17 เม ย 2554 12.50 น. ถอดเทป ธรรมะ องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ แสดง
ธรรม ณ. โรงพยาบาลทหารเรือ
• สาเหตุโรคซึมเศร้า
• การปฏิบัติธรรม คือ การดูตัวเอง
• ไม่รู้จักดูตัวเอง
• ไม่มีอะไร ไม่ต้องอาลัย
• อย่าทำอารมณ์ให้เป็นอะไร แล้วจะไม่มีอาลัยในอารมณ์
• พระพุทธเจ้าสอนเราให้อยู่ในโลก ที่ไม่ติดโรค
• แม้พรรษายังไม่อาลัยเลย
• ให้ด้วยความโง่เขลา คือ ให้อาหารแก่โจร
• เวลาเข้าป่า มันมีกฏของป่าอยู่ ถ้าเราทิ้งของแล้ว มันจะเป็นสมบัติของป่า
• วันไหว้ครู เป็นเรื่องของการบูชาครู ระลึกถึงคุณของครูบาอาจารย์ แล้วก็
จะทำพิธีขอขมาลาโทษต่อครู สำนึกถึงคำสอนสั่ง
• แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เป็นการแสดงความกตัญญู กตเวทิตา
• ที่จริง คำว่า เสียสละ แบ่งปัน และให้ ยังเป็นเรื่องของผู้มีกิเลส
• ผู้มีปัญญาสูงสุด ก็คือ เห็นว่า สิ่งที่มีอยู่ในเวลานี้ คือ สิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
• เมื่อไม่มีอะไร แล้วจะเอาอะไรมาเสียสละ
• ไม่มีอะไร ก็เลยไม่ต้องให้อะไร
• รวมๆ สรุป คนที่มีอะไร และอาลัย คือ คนที่ต้องสอน
• อย่าทำอารมณ์ให้เป็นอะไร แล้วเราจะได้ไม่มีอาลัยในอารมณ์
• พระพุทธเจ้าตัวตนแท้ๆ นั้น ก็คือ ไม่มีอะไร อะไร แล้วไม่ทำให้เราเกิด
อาลัยใดๆ ได้เลย
• ถ้าเราจะระลึกถึงพระพุทธเจ้า ให้นึกถึงความว่างเอาไว้ นั่นแหละคือ พระ
พุทธเจ้า
เจริญธรรม เจริญสุขท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน
สวัสดีวันขึ้นปีใหม่ ถูกหรือเปล่า
สวัสดีวันสงกรานต์
แผ่นดินไหวอีกแล้ว เมื่อกี้ให้ศีลอยู่ สะเทือนเลื่อนลั่น สงสัยเกิดอาฟเตอร์ช๊อค เอ้า ชั้นเจอคุณ
(คุณมนัส) นี่ ชั้นยิ่งช๊อคใหญ่เลย
คุณมนัส เกิดภัยธรรมชาติ ก็เลยพัก เพราะป่วยเข้าโรงพยาบาลอยู่เกือบๆ เดือน ผ่าตัด
ไส้ติ่ง ดูเหมือนกับธรรมดาใช่ไม๊ครับ ไส้ติ่ง แต่ปรากฏว่า ไส้ติ่งผมนี่มันไม่ธรรมดาครับ
หลวงปู่ ที่เราเคยเจอกันปีที่แล้ว 2-3 เดือนเจอกัน ทุกเดือน ปรากฏว่าไส้ติ่งมันใช้วิธีนี้
กับผม 3 เดือนเต็มๆ แตกอีกแล้วนะครับ มันรั่ว แล้วมันก็อยู่ในลำไส้เรา 3 เดือน ผมก็
ทำงานปกติ ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยครับ ปวดท้องก็ทานยาแก้ปวด ที่อยู่ได้เพราะยาแก้ปวด จน
กระทั่งวันที่ 11 เดือน 1 เดือนมกรา ปีนี้ ก็ไม่ไหว ปรากฏว่า แอดมิท 6 โมงเย็น 2
ทุ่มผ่า แล้วผ่าไม่ปกติด้วยครับ หลวงปู่ ผ่า 2 ครั้ง คือกวาดออกมาหมดเลย 2 ครั้ง ยังไม่
จบ มีครั้งที่ 3 ไหมมันโผล่ออกมา ไม่ละลายหมด ก็ต้องไปกรีดอีกรอบ เพื่อเอาออกมา
นึกว่ามีปมเดียว ปรากฏว่าดึงออกมาอีก 5 เส้น ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แล้วน้ำหนักก็ลงไป
7 กิโลกว่า มีสมาชิกเราโพสเข้าไปใน เฟสบุ๊ค บอกว่า ถ้ามีโอกาสมาจัดรายการเมื่อไหร่
เล่าเป็นธรรมทาน เป็นวิทยาทานให้ฟังด้วย ก็อย่างที่เขาเรียกว่าอะไร อย่ามัวแต่ห่วงงาน
มากกว่าสุขภาพ เหตุที่ไม่เข้าโรงพยาบาลเพราะว่า มีงานที่ต้องทำถึง 31 มกรา ตอนนั้น
ครับ ผมก็กลั้นเอาไว้ ทนเอาไว้ ถ้าเข้าปุ๊บ ต้องนอนแน่ๆ ตัดสินใจไม่เข้าเลย นี่คือเห็นแก่ได้
หลวงปู่ ไม่ได้ล่ะ เดี๋ยวเราต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วโว้ย
คุณมนัส ไม่เจอหลวงปู่ 2 เดือน 3 เดือน นี่ได้ข่าวว่า หลวงปู่อาพาธ
หลวงปู่ ที่จริงวันนี้ชั้นก็อาพาธนะ แต่ชั้นไม่กล้า ทำ กลางคืนนอนเจ็บตับ ชั้นเฉยๆ บาง
ครั้งคิดอยากจะไปตัดมันทิ้งด้วยซ้ำไป ปล่อยมัน ช่างมัน เพราะว่าเดี๋ยวถ้าขืนไปกังวล เดี๋ยว
มันก็ต้องเรื่องยาว เออ ปล่อยมันไว้เถอะ
เมื่อเช้าดีใจ ก่อนจะมา ลูกศิษย์ที่บวชเณรรุ่นแรกๆ เค้ามาเลี้ยงไอสครีมรุ่นน้องๆ เค้า เค้า
มากันเป็นฝูง แล้วถาม เฮ้ย มึงอายุเท่าไหร่แล้วว่ะ 35 แล้วมึงล่ะ 36 อีกคน 34 ตาย
ห่า แล้วมึงมาบวชเณรกับกู แล้วกูไม่แก่เหรอนี่ เพราะมันบวชเณร อายุ 16 ขวบ ตอนนี้
เค้าอายุ 30 กว่าทุกคนก็อุ้มลูกจูงหลานมาให้รับศีลรับพรไง
เราก็นึกในใจ เออ เรานี่ก็อยู่มานาน ทำประโยชน์ให้โลกให้สังคมได้เยอะ อะไรมันจะเกิด
มันจะเป็น มันจะไป ก็ช่างมันเถอะ อย่าไปอาลัยมันมากมาย สบายใจที่ได้ทำ ก็กูอยู่นาน
แล้วนี่ อะไรมันจะเกิดจะเปิด จะไป ก็ปล่อยมันเถอะ
คุณมนัส พบสัจจะธรรม กับคนที่ทำงานตลอดเวลา หยุด อยู่กับมันเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย
หัดเดินใหม่ หัดพูดใหม่ เหมือนคนที่ตายไปแล้วเกิดขึ้นมาใหม่ ก็ได้พบความจริงอยู่ข้อหนึ่ง
ไม่มีใครรักเราและห่วงเรามากที่สุดเท่าคุณแม่ ดูแลหมดเลยครับ หลวงปู่
หลวงปู่ เอ้า ธรรมดา
คุณมนัส ป้อนข้าวป้อนน้ำ ทำทุกอย่าง
หลวงปู่ คนที่เค้าบอกว่า รักเราจริงๆ เยอะๆน่ะ จริงๆมันแค่ลมปาก พ่อแม่เรานี่ เป็นผู้ให้
ชีวิตเรา ให้เลือดเนื้อเรา เค้าเป็นเจ้าของชีวิต เจ้าของเลือดเนื้อ ย่อมดูแล เอาใจใส่เรา
เหมือนกับดูแลตัวท่านเองเป็นธรรมชาติ ลูกทั้งหลายก็ไม่ใช่ไปหลงระเริง ซกมก เอะอะ
อะไรก็ไปมั่วสุม ไปอยู่กับเพื่อน ไปอยู่กับสังคม พอสนุกสนานก็ลืมพ่อลืมแม่ พากันไป
เมื่อวานนี้ ชั้นนั่งรถกลับจากโรงพยาบาลศิริราช ยังบอกกับคนขับรถว่า เค้ามีสรงน้ำแถว
นครปฐม มอเตอร์ไซค์ ซ้อน 2 ซ้อน 3 มันแทบจะขี่คอกันซ้อน แล้วแต่ละคนนี่ดูท่าจะ
หึ่งมาทั้งนั้นแหละแล้วก็ผู้หญิง ผู้ชาย แยกไม่ออก บอกไม่ถูก เอ้ย มันมาไม่ใช่คันสองคัน
มันมาเป็น 10 คัน บอกอ้ายคนขับรถ เฮ้ย ไปช้าๆ เดี๋ยวมันมาล้มข้างหน้าเรา แล้วเราไป
เหยียบมัน เราจะไปซวยกับมัน แล้วมันก็ขับไม่ธรรมดา มันแถไปแถมา นึกในใจว่า เออ
พวกนี้ พ่อแม่ไม่ได้อบรมสั่งสอน หรืออบรมสั่งสอนแต่สั่งสอนไม่หมดหรือยังไง
แล้วอ้ายรถปิ๊กอัพไปอยู่ วิ่งตามหลังมาก็มีคนถือน้ำ ถือแป้ง สาดอยู่ข้างบน เราก็มานึกในใจ
อืม มันเป็นวัยที่สนุก เป็นวัยที่มัวเมา ยังมองโลกในแง่บวกอยู่ ยังเป็นอะไรที่เหมือน
ดอกไม้บาน อย่างเรานี่มันดอกไม้จัน ใช่หรือเปล่า อาม่า อาม่าพยักหน้า ดอกเหมือนกัน
เค้ามันดอกไม้บาน ยามเช้า ของเรามันดอกไม้จัน ยามเย็น แล้วมันบานผิดที่ผิดทาง
ก็เลยนึกสังเวช สลด
เพราะเมื่อวานไปแสดงธรรม ไม่ใช่ไปแสดงธรรม ไปเจริญพระพุทธมนต์ที่โรงพยาบาลศิริ
ราชถวายพระราชกุศล นำเอาสามเณร เอาพระไปเจริญพระพุทธมนต์ หลังจากจบเจริญ
พระพุทธมนต์ ก็ดันชำเลืองตาไปเห็นคนไข้ถือขวดเลือด น้ำเกลือพะรุงพะรัง บางคนยังมี
หน้ากากหายใจ มาหมอบอยู่ข้างๆ เราก็ชำเลืองดู นึกในใจ มาแต่เช้าเลยเหรอ มันมาแต่เช้า
เลย พอเจริญมนต์เสร็จ เราก็บอก เอ้า พวกเราช่วยกันอธิษฐานอุทิศส่วนกุศลให้กับสรรพ
สัตว์หน่อย
หายใจเข้า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
หายใจออก สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
เออ เค้าก็สีหน้าเบิกบาน แช่มชื่นขึ้นมาหน่อย
แล้วไม่กล้าหันมาบอกพวกมัน เดี๋ยวมันจะไปกันหมด เหลือแต่เราคนเดียว
คุณมนัส เมื่อวาน มีใครมีโอกาสไปที่ศิริราชบ้าง ขอยกมือหน่อยได้ไม๊ครับ ขออนุโมทนา
หลวงปู่ เมื่อวานเค้าก็มีคนร่วมถวายปัจจัย ชั้นก็ยกให้กับมูลนิธิศิริราชพยาบาล เมื่อวาน
ได้ตั้งเยอะนะ ได้ตั้งเท่าไหร่ สองแสนหก เออ ก็ยกให้กับมูลนิธิฯ เค้าไปหมดเลย ให้เค้าไป
เป็นทุนสำหรับช่วยเหลือผู้ป่วยอนาถา เพราะว่า วันนั้นเค้ามานิมนต์ไปเปิดงานแถลงข่าวหา
ทุนเข้ากองทุนมูลนิธิ ศิริราชพยาบาล ถือโอกาสไปเจริญพระพุทธมนต์ ก็แรกเริ่มเดิมที ก็
จะนำปัจจัยขึ้นทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่เค้าแจ้งว่าเจ้าหน้าที่สำนักราชฯ
ปิด 3 วัน ไม่มีใคร ก็เลยยกให้กับ ศิริราชเค้าไป
เพราะปกติทุกครั้งที่ไปเจริญพระพุทธมนต์ที่ศิริราช ได้ปัจจัยมา ชั้นก็จะไม่เก็บเข้าวัด
เพราะถือว่าเป็นของในหลวง เป็นของเจ้าของสถานที่ ไม่ยกให้โรงพยาบาลก็ถวายในหลวง
เพราะทุกคนเค้าตั้งใจถวาย เมื่อวาน เผอิญเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเค้าหยุดราชการ เพราะ
เค้าปิดการลงนามถวายพระพร เนื่องในเทศการสงกรานต์ ก็ยกให้ศิริราชเค้า ก็ได้ไม่น้อย
ตั้งสองแสน
ก็แบ่งบุญให้ลูกหลาน อนุโมทนา เดือนนี้ทำบุญทั้งเดือน
คุณมนัส ทราบข่าวมา มีข่าวดีมาก ก็คือ โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนปีนี้ของที่
วัดอ้อน้อยของพวกเรา ปรากฏว่า นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างล้นพ้น เนื่องจาก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพฯ ได้พระราชทานผ้าไตรให้กับทางวัดด้วย
หลวงปู่ เณรรุ่นนี้มีบุญ แล้วมันก็ใช้บุญจริงๆ อู้ฮู้ มัน แต่เมื่อวาน เค้าเรียบร้อยมาก อยู่
วัดนี่ แต่เมื่อวานไปศิริราช ทุกคน ลิงหลับหมด เรียบร้อย นิ่ง เราต้องยกมือหัวนิ้วโป้งให้เค้า
เมื่อวานว่า สุดยอด ไม่ได้กลัวหมอหรอก กลัวอาตมา เข็ดฤทธิ์ เพราะขู่เค้าไว้ว่า เดี๋ยวถ้า
หากกลับไปแล้ว ก็ไปศิริราชเจริญมนต์ แล้วทำยุกยิก ทุกคนไม่อยู่ในสมณะสารูป เดี๋ยว
กลับไป จะให้เจริญมนต์ 108 จบ ทุกคนเลยไม่กล้าสวดมนต์ 108 จบ สวดแค่ 5 จบ
พอแล้ว
เออ กลัว 108 จบ แล้วทุกคนก็ตั้งใจ เค้ามีสำนึกที่จะรับผิดชอบและดูแลตัวเองมากขึ้น
กว่าเก่า
ก็อยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่ว่า เด็กสมัยนี้ ไม่ใช่สอนง่าย ถ้าไม่เข้าใจ เมื่อเช้า ชั้นนั่งมอง
พวกเค้าเลยนะ คือ แรกๆ นี่ ไม่ว่าพี่เลี้ยงจะบังคับอย่างไร จะพยายามเคี่ยวเข็น ขู่อย่างไรนี่
เค้าไม่เชื่อ แต่ถามว่า มีน้ำใจลึกๆ หรือมีสำนึกดีๆ เค้ามีไม๊ มี แต่มันไม่ได้รับการแสดงออก
เค้ามีแต่แรงจูงใจที่จะไปก้าวร้าว รุนแรง เพื่อทำตามอารมณ์ตนเป็นใหญ่ แต่ไม่สนใจเรื่อง
สาระ
ชั้นก็เลยบอกว่า เด็กสมัยนี้ สัญลักษณ์ของเด็กไทย คือต้องไร้สาระ ถ้ามีสาระ ไม่ใช่เด็กไทย
มันเด็กต่างประเทศ เพราะฉะนั้น เด็กไร้สาระต้องเป็นลูกหลานไทย เพราะเป็นคนไทย จึง
จะเรียกว่า เป็นเด็กไร้สาระ คือทุกอย่างต้องไร้สาระเข้าไว้
พอทำอะไรมีสาระเข้าหน่อย ก็จะรู้สึกเบื่อ เหนื่อย รำคาญ ลำบาก บ่น แล้วก็ไม่ค่อยอยาก
จะทำ ทั้งที่สาระเหล่านั้นที่เค้าลงมือทำ มันเป็นประโยชน์กับเค้า ดูตัวอย่างเช่น ถ้ากินอาหาร
อย่างมีสาระ เค้า ก็ไม่เป็นโทษ
ไปอยู่ป่านี่ มีคนเอาขนมกรุบกรอบ ปัญญาอ่อนไปถวาย แล้วคุณพ่อคุณแม่พอเห็นลูก
ชอบกิน ก็ตะบันซื้อไปถวายขนมกรุบๆ กรอบๆ แล้วเณรองค์นึง มันหยิบห่อเดียวที่ไหน
เค้าหยิบเอง หยิบ 5 ห่อ แล้วอ้าย 5 ห่อนี่กว่ามันจะตะบิดตะบวย ตะบันเคี้ยวเอื้องกว่า
จะหมดเนี่ยนะ แล้วพวกนี้มันไม่กินน้ำเปล่า มันจะต้องมีน้ำหวานๆ อ้ายน้ำอัดลมให้มันกิน
มันถึงจะยอมกินน้ำ แล้วในป่ามันจะไปเอาน้ำอัดลมที่ไหนมา
มันก็ไม่กิน พอไม่กินแล้ว คุณกินน้ำน้อย แต่กินของพวกนี้มากๆ มันก็เข้าไปดูดน้ำในลำไส้
ในกระเพาะ สุดท้ายขี้แห้ง
คุณมนัส เป็นไงฮะ
หลวงปู่ อ้าว ขี้แห้ง ก็คือ ท้องผูกไง มันร้อนใน มันดูดน้ำไป มีแต่แป้งกับผงชูรสแล้วก็
ปรุงกลิ่น แล้วคนนึงกินตั้ง 5 ห่อ แล้วมันจะอยู่ได้ไม๊ พอตกเย็นก็เป็นไข้ เดือดร้อนอาตมา
อีกแล้ว ต้องไปต้มยาให้มันกิน ต้มยาถ่ายไม่ทัน โอ้ย ตาแฉะ ร้อนใน ปากเป็นแผล ขี้ไม่
ออก ท้องผูก นี่แหละ ฤทธิ์ที่ทำบุญปัญญาอ่อน พ่อแม่คือ ผู้ใหญ่ทำบุญแบบปัญญาอ่อน
ไม่ใช้สติปัญญา
คุณมนัส ท้องผูก สมัยก่อนเค้าเรียกขี้แห้ง หรือครับ จะได้จำไว้
