศกาลถือศีลกินเจเดือนเก้า (เก้าอ้วงฮุกโจ้ว) ณ ศาลา

     ปฎิบัติธรรม วัดอ้อน้อย(ธรรมอิสระ) อ.กำแพงแสน จ. นครปฐม​, สืบค้น ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๗ จาก

     https://www.facebook.com/watch/live/?ref=watch_permalink&v=443734367849703

Qr Code

 

45 | 13 สิงหาคม 2024, 16:27
บทความอื่นๆ