หลวงปู่ จะไปพักฟื้นอีกซักเดือนไม๊ คำว่า ขี้แห้ง ของภาษาหมอ ก็คือ ขี้ไม่ออก เค้าเรียก
หัวพรรดึก
คุณมนัส อะไรนะฮะ
หลวงปู่ พรรดึก ภาษาโบราณ แล้ววิธีทำให้มันออก คือ แคะ
คุณมนัส ผ่าไม่ดีกว่าหรือครับ
หลวงปู่ ก็เจ็บไปสิ อ้ายที่แคะนี่ เค้าเรียก เจ็บตัว อ้าว จริงๆ คนไข้อายุมากๆ แล้ว หมดแรง
คือแรงในร่างกายไม่สามารถ คือลำไส้มันไม่หดตัว หดตัวน้อยลง แล้วฤทธิ์ที่ลำไส้ไม่ยอม
หดตัว แล้วถ่ายไม่เป็นปกติ เพราะอะไร รู้ไม๊ ขี้เกียจเดิน คนอายุมากๆ จะกินแล้วนั่ง กิน
แล้วนั่งยังพอทำเนา กินแล้วนอน แล้วพอลำไส้มันไม่ได้รับการเคลื่อนไหว ร่างกายเราไม่
ได้รับการกระตุ้น อวัยวะภายในไม่หดตัว มันไม่บีบรัด สุดท้ายก็ไม่มีแรงที่จะบีบเอา
อุจจาระเก่าออก ของเสียออก
เพราะงั้น เค้าถึงบอกว่า กินแล้วให้รู้จักเดินบ้าง เช้าๆ ออกกำลังกาย ที่จริงเรื่องพวกนี้ ชั้น
สอน สอนให้รู้จักบริหารจัดการวิถีชีวิตของตัวเอง แม้กระทั่งกระบวนการขับถ่าย แต่ไม่
ค่อยอยากทำ แล้วพวกนี้ก็เลยต้องท้องผูก ขี้แห้ง ขี้ไม่ออก ถ้ารู้จักดื่มน้ำ ทำให้กระบวน
การขับถ่ายเคลื่อนไหวได้เร็ว ได้ง่ายๆ กินอาหารที่มีกากใย
เพราะเด็กไม่ชอบกินผัก ไม่ยอมกินผักเลย ไม่ใช่ไม่ชอบกินผัก เพราะฉะนั้นถ้าพระพี่เลี้ยง
ตักผักให้ มันนั่งกระบิดกระบวย บ่าย 2 โมงยังฉันไม่เสร็จเลย เพราะว่าเขี่ยผักไปเขี่ยผัก
มา หลบไปหลบมา พระพี่เลี้ยง ไม่หมดนั่งกินต่อ กินจนกระทั่งบ่าย 2 โมง เหตุผลก็เพราะ
ว่า ที่วัดนี่ เค้าไม่ให้กินอาหารเหลือ เค้าไม่ให้ฉันอาหารเหลือบาตร มันก็เลยเป็นการสอนให้
ลูกหลานได้รู้จักคุณค่าของก้อนข้าว หยดน้ำ
แต่ทุกอย่างก็ดีนะ พักหลัง เข้าใจ
เมื่อวานซืน ก็อาละวาด โยมศรัทธาไม่ลืมหูลืมตา มีเท่าไหร่ก็หมกๆ ใส่บาตร คนโน้นก็
ศรัทธา คนนี้ก็ศรัทธา หารู้ไม่ว่า เด็กมันรับมา มันต้องมีคนทำโทษ ก็รับมาแล้ว กินไม่หมดนี่
ฉันไม่หมดก็ต้องโดนบังคับให้ฉันให้หมด แล้วกว่าจะฉันหมด พุงกว้าง พุงเบิกบาน เรอ
ออกมาจะเป็นขนมไปหมดแล้ว
คือ คนทำบุญไม่มีปัญญา ไม่ใช้ปัญญา
คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง
กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำดีๆ อย่างฉลาด คำว่า กุศล หมายถึง ทำ
ดีอย่างฉลาด ทีนี้เราทำดีไม่ค่อยฉลาด ทำดีแบบไม่ใช้สติปัญญา มันก็ทำให้เด็กหรือ
สามเณรได้รับโทษ
ทำดี ทำบุญอย่างฉลาด ทำอย่างไร ต้องถามว่า เณร พอไม๊ เหลือหรือเปล่า มากไปไม๊ ไม่
ถาม มีเท่าไหร่ ก็หมกๆ ใส่ ชั้นศรัทธาลูกชั้น ชั้นก็ตะบันใส่เยอะเข้า
พอเข้าศาลา ทีนี้พระพี่เลี้ยงก็เริ่มงานสิ ฉันไม่หมด ไม่หมดก็นั่งเฝ้าบาตรอยู่นั่นแหละ 4
โมงเย็นยังนั่งเฝ้าอยู่เลย กินไม่เข้าไง ของมันเหลือ แล้วจะทำยังไง มันก็มีกฏของวัด แล้วที่
เราต้องสอนให้รู้ ก็ให้รู้สำนึกว่า อ้ายก้อนข้าว หยดน้ำ คุณค่าของทรัพย์ สิ่งของ ที่ชาวบ้าน
ถวาย มันไม่ใช่เป็นของที่หามาได้ง่าย
อ้ายพวกเรากินเหลือเฟือ ฟุมฟาย ชั้นส่งแม่ครัวไปใต้ ไปช่วยเค้าทำกับข้าวเลี้ยงพวกน้ำท่วม
ไป 2 วัน 3 วันกลับมา บอกอาหารหมดอีกแล้วส่งรถ 10 ล้อไปนะ ต้องส่งไปอีกรถนึง
แล้วก็สตางค์ให้ไป ครั้งแรกรู้สึกจะ 70,000 ต้องส่งอีก 50,000 ไม่พอใช้
เราก็เล่าให้เณรฟังว่า พวกเรากินทิ้งกินขว้างเนี่ย อ้ายคนทางใต้ที่เค้าเดือดร้อน น้ำท่วม ตก
ทุกข์ได้ยาก อาหารสักมื้อ เค้ายังไม่มีจะกินเลย ลึกๆ นี่ 3 วันเพิ่งจะได้เห็นข้าวเพราะคน
มันเข้าไปยากไง แล้วก็เท่ากับไม่ได้ เรือบินก็ไปส่งไม่ถึง อากาศมันปิด ลำบากลำบน ต้อง
เดินพากัน จูงกันมาเป็นหาง เพื่อจะขออาหารให้เด็ก
งั้นพวกเราอยู่นี่ สบายแล้วกินแบบไม่บันยะบันยัง ไม่คำนึงถึงคนที่เค้าลำบาก ให้เค้าคิดเผื่อ
แผ่ แล้วก็บริหารจัดการทรัพยากรและอาหารของโลก ชั้นก็จะสอนสามเณรว่า การกิน
อาหารที่มันไม่รู้จักคุณค่าของก้อนข้าวและหยดน้ำ มันเป็นการทำลายทรัพยากร ทำลาย
อาหารของโลก ทำลายสิ่งแวดล้อม แล้วก็ทำให้คนในโลกอดอยาก แล้วตัวเองก็เป็นบาปด้วย
เพราะเป็นการทำลายประโยชน์ส่วนรวม
เราก็พยายามจะบอกอย่างนั้น แต่พ่อแม่ไม่ค่อยเข้าใจ ลูกชอบอะไรก็ตะบันซื้อให้ๆ เหมือน
กับไอสครีมเหมือนกัน ลูกชอบไอสครีม เช้าไอสครีม กลางวันไอสครีม เออ พอตกเย็น เจ็บ
คอ ไอ แค๊กๆ หน้าร้อนๆ อย่างนี้ กินของเย็นๆ ต่อมทอลซินก็อักเสบ อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยว
หนาว เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา แล้วเด็กปรับตัวไม่ค่อยทัน ก็กรอกยาไม่เลิก
ก็เลยอยากจะฝากบอกพวกท่านทั้งหลายว่า ถ้าใครมียาแก้ไข้ สมุนไพรที่หลวงปู่ทำ ถ้ารู้สึก
เคือง ระคายคอ เมื่อเช้า เมื่อกี้ ยังนั่งอมในรถ มันเจ็บคอ เมื่อวานไปสวดเจริญพระพุทธมนต์
กลับไปก็ ไข้ขึ้น ก็อมยา เมื่อกี้ขึ้นรถมา รู้สึกระคายเคือง ก็อม ก็ค่อยยังชั่ว เอายา
สมุนไพรมาแกะ แล้วก็กรอกใส่ปาก แล้วก็อมจนกระทั่งมันละลาย เม็ดนึงก็ดีล่ะ คุยได้ยาว
มันช่วยลดอาการต่อมทอลซินอักเสบ แล้วก็ร้อนใน เป็นแผลในปาก
อยากจะบอกว่า เลี้ยงลูกก็อย่าเลี้ยงเอาแต่ซากลูก อย่าเอาแต่กากเดนลูก เลี้ยงให้ได้วิญญาณ
ได้สำนึกของลูกกลับมาด้วย สอนให้ลูกมันมีความคิด แล้วรู้จักแยกแยะอะไรประโยชน์
อะไรไม่ใช่ประโยชน์
เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักแยกแยะ สอนให้ซักพักนึง เด็กจะคิดเป็น เค้าจะรู้จักวิธีที่จะแยกแยะ
อะไรควร อะไรไม่ควร แล้วก็สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดคืออะไร ประโยชน์รองลงมาคืออะไร
และไม่มีประโยชน์คือ อย่างไร แต่พ่อแม่ไม่มีเวลาไปสอนหรือไง ก็ไม่แน่ใจ เรื่องง่ายๆ
อย่างนี้ เรื่องแค่ทำให้ชีวิตสะอาดขึ้น ดูแลสุขภาพ สุขอนามัยเยอะขึ้น ก็ทำไม่ได้
เด็กสมัยนี้ ทำไม่เป็น คือจะล้างแต่หน้า มันทำหน้าให้สะอาดอย่างเดียว แต่เครื่องทรงนุ่งห่ม
มันซกมกอยู่ตลอดเวลา เห็นเดินมา มันยืนล้างหน้าตั้งนานเชียว แต่ตัวมันซกมกมากเลย ไป
ดูที่ตีนมันสิ อู้ย หน้านี้ใส สารพัดแม่ซื้อครีมอะไรมาให้ไม่รู้ ทาโป๊ะเข้าไป แต่อ้ายที่ตีน คลัก
เลย เราเดินไปเจอ ก็บอก มึงเนี่ยนะ ระหว่างหน้ากับตีนมึง ถามจริงๆ มึงจะได้กินข้าวเพราะ
ว่าหน้าหรือว่าเพราะตีน อ้าว มึงอยู่ที่หอกรรมฐาน มึงจะได้อาหารก็เพราะหน้ามึง หรือว่า
ได้อาหารเพราะตีนมึง มันก็งง อะไรว่ะ เราก็เลยอธิบายให้มันฟังว่า มึงใช้หน้าเดินไป หรือ
ใช้ตีนเดินไปหาอาหาร อ๋อ ผมใช้ตีนครับ แล้วกูไม่เห็นมึงล้างตีนเลย ล้างแต่หน้าอย่างเดียว
แล้วก็โป๊ะครีมใส่ครีมหน้าอย่างดี แล้วตีนมึงคลักเลย ซกมกเลย ตะปุ่มตะป่ำ ดำๆ ขี้ดินเปื้อน
เต็มไปหมด ไม่สนใจ
งั้นคนสมัยนี้ รักษาหน้ามากกว่ารักษาตีน ทั้งๆ ที่ตีนมันต้องทำก่อนหน้า เอ้า จริงหรือเปล่า
มานี่ มานั่งได้ มึงเอาหน้ามาหรือเอาตีนมา มาทั้งหน้าทั้งตีน เอา ต้องเอาทั้งหน้าทั้งตีน เอา
ตีนมา กูก็จะพูดให้ตีนฟังทำไม
แต่สำคัญคือ เราไม่ค่อยแยกแยะเลย เราเลือกไม่ออก เราแยกไม่เป็นไง แล้วเห็นสิ่งที่ไร้ค่า
เป็นสิ่งมีค่า อ้ายสิ่งมีค่ากลับไร้ค่า มันเป็นมุมกลับกัน
อาหารที่มีประโยชน์ เรากลับไม่เห็นประโยชน์
อาหารที่ไร้ประโยชน์ เรากลับเห็นว่ามันมีประโยชน์
เหมือนกับที่พ่อแม่ตะบี้ตะบันซื้อขนมกรุบๆ กรอบๆ มาให้เด็ก โอ้ย แล้วมันก็กินกันอย่าง
เป็นล่ำเป็นสัน นั่งประดิษฐ์ประดอย กลัวอ้วน เราก็นั่งมอง โอ้ย ดูมันมีความสุข ทีให้กินผล
ไม้ กินผัก ดูมันกินอย่างกับกินยาขม ไม่ค่อยอยากกิน เออ แปลก มันเกิดจากอะไร พ่อแม่
สอนมันอย่างนี้ พ่อแม่ปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ แล้วก็ไม่ยอมอบรมให้สติปัญญา จะว่าลูก
จะอยู่อย่างไรอย่างมีสาระ แล้วอะไรที่ไร้สาระ ก็ปฏิเสธออกไปเสียบ้าง
ชีวิตเด็กสมัยนี้ มันก็เลยกลายเป็นต้องไร้สาระเข้าไว้ ถ้าวัยรุ่นมีสาระ ไม่ใช่วัยรุ่นไทย มัน
ต้องเป็นวัยรุ่นต่างชาติ วัยรุ่นนอกโลก ถ้ามันไร้สาระเป็นเรื่องดี
เหมือนๆ กันกับที่วัยรุ่นผู้หญิง พี่มันก็พามาให้รักษา เราก็ถามอายุเท่าไหร่ พี่มันก็ตอบแทน
มันนั่งนิ่งๆ โรคซึมเศร้าไง ซึมเศร้าเป็นโรคยังไง ซึมเศร้ามันก็คือ ไม่ค่อยพูดกับใคร ทำตา
เหม่อลอย มันอยากร้องไห้ มันก็ร้องไห้ มันอยากหัวเราะ มันก็หัวเราะ เราก็เลยมอง อ๋อ
เป็นโรคเลือกไม่ถูก เลือกผัวไม่ถูก คนไหนผัวมัน ถามว่านิ้วไหน ทุกนิ้วค่ะ คือ มีกิ๊กหลายคน
เลือกไม่ถูก ก็มีความคิดว่า ตัวเองจะต้องมีชีวิตอยู่อย่างไร เพราะมีคนรุมรักเยอะเกินไป
แล้วตัวเองก็รักหมดทุกคน
นี่คือ วัยรุ่นสมัยนี้ไง ไม่เข้าใจสภาวะ สาระที่ตัวเองจะมีชีวิตอยู่อย่างไร แล้วจะต้องรักษาสิ่ง
ที่เป็นคุณค่าที่สุดของชีวิตตัวเองให้ดำรงคงไว้ให้ยาวนานยืนยงคงอยู่นาน ก็เอาเป็นว่า เด็ก
สมัยนี้ เรียนจบก็มีลูกแล้ว ไม่มีโอกาสจะใช้คำว่า นางสาว เป็นเด็กหญิงก็ได้ผัวแล้ว เป็นเด็ก
ชายก็ได้ภรรยาแล้ว เพราะว่ามันไร้สาระ เพราะสิ่งแวดล้อม เครื่องเร้า สิ่งล่อ เครื่องชักจูง
มันก็ไร้สาระมากขึ้น ทำให้เด็กๆ เป็นอย่างที่เห็นล่ะคุณ
เมื่อกี้ เปิดหนังสือพิมพ์ ตกใจ นึกว่างานอโกโก้ จ้ำบ๊ะที่ไหน ที่ไหนได้งานสงกรานต์สีลม
ไม่รู้ลูกเต้าเหล่าใคร
เราก็พยายามรณรงค์ กระตุ้นต่อมระอายให้แก่ผู้คนในบ้านเมืองว่า แต่งตัวให้เรียบร้อย
ดูแลศิลปวัฒนธรรมที่จะส่งมอบสิ่งที่งดงามให้อนุชนคนรุ่นหลัง ก็มีคนไม่กี่คน เราก็
พยายามพูด แต่คนที่ไม่พูด แล้วมันแก้ผ้า แล้วมันดิ้นอยู่บนเวที มันลงหน้า 1 ไปทั่วโลก
ปีหน้าชั้นมาใหม่ ปีหน้าเอามั่ง เราใช้วิธีแก้ผ้า แล้วดิ้นอยู่บนสะพาน เออ ไป แสดงธรรม
มันจะได้ลงหน้า 1 ไปทั่วโลก แล้วมันจะได้ฟังเราว่า เราจะพูดอะไร ดีไม๊
คุณมนัส แล้วแต่ ไม่ไหวฮะ
หลวงปู่ เออ ก็เนี่ย คนเรามันชอบ แล้วสังคมก็ชอบแบบนี้ อ้ายที่เกิดอย่างนี้ เราพยายาม
จะบอกให้คนรู้จักมีสัมมาคารวะ สำนึกรับผิดชอบ หน้าที่ ดูแลวิถีแห่งความเป็นภูมิปัญญา
ตะวันออก รักษาศิลปวัฒนธรรม เราพูดให้ตาย คอหอยโป่ง ก็ไม่มีใครฟัง แก้ผ้าแป๊บเดียว
เดี๋ยวมีคนฟัง
สังคมจะบอกอะไรเรา อ้ายเราไปพูดแทบตาย เมื่อวานไปสวดมนต์ถวายพระพรในหลวง
ไม่มีใครเอาไปลงหนังสือพิมพ์ พอพวกเสื้อแดงไม่รู้พูดหรือเปล่า ไม่พูดก็ไม่รู้ หรือพูดก็ไม่รู้
ลงหนังสือพิมพ์ตั้งหลายวัน เรื่องดีๆ ไม่ค่อยนำเสนอ อ้ายเรื่องอัปรีย์ลงนำเสนอจัง หมาเห่า
ฝนตกน้ำท่วม หมากัดคน ไม่เป็นข่าว คนเห่า กัดกับหมา เป็นข่าวแน่
วันหลังเราทำมั่งดีกว่า อยากให้เป็นข่าว ไม่ยาก ก็เดินแก้ผ้า แสดงธรรมไปเรื่อย นี่เค้า
นิมนต์ไปเชียงใหม่ น่าจะไปแบบไม่ต้องใส่จีวร ใส่แต่ลม เผื่อมันจะดังขึ้นมาบ้าง ออกหน้า
1
คุณมนัส อากาศมันแปรปรวน
หลวงปู่ ใครเค้าถาม ก็บอกมันร้อน อ้าว เราทำได้ โลกวิญญาณกับโลกมนุษย์ มันต่างกัน
ระหว่างแค่เส้นผม ใครถาม อ้าวท่าน ทำไมไม่นุ่งเสื้อผ้า ก็บอก ผมนุ่ง นุ่งแล้ว ตามึงมองไม่
เห็นผ้า กูใส่ผ้าทิพย์ อ้าว เราใส่ผ้าทิพย์ไง
เราก็ อือ น่าอนาถ อายขายขี้หน้าไปทั้งโลก
คุณมนัส งานสงกรานต์ปีนี้ มีคนถามผมเยอะว่า ทำไมนางสงกรานต์ปีนี้ ถือ
หลวงปู่ เออ นางสงกรานต์สมัยก่อน เค้ามีปืนเหรอ มีไม๊ เพราะนางสงกรานต์ยุคไอที
ปืนนี่มันเป็นสัญลักษณ์ของพวก ถ้าเป็นคำทำนาย ก็หมายถึงว่า เป็นความรวดเร็ว ใจเร็ว
ด่วนได้ แล้วก็ความไม่ยับยั้งชั่งใจ สมัยก่อน เค้าก็ใช้หน้าไม้ ใช้ธนู ใช้เครื่องซัด เครื่องหว่าน
หอก หลาว เดี๋ยวนี้หอก หลาว มันสู้ระเบิดกับปืนไม่ได้
นางสงกรานต์พัฒนา เพราะมันจะสู้กับเค้าไม่ได้ไง มันก็เลยเป็นที่มาว่า นางสงกรานต์ถือปืน
คือเป็นความเชื่อ มันพัฒนาไปตามองค์ประกอบของสังคมแต่ละยุค มันไม่ใช่เป็นหลักตายตัว
แล้วก็องค์ประกอบเครื่องตกแต่งของพวกเทวดาทั้งหลาย เค้ากำลังจะแสดงให้เห็นว่า
มนุษย์แต่งตัวอย่างไร เทวดาก็ไม่ได้แตกต่างกว่ามนุษย์ เพราะมันห่างกันแค่เส้นผมบัง
มนุษย์เชื่ออย่างไร เทวดาก็ไม่ได้แตกต่าง เหมือนกับคำทำนายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่
เรียก มงคล 38 ประการ
ก่อนหน้าที่จะมีคำทำนาย พระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า อะไร เป็นมงคล เทวดาคิดกันก่อน ก่อนที่
เทวดาคิด มนุษย์คิด มนุษย์ถือจอมปลวกเป็นมงคล ภูเขาเป็นมงคล แม่น้ำเป็นมงคล ไฟ
เป็นมงคล พระอาทิตย์เป็นมงคล พระจันทร์เป็นมงคล พวกเทวดาพอเห็นมนุษย์เถียงกัน
เรื่องนี้ ก็เลยเอาไปโจทก์กันในเทวสภา โจทก์กันไปโจทก์กันมา บางพวกก็ถือจอมปลวก
เทวดาบางพวกก็เป็นพวกของพระอาทิตย์ เทวดาบางพวกก็เป็นพวกของพระจันทร์ ก็
โจทก์กันไปเป็นที่ลือลั่นกันไปทั่วเทวสภา สวรรค์ทุกชั้นก็ต้องมาประชุมพร้อมกัน มาถาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อะไรเป็นมงคล อย่างนี้เป็นต้น
เพราะงั้น จะเห็นว่า เทวดากับมนุษย์นี่มันไม่ได้ห่างกันมาก ความเชื่อของมนุษย์เป็นอย่างไร
ความความเชื่อของเทวดาก็ไม่ได้แตกต่าง แต่แตกต่างกันตรงคุณค่าของความเป็นเทวดา
มันมีพัฒนาการได้ไวและเร็วกว่า ได้มั่นคงและได้ดำรงไว้ ซึ่งอย่างน้อยมันก็มีพื้นฐานที่เกิด
จากความละอายชั่วกลัวบาป พวกเทวดามีพื้นฐานจากบุญ คุณงามความดี ที่มนุษย์อาจจะมี
ศีลบ้าง ไม่มีศีลบ้าง ได้บ้าง เสียบ้าง ก็ยัง 50/50 แต่พวกเทวดานี้ยังมีที่แน่ๆ คือ มี หิริ
ความละอายชั่ว โอตับปะ ความเกรงกลัวบาป มีศรัทธา มีบุญ คุณงามความดีในระดับหนึ่ง
เพราะงั้น พื้นฐานในการพัฒนาทางจิตก็จะสูงกว่ามนุษย์ แต่เทวดาสันดานไม่ดี ขี้เกียจ อ้าว
คนสบายแล้ว จะต้องขวนขวายอะไร
ย้อนกลับมาถึงอ้ายเด็กที่เป็นโรคซึมเศร้า ครอบครัวพวกนี้เนี่ย รวย พ่อแม่มีฐานะ มีรถนั่ง
พาลูกไปเที่ยวต่างประเทศ ไปญี่ปุ่น ไปยุโรป แล้วหลวงปู่ก็ดูเด็กที่มันมารับจ้างทำงานที่วัด
ลูกพม่า พ่อแม่ครอบครัวพม่า พวกนี้มันไม่มีสิทธิ์เป็นโรคซึมเศร้า มันมีสิทธิ์เป็นโรคเพียง
แค่ว่า มีกิน กับไม่มีกิน สังเกตไม๊ มึงสังเกตไม๊
เออ ทำไมวะ
มันเกิดอะไรขึ้น คนจนไม่มีสิทธิ์ซึมเศร้า มีแต่คนร่ำรวยเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ซึมเศร้า มีแต่
ลูกคนมีอันจะกิน ลูกผู้รากมากดีเท่านั้นแหละ จึงจะมีสิทธิ์ซึมเศร้า อ้ายลูกคนทำมาหากิน หา
เช้ากินค่ำ นี่มีแต่ว่า วันนี้จะหากินได้หรือหากินไม่ได้
มีโรคแค่นี้ โรคอดอยากเป็นประมาณ
เพราะฉะนั้น ชั้นจึงอยากตั้งข้อสังเกตว่า โรคซึมเศร้านี่มันมาจากอะไร มาจากเสพจนล้น
เสพจนตื้อ เรียกว่า เสพจนสำรอกแล้วก็เสียดายอ้ายที่สำรอกออกมา ไม่ใช่ขาดเครื่องเสพ
แต่ว่า เสพจนล้นลิ้นปี่ แล้วสำรอก แล้วก็หันมาเสียดายสิ่งที่สำรอกว่า ไม่ได้ดั่งหวัง นี่ทำไม
กูอุตส่าห์กินมึงแล้ว มึงยังไม่อยู่ในท้องกู เลยมานั่งเศร้า อุตส่าห์ขวนขวายแสวงหามึงมา
แล้วทำไมมึงไม่ได้อย่างหวังที่กูหา ก็เลยมานั่งเศร้า
อ้ายคนยากคนจน คนอดอยากอนาถา คนหัวไร่ปลายนา เศร้าไม่เป็น
ก็พวกนี้จะมีกิเลสเยอะไง แสวงหามาก จะเรียกว่า ไม่ได้ใช้ปัญญาก็ไม่ได้ ใช้ปัญญาทั้งคู่
คนยากจนก็ไม่ได้ใช้ปัญญา จึงจะจน
คนที่เป็นโรคซึมเศร้า ก็ไม่ได้ใช้ปัญญา จึงจะซึมเศร้า
เพราะงั้น ก็ต้องถือว่า ไม่ได้ใช้ปัญญาทั้งคู่ แต่เป็นปัญญาระดับไหน
คนยากจนมีปัญญาหาอยู่หากิน ก็แค่ปัญญาหากินไปมื้อหนึ่งๆ
คนเป็นโรคซึมเศร้า ก็มีปัญญาหากินได้ทีนึงหลายมื้อ แต่ไม่มีปัญญามาบริหารสิ่งที่หลาย
มื้อได้ พูดอย่างนี้เข้าใจไม๊ ไม่มีปัญญาที่จะมาบริหารในสิ่งที่ตัวเองหามาได้หลายมื้อ ครั้งนึง
ได้หลายๆมื้อ ไม่มีปัญญาบริหารให้มันเกิดประโยชน์สูง ประหยัดสุด พอไม่มีปัญญา
บริหารในสิ่งที่ตัวเองหามา ก็เลยเกิดอาการซึมเศร้า ความเศร้าโศก เสียใจ ความสิ้นหวัง
ความหมดหวัง
เพราะงั้น ทั้งคู่ก็ถือว่า ไม่มีปัญญา
คนจนก็ไม่มีปัญญาที่จะสั่งสมอบรมหาสิ่งที่ตัวเองขาดแคลนมาให้พอเหมาะพอดี
แล้วคนร่ำรวยก็มีปัญญาหามา แต่ไม่มีปัญญาบริหารจัดการสิ่งที่หาให้เกิดประโยชน์สูง
ประหยัดสุด แล้วก็เกิดคุณค่ากับตนและคนรอบข้าง
เพราะงั้นโดยรวมสรุป ก็คือ ปัญญาจึงเป็นเรื่องสำคัญ
หลวงปู่สอนกรรมฐานเณรเค้าอย่างไร เวลาสอนกรรมฐาน เค้าเดินกรรมฐานไป เดินวิชา
ปราณโอสถไป เค้าก็หันไปมองคนโน้นบ้าง มองคนนี้บ้าง ญาติมา เพื่อนมาเยี่ยม เราก็
ตะโกนว่า น้องหนู ธรรมะ 84,000 ข้อ พระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้ดูคนอื่น ท่านสอน
ให้ดูตัวเอง
การปฏิบัติธรรม คือ การดูตัวเอง
เพราะเราดูตัวเอง เราจึงรู้ว่า เราผิดหรือถูก
เพราะเราดูตัวเอง รู้จักตัวเอง เราจึงรู้ว่า สิ่งที่เราจะเสพ สิ่งที่เราจะใช้ สิ่งที่เราจะนุ่ง สิ่งที่เรา
จะห่ม สิ่งที่เราจะมี มันเหมาะสมสำหรับวัยและฐานะ วัยวุฒิ สภาวะของเรามากน้อยแค่ไหน
เพราะเรารู้จักดูตัวเอง เราจึงเข้าใจว่า เราจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร
เพราะเรารู้จักที่จะดูตัวเองอย่างถี่ถ้วน เราจึงรู้ว่า สิ่งที่ทำ คำที่พูด และสูตรที่คิด จะเหมาะ
สมหรือไม่
แต่เพราะที่ผ่านมา เราไม่เคยคิดจะดูตัวเอง เรานั่งเฝ้าที่จะดูแต่คนอื่น แล้วไม่รู้ว่าเราทำผิด
คิดผิด หรือ พูดผิด ทำถูก พูดถูก หรือ คิดถูก
ไม่สนใจว่า สิ่งที่กูพอใจนั้นมันถูกหรือผิด เอาเป็นว่า ถ้ากูทำแล้ว กูพอใจ นั่นคือ กูถูก มีอยู่
แค่นี้ นั่นคือคำว่า ไม่รู้จักดูตัวเอง
รู้แต่เพียงว่า กูทำ แล้วกูพอใจ นั่นคือ กูถูก คนอื่นจะเสียหายอย่างไร ชั่งมัน
นั่นคือ คำว่า ไม่รู้จักดูตัวเอง มันมาจากคำว่า ไม่รู้จักดูตัวเอง แล้วก็ไม่รู้ไม่เข้าใจในสภาวะ
จริงๆ ของตนว่า จะต้องบริหารจัดการให้มันได้ประโยชน์สูงประหยัดสุด เป็นประโยชน์ตน
และประโยชน์ท่านอย่างไร เอาเป็นว่า กูทำ กูพอใจ นั่นแหละ ถูกแล้วของกู คนอื่นจะได้รับ
ผลเสียหาย หรือผิดพลาดมากน้อยแค่ไหนอย่างไรก็ช่างมัน
นั่นคือ ข้อที่มันมีอยู่ในสังคมยุคปัจจุบัน งั้นเด็ก เณรรุ่นนี้สอนยากมาก แค่จะให้สงบสติแค่
5 นาที ไม่ต้องไปพูดถึงนั่งสมาธิ มันไม่ได้เรื่องใหญ่ เมื่อวานชั้นลองให้ซ้อมเจริญพระ
พุทธมนต์ เห็นมันนั่งเจริญพระพุทธมนต์ง๊อกแง๊กๆ เอ้า นอน นะโมยังไม่ครบ 3 จบเลย
มันไปเลย มันไปเฝ้าพระโพธิสัตว์แล้ว ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เนี่ย มันเกิดอะไรขึ้น มันติดแต่
สิ่งที่ไร้สาระเยอะไง พอได้ช่อง เอาล่ะ กูไร้สาระ กูก็เลย จากแรกๆ ก็จับชีท ( sheet)
แบบนี้ พอเราเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็ทำแบบนี้ หลับที่ไหน ไม่ได้หลับ
คุณมนัส บวชมากี่วันแล้วครับ
หลวงปู่ ตั้งแต่วันที่ 2 นี่จะสิ้นเดือน
คุณมนัส ประมาณ 2 อาทิตย์กว่า ถ้าวันนี้ หลวงปู่ให้คะแนนน้องๆ สามเณร เต็ม 10
เท่าไหร่ครับ
หลวงปู่ เออ คำนวณแล้ว ใบวุฒิบัตร มันควรจะตัดครึ่งให้
คุณมนัส จากทั้งหมดเท่าไหร่ครับ
หลวงปู่ 1 ใบเต็มๆ ควรจะฉีกให้ครึ่งนึง หรือไม่ก็อาจจะ ¼ หรือไม่ก็บางองค์นี่ เหลือ
เซนต์เดียว
คุณมนัส โอ้โฮ้
หลวงปู่ จริงๆ ปีที่แล้ว ชั้นมีเณรมาอุปฐากชั้นด้วยนะ เป็นอ้ายห้อยอ้ายโหน ตัวเล็กๆ
คุณมนัส ซ้าย ขวา ขนาบข้าง
หลวงปู่ เออ อายุ เค้าอยู่อนุบาล 2 น่ะ มันมาสมัคร อาสาสมัคร หลวงปู่ ผมขออุปฐาก
หลวงปู่ด้วยนะ แล้วชั้นก็มองหน้ามัน กูอุปฐากมึง หรือมึงอุปฐากกูวะ
คุณมนัส เณร 2 รูป นี่ฉลาด
หลวงปู่ มันเป็นพี่น้องกันไง เป็นฝาแฝด
คุณมนัส เพราะเค้ารู้จักที่จะเอาตัวรอด
หลวงปู่ พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว พอมันอยู่กับเราได้ซักพักนึง มันก็เลยคุย กูอุปฐากหลวงปู่
นะ หลวงพี่ ซักผ้าให้หน่อยสิ ผมไม่ค่อยว่าง ต้องอุปฐากหลวงปู่
คุณมนัส พ่อแม่สอนมาดี เอาตัวรอดได้
หลวงปู่ แล้วพอวันสิ้นสุดโครงการ ชั้นก็ให้วุฒิบัตรมันไปครึ่งเดียว ก็มันไม่ได้ทำอะไรเลย
นอกจากจะต้องคอยตักข้าวให้มันกิน แล้วยังต้องคอยอาบน้ำให้มันอีก แล้วจะให้ใบวุฒิบัตร
เต็มใบได้ไง ก็เอาไปครึ่งเดียว มาปีนี้มาบวชใหม่
คุณมนัส จะเอาอีกครึ่งนึง
หลวงปู่ เออ มันบอก มันจะมาขออีกครึ่งนึง พออยู่ไปได้ซักพักนึง ก็เลยบอกว่า อีกครึ่งที่กู
ให้ เอาคืนมา คงจะไม่ได้หรอก เพราะนี่มันไม่ได้เป็นเรื่องอะไรเลย คือต้องบอกว่า พ่อแม่
ไม่ค่อยพัฒนาต่อยอดในสิ่งที่เราสอน เราก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่เค้ายังไง
คุณมนัส ตั้งข้อสังเกตุอย่างนี้ได้ไม๊ครับ หลวงปู่ เป็นเพราะว่า จริงๆ เรามักจะพูดเสมอว่า
พ่อแม่สอน แต่เด็กมันไม่ฟัง
หลวงปู่ ไม่จริงหรอก
คุณมนัส แต่ผมตั้งข้อสังเกตุแบบนี้ว่า เป็นเพราะว่าสังคมครอบครัวใหญ่ๆ ที่เราเคยอยู่กับปู่
ย่า ตา ยาย มันเริ่มลดลง มันกลายเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะพ่อแม่ทำงาน
สอนมั่งไม่สอนมั่ง อะไรอย่างนี้ พอจะพูดกับลูกเป็นเรื่องเป็นราว ไม่กล้าพูด อาย
หลวงปู่ เมื่อเช้าชั้นถึงได้พูดไปไง บอกว่า เณรบิณฑบาตรมาปุ๊บ ก็ต้องมานั่งรอเพื่อนใช่ไม๊
แล้วก็มาพิจารณาอาหาร แล้วจึงจะฉัน นี่พอบิณฑบาตรมาปุ๊บ ตัวเองนั่งแผลก หยิบใส่ปาก
เลย ใส่ปากก่อนเลย เราก็เลยโวยสิ เพื่อนเค้ามาก่อนหน้ามันตั้งเยอะ ไม่กิน ไม่ฉัน มันมา
คนเดียว มาฉันทั้งที่ยังมีคนเข้าแถวอีกตั้งเยอะ เราก็เลยบอกเนี่ยเพราะว่า พ่อแม่ไม่สอน
พ่อแม่ไม่อบรม แค่จะอดใจรอเพื่อนจะให้พร้อมเพรียงกัน เค้ารู้จักอด ยับยั้งชั่งใจตัวเอง เออ
ไม่รู้จักที่จะเสียสละ ไม่รู้จักที่จะรอ ไม่รู้จักที่จะให้โอกาสแก่คนอื่น คอยจะฉกฉวยโอกาส
จากคนอื่นอยู่เนืองๆ
แล้วคนนี้ ก็เป็นปัญหาอยู่ตลอด เราก็เลยด่ามันไปยันพ่อแม่มันเลย พ่อแม่มันไม่อบรมสั่ง
สอน ถามว่า ทำไมถึงไม่อบรมสั่งสอน ก็พ่อแม่จะอบรมสั่งสอนได้ไง พ่อแม่บอกไม่ให้ลูก
กินเหล้า พ่อแม่ก็ยังกินเหล้า พ่อแม่ไม่ให้ลูกดูดบุหรี่ พ่อก็ยังคีบบุหรี่ให้ลูกเห็น เอ้ย อ้ายหนู
ไปซื้อบุหรี่ให้พ่อหน่อย แล้วจะมีอะไรไปสอนลูก มันจะมีตบะ มีเดช มีศักดา ให้ลูกหวาด
กลัว หรือว่าให้ลูกเกรงอกเกรงใจได้ยังไง พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกเล่นการพนัน ลูกก็ยังโดนใช้
ให้ไปซื้อหวยบ่อยๆ แล้วมันจะเอาอะไรมากลัว เอาอะไรมาเกรง เพราะสิ่งที่พ่อแม่สอน ก็
คือสิ่งที่ตรงข้ามกับที่พ่อแม่ทำ มันคนละเรื่องกับที่พ่อแม่ทำ คือสอนไม่ให้เล่นปืน ตัวเองเล่น
สอนไม่ให้ลูกทำ ตัวเองทำ แล้วลูกจะเชื่อใคร มันไม่มีสิทธิ์เชื่อ
เพราะฉะนั้น คำสอนที่ดี เค้าบอกว่า ร้อยคำสอนไม่สู้การกระทำ ถ้าพ่อแม่เข้าใจความหมาย
ในคำสอนลูกที่ดี อย่าเอาแต่นั่งพูด ต้องทำให้ดู เป็นครูให้เค้าเห็น แม่ปูมันเดินยังไง ลูกปู
มันก็เดินเป็นแบบนั้น พ่อแม่มักง่าย ไร้ระเบียบ เห็นแก่ตัว จิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาธรรม
คอยตำหนิติว่าคนข้างบ้าน เหยียดหยามดูถูกเพื่อนมนุษย์ แล้วจะให้ลูกโอบอ้อมอารี มีน้ำใจ
อารีเพื่อนฝูง ไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว เสียสละ มีน้ำใจ มีจิตสาธารณะ เอาจากไหนมา ลูกมันจะ
ไปเอาจากไหนมา ก็ทุกวันๆ พ่อแม่ก็เอาแต่ด่าอ้ายคนข้างบ้าน ทุกวันๆ มันก็มองโลกสังคม
รอบตัวเป็นเรื่องน่ารังเกียจ แล้วก็ต้องเอาตัวรอดเป็นหลักเข้าไว้ ใครก็ไม่สนใจทั้งนั้น กูต้อง
เอาตัวรอด
งั้น พ่อแม่อยากให้ลูกเป็นคนดี เค้าบอกว่า พิมพ์มันออกมาเป็นยังไง แม่พิมพ์น่ะ ลูกพิมพ์
ก็อย่างนั้นแหละ มันไม่แยกออกจากกัน
ที่ชั้นสอนพระได้ วัดทั้งหลาย ใช้คำว่ากลัว หรือเปล่าไม่รู้ เอาเป็นว่า เกรงใจก็แล้วกัน ก็
เพราะว่า ชั้นพูดอย่างไร แล้วชั้นก็คิดแบบที่ชั้นพูด ชั้นทำ ชั้นบอกว่า ไม่ ตัวเราก็ต้อง ไม่
ชีวิตชั้น ฉันข้าวไม่เคยถอดผ้า ชั้นก็ไม่เคยไม่ว่าต่อหน้าคนหรือลับหลังคน ฉันข้าวก็ต้องมี
ผ้าห่ม แต่เราเห็นพวกพระใหม่ฉันข้าว ถอดผ้า ถามพระใหม่ไปเอามาจากไหน พี่เลี้ยง แล้ว
เราก็ต้องสอนอ้ายพี่เลี้ยงที่มันสอนอย่างนี้ ก็เพราะมันไม่ดี ไม่ถูกต้อง ถ้าพี่เลี้ยงที่ดี ที่ถูกต้อง
ก็ต้องรู้ว่า ที่ 75 ภิกษุพึงทำการศึกษาว่า จะไม่ฉันข้าวโดยที่ทำกายล่อนจ้อน คือจะต้องมี
พฤติกรรมที่สำรวม ระมัดระวังตัว เมื่อเช้า เณรขูดบาตรแกร๊กๆ เข้าไปยังกับโรงขัดเหล็ก
บอกเณร รู้ไม๊ว่า ใน... ภิกษุพึงทำการศึกษาว่า อย่าฉันขอดบาตร อย่าฉันขูดบาตร
เพราะเป็นอาบัติทุกกฏ พระพี่เลี้ยงก็ขูด
คุณมนัส กำลังมีคำถามจะถามหลวงปู่ว่า ท่านหลวงปู่จัดโครงการบรรพชามาต่อเนื่อง
หลายปีแล้ว
หลวงปู่ 30 กว่าปี
คุณมนัส ไม่รู้มีใครเคยถามท่านหลวงปู่ไม๊ว่า ปัญหาอุปสรรคจริงๆ อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับตัว
ผม หรือตัวสามเณรนะครับ มีปัญหาบ้างไม๊ มีอะไรที่ไม่ถูก จะได้บอกกล่าวกันไปเลย
หลวงปู่ ไม่มี ชั้นถือว่าปัญหาทั้งหมดมันอยู่ที่ชั้น ไม่มีพี่เลี้ยง ชั้นก็ทำได้ จริง ก่อนๆ บวช
ตอนสร้างวัดใหม่ๆ บวชพระเณร 130 รูป ก็มีชั้นกับหลวงตาแก่ๆ กับเณรอยู่ 2 องค์
หลวงตาแก่ๆ จะไปพึ่งอะไรแก หลวงตาสนิท ก็พึ่งอะไรไม่ได้ อ้ายเณร 2 องค์ ก็ไม่รู้เรื่อง
อะไร ชั้นเดี๋ยวก็วิ่งเข้าครัวทำกับข้าว แล้ววิ่งออกมาถือไมค์ต่อ เพอร์เฟคแมน มีอะไรผิด
คุณมนัส วิ่งทำกับข้าว วิ่งมาสอน สอนๆ เสร็จ อ้าว
หลวงปู่ คุณไปถามวัดคลองเตยดูสิ ชั้นจัดบวช ไม่มีใครช่วยชั้น มีบวชถวายพระราชกุศล
ในหลวง ตอนกี่รอบ 3 รอบ อะไรเนี่ย พระเณรมาบวช เราก็รับสมัคร อู้ย คนก็หลั่งไหลมา
รับสมัครแล้ว โกนผม เราก็ไปเกณฑ์พวกช่างตัดผม บอก เฮ้ย กูจะโกนผมนาค ไม่มีใคร
ช่วยกู มึงช่วยหน่อย เอ้า ทุกคนก็มา ไม่เก็บตังค์ พอโกนผมเสร็จ เอ้า จะอาบน้ำนาค เอ้ย
พ่อแม่ ต่างคนต่างอาบเอง เวลาทำครัว เราก็เข้าครัว พ่อแม่เค้ามาเห็นเข้า เราเข้าครัว เดี๋ยว
วิ่งออกมาจับไมค์ เดี๋ยววิ่งเข้าครัว เค้าบอก หลวงปู่ ไปจับไมค์อย่างเดียว เดี๋ยวพวกหนูทำ
ครัวกันเอง เออ
แล้วถึงเวลาสอน บวชเสร็จ ก็สอน ทีนี้เราก็สอนเอง วินัย ธรรมวิภาค พุทธประวัติ สอนเอง
เรียนรู้เอง คนอื่นไม่รู้ เรารู้เอง ก็สอนทุกอย่าง ก็เรียบร้อย ไม่เห็นมีอะไร เราก็บอก เฮ้ย
อย่างน้อยก็มีผมคนเดียวนะ พวกท่านอย่าเป็นภาระให้ผม อยู่กันก็อย่าเอาเปรียบกัน ต้อง
ช่วยเหลือ รับภาระแก่กันและกัน ทุกคนเข้าใจ เค้ากลับรู้สึกช่วยเราด้วยซ้ำไป
คุณมนัส ตอนนั้นที่วัดคลองเตย
หลวงปู่ รูปเดียว
คุณมนัส แต่พอเป็นวัดอ้อน้อย
หลวงปู่ พระหลายรูป มากขึ้น ก็ทุกคนมีปัญหา ชั้นก็ทำของชั้นคนเดียว ไม่ใช่ไม่ให้ทำ แต่
เราไม่เคยใช้ เค้าก็จะมีภาระหน้าที่ของเค้า เช่น เค้าจะมาช่วยอะไรก็ปล่อย เราก็ไม่ปิดกั้น
คนอยากช่วยงาน เพราะถือว่า เป็นบุญของเค้าที่เค้ามีส่วนได้ ชั้นไม่ปิดกั้น และห้ามว่า ให้
คนโน้นไม่ช่วย คนนี้อย่ามาช่วยงาน เพราะถือว่าเป็นงานพระศาสนา ทุกคนมีสิทธิ์แม้แต่
ชาวบ้าน เราไม่เคยไปห้าม ไปหวง แต่ถ้าเห็นว่า คนๆ นี้ ทำอะไรไม่ได้อย่างนี้ เราก็จะเป็น
คนทำเอง อย่างดีก็แค่โวยให้รู้จักว่า วิธีทำที่ดี คืออะไร ถ้าตั้งใจที่จะสอนเค้านะ แต่ถ้าเราไม่
ตั้งใจที่จะสอน ก็เฉยๆ
สรุปแล้วก็คือ ชั้นไม่ได้หวังว่าชั้นจะต้องพึ่งคนอื่นเลย ชั้นก็เลยไม่ค่อยมีปัญหา แม้มันจะมี
ปัญหา ก็มองว่ามันไม่เป็นปัญหา เพราะมันเป็นสิ่งที่เราต้องเข้าไปเรียนรู้และศึกษา
คุณมนัส หลวงปู่มองข้าม
หลวงปู่ เออ มองข้ามเหรอ ไม่ได้มองข้าม คุณ แต่ชั้นมองเพื่อเข้าไปศึกษามัน ไปเรียนรู้
มัน ถ้ามองข้ามก็จะไม่รู้ว่า มันคืออะไร ตัวอย่างเช่นที่ผ่านมา พาเณรไปอยู่ป่า เออ มีอยู่
ช่วงนึงที่เอาเณรไปอยู่ในน้ำตกลำอีซู แล้วเช้าวันนั้น เราก็สั่งก่อนเณรจะเข้าสู่น้ำตก ให้พระ
พี่เลี้ยงทุกองค์คอยกำกับดูแลเณรทุกองค์ที่มีอยู่ ห้ามทิ้งเณร ถ้าใครที่รักจะเข้าป่า
ทีแรกเราไม่อยากให้เข้า แต่ทุกคนอยากเข้า เอ้า อยากเข้าก็ได้ แต่ต้องรับปากว่า ต้องรับผิด
ชอบสามเณรทุกองค์ ถ้าอย่างนั้น ก็โอเค ไป ชั้นก็ไม่ค่อยสบาย พอไปแล้ว เราก็ไป ไปก็เอา
เตียงผ้าใบไปนอนป่วยอยู่ข้างๆ ดู พอเราจะหลับๆ สัญญาณ เสียงเณรเล่น เราก็ผงกหัวมาที
แล้วมันก็ขยันมาเล่นจังเลย สรุปแล้ว ไม่ต้องหลับ เออ แล้วเราก็ เอ๋ ทำไมเณรมันมารวมอยู่
กับเราเยอะว่ะ ที่อื่นพวกพี่เลี้ยงมันไปไหนหมด อ๋อ มันพาขึ้นไปอยู่ต้นน้ำตก พาไปเที่ยว
ไปนั่งคุยกัน เสพบุหรี่กัน อะไรกัน
พอถึงเวลาเณรจะกลับ เค้าก็เรียกกลับเป็นหมู่ๆ เดินกลับ พระพี่เลี้ยงก็ทะยอยลงมา มีกลุ่ม
สุดท้ายมาที่หลังสุด เค้าไปกันเดินกันไปถึงแล้ว นี่เพิ่งมา เราก็นั่งรอ มันก็ไม่บอกว่า เณร
หลงอยู่ในป่าอีก 2 องค์ เณรโตอยู่ในป่า 2 องค์ ไม่บอก สุดท้ายก็เลยให้นับยอด พอนับ
ยอด เณรขาด ถามว่าเณรไปไหน เณรอยู่ในป่า อ้าว แล้วอยู่ในป่า แล้วทำไมไม่ไปหา หา
แล้ว ไม่เจอ อ้าว หาไม่เจอ ทำไง
ชั้นน่ะ ไม่พูดกับพระพี่เลี้ยงที่อยู่อีก 5-6 องค์เลยนะ ทำไมเค้าไม่มาช่วย หรือท่านมา
ช่วยผมหา
กลับ ชั้นขอน้ำมาขวดเดียว ใส่อังสะ ออกหา ออกหาแล้วก็ไปเรียกป่าไม้ ก็เออ มีแต่ป่าไม้
แก่ๆ อยู่คนนึง เฝ้าป่าอยู่ ก็เลยบอกว่า เฮ้ย เพราะน้ำตกมันอยู่ 2 ฝั่งนี่ เราก็ไม่รู้มันจะไป
ฝั่งไหน บอกมึงไปฝั่งนี้ กูไปฝั่งนี้ ต่างคนต่างไป
ไปถึงอ้ายที่มันรวมพลกันเล่นน้ำตก ตรงอ่างน้ำมนต์ใหญ่ที่ชั้นเคยไปปักกลด แล้วก็ไปพบ
โอ้โฮ้ มีรอยบุหรี่ ยังมีเบอร์ มีรองเท้า เห็นแล้วมันหมดอาลัยตายอยาก เราสอนมันตั้งนาน
มันทำได้ดีแค่นี้เอง แล้วพระพี่เลี้ยงกลับเป็นตัวนำ ช่างแม่มัน อยากตายก็ตาย
พอเดินลงมา ถามเค้า เณรลงมาหรือยัง ยัง อ้าว แล้วป่าไม้ลงมาหรือยัง ยัง เลยนึกในใจ
ไม่ได้เว้ย ป่าไม้เค้ามีลูกมีเมีย แล้วอ้ายณร 2 องค์ ก็ยังเพิ่งอายุสิบกว่าขวบ พ่อแม่เค้าต้อง
เสียใจขนาดไหน ถ้าลูกเค้าไปหลงอยู่ในป่า แล้วหาตัวไม่เจอ ไม่ได้
กลับไปใหม่ พอกลับไปใหม่ ก็ได้ยินเสียง อ้าว มาทำไมอีกล่ะ ก็ท่านทิ้งแล้วไม่ใช่เหรอ
คุณมนัส เสียงเณร
หลวงปู่ ไม่ใช่ เสียงอยู่ในป่าล่ะ มาทำไมล่ะ ท่านทิ้งแล้วไม่ใช่เหรอ เราก็เลยบอก ของกู
ยังมีห่วงอยู่ กูจะทิ้งได้ก็ต่อเมื่อพระอาทิตย์ตกเหลี่ยมเขา แล้วมันก็ 3 โมงแล้ว เหลือเวลา
อีกชั่วโมงกว่าๆ ต้องเดินไปอีก 7 กิโล อีก 3 ลูกเขา อู๊ย ชั้นไม่เดิน วิ่ง วิ่งขึ้นเขาๆ
คุณมนัส ครับ
หลวงปู่ วิ่งขึ้นเขาไป เออ ป่าไม้ ก็หอบลิ้นห้อยเลย เออ ตำรวจตระเวนชายแดนเค้ามาช่วย
เค้าบอกหลวงปู่ ผมไปไม่ไหวแล้ว ผมเป็นโรคเก๊าส์ ปวดข้อ หอบเป็นหมาหอบแดด ผมไป
ไม่ไหวแล้ว เอ้า มึงไปไม่ไหวก็อยู่แถวๆ นี้ เดี๋ยวกูไปเอง
เราก็วิ่งไปสักพัก ขึ้นไปอีก 2 ลูกเขา พอขึ้นเขาลูกที่ 3 หัวใจมันจะหยุดเต้น มันปวดไป
ถึงสะบัก อู๊ย ลงไปนั่งกำอ้ายต้นไผ่ เอาหัวทิ่มต้นไม้ ทำท่านี้ เอาหัวซุกเข้าไปในต้นไผ่
กูยังตายไม่ได้โว้ย ลูกเค้ายังอยู่ในป่าอีก 2 คน
หายใจลุกขึ้นมา เอาน้ำกรอกปาก วิ่งต่อ เพราะพระอาทิตย์มันจะหลบพ้นแนวเขาแล้ว ก็ 2
ลูกเขา แล้ว กี่โมงไม่รู้ แต่อ้ายระยะทางน่ะ มัน 10 กิโล วิ่งไปซักพักนึง ต้นไม้ใหญ่ล้ม
ขวางทาง ต้นขนาดนี้ ล้มขวางทาง ข้ามต้นไม้ใหญ่ ไปเจออ้ายกอไผ่ เสือกล้มขวางทางอีก
โอ้โฮ้ มันจะอุปสรรคเหมือนแข่งชิงโชคชิงอะไร อ้ายแข่งแรลลี่อะไร เราต้องทำเวลามาก
ต้องผ่าน มุด ข้าม ไม่วิ่ง โดดลงจากหน้าผา วิ่งไปซักพักนึง วิ่งลงเขาลูกที่ 3 จะลงหน้าผา
ได้ยินเสียง มาแล้วๆ เร็วๆ พอได้ยินเสียงปุ๊บ อยู่บนยอดเขา อู้ฮู้ มันสูงเว้ย หาทางลงไม่ได้
ทำไงว่ะ ทาซานสิ
คุณมนัส กำลังจะพูดต่อพอดีว่า โหน โหนจริงๆเหรอฮะ
หลวงปู่ อ้าว โหน
คุณมนัส โอ้โฮ้
หลวงปู่ ก็จับกิ่งไผ่ จับต้นไผ่ แล้วค่อยๆโรยตัวลง ถ้ามันหลุด ก็ไปกับไผ่ล่ะ
คุณมนัส หลวงปู่ไม่ได้ไปกับใครเลยเหรอครับ
หลวงปู่ อ้าว ใครจะไปด้วย ก็บอกแล้วว่า ไม่มีปัญหา ไม่ชอบเอาปัญหาให้ใคร
คุณมนัส โหนแล้วยังไงฮะ
หลวงปู่ โหนแล้วก็ลงเลย
คุณมนัส ร่วง
หลวงปู่ องค์นี้ฟอร์มดี ไม่มีตกอยู่แล้ว ไม่ว่าต่อหน้าและลับหลัง อยู่ในป่าก็ฟอร์มยังดีอยู่
พอลงไปปุ๊บ เห็นรอยตีนมัน รอยตีนที่กำลังเปียกน้ำ แล้วแตะอยู่บนหิน แล้วเป็นรอยตีนที่
กำลังวิ่ง คือ มีละอองน้ำกระเด็น กระเซนไง เรานึกในใจ นี่มันรอยตีนที่กำลังจะกลับ บาง
ช่วงก็รอยตีนคน บางช่วงก็รอยตีนใหญ่ อืม ได้ยินเสียง เราก็ตะโกนเรียก เณร เณร มาเร็วๆ
วิ่งหนีเร็ว
มันวิ่งหนีเราอีก เราก็จะไปวิ่งตามหลังมันก็ไม่ทัน มีอยู่ทางเดียว ชั้นก็มองยอดเขา ต้องขึ้น
ไปบนยอดเขา แล้วไปดักมันข้างหน้า
คุณมนัส โอ้โฮ้
หลวงปู่ ตะกายขึ้นไปยอดเขา แล้วก็วิ่งใส่ตีน โอ้โฮ้ ไม่รู้ล่ะ ไปถึงก็ พอวิ่งไป ได้ยินเสียง
คลุ๊กๆ อยู่ข้างล่าง ไม่ได้ถามเลยว่า สูงแค่ไหน โดดลงเลยล่ะ ดักหน้า
คุณมนัส ทันไม๊ครับ
หลวงปู่ ทัน พอโดดลงไปยืนจังงัง เรียก เณร มันสะดุ้ง หันมามอง
คุณมนัส เณร 2 องค์นั้นมันหนีหรืออะไรฮะ
หลวงปู่ หันมามองหลวงปู่ ตัวสั่นเทา ไม่ อ้ายที่ยืนจังงังน่ะ มันบอกไปว่า คนหรือ ผี มัน
ไม่เชื่อว่าเป็น ชั้น
คุณมนัส มาได้ยังไง เขา 4 ลูก
หลวงปู่ โดดลงมานอนอยู่ข้างล่าง มันไม่เชื่อว่าเป็นชั้น พอมันไม่เชื่อว่าเป็นชั้น มันก็ยืนสั่น
เป็นนกเลย เสร็จแล้วทำไง มันเชื่อตรงไหนรู้ไม๊ ชั้นพูดมันยังไม่เชื่อเลย มันเชื่อตรงที่มัน
เห็นแววตาชั้นน่ะ มันถึงได้เชื่อว่าเป็นชั้น แล้วเดินเข้ามาหา
คุณมนัส แสดงว่า ตาไม่มีแวว ไม่ใช่คน
หลวงปู่ ป่วยน้อยไปหรือเปล่าเนี่ย แล้วชั้นก็เลย ไม่ถามอะไรมันเลย ไม่ถาม
คุณมนัส ตอนไปนี่ ผมทึ่งอยู่แล้ว ตอนกลับนี่ซิหลวงปู่
หลวงปู่ ทำไม
คุณมนัส กลับกันมายังไง
หลวงปู่ ก็บอก มึงตามกูให้ทัน แล้วมันก็มีแค่ผ้าอาบน้ำตัวเดียวนะ ตัวก็เปียกโชกไปหมด
เลย แล้วมันก็วิ่ง รองเท้าก็หลุด แล้วตอนหลัง เค้าก็ไปสัมภาษณ์กัน เห็นคนเค้ามาเล่าให้ฟังว่า
พระพี่เลี้ยงไปถาม มึงไม่ได้ยินเสียงหลวงปู่เรียกเหรอ เค้าบอก ได้ยิน แต่หลวงปู่เคยสั่งว่า
เวลาอยู่ป่า มีใครเรียก อย่าขานรับ
หลวงปู่ มันแสบไม๊ มันไม่ขานรับ มันทำตามคำสั่งเปี๊ยกเลย
คุณมนัส ก็ถูกของเค้านะฮะ
หลวงปู่ เออ แล้วเสร็จแล้ว มันเดินในป่าไป ก็เห็นรอยตีนนำหน้า ก็เดินตามรอยตีน ดูไปยัน
7 กิโล ชั้นไม่ถาม ไม่เรียกใคร คือ ที่เล่าให้ฟัง นี่ไม่ใช่อะไร เล่าให้ฟังว่า เวลาเข้าป่า มันมี
กฏของป่าอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ถ้าเราทิ้งของแล้ว มันจะเป็นสมบัติของป่า ทีนี้ ถ้าเราจะไป
เรียกร้องขอคืน มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน ถ้าไม่แลกเปลี่ยน มันก็จะไม่ให้ ในสิ่งที่เราทิ้งแล้ว
ทีนี้เราก็เลยต้องตระบัดสัตย์ เรียกร้องเอาคืน ด้วยเหตุผลว่า ชีวิตของมนุษย์ พ่อแม่มันไม่รู้
เรื่องอะไร เด็กมันก็ไร้เรียงสา เอ้า ยอมมัน ไปช่วยมันหน่อย แต่หลังจากกลับมาแล้ว คุณ
เอ๊ย คุณรู้ไม๊ เวลาชั้นนั่งขี้ ทำไง ไม่ใช่พรรดึก มันนั่งไม่ลง ขามันแย่ไปหมด เข่ามันงอไม่ได้
ป่วยไป 2 วัน อู้ฮู้ 7 กิโล ขึ้นเขา 4 ลูก แล้วมีเวลาแค่ไม่ถึง 2 ชั่วโมง คุณเดิน 7 กิโล
2 ชั่วโมง เดินไปกลับได้ไม๊ล่ะ
คุณมนัส ตอนนั้นเป็นสัปดาห์ที่หลวงปู่ไปเมืองกาญจน์กลับมา จริงๆ แล้วเรามีคำสั่งที่
จะบันทึกเทปรายการวิถีธรรม วิถีไทย แล้วทางทีมงานแจ้งว่า ท่านหลวงปู่ซึ่งไปกาญจน์
กลับมาอาพาธ สงสัยงานนี้แหละ เราก็เลยพลาด ก็เลยไม่ได้เจอ
หลวงปู่ เออ อาพาธ คือชั้นไม่ยันปัญหาให้เค้า เพราะเรารู้ว่า ศักยภาพพวกเค้าไม่มีสิทธิ์เจอ
คือ วิ่งตามไปหา ชั้นก็ต้องไปหามันอีก
แล้วก็ไม่เรียกร้องให้ใครมาช่วยว่า เอ้ย พระพี่เลี้ยงช่วยกันหน่อย เอ้ย เณรโตๆ เพราะชั้น
ถือว่า มันอันตรายขั้นนี้แล้ว เราไม่ให้ใครมาเสี่ยงกับเรา สมัยที่พันธมิตรเค้าไปชุมนุมใหม่ๆ
ที่ลานพระบรมรูป พระทั้งหลายลูกศิษย์นี่เค้ามากันตั้งหลายจังหวัด หลวงปู่ ผมไปเป็นเพื่อน
ไม๊
ชั้นบอก ท่านไปอยู่รอบนอก ไม่ต้องไป เวลาผมโดนจับ ท่านจะได้ไปส่งข้าวได้ ผมไม่
อยากดึงพวกท่านมาเดือดร้อน
คุณมนัส พระอยากจะไป ก็ไม่ให้ไป
หลวงปู่ ไม่ให้ไป ห้ามไม่ให้ไป เพราะชั้นเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมาเดือดร้อนกับชั้น ถ้า
ใครเดือดร้อนกับชั้น ชั้นจะเป็นคนที่อึดอัดมาก คือ อยู่แล้วต้องไม่ให้คนเดือดร้อน แล้วเรา
จะต้องไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร นั่นคือ ชีวิตชั้น ในขณะเดียวกัน ถ้าเราช่วยบรรเทาแบ่ง
เบาความเดิอดร้อนคนอื่นได้ เราจะภาคภูมิ และมีความสุข
งั้นก็ ได้เณรกลับมา ทุกวันนี้ก็ยังเบลออยู่เลยนะ ยังป้ำๆ เป้อๆ กฏของป่าเนี่ย เมื่อทุกอย่าง
เราเป็นของป่าเนี่ย มันก็จะวิ่งไปเรื่อย แล้วมันก็จะมีคนเรียก หรือเสียงเรียก แล้วมันก็จะวิ่ง
อย่างนี้ไปจนกระทั่งมันหมดอายุขัย
คุณมนัส ไม่มีวิธีแก้เหรอฮะ
หลวงปู่ มันเป็นกฏของป่า เพราะมันจะต้องหาตัวเป็นตัวแทน ตัวตายตัวแทน มันก็จะวิ่ง
หนีไปเรื่อยๆ เราก็เห็นสภาพมันแล้ว ก็สงสาร ยอมตะกายขึ้นมาจากหน้าผา ไปกระโดดตัด
หน้ามัน ถ้าขืนปล่อยให้มันวิ่งต่อไป เราก็หาไม่เจอ จะหมดเวลาแล้ว เดี๋ยวมันก็วิ่งไม่เลิก
มันก็หนีไปเรื่อยๆ อยู่ในป่านี่ ไม่ได้ ในป่านี่เป็นอะไรที่ป่าที่ชั้นไปอยู่นี่ เป็นป่าที่มีตำนาน
กลางคืนมีมโหฬี ปี่พาทย์ มาบรรเลง คนเค้าก็ถาม พวกพระไปธุดงค์ด้วย ก็จะถาม เมื่อคืน
หลวงปู่ได้ยินเสียง มโหฬีไม๊ บอก ได้ยิน อ้าว แล้วมันมาไง อ๋อ เทวดาเค้ามากล่อม พวก
เจ้าป่า เจ้าที่ เค้ามากล่อม
พวกนี้เค้ามีอายุขัยที่จะเกิดจะตาย เอ้า นั่งอ้าปากหวอเลยเว้ย
คุณมนัส วันหยุดยาว เมื่อเช้าก็ไปที่ลุมพินี
หลวงปู่ ลุมพินีไม่ได้ไปเลย เพราะเค้าซ่อม หลังจากเค้าซ่อมแล้ว ไม่ได้ไปติดต่อ เค้าปิด
เพื่อซ่อมบำรุง
คุณมนัส เดือนพฤษภา จะมีวันสำคัญวันใหญ่ วันพระสำคัญของโลก ก็คือ วันวิสาขบูชา
ที่วัดอ้อน้อยก็มีกิจกรรม แต่ว่าก่อนหน้านั้น มีพิธีไหว้ครูพระกรรมฐาน หลวงปู่ช่วยกรุณา
ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
หลวงปู่ ที่จริง ปีนี้เค้ากำหนดวันที่เท่าไหร่
คุณมนัส 15 พฤษภาคม
หลวงปู่ ปีนี้ เดือน 6 ใช่ไม๊ กำหนดเดือน 6 15 พฤษภาคม ยังอยู่เดือน 6 อยู่เลย
เดือน 6 ไทย กิจกรรมก็คงไม่มีอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของศิษย์ที่จะไหว้ครู เป็นเรื่องของ
การบูชาครู ระลึกถึงคุณของครูบาอาจารย์ แล้วก็จะทำพิธีขอขมาลาโทษต่อครู สำนึกถึงคำ
สอนสั่งที่ครูบาอาจารย์ได้อบรมสั่งสอน ปีนี้เค้ามีไหว้ครู ทั้งครูกรรมฐาน ครูหมอยา ครูพระ
เวท ครูว่าน ก็คงจะมีกิจกรรมไม่ได้แตกต่างจากปีก่อนๆ เท่าไหร่
สำคัญก็คือ ลูกศิษย์ลูกหาก็ต้องไปทำหน้าที่กันเอาเอง ไม่ต้องให้ครูบาอาจารย์ไปทำ ที่ผ่าน
มานี่ มันปีใหม่ๆ แรกๆ เราก็ต้องจัดปะรำพิธี จัดเรื่องราว จัดให้ดูแล้ว ต่อไปนี้ ใครจะไหว้
ครูก็ไปทำกันเอาเอง เครื่องไม้เครื่องมือ อุปกรณ์ ข้าวตอกดอกไม้ เครื่องพลีกรรมทั้งหลาย
นี่เป็นเรื่องของลูกศิษย์ลูกหาที่จะไป ก็ไม่มีอะไรพิเศษพิสดาร ก็แค่ไหว้ครูเพื่อความเป็นศิริ
มงคล ทำให้ตนมีสติ สมาธิ ปัญญารุ่งเรือง เจริญ เค้าเชื่อกันว่า เป็นมงคลของชีวิต การแสดง
ความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์
ส่วนจะอธิบายให้พิเศษพิสดารว่า จะทำให้ประสบโชคดี รุ่งเรือง ร่ำรวย นั่นเป็นเรื่องเป็น
ราวที่แตกหน่อแตกกอไปเรื่อย
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เป็นการแสดงความกตัญญู กตเวทิตา พระพุทธเจ้าก็ทรงยกย่องว่า เป็นสิ่งที่
เป็นมงคลสูงสุด
คุณมนัส 15 พฤษภาคม ใช่ไม๊ครับ วันอะไร
หลวงปู่ ไม่ทราบ
คุณมนัส วันอาทิตย์
หลวงปู่ เอ้ย วันเสาร์ไม่ใช่เหรอ
คุณมนัส วันอาทิตย์ ก็เรียนเชิญ เดี๋ยวผมไปด้วย ปีที่แล้วผมก็ไป พาคุณแม่ไปด้วย
หลวงปู่ อ้อ ปีที่แล้วก็ไปเหรอ
คุณมนัส ครับ ไปแว๊บๆ แป๊บๆ ล่องหนไป อีกวันหนึ่งครับ คือ วันวิสาขบูชา หลวงปู่ ได้
กรุณาบรรยายอธิบายเพิ่มเติม
หลวงปู่ ก็เป็นวันที่บูชาใหญ่ของศาสนิกชนคนพุทธทั้งหลายที่มีอยู่ในทั่วโลกที่นับถือพระ
พุทธศาสนา แต่อยากจะบอกว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นเพื่อใคร แล้ว
ทรงทำอะไรเพื่อใคร สำคัญก็คือ ทำไปทำไม อยากให้พวกท่านได้คิดในวันนี้มากขึ้น
ด้วยเหตุผลว่า ถ้าเราไม่มีพระองค์ เราก็จะไม่รู้จักเหตุปัจจัยที่เราอยู่ทุกวันนี้ ที่คงอยู่ แล้วก็
จะพ้นจากสภาพที่มันบีบคั้น แร้นแค้น ทุกข์ยากเดือดร้อนนี้ได้อย่างไร ทุกคนเวลานี้ที่
บอกว่า ทุกข์ไม่มีตัวตน เดี๋ยวนี้ก็หันมายอมรับแล้วว่า ทุกข์มันมีตัวตน แล้วความทุกข์มันก็
เข้ามาถาโถมทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ทางภายนอก แล้วก็ทุกข์ทางภายใน ทุกข์ที่เกิดจาก
เศรษฐกิจ ทุกข์ที่เกิดจากธรรมชาติ ทุกข์ที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม ทุกข์ที่ตัวเองบรรทุกเข้ามา
แล้วก็ทุกข์ที่ตัวเองสั่งสม
รวมแล้วก็คือ ตัวเราเป็นผู้มีทุกข์เดินอยู่ มีทุกข์ยืนอยู่ มีทุกข์นั่งอยู่ มีทุกข์พาไป แล้วก็มา
ด้วยความทุกข์
งั้น ถ้าเราอยากจะพ้นทุกข์ ก็ต้องหันไปศึกษา ศึกษาสิ่งที่พระองค์ทรงรับรู้ ค้นคว้าได้ แล้ว
ก็นำมาถ่ายทอดสั่งสอนพวกเรา สิ่งที่พระองค์ทรงถ่ายทอด สั่งสอนพวกเราก็เรียกว่า พระ
ธรรม
ในวันพระพุทธศาสนา คือ วันวิสาขบูชา ก็คือวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
ประสูติ ก็อย่างที่เราทราบกันดีว่า ก็คือ การเกิด เกิดในที่นี้ แบ่งเป็น 2 อย่าง ก็คือ เกิดใน
นามของเจ้าชายสิทธัตถะ กับเกิดในนามของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงตรัสรู้ ก็คือ ทรงรู้ในสิ่งที่เป็นความจริงอันประเสริฐในโลก ที่สมัยนั้นไม่มีใครได้รับรู้
ความจริงอันประเสริฐนั้น ก็คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค อริยสัจ 4 นั่นเอง ที่เราเรียกขาน
กัน แล้วก็ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่แปรปรวนในท่ามกลาง แล้วก็สุด
ท้าย แตกสลายในที่สุด
ปรินิพพาน ก็คือ ความดับและเย็นที่พระองค์ได้ทรงทำหน้าที่ตลอดระยะเวลาในความเป็น
พระผู้มีพระภาคเจ้า อย่างเป็นผู้ที่ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
ที่จริง คำว่า เสียสละ แบ่งปัน และให้ ยังเป็นเรื่องของผู้มีกิเลสหนา ปัญญาบางอยู่ แต่
ระดับพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้า ไม่จำเป็นต้องใช้คำนี้ เพราะ ผู้มีปัญญาสูงสุด ก็คือ เห็น
ว่า สิ่งที่มีอยู่ในเวลานี้ คือ สิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เพราะงั้น ก็ไม่จำเป็นต้องมีคำว่า แบ่งปัน เจือจาน
เสียสละ แล้วให้ เพราะเมื่อมันไม่มีอยู่จริงแล้ว ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้ให้อะไร ก็ไม่ต่าง
อะไรกับไม่ให้ ไม่ให้ก็ไม่ได้ ต่างอะไรกับให้ เพราะมันไม่มีอยู่จริง
ท่านก็มองเห็นเป็นเรื่องธรรมดาๆ สมมุติว่า มีคนเอาปัจจัยมาให้ เมื่อมองเห็นว่า มันไม่มีอยู่
จริง ก็ไม่ต้องขวนขวาย ไม่ต้องมานั่งเสียสละ ปลดปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติที่มันควรจะเป็น
มันก็จบ
นั่นคือ สำหรับผู้มีปัญญาอย่างลึกซึ้ง มองโลกอย่างละอียด ถ่องแท้ แล้วเห็นสรรพสิ่งในโลก
ไม่มีตัวตน มันไม่มีคำว่า เสียสละ เพราะไม่รู้จะเอาอะไร มาสละ เมื่อมันไม่มีอะไร แล้วจะ
เอาอะไรมาสละ พูดอย่างนี้ เข้าใจไม๊ เออ หน้างงๆ กลัวจะไม่เข้าใจ
เมื่อไม่มีอะไร แล้วจะเอาอะไรมาเสียสละ
อ้ายที่มันยังมีอะไรอยู่ก็เพราะว่า เรายังเห็นเป็นตัวเป็นตน เราจึงต้องมีอะไรมาเสียสละ ทีนี้
เราก็จะเกิดอาลัยอาวรณ์
เสียสละมากไป ก็เกิดอาลัยอาวรณ์
เสียสละน้อยไป ก็ห่วงหาอะไร ห่วงหาอะไร พูดอย่างนี้เข้าใจไม๊ เนี่ย เออ ต้องดุ ถึงจะได้
ตื่นจากภวังค์
เพราะงั้น ก็เลยอยากบอกว่า สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้า พระอรหันต์ ผู้มีปัญญาสูงสุดแล้ว
เนี่ย ไม่มีอะไร ก็เลยไม่ต้องให้อะไร แต่ที่ยังมีอะไรๆ อยู่เนี่ย จึงต้องให้ ต้องสียสละ
เมื่อให้มากไปก็เกิดอาลัย อาลัย ให้น้อยไป ก็รู้สึกว่า อาลัยมันเยอะเกิน
รวมๆ สรุป คนที่มีอะไร และอาลัย คือ คนที่ต้องสอน คนที่ต้องศึกษา คนที่ต้องรู้จักมองว่า
โลกจริงๆ แล้วมันไม่มีอะไร เหมือนอย่างที่ชั้นเขียนบทโศลกสอนลูกหลานเอาไว้หลายสิบปี
ที่แล้วว่า อย่าทำอารมณ์ให้เป็นอะไร แล้วเราจะได้ไม่มีอาลัยในอารมณ์นั้นๆ
นั่นก็แสดงว่า มันมีปัญญาสูงสุดที่จะมองโลก แม้อารมณ์ก็ไม่มีอะไร แต่ณ.วันนี้ เราต้อง
ยอมรับว่า คนที่มีปัญญาสูงสุดที่สามารถมองเห็นอย่างนี้ได้ หาได้น้อยมาก แม้แต่ผู้ที่
ประกาศตัวเองว่าเป็นอรหันต์ ยังมีอะไร อะไร แล้วก็มีอาลัย อาลัย ในอารมณ์อยู่เนืองๆ
แล้วสำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้า วันวิสาขบูชา คือ วันที่ไม่มีอะไร อะไร แล้วก็จะไม่เกิดอาลัย
อาลัย นั่นคือ สาระสำคัญสูงสุดในวันพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่มีอะไรสูงไปกว่านี้แล้ว
แต่ถ้าวันพระผู้มีพระภาคเจ้า คือวันวิสาขบูชา วันที่ทรงปรสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน เรายัง
มีอะไร อะไร ให้ให้ ให้บริจาค ให้เสียสละ ให้ถนอม ให้รักษา ให้ห่วงหา ให้อาวรณ์ มันก็จะ
เกิดอาลัย อาลัย อยู่ตลอดเวลา แล้วมันก็จะไม่ตรงต่อพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาค
เจ้าว่า สรรพสิ่งในโลกเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ และแปรปรวนในท่ามกลาง สุดท้ายแตก
สลายในที่สุด มันไม่มีอะไร ไม่ต้องอาลัย เหมือนกับคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสอนศิษย์
พราหมณ์ มีนามว่า โมคราชว่า โมคราชะ เธอจงมองโลกเป็นของว่าง คำว่าโลกของ
พระองค์นี่หมายถึง
โลก คือ หมู่สัตว์ และ โลก คือ ที่บรรจุและยืนเหยียบอยู่ของเหล่าหมู่สัตว์
แบ่งเป็น 2 ชนิด อย่างนี้ โลกคือ หมู่สัตว์ กับ โลกคือ ที่บรรจุและยืนเหยียบอยู่ของเหล่า
บรรดาหมู่สัตว์
ดูก่อน โมคราช เธอจงมองโลกให้เป็นของว่าง แล้วมัจจุราชจะไม่เห็นเธอ เพราะแม้ที่สุด
ทุกอย่างมันเป็นของว่าง ตัวเราต้องว่างด้วยไม๊ ว่าง แล้วมัจจุราชมันจะมองเห็นเราได้อย่างไร
เพราะมัจจุราชจะมองเห็นแต่อะไร อะไร แล้วก็มี อาลัย อาลัย อาลัยของมัจจุราช คืออะไร
คือ ถูกกับผิด ลงโทษคนผิด ยกย่องคนถูก นั่นคือ อาลัยของมัจจุราช กรรม คืออาลัยของ
มัจจุราช เพราะกรรมเป็นเครื่องมือของมัจจุราชในการตัดสินใจอรรถคดี เหมือนกับ
กฏหมายเป็นเครื่องมือของตุลาการ
สำหรับคนที่อยู่เหนือมัจจุราชได้ ต้องมองโลกให้ไม่มีอะไร อะไร แล้ว จะได้ไม่เกิดอาลัยใน
อารมณ์ เข้าใจไม๊เนี่ย นั่งงงๆ มึนๆ
เพราะงั้น วันวิสาขฯ จึงเป็นวันที่ผู้คนทั้งหลายต้องหันมาคิดอย่างนี้ แบบนี้ ถ้าหากว่า ไม่คิด
กันอย่างนี้และแบบนี้ เราไม่ทันที่โลกจะล่มสลาย ที่เราชอบพูดกัน ชอบกลัวกันว่า โลกจะ
แตก ฟ้าจะถล่ม แผ่นดินจะทะลาย สึนามิจะมา เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องอะไร อะไร แล้ว
เกิดอาลัยอาวรณ์
แล้วความกลัวก็เป็นอาลัย ที่ย้ายบ้านจากสมุทรปราการไปอยู่ทางเหนือ ดันทะลึ่งน้ำท่วม
เหนืออีก ก็อาลัย อะไรกันเนี่ย อุตส่าห์หนีน้ำมาภูเขา อะไรกันเนี่ย
เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี่มันมาจากคำว่า มีอะไร อะไร แล้วเกิดอาลัย อาลัยในอารมณ์
ไหนๆ เราจะมาพูดถึงวันพระพุทธเจ้า ก็พูดให้ถูกองค์ถูกฝา เราศึกษาถูกต้องตัวพระ
พุทธเจ้าจริงๆ
ไม่ใช่พูดถึงพระพุทธเจ้าเพียงแค่ว่า พระองค์ประสูตรที่ไหน ตรัสรู้ ปรินิพพานที่ไหน
สถานที่เหล่านั้นไม่ได้ทำให้เราไม่มีอะไร อะไร ได้เลย เพราะเราไม่สำเหนียกที่จะปฏิบัติ
ตามพระธรรมคำสั่งสอนและวิถีพุทธที่พระองค์ทรงชี้แนะให้เรา
งั้นให้ทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ลึกๆ ถ้าให้ชั้นพูดเรื่องพระพุทธเจ้า ก็ต้องพูดถึงเรื่องว่า พระ
พุทธเจ้าตัวตนแท้ๆ นั้น ก็คือ ไม่มีอะไร อะไร แล้วไม่ทำให้เราเกิดอาลัยใดๆ ได้เลย นั่น
แหละคือ ตัวตนแท้ของพระพุทธเจ้า เจริญธรรม
ปุจฉา การปฏิบัติธรรม คือการปฏิบัติตนเพื่อสวนกระแสโลก ใช่หรือไม่ เหตุเพราะว่า
กระแสโลก คือกระแสแห่งกิเลส เพราะฉะนั้น กระแสแห่งกิเลส มันคือ อะไร
วิสัชนา คนที่พูดอย่างนี้ คือ คนที่ยังติดข้องอยู่ในโลก เค้าก็จะพูดกันแบบนี้ แต่คนที่พ้นโลก
เค้าก็จะบอกว่า โลกนี้ไม่มีอะไร มันก็ไม่สวน ถูกเปล่า คนที่ยังอยู่ในโลก แล้วก็ยังติดข้องอยู่
ในโลก ยังยืนอยู่บนพื้นผิวโลก แล้วยังห่วงหาอาวรณ์ในโลก แล้วก็สุดท้ายเป็นโรค ติดโรค
แล้วยังต้องบอกว่า สิ่งที่พระพุทธองค์สอนเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องลำบาก เป็นเรื่องทวน
กระแส เป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกทุกข์ยากในการที่จะปฏิบัติตามได้ เพราะเรามีวิถีคิดเหมือนกับ
ชาวโลกที่เราติดโรค แล้วก็กำลังเป็นโรค แต่ถ้ามีวิถีคิดแบบวิถีพุทธ ที่เป็นวิถีแห่งผู้รู้ ตื่น
แล้วก็เบิกบาน เราก็จะไม่มีความคิดแบบนี้เลยว่า ธรรมะของพระองค์เป็นเรื่องทวนกระแส
โลก แต่เราจะมีความคิดใหม่ว่า พระองค์ทรงทำ และสอน นำให้เรารู้จักมายาแห่งโลก เข้าใจ
เกม กล กาม เกียรติ์ โกรธ ที่บรรจุแล้ว เมื่อเข้าใจแล้ว เราก็จะไม่ขวนขวายที่จะแสวงหา
โรคร้ายเหล่านั้นเข้ามาติดตัวติดใจเรา เราก็จะเป็นผู้พ้นโลก แล้วไม่ติดโรคในที่สุด
เพราะงั้น ความหมายของคำว่า ธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า คือธรรมทวนกระแสนั้น
จริงๆ แล้ว เป็นคำพูดของคนโง่ เป็นคำพูดของคนที่ไม่รู้จักเกม กาม เกียรติ โกรธ และ
มายาแห่งโลกใบนี้
แต่ถ้าจะเรียกใหม่อย่างคนมีสติปัญญา ก็ต้องบอกว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้โลก เข้า
ใจโลก และอยู่อย่างไม่ติดข้องในโรค นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอย่างแท้จริง และเป็น
ปัญญาสูงสุด ไม่ต้องแปลไทยเป็นไทย ที่พูดนี่ เข้าใจไม๊
84000 ขันธ์ เนี่ย มันไม่ได้มีอะไร อะไร เพราะมันไม่มีจริงๆ เมื่อไม่มีจริงๆ แล้วมัน
มีอะไรจะต้องมาให้กับใครๆ แล้วเราต้องมาสั่งสมอะไร ต้องมาเฝ้าระวังรักษาอะไร แล้วมัน
ก็จะไม่เกิดอาลัย เมื่อมันไม่เกิดอาลัย ก็ไม่ต้องมีอะไร ไม่เหลืออะไร ไม่ได้อะไร กูตายแน่
เดี๋ยวเอาเสื้อแจกพิธีกรเค้าซักตัว เออ พิธีกรต้องใส่เสื้อตัวนี้จัดรายการ เสื้อสุดหล่อ ใส่แล้ว
หล่อปิ๊งเลย แล้วหายโรคหายภัย คุณจะได้ไม่เป็นโรคมีภัย ใส่แล้วไม่มีอะไร
คุณมนัส การที่เรามีอะไร แล้วก็เกิดความอาลัย แสดงว่า ไม่รู้ผมเข้าใจเองหรือเปล่า
หลวงปู่ ยังโง่
คุณมนัส แสดงว่า ใช่ มันโง่แล้วเรามีกิเลสอยู่ แต่ในขณะเดียวกัน เป็นไปได้ไม๊ว่า จิตมัน
เป็นคนผลักให้เข้าไปหากิเลสมากขึ้น
หลวงปู่ มันยากต่อกระบวนการที่จะพิจารณาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รอบรู้โดยจบ อย่าง
ชนิดที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องพระมหาโพธิสัตว์ หรือพวกมหายานยกย่องพระโพธิสัตว์
พระองค์หนึ่งนามว่า พระวัชระปัญญา คือมีปัญญาคมดั่งวัชระแห่งพระอินทร์ วัชระนี่เค้า
บอกว่า ตัดเพชรได้ วัชระของพระอินทร์นี่คมกริบ ตัดเพชรได้ดั่งหยวกกล้วย งั้น พระวัชระ
ปัญญา ก็คือ ผู้มีปัญญาคมกริบตัดชาติภพได้ดั่งหยวกกล้วย แล้วมันจะคมกริบ สามารถตัด
ชาติภพได้ดั่งหยวกกล้วยก็ง่ายมาก ถ้ามองโลกให้เป็นไม่มีอะไร อะไร แล้วก็ไม่เกิดอาลัย
มันก็จบล่ะ
เหมือนๆ กับที่หลวงปู่เข้าไปช่วยเณรในป่า ก็มีเสียง อายุท่านจะสั้น อายุขัยท่านจะต้องทอน
ตัวท่านเอง แล้วท่านก็จะไปช่วยสัตว์ผู้โง่เขลาเบาปัญญาที่ไร้คุณค่าและขาดประโยชน์ไปทำ
อะไร
เรากลับบอกว่า มีอายุหรือไม่มีอายุ มันก็ไม่มีอะไร เดี๋ยวความรู้สึกว่า มีอายุ หรือไม่มีอายุ
มันก็ไม่มีอะไร แล้วเราก็ไม่รู้สึกอาลัยในอายุขัยที่เรามี อย่าว่าแต่อายุเลย พรรษายังไม่
อาลัยเลย
เอ้า จริง แต่หลวงปู่จะเห็นคนข้างๆ เค้าว่า หลวงปู่เป็นคนงก อะไรน่ะ งก
คุณมนัส ทำทุกอย่าง
หลวงปู่ งก ทำทุกอย่าง มีอะไรบ้างที่กูยังไม่ทำ ไอติมก็ทำแล้ว น้ำก็ทำแล้ว ยาก็ทำแล้ว
สมุนไพรก็ทำแล้ว กรรมฐานก็สอนแล้ว วิปัสสนาก็สอนแล้ว โอ้ เหลือจรวดยังไม่ได้ทำ
เพราะงั้น จะเห็นว่า หลวงปู่เป็นคนงก อยากได้ ถ้าหลวงปู่อยากได้ ก็มันต้องสั่งสมสิ ต้อง
สะสม มีคนถามว่าหลวงปู่ทำอะไรเพื่อหวังผล มันจะหวังผลอะไร อ้าว ถ้าหวังผล ก็คงไม่
ปฏิเสธ เราก็หวังผลบุญ หวังผลสั่งสมอบรมบารมีธรรม หวังผลว่า จะทำให้ประชาชนผู้คน
ได้อยู่ร่วมกันอย่างเสียสละ แบ่งปันและอาทร ก็มีคำถาม แล้วที่ท่านไปสงเคราะห์พวกมุสลิม
พวกนอกศาสนา ไปสงเคราะห์พวกมุสลิม เราได้บุญไม๊ ได้ แต่ได้อะไรตอบแทนไม๊ ถ้า
มองในเรื่องตอบแทนเป็นวัตถุ ได้ไม๊ แต่ทำไมหลวงปู่ทำ ก็เพราะมันไม่มีอะไร มันเป็น
มนุษย์เท่านั้นแหละ ทำไปเฮอะ
หลวงปู่ไปหาเค้า ไปคุยกับพวกเค้า บอกว่า ชั้นมานี่ ไม่ได้มาในฐานะตัวแทนของศาสนา
ศาสนายกไว้เหนือหัว แต่มาในฐานะคนไทยที่เห็นเพื่อนไทยลำบาก เรามาช่วยเพื่อนไทย
คุณมนัส สงสัยหลวงปู่จะต้องได้ทำอะไร ที่ไม่ได้อะไรกลับมาแน่
หลวงปู่ เพราะ
คุณมนัส มีจดหมายมาขอความอนุเคราะห์จากหลวงปู่ ว่า ตอนนี้ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำวัวแดง
จังหวัดชัยภูมิ ไม่ทราบใครเขียนเข้ามา ว่าตอนนี้ ขาดแคลนกลดที่จะใช้ในการบวชสามเณร
ใหม่ จำนวน 50 กลด ก็เลยขอความเมตตาหลวงปู่ อันนี้คือ อะไร เพราะว่า จะต้องใช้
สตางค์
หลวงปู่ ที่จริง หลวงปู่ เดือนๆ มีคนเขียนมาขอทุกเดือน ให้ได้ ก็ให้ พิจารณาดูว่าควรให้ ก็
ให้ ไม่ใช่ว่า ขออะไร ก็ให้หมด ไม่มีอะไร แล้วกูจะให้ทุกเรื่อง ไม่ใช่ ไม่ใช่พอบอกว่า ใช้
คำว่า ไม่มีอะไร แล้วก็ให้ทุกเรื่อง ไม่ใช่นะ หลวงปู่เป็นคนที่ สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง
การไม่ทำบาปทั้งหมด กุสะลัสสูปะสัมปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม
คือ ฉลาดแล้วจึงให้ ไม่ใช่โง่แล้วให้ ให้ด้วยความชาญฉลาด ไม่ใช่ให้ด้วยความโง่เขลา
ถ้าให้ด้วยความโง่เขลา ก็คือ ให้อาหารแก่โจร เลี้ยงคนชั่วให้อ้วน ให้โอกาสแก่คนผิด คือให้
มันทำผิดเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ว่าให้แก้ตัว ให้แก้ไข ไม่ใช่นะ ให้คนผิดทำผิดเพิ่มขึ้น อย่างนี้ไม่ให้
ทำเรื่องเลวร้าย ให้กระบวนการสนับสนุนทำเรื่องเลวร้ายก็ไม่ได้
งั้น ไม่ใช่เขียนขอมาแล้ว ก็จะให้ ยัง ต้องผ่านการพิจารณาก่อนว่าเหมาะ สมควรไม๊ บางที
บางครั้งมาจากคุกไหนก็ไม่รู้ หลวงปู่เหมือนบิดาองค์ที่ 2 ของผม โอ้โฮ้ เอางี้เลย เออ มัน
ต้องมีที่มาที่ไป บวชเมื่อไหร่ พระเณาอยู่ที่ไหน ใครเป็นอุปัชฌาย์ ไม่ใช่อยู่ดีๆ เขียนขอมา
ขอกลด 50 คัน กูก็บอกว่า ให้ ต้องรักษาหน้าไว้
อาตมาไม่มีหน้าให้รักษา ไม่มี แล้วเวลาให้ ก็ไม่มีฟอร์ม ถ้าอยากให้ ให้เลย แต่ถ้าไม่อยาก
ให้ ให้ขอให้ตาย ก็ไม่ให้ เพราะว่า ไม่เห็นควรจะให้ อย่าว่าแต่ กลด 50 คันเลย คุณรู้ไม๊ว่า
ชั้นจัดโครงการสงเคราะห์วัดต่างๆ 2-3 เดือนที หรือ 5-6 เดือนที ก็จัดผ้าป่าไปถวาย
วัดโน้นที วัดนี้ที ครั้งนึง ห้าแสน ห้าแสน ชั้นยังให้ได้เลย กลด 50 คัน จะกี่ตังค์ ถ้าเห็นว่า
เค้าลำบากแล้วอยากให้
ไม่ใช่อยู่ดีๆ มาขอแล้วก็ให้ ไม่ใช่ แล้วชั้นก็จะพูดเสมอว่า พระควรจะต้องช่วยเหลือกัน ไม่
ใช่ว่า วัดนั้นช่วยวัดนี้ไม่ได้ วัดนี้ช่วยวัดนั้นไม่ได้ ไม่ใช่ ศากยวงศ์เหมือนกัน เวลาชั้นไป
แสดงธรรมที่วัดอื่นๆ ไม่เคยเอาตังค์วัดอื่นออกจากวัด วันนั้นไปสวด ไปเป็นเจ้าภาพ ไป
สวดศพสมเด็จฯ วัดชนะฯ ลงมาจากกะได มีคนถวายตังค์ตั้งบานเบอะ ทั้งที่เราก็เอาไปถวาย
ไว้แล้วตั้งกี่หมื่น เราก็เลยบอกว่า เงินนี้มันเกิดแก่วัด ที่วัดชนะฯ ควรจะให้กับวัดชนะฯ เอา
กลับไปคืนให้กับวัดชนะฯ
กูไปวัดอะไร วัดปลาเค้า ไปแสดงธรรม พระสมภารเค้านิมนต์ไปสอนพระนวกะกับญาติโยม
เค้ามาถวายปัจจัย ก็ยกให้เค้า บอกว่า ท่านจัดงาน ก็หวังได้ตังค์ ท่านก็ควรจะได้สตางค์ที่
ท่านหวัง แม้ที่สุด ท่านจะถวายผม ผมรับแล้วก็ถือว่า ผมรับ ผมก็ให้ท่านแล้วกัน เพราะ
ท่านก็คือ ญาติของผม ผมมาช่วยญาติ ไม่ใช่มาช่วยคนอื่น
ชีวิตหลวงปู่ ไม่เคยเอาสตางค์ออกจากวัดไหน แล้วถ้าวัดไหนมันจำได้ว่า หลวงปู่เอาสตางค์
ออกมา ให้มาบอกทีเถอะ ไม่เคย
คุณมนัส เอาอย่างนี้ ผมว่านะ ท่านที่เขียนจดหมายวัดถ้ำวัวแดงมา ลองบอกทางสำนัก
สงฆ์ที่ท่านไปปฏิบัติ ลองให้ทางสำนักสงฆ์ติดต่อไปที่จังหวัด ผมว่า วัดใหญ่ๆ เค้ามีเยอะ
เค้าอาจจะช่วยกันได้ ศากยวงศ์ด้วยกัน นี่กำแพงแสน นครปฐม นึกออกไม๊ครับ
หลวงปู่ อันนี้ขอค้านนะครับ
คุณมนัส ทำไมครับ
หลวงปู่ ที่คุณพูดน่ะ มันเป็นความฝันของชั้น แต่มันไม่ใช่ความจริงของโลกปัจจุบัน
เพราะว่า ในโลกปัจจุบัน เค้าต่างคนต่างอยู่ อย่าว่าแต่วัดในต่างจังหวัดเลย วัดในกรุงเทพฯ
กุฏิข้างๆ กันยังไม่ช่วยกันเลย เอ้า จริงๆ
คุณมนัส แต่ที่ให้แน่ๆ ก็คือ วันวิสาขฯ 17 พ ค ที่วัดอ้อน้อย มีกิจกรรมเยอะ มีแจก
มหาทาน 500 ครอบครัว
หลวงปู่ ทุกปี มีข้าวสารแจก ไม่รู้ว่า ยังมีเหลือไม๊ เพราะส่วนหนึ่งต้องแบ่งไปทางใต้ เมื่อ
วาน เผอิญ ทหารจากปัตตานี เค้าก็มา ผู้พันค่าย เค้าก็มารายงานความคืบหน้า
พรุ่งนี้ต้องไปป่า เดินทางไปรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ แล้วก็เอาของขวัญไปแจกให้เค้า
คุณมนัส ที่ไหนครับ
หลวงปู่ ที่ป่าละอู หัวหิน ให้ความอนุเคราะห์ สงเคราะห์ ให้กำลังใจแก่พวกเค้า ที่เค้าช่วย
กันอนุรักษ์ป่าไม้ ให้เขียวชะอุ่ม เขียวขจี แล้วก็ดูแลสิ่งแวดล้อมไม่ให้ใครมาบุกรุกทำลาย
และก็รักษาต้นน้ำธารเอาไว้ เพราะชั้นไปปลูกป่าไว้ที่นั่นประมาณ 800 กว่าไร่ แล้วมันก็
โตสูงใหญ่ ให้ชาวบ้านเค้าเป็นกำลังสำคัญเฝ้าระวังดูแล ไม่ให้ใครมาตัดไม้ทำลายป่า หรือ
ยิงสัตว์ ก่อนนี้ก็มีเก้ง มีเลียงผา มาอยู่อาศัย เป็นป่าผืนเดียวที่อยู่ในบริเวณนั้น ยังเหลืออยู่
อย่างบริสุทธิ์ ไม่ใครแตะต้อง เพราะเค้าเกรงใจไม่กล้าเข้ามาวุ่นวาย ทำเท่าที่ทำได้ ทำเท่าที่
เราสามารถทำ แล้วที่ไม่สามารถทำ ก็จะขวนขวาย
พูดง่ายๆ ก็อยากบอกว่า ถ้าเราจะระลึกถึงพระพุทธเจ้า ให้นึกถึงความว่างเอาไว้ นั่นแหละคือ
พระพุทธเจ้า แต่ถ้าเราจะระลึกถึงพระพุทธเจ้าแล้ว ต้องไประลึกถึงวันประสูติ ตรัสรู้
ปรินิพพานน่ะ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า นั่นไม่ใช่พระพุทธเจ้า นั่นเป็นเพียงแค่ยี่ห้อของพระ
พุทธเจ้า
ยี่ห้อ ใช้คำว่า ยี่ห้อ ไม่น่าจะถูกนัก โดยศักดิ์ของผู้ที่ควรเคารพบูชา แต่มันจะสื่อความหมาย
ได้ตรงไปตรงมาดีกว่าผู้คนทั้งหลายในสังคมยุคปัจจุบัน ที่พอจะเข้าใจความหมายของคำว่า
ยี่ห้อได้
ถ้าจะพูดถึงพระพุทธเจ้า และนึกถึงคำ ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน นั่น เป็นเพียงแค่
ระลึกถึงยี่ห้อของพระพุทธเจ้า
แต่ถ้าจะพูดถึงพระพุทธเจ้า แล้วระลึกถึงความไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร แล้ว
สุดท้าย กูตายแน่ หรือระลึกถึงคำว่า มันไม่มีอะไร อะไร จริงๆ แล้วก็ไม่เกิดอาลัย อาลัย ใน
อะไรนั้นๆ เลย นั่นแหละ คือพระพุทธเจ้าองค์จริง
คุณมนัส ย้ำกับทุกท่านอีกครั้งนึง สำหรับท่านที่ประสงค์จะไปปฏิบัติธรรมที่วัดอ้อนน้อย
ในวันวิสาขบูชา ขอความกรุณารีบเคลียร์ก่อน14.15 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาการปฏิบัติ
ธรรม เพราะทางเจ้าหน้าที่ต้องเตรียมอุปกรณ์
หลวงปู่ กว่าจะมองพระพุทธเจ้าแบบไม่มีอะไร หรือ รู้ได้เนี่ย พวกเรามองได้หรือยัง ยัง
ต้องสั่งสม อบรมและเจริญปัญญาไปเรื่อยๆ แล้วก็พยายามปรับวิถีมอง วิถีทำ วิถีคิด ให้
เป็นวิถีพุทธ ให้เป็นไปตามทำนองครองธรรม แล้วถ้าจำไม่ผิด ชั้นพูดเรื่องทำนองครอง
ธรรมนี่บ่อยมาก เพราะหลักการที่อยู่ในทำนองครองธรรมมีอยู่ 3 หลักการ
1 เชื่อกรรม
2 เชื่ออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
3 เชื่อ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
สามหลักนี่ คือ ทำนองครองธรรม พยายามปรับชีวิตให้อยู่ในทำนองครองธรรม นี้ เท่านั้น
จึงจะสามารถเห็นตัวตนแท้ๆของพระพุทธเจ้าได้
เชื่อกรรม เชื่อว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เชื่อว่า กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลวหยาบ
เชื่อว่า ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว นี่ เค้าเรียกว่า เชื่อขั้นอนุบาล
สำหรับผู้มาจากขั้นอนุบาล ก็เชื่อเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เชื่อว่า สรรพสิ่งในโลก มีเกิด
ขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่แปรปรวนในท่ามกลาง สุดท้ายแตกสลายในที่สุด อย่างนี้ เค้าเรียกว่า
เชื่อชั้นเตรียม หรือ ชั้นประถม
เชื่อสุดท้าย คือ เชื่ออริยสัจ 4 เชื่อทุกข์ เชื่อเหตุเกิดทุกข์ เชื่อความดับทุกข์ เชื่อเรื่องวิถี
แห่งความดับทุกข์ว่า สามารถมีจริง นี่เรียกว่า เชื่อชั้นเตรียมอุดมหรือชั้นมหาวิทยาลัย
เมื่อเชื่ออย่างนี้ ถ้าเราเชื่อกระบวนการเหล่านี้อย่าง ทำถูกทำนองครองธรรมแล้วเนี่ย เราจะ
ต้องเห็นตัวตนแท้ๆของพระพุทธเจ้า เหมือนที่พระองค์ทรงตรัสเอาไว้ว่า
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต
แต่ณ. วันนี้ มีคนที่บิดเบี้ยว และบิดพลิ้ว พยายามจะทำลายหลักทำนองครองธรรมนี้เสีย
โดยเขียนพระไตรปิฎกขึ้นมาใหม่ว่า อนิจจังไม่มี ทุกขังไม่มี อนัตตาไม่มี มีแต่อัตตา แล้ว
อ้ายสำนักนี้ก็เป็นสำนักที่ใหญ่มาก มีทรัพย์มาก มีเงินมาก กำลังเขียนพระไตรปิฎก ได้ยิน
ข่าวไม๊ หลวงปู่เคยพูดเรื่องนี้ แล้วออกรายการวิทยุไปครั้งหนึ่งแล้วว่า มีนักวิชาการทาง
ศาสนาเค้าทำเรื่องร้องเรียน โวยวายกันขึ้นมา แต่เรื่องก็เงียบหายไป เพราะว่าคงสู้ตังค์ไม่ได้
สำนักนี้ก็คือ สำนักธรรมกาย พูดไปตรงๆ เลย ไม่กลัวอยู่แล้ว
เออ สำนักธรรมกาย เค้ากำลังจะประชุมนักวิชาการต่างชาติ ในชาติที่จะเขียนพรไตรปิฎก
เฉพาะสำนักเค้า ให้รู้ว่า เค้าค้านเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พระพุทธเจ้าไม่มีจริง มีแต่
อัตตา เค้ากำลังเขียน อัตตาเป็นเรื่องจริง เพราะงั้น มันก็เลยกลายเป็นในสังคมแบบอยู่ใน
มุมลึกๆ ที่ไม่ค่อยมีใครกล้านำมาพูด เพราะเงินน่ะอะไรมันก็ซื้อได้
เหมือนกับเมื่อวาน ที่ชั้นพูดกับพิธีกรชั้นอีกรายการนึง คิดยังไงถึงอยากไปเป็นนักการเมือง
เค้าก็บอกว่า เค้ามีอุดมการณ์ อยากจะเอาน้ำใหม่ไปไล่น้ำเก่า อยากจะเอาเรื่องงดงาม ดีงาม
ที่ควรจะอยู่ในสังคม ในสภาผู้ทรงเกียรติ แล้วชั้นก็ถามเค้าว่า แล้วคุณเตรียมที่จะไปลงเลือก
ตั้งยังไง มันก็ต้องเตรียมเงิน เตรียมของที่จะไปเดินแจกตามบ้าน
เราก็เลยบอก ถ้าอย่างนั้นแล้วจะพูดได้อย่างไรว่าคุณน้ำใหม่ คุณจะพูดได้ยังไงว่า คุณเป็น
คนที่มีอุดมการณ์ วิธีที่คุณได้มาก็ไม่ต่างอะไรกับอ้ายพวกเน่าๆ ทั้งหลายที่มันได้มา ก็ดึงไป
ลงหาคน แล้วก็ต้องเอาของไปแจกทุกครั้ง
คุณมนัส ทำตามกฏหมาย
หลวงปู่ นั่นแหละ ที่เค้าให้มาแจก เค้าให้มา 10 ป้าย ให้มาโฆษณา
คุณมนัส เค้ามีวิธีการ เค้าอาจจะหมายความอย่างนั้นหรือเปล่า มองโลกในแง่ดี
หลวงปู่ แล้วเบอร์อะไรล่ะที่ลง
คุณมนัส ผมไม่ลง ผมยอมเป็นน้ำแบบนี้
หลวงปู่ เพราะฉะนั้น ชั้นก็เลยอยากบอกว่า อย่ามาบอกว่า เราปฏิเสธระบบ ทั้งที่เราเกิด
จากระบบนี้ แล้วจะพูดอย่างสวยหรูได้ยังไง ถ้าคุณคิดจะให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ก็
ไม่ต้องมาโวย ถ้าคุณหวังว่า คุณจะให้ประชาชนเค้าเรียกคุณมารับใช้ คุณก็จงแสดงตนให้
เค้าดู ให้เค้าเห็นดีของคุณจนชัดแจ้ง แล้วก็ไม่ใช่แว๊บๆ จงดีนานๆ ดีถี่ๆ ไม่ใช่นานๆ ดีที มาดี
เอาตอนที่มา ตอนนี้แหละ นักการเมือง นี่แหละ ใครเกิด ใครแก่ ใครเจ็บ ใครตาย ใครป่วย
พ่อตาโกนหนวด แม่ยายตัดจุก มันไปหมด เนี่ย เดือนสองเดือนเนี่ย มันไปหมด เพราะอะไร
จะหาเสียงไง พอได้มาแล้ว ตายทั้งหมู่บ้านยังไม่โผล่หน้ามาเลย เอ้า เรื่องจริง ห้ามตัดมัน
ออกนะ
ก็เพราะว่า เค้าไม่ได้เห็นเราเป็นผู้มีคุณ เค้าเห็นเราเป็นผู้รับจ้าง รับจ้างลงคะแนน ประชาชน
เป็นผู้รับจ้างของเค้า ที่เค้าจ้างเราให้มาลงคะแนนให้เค้า มีพรรคไหนบ้างที่บอกไม่ใช้ตังค์
ไม่ใช้เงิน ไม่ซื้อเสียง ไม่ซื้อเสียง ก็แจก แจกตั้งแต่สากเบือยันเรือรบ แจกปุ๋ย แจกเม็ด
พันธ์ผัก แจกอะไรต่ออะไร ดีไม่ดีของที่แจกไม่ใช่ของมันด้วย ภาษีชาวบ้าน ภาษีรัฐบาล
เพราะงั้น จึงอยากจะบอกว่า ชั้นเลยเตือนเค้าว่า คุณคิดอยากจะเป็นน้ำดีจริงๆล่ะนะ คุณก็
อย่าเกิดจากระบบนี้ คุณควรสร้างระบบของคุณขึ้นมาใหม่ ระบบที่คุณให้โดยไม่หวังสิ่งใด
ตอบแทน แล้วคุณก็คิดว่า สิ่งที่คุณให้นั้น ถ้าเค้าพอใจให้ตอบคุณ จงให้ แต่ถ้าเค้าไม่พอใจ
ให้ตอบคุณ ก็อย่าไปร้องเรียก แล้วการให้ของคุณก็ไม่ใช่ให้แบบชนิดเอาของไปแจก จงทำ
ประโยชน์ให้เค้าเห็นอย่างสม่ำเสมอ ให้เค้าเห็นคุณมีคุณค่า ไม่ใช่ได้มาจากการที่เอาของไป
ให้ แล้วจึงเห็นค่าของคุณ ไม่ใช่ ถ้าเค้าเห็นค่าของคุณ เพราะว่าสิ่งของที่คุณไปให้เค้าเนี่ย
ของอันนั้นมีราคาแค่ 10 บาท 20 บาท แสดงว่าคุณตีประเมินคุณค่าของคุณแค่ราคา
10 บาท 20 บาท
ทั้งชีวิต คุณมีค่าเท่านั้นเองเหรอ ชั้นก็เลยบอกกับเค้าว่า คุณสู้อุตส่าห์อยู่กับชั้นมาตั้งกี่ปี จัด
รายการธรรมะมา สั่งสมอบรม นี่เด็กปั้นมากับมือเลยนะ เอ้านี่ ชั้นปั้นรายการทีวี ปั้น
วิทยากรมาหลายคนแล้วนะ ตั้งแต่ใครล่ะ สมัยก่อนตั้งแต่ นนธวัช กันตชาติ แล้วก็ตามมา
ด้วยแทนคุณ โอ้ย ก่อนนี้จบมาใหม่ๆ ไม่รู้เรื่องอะไร แทนคุณเค้าจบ มศว หรืออะไร
วิทยาลัยบ้านสมเด็จ พูดอย่างนี้ เค้านึกว่า บ้านบ้า โรงพยาบาลบ้านสมเด็จ
หลวงปู่ เหล่านี้ เค้าไม่ค่อยรู้เรื่องนะ เราก็พาไปโน้น สึนามิไปช่วย ไปกินไปนอน เค้าก็พา
คนไปแยกศพ ชั้นก็ไปช่วยสร้างบ้าน ชั้นนอน เค้านอนปลายตีน ฉันเสร็จก็แบ่งเค้ากิน
แทนคุณเนี่ย พอเดี๋ยวนี้ เค้าได้เป็นลิ่วล้อนักการเมือง เมื่อวานดูสายตาเค้า มองสายตาแล้ว
เหมือนนักการเมือง อ้าว พวกนี้มีวิญญาณ วิญญาณร้ายเข้าสิง
คุณมนัส น้อยใจแย่
หลวงปู่ ไม่ เค้าไม่น้อยใจ ชั้นพูดจริงๆ ชั้นไม่ได้ว่าเค้า แต่พูดให้ฟังว่า พวกนี้จะมีวิญญาณ
ร้ายเข้าสิง เค้าเรียกว่า ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ มันไม่ละเมียดละไม ละเอียดอ่อน ไม่
ธรรมชาติ เค้าเรียกว่า ไม่จริงใจ ไม่สนิทสนม พวกนี้จะเสแสร้งทุกเรื่อง เหมือนกับเล่นละคร
เหมือนกับตัวพระเอกลิเก เจ้าทั้งชาติ พอออกนอกโรงมา อ้าว เมื่อวานเห็นมันเป็นเจ้าอยู่เลย
วันนี้มันทำปัดกวาดส้วม
เลยอยากบอกว่า นักการเมืองคนไหน ถ้าไม่เข้าสู่ระบบแล้วจะไม่เป็นนักการเมือง ก็อย่าไป
เป็นเลย ถ้าจะเป็นนักการเมืองแล้ว เราก็บอกว่า เรารังเกียจระบบ จะไปแก้ไขระบบ แล้ว
เราก็เกิดจากระบบนี้ อย่ามาเป็นอีกเหมือนกัน เพราะยังไง คุณก็มาจากกองขี้ คุณจะปฏิเสธ
กลิ่นขี้ที่มันติดตัวคุณไม่ได้หรอก ถึงคุณจะอ้างว่า ชั้นก็ถามเค้าว่า มีตังค์เท่าไหร่ เค้าบอกว่า
ก็หลักแสน อ้าว พรรคให้เท่าไหร่ ล้านกว่าบาท เอ้า แล้วยังไม่พออีกเหรอ ไม่พอหรอกครับ
อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 ล้าน 10 ล้าน โอ้โฮ้ เราก็เลยกระเซ้า เอาหอมจังไปแจก ในใจก็
นึกในใจว่า มึงเอาแต่ยี่ห้อไปเถอะ คือ ไม่ใช่อะไร เรามีความคิดว่า จะดูว่า เค้าจะคิดยังไง
แล้วสุดท้ายก็ทำไปทำมา เค้าเหมือนกับจะเชื่อในสิ่งที่เค้ากำลังจะทำ เชื่อในสิ่งที่เค้ากำลังจะ
คิด และเชื่อในสิ่งที่คนอื่นเกิดมาได้เพราะสิ่งนี้ นั่นคือวิธีเกิด แจ้งเกิดของเค้า เค้าเชื่อในวิธีนี้
เค้าไม่เชื่อในวิธีที่ว่า คนจนมีสิทธิ์ที่จะไปหาเสียง เค้าไม่เชื่อคนดีมีคุณธรรม ไม่จำเป็นต้อง
มีตังค์ ก็สามารถได้รับความไว้วางใจได้ เค้าไม่เชื่อ เค้าเชื่อว่า ต้องดีแล้วก็มีตังค์ จึงจะเกิดได้
จึงจะเป็นนักการเมืองได้ แล้วอย่างนี้จะมาปฏิเสธได้ไม๊ว่า คุณไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง ปฏิเสธ
ไม่ได้แล้วปฏิเสธที่จะถอนทุนได้ไม๊ ก็ไม่ได้ เอาที่ไหนมาลงทุน 10 ล้าน 5 ล้าน คุณเอา
จากไหนมา เออ กู้เค้ามา ยืมเค้ามา แล้วเอาที่ไหนไปคืนเค้าล่ะ เงินเดือน ส ส พอเหรอ ค่า
โสหุ้ยทั้งหลายก็จะไม่เหลืออยู่แล้ว งั้น มันก็อีรอบเดิมล่ะ
คุณมนัส จะได้เลือกตั้งไม๊ครับ
หลวงปู่ ได้ ชั้นก็เตรียมลงแล้ว พักผ่อน จะลงพรรคพักผ่อน เบอร์ 500 อย่าลืมเลือก
อาตมา เอ้ย มันก็ทุกวงการล่ะคุณ ทุกวงการ อำนาจและตำแหน่ง มันซื้อกันทุกวงการ ไม่
วายแม้แต่กับพระนักบวช นี่ก็ใกล้ จะเตรียมตัววิ่งกันให้ตีนขวิดอยู่แล้ว หัวทิ่ม หางโด่งอีก
แล้ว เตรียมแล้ว ใครจะได้เป็นเจ้าคุณ พระครู อ้าว ก็ใกล้จะเฉลิมฉลองในหลวงใช่ไม๊ เออ
ก็จะต้องตามมาอีกแล้ว
เฮอะ น่าอนาถ วาสนา ชีวิตมนุษย์ คนที่อยู่ในบ้านเมืองที่ไม่เห็นตัวพระพุทธเจ้า เดิน
ประกาศชื่อและโคตรพระพุทธเจ้าไปทั้งชาติ ก็ไม่เจอตัวพระพุทธเจ้า คนพวกนี้ไม่มีสิทธิ์
เอ้า จริงๆ หลวงปู่นี่เถื่อนๆ อย่างนี้ พูดแบบมะนาวไม่มีน้ำ ขวานผ่าฟืน ไม่ใช่ซาก ซากมัน
เหม็น ขวานผ่าฟืน แล้วก็ออกถ่อยๆ เป็นพวกที่ก้าวร้าว ไม่มีมารยาท ผู้พิพากษาก็ไล่หัวซุก
หัวซุนไปเลย ผู้พิพากษามา ท่านเอาเด็กมาบวชนะ เด็กที่ติดคุก อ้ายเด็กคนนี้ก็ไปปล้นเค้า
ปล้นทองเค้า ได้ไป 400 บาท แล้วจนบัดนี้ มันติดคุกเนี่ย กับเพื่อนมัน มันยังไม่รู้เลย
ยังตามหาทอง 400 บาทไม่ได้เลย ทีนี้มันมาบวช มันเป็นเยาวชนนี่ ติดคุกไม่นานมาบวช
แทนที่มันใช้เรา มันจะขอบใจเรา ดันมาให้เราเป็นสปาย สอบว่า อ้ายทอง 400 บาท อยู่
ที่ไหนอีก ก็จะเอามันไว้เหรอ แหม มันปี๊ดขึ้นมาเลย อีห่าราก มึงมาใช้กูแล้วมึงยังมา มึงไป
เชียว อีสันขวาน โอ้โฮ้ ผู้พิพากษาแทบช็อคเลย ไปแน๊บเลย ไปแบบหน้าไม่มีเหลืออะไรเลย
อู้ฮู้ เกียรติคุณกูหมด มาวัดนี้ กูโดนถอนเกลี้ยงเลย
คุณมนัส ไม่เหลืออะไรเลย
หลวงปู่ เออ แล้วจะเอามันไว้ทำไม มันจะขอบใจเรา ขอบคุณเราก็จะดี ไม่ขอบใจ ไม่
ขอบคุณ ดันทะลึ่งมาใช้ให้เราไปสอบ เห็นเราเป็นพระหรือเป็นตำรวจหรือเป็นขี้ข้ามัน ถ้า
มันมองเราเป็นพระ เป็นผู้ที่ควรแก่การเคารพบูชา แค่บอกให้เราช่วยอบรมเด็กและเยาวชน
เป็นคนดี ก็จะขอบอกขอบใจ เมื่อเช้าไปสอบถามอีก อ้ายทองที่เด็กปล้นไป ไปซุกไว้ที่ไหน
ทำอย่างกับเราเป็นหัวหน้าโจรแน่ะ
คุณมนัส เดี๋ยวจะมีกิจกรรมต่อ อยากให้ท่านหลวงปู่ให้ข้อคืด ข่าวเมื่อซัก 2 วันก่อน ที่มี
โศกนาฏกรรมกลางกรุง ที่เมายาบ้า ชักปืนไล่ยิงตำรวจ ยิงแพทย์หญิง ถ้ามองในแง่กรรม
ไล่ฆ่ากันมาแล้วคนที่อยู่ในเหตุการณ์มาจากคนละทิศ
หลวงปู่ อ้ายเหตุการที่ทำให้คนตาย มันไม่ได้พิสดารหรอก ทีอ้ายฝรั่งมันอยู่ขั้วโลก มันมา
ดันทำให้คนอีสานมีลูกได้ อ้ายอย่างนี้พิศดารมากกว่า เอาเด็กเข้าท้องคนได้
คุณมนัส อาม่าชอบใจใหญ่เลย
หลวงปู่ อ้ายนั่นมันพิสดาร มันข้ามแผ่นดินมาทำให้สาวอีสานท้องกันทั้งหมู่บ้านยังทำได้
คุณมนัส ที่หลวงปู่ตอบ หัวเราะกันหมดเลย ผมรู้คำตอบแล้ว
หลวงปู่ ทำให้คนตาย ง่ายจะตาย ทำให้คนเกิด ยากนะ เออ แล้วมันตะกายมาตั้งไกล ข้าม
ทะเลมากี่พันร้อยไมล์ มาทำสาวอีสานท้อง ได้หลามไหลทั้งหมู่บ้าน เออ นั่นแหละ พิสดาร
กว่า
คุณมนัส ปุจฉาดีกว่า ปุนฉา ลูกฟังธรรมหลวงปู่ครั้งแรก แล้วคุณแม่เสียไป 4 เดือน
ทำบุญอุทิศไปให้ก็ไม่ได้รับ
หลวงปู่ รู้ได้ไง
คุณมนัส เขียนต่อ คนทางบ้านไปทรงเจ้ามา แล้วเค้าบอกให้สร้างพระหน้าตัก 29 นิ้ว
จริงหรือไม่ ถ้าลูกทำแล้ว แม่จะได้รับผลบุญไม๊
หลวงปู่ เชื่อหรือเปล่า เชื่อก็ทำ เอ้า ทำพระไม่ใช่เรื่องเสียหาย อย่าว่าแต่ แม่ตายหล่อพระ
เลย หมาตาย แมวตาย หล่อพระก็ไม่น่าเกลียด เอ้า จริง ไม่ได้เสียหาย ทำอะไรที่เป็นบุญ
ก็ทำได้ อนาถะบิณฑกะเศรษฐี หลานสาวทำตุ๊กตาตกแตก ยังเลี้ยงพระตั้ง 500 ทำบุญ
อุทิศให้ตุ๊กตาหลานที่ร้องไห้ สาอะไรกับแม่ตาย พ่อป่วย หมาเสีย ไม่เป็นไง ทำไปเฮอะ ถ้า
มันเป็นบุญนะ เว้นเสียแต่ว่า อย่าทำแบบโง่ๆ ก็แล้วกัน ใช้ปัญญาหน่อย แล้วคนทรงมันรู้
ได้ไง ต้องถามก่อน มึงรู้ได้ไง มึงไปนรกมาแล้วเหรอ หรือว่าขึ้นสวรรค์ไปแล้ว เอ้า ต้อง
ถามให้รู้ ถามให้ชัด
บางทีเราชอบเชื่ออะไร โดยที่ไม่ได้ คนไทยเราในเรื่องความเชื่อ เป็นสิ่งที่ปฏิเสธกันยากมาก
บางทีเรื่องที่ควรเชื่อ ก็ไม่เชื่อ อ้ายเรื่องไม่เชื่อ ก็เชื่อเสียหัวทิ่มหัวตำ เหมือนที่เราเชื่อกันใน
เรื่องผิดๆ เสียหาย ตัวอย่างเช่น กล้วยออกลูกกลางต้น เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ เออ สากเบือออก
ดอกก็เชื่อว่าดี ทั้งๆ ที่มันเป็นเชื้อรา ก็บอกว่ามันดี
คือ เราเชื่ออะไรที่ไม่ค่อยมีปัญญา เรื่องที่ควรเชื่อก็ไม่เชื่อ เหมือนที่เราเชื่อว่า เราต้องระลึก
ถึงวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เราเชื่อแบบนี้ แล้วเราก็สอนให้เชื่อแบบนี้ ทั้งที่เราควรจะ
ต้องเชื่อมากกว่านี้ว่า วันวิสาขบูชา คือ วันที่เราต้องเข้าถึงตัวตนแท้จริงของพระพุทธเจ้า นั่น
คือ ความไม่มีอะไร ความมองโลกในความว่าง ความไม่ทำอะไรให้เป็นอารมณ์ อย่างนี้
นั่นคือ ตัวตนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่เราก็ไม่มีใครจะพูดเรื่องนี้ให้ฟัง เคยมีคนพูด
ให้ฟังไม๊ เออ เนี่ย
เพราะเราเชื่อกันแบบผิดๆ เหมือนที่เราเชื่อว่า งานแต่งเป็นงานมงคล งานศพเป็นงาน
อวมงคล งานศพเป็นงานอวมงคลแล้วพระพุทธเจ้าจะสอนเราเจริญมรณานุสติทำไม แล้วก็
ว่าเป็นงานอวมงคลอีก ทั้งๆที่งานแต่งเป็นงานอัปมงคล เพราะมันทำให้เรามีภาระเพิ่มขึ้น
มันต้องมีลูก มีเมีย มีครอบครัว เราต้องเป็นขี้ข้าเค้า สวามี สามี ฝาละมี ก็คือ ขี้ข้าเค้านั่น
แหละ ภรรยา ภาระ ก็คือ ภรรยา ก็ภาระที่ต้องรับฟิดชอบ ต้องมีงานมากขึ้น เป็นมงคลเหรอ
แต่เราก็บอกว่าเป็นมงคล เราเชื่อว่าเป็นงานมงคล แต่งานศพบอกอัปมงคล
คุณมนัส ต่อไป ไปงานแต่งงาน บอกไปงานอัปมงคล
หลวงปู่ เอ้า ชั้นพูดผิดอะไร ไปเฮอะ แล้วชั้นก็พูดแบบนี้มาตั้งแต่ไม่รู้ เออ มันกลายเป็น
เหมือนกับค้านสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ พระพุทธเจ้าสอนอริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิรธ
มรรค
สอนเรื่องมรณานุสติ สอนเรื่องความตาย ว่าเป็นสิ่งที่ต้องไปเรียนรู้ศึกษา แล้วก็สอนว่า
มรณานุสติ นั้น เมื่อเห็นคนตาย ก็ต้องมาพิจารณาน้อมเข้ามาหาตัวเอง ไปงานศพ ต้องฟัง
แล้วก็คิด เราจะต้องถอนตัณหา มานะ ทิฐิ ความหื่นกระหายจะได้ลดน้อยถอยลง ความคับ
แค้น ตระหนี่ เอาเปรียบ เห็นแก่ตัว จะได้บรรเทาเบาบาง
กลายเป็นว่า ไปถอนในสิ่งที่ดีของตนว่า เป็นอัปมงคล แต่ไปเพิ่มกิเลส ตัณหา รูป รส กลิ่น
เสียง สัมผัส เป็นมงคลไปเสียอีก ไปงานศพ อู้ย นั่นเค้าก็แต่งแล้ว นี่เค้าก็แต่งแล้ว กูไม่รู้จะ
แต่งกับใคร เพราะทุกคนก็แต่งไปหมด เป็นมงคลไปเสียอีก แล้วมันจะเป็นมงคลตรงไหน
พวกเราชอบมองอะไรที่มันตรงข้ามกับความเป็นจริง แล้วเราก็ยึดถือว่า เป็นของดี ของมงคล
มันก็ไม่ต่างอะไรกับที่เราทำอยู่ในชีวิตปัจจุบัน ชั้นก็เลยบอกว่า มันยากกับการที่เราจะเข้า
ถึงตัวตนแท้จริงของพระพุทธเจ้า แม้พระผู้สอนเรื่องวันวิสาขฯ ก็ยังไม่เห็นพระพุทธเจ้าอยู่ดี
จบ
คุณมนัส 2 ชั่วโมงเต็มๆที่เราสนทนาธรรมกับท่านหลวงปู่พุทธอิสระ เชื่อว่า 2 ชั่วโมง
วันนี้ แลกกับ 2 เดือนที่เราไม่ได้คุยกันเลย ได้มีโอกาสมาพบปะ ก็อนุโมทนาสำหรับทุก
ท่าน
หลวงปู่ ตบมือให้เกียรติคุณมนัสหน่อย
อยากบอก อยากสรุปเรื่องวันสิสาขฯกับท่านผู้ชมที่รักทุกท่านว่า ไม่ว่าคุณจะไปทำบุญวัน
วิสาขฯ เนื่องในวันวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ. อาวาส
และสถานที่แห่งใดก็ตาม จงไม่ลืมที่จะนึกถึง ระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนสูงสุดที่เป็นตัว
ตนองค์แท้จริงของพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่นก็คือ ความไม่ทำอะไร ไม่เห็น ไม่มีอะไร ไม่ได้
อะไร แล้วก็ไม่เหลืออะไร แล้วเราก็ไม่เกิดอาลัยในอารมณ์นั้นๆ ใดๆ เลย นั่นแหละ คือตัว
ตนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าเรายังมีอะไรๆ กันอยู่ เรายังเพียงแค่รู้จักแค่ยี่ห้อของ
พระพุทธเจ้า เท่านั้น
ถ้าเข้าใจความหมายนี้อย่างชัดแจ้ง ไม่ว่าคุณจะไปทำบุญวัดไหน ก็เป็นบุญทั้งนั้น เป็นความ
เจริญรุ่งเรืองทั้งนั้น เป็นความสำเร็จประโยชน์ทั้งนั้น
แต่ถ้าคุณไม่เข้าใจความหมายนี้อย่างชัดแจ้ง คุณยังต้องอยู่ในอะไรๆ แสวงหาอะไรๆ และ
เห็นว่า พระพุทธเจ้าเป็นอะไรๆ ยังเกิดที่ไหน ตรัสรู้ที่ไหน แล้วก็ปรินิพพานที่ใด แล้วก็ยัง
ให้ความสำคัญต่ออะไรๆ ไม่จบ คุณก็ยังไม่ถึงองค์แท้ของพระพุทธเจ้า แล้วคุณก็จะเป็นผู้
เพียงแค่ยึดถือยี่ห้อและกล่าวนามพระพุทธเจ้า ทั้งที่คุณไม่ได้รู้จักพระพุทธเจ้าจริง เจริญ
ธรรม
คุณมนัส แล้วพบกันนะครับที่วัดอ้อน้อย ในวันที่ 15 พฤษภาคม ในพิธีไหว้ครู สำหรับ
วันนี้ขอขอบคุณและกราบนมัสการ
หลวงปู่ อืม ให้สุขภาพแข็งแรง หายไวๆ
สำหรับคำถามที่คุณมนัสฝากมา อยากบอกว่า ก็เคยสอนเรื่องท่ากายบริหารไปแล้ว ก็เพียง
แค่เงยหน้าขึ้นมองฟ้า หายใจเข้า ก้มหน้าลงมา หายใจออก เอ้า มองตรงก่อน แล้วก็ก้มลง
หายใจเข้า กลับมาตรง หายใจออก บิดคอไปทางขวา หายใจเข้า กลับมาตรงหายใจออก
ทางซ้ายหายใจเข้า กลับมาตรงหายใจออก แล้วก็สลับกัน หายใจเข้า กลับมาตรง หายใจออก
ก็บิดไปทางขวา ทำอย่างนี้สักวันละ 5 นาที 10 นาที จะทำให้พังพืดไม่ยึดข้อกระดูก
แล้วก็ไม่ทำให้หินปูนเกาะข้อคอกระดูก แล้วก็เป็นการบริหารกล้ามเนื้อต้นคอ แขนก็ทำเช่น
เดียวกัน
อยากบอกว่าเรื่องทางกาย เขียนไว้ในเสื้อแล้ว มีสติในกาย กายนี้ไม่ลำบาก มีสติในวาจา
วาจานี้ไม่ลำบาก มีสติในใจ ใจนี้ไม่ลำบาก ถ้ารู้จักมีสติ เราจะรู้สึกว่า เราจะบริหารจัดการตัว
เราอย่างไร ต่อชีวิต ต่อสิ่งที่เป็นอยู่อย่างไร แล้วสร้างสติให้เยอะๆ ก็แล้วกัน
ท้ายที่สุดนี้ ก็คงจะพอสมควรแก่เวลา ลูก
ให้ทุกท่านรุ่งเรือง เจริญ สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว คิดหวังสิ่งใดสมความปรารถนา
เจริญธรรม
ตั้งใจถวายทาน ตั้งนะโม 3 จบ
วันนี้เค้ามีผ้าป่าด้วยเหรอ
ทอดอะไรกันบ่อยๆ ไปกวนชาวบ้าน เดี๋ยวชาวบ้านเค้าว่า เรี่ยไรเก่ง
จัดโรงครัวเคลื่อนที่ไปใต้
ก็จะพยายามทำเท่าที่ทำได้ ไม่ใช่บอกว่า ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร แล้วไม่ทำ
อะไร ก็ไม่ได้
เออ มันยิ่งไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร ทั้งหมดมันเกิดจาก ทำอะไรจนไม่มีอะไร
จะทำ นั่นแหละ จึงจะถึงคำว่า ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร เพราะทุกเรื่องในโลกนี้
มันมีไปหมดแล้ว
ทุกสิ่งในโลกนี้ มันเป็นของเราหมดแล้ว ทุกอย่างในโลกนี้ เราเป็นเจ้าของทั้งสิ้นแล้ว อย่างนี้
เป็นต้น แม้ 3 โลก เราก็เป็นเจ้าของ อย่างนี้
อย่างนั้น จึงจะเรียกว่า ถูกต้อง ไม่ใช่ว่า ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร กูเลยไม่ทำ
อะไร นอนนิ่งดูดาย ปล่อยให้ใครๆ เค้าตายต่อหน้า ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ไม่ได้ นั่นคนยังไม่
พัฒนา คนที่เรียนรู้ได้ถึงองค์ตนแท้จริงของพระพุทธเจ้านั้น ต้องมีอินทรีย์อันกล้าแข็ง มี
ปัญญาอันแข็งแรง ลึกซึ้ง สุขุม ไม่ใช่อย่างพวกเราแล้วก็จะเห็นตัวตนแท้จริงของพระ
พุทธเจ้าได้เลย ไม่ใช่ ต้องค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ สั่งสมอบรม บุญ คุณงามความดีไปเรื่อยๆ เอา
ล่ะ กรวดน้ำ แผ่เมตตา แล้วก็รับพร ว่าตาม