2 ม.ค. 2554 ระหว่างปฏิบัติธรรม วันธรรมะต้นเดือน โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ
ทำอย่างจริงๆ จังๆ จิตอยู่กับกลางลำตัว คนที่จิตเหลอะแหละ ทำอะไรไม่จริงจัง มันจะไม่มี
สิทธิ์จับจิต หรือจิตไม่มีสิทธิ์ตั้งมั่นได้ จะเคลื่อนไปเรื่อยๆ บางคนหลุดออกไปแล้ว เมื่อจิต
มันตั้งอยู่กลางลำตัวได้ ไออุ่นมันจะเกิดขึ้นที่กลางลำตัว ปราณมันจะปรากฎขึ้น มันจะเป็น
ลูกไฟกลมๆ ค่อยๆ เรืองแสงขึ้นช้าๆ จนร้อนไปทั่วตัว จิตก็คือ ความรู้สึก ความรู้สึกอยู่ที่
ไหน จิตอยู่ที่นั่น
คนใหม่ๆ อาจจะไม่รู้ว่า ตั้งจิตไว้กลางลำตัว ทำยังไง เอาเป็นว่า จับความรู้สึกไว้ที่กลางหน้า
อก อย่าให้เคลื่อน พร้อมกับการก้าวเดินให้ถูกจังหวะ จิตนึงรู้จังหวะ จิตนึงรู้การตั้งของกลาง
หน้าอก จิตนึงรู้การก้าว เดินล่องลอยแล้วจะได้อะไร อีหนู
เคลื่อนจิตมาอยู่ที่กลางกระหม่อม จับความรู้สึกมาอยู่ที่กลางกระหม่อม ให้รับรู้ได้ถึงไอ
ร้อนที่พุ่งออกมาจากรูขุมขนบนกลางกระหม่อม กลางศีรษะ จิตอยู่ที่กลางกระหม่อม ใครไม่
เคย ยกมือขึ้น ให้รุ่นพี่เข้าไปชี้นำ กายขั้นนี้ จิตต้องเคลื่อนไปได้ทั้งตัว ช่วงไหนของกายที่
อึดอัด ขัดเคือง จิตต้องทะลุทะลวง ต้องทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วน เส้นเอ็นทุกเส้นผ่อนคลาย
ไม่กำ ไม่เกร็ง ไม่ทะหมึงทึง ไม่ตึงเครียด รักษาการก้าว อย่าไวกว่าจังหวะ อย่าช้ากว่าจังหวะ
หลับตา สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก เบา ยาว หมด
เข้า กว้าง ลึก เต็ม ออก เบา ยาว หมด อย่างผ่อนคลาย
หายใจเข้า ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
หายใจออก ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก เบา ยาว หมด
หายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กระโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง กระดูก
สันหลัง ลงไปที่ก้นกบ หายใจออก ทะลุมาที่ช่องท้อง ขึ้นมาที่สะดือ ลิ้นปี่ หน้าอก ลำคอ
ออกปาก
เอาจิตตามลม หายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กระโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอ
ด้านหลัง กระดูกสันหลัง ลงไปที่ก้นกบ หายใจออก ทะลุมาที่ช่องท้อง ขึ้นมาที่เหนือสะดือ
ลิ้นปี่ หน้าอก ลำคอ ออกจมูก
พักนิดนึง หายใจเข้า จมูก หลอดลมลำคอ ลงไปที่ทรวงอก ลิ้นปี่ ช่องท้อง เหนือสะดือ ใต้
สะดือ ลงไปที่หัวเหน่า ทะลุไปที่ก้นกบ ขึ้นมาที่กระดูกสันหลัง ขึ้นมาที่ต้นคอด้านหลัง กระ
โหลกศีรษะด้านหลัง กลางกระหม่อม หน้าผาก ออกจมูก
สูดลมหายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กระโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง
หัวไหล่ 2 ข้าง ลงไปที่ต้นแขน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ ปลายนิ้วมือ
หายใจออก
จิตจับอยู่ที่ฝ่ามือทั้ง 2 ข้าง ดูซิว่า มีไออุ่นเกิดขึ้นไม๊ ทิ้งมือไว้ข้างลำตัว ไม่ต้องไปประสาน
กัน
จิตนิ่งอยู่ที่กลางฝ่ามือ 2 ข้าง เอ้า โยกเข้าไป ๆ
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก ยกมือไหว้พระกรรมฐาน ผ่อนคลาย ลืมตา เข้าที่ นิ่งไม่ได้ นิ่งเป็นโยก
คนที่ฝึกมานานแล้ว ที่จริงไม่ต้องแนะนำมาก ไม่ต้องแนะนำบ่อย แต่ก็มักจะทิ้ง นี่คือ
นิสัยที่เสียกับการที่เราทำอะไรไม่จริงจัง ไม่จริงใจ ความเสียหายจากการทำอะไรที่ไม่จดจ่อ
ทุกอย่างคือ ทำอย่าง ใจก็คิดอีกอย่าง ถึงเวลาเราจะทำ ก็ใช้เวลานานมาก
มีข้อสงสัย พระทั้งหลาย เวลาหลวงปู่ไปอยู่ป่า เค้าเห็นหลวงปู่นั่งสมาธิหรือเข้าฌาณ เข้า
สมาธิ
หลวงปู่ก็นั่งได้ แค่หลับตาก็เริ่มเข้าแล้ว น้ำตาไหล เข้าสู่ปิติแล้ว เพราะฝึกมาจนเคยชิน ไม่
ต้องเสียเวลามาก แค่กำหนดจิตก็รู้เรื่องแล้ว เพราะงั้นต้องฝึกให้ได้เป็นวสี ต้องให้ชำนาญ
แต่วิธีฝึก ไม่ต้องนั่งหลับตา อยู่กับการงาน อยู่กับชีวิต อยู่กับสิ่งที่มี เป็นความจริงของโลก
แต่อยู่กับมันอย่างเป็นผู้ฝึกปรือ ไม่ใช่อยู่กับมันอย่างชนิดเป็นทาส เพราะเมื่อไรที่เราอยู่กับ
มันอย่างเป็นทาสมัน มันเป็นนายเรา เราก็ไม่มีสิทธิ์จะฝึกอะไร แต่ถ้าอยู่กับมันอย่างที่เรา
ฝึกปรือ เราเป็นนายมัน มันเป็นทาสเรา ถ้าอย่างนี้เราจะฝึกได้ทุกงาน แม้กระทั่งการขัดส้วม
ตักขี้ ล้างชาม ทำความสะอาด ทุกเรื่องมันฝึกเราได้ทั้งนั้น
ใครที่ไปตักขี้ที่ทองผาภูมิ ยกมือซิ ถ้างานตักขี้ เรายังรู้สึกได้ว่า ลดอัตตาตัวตน แล้วงานทำ
กับข้าว กวาดพื้น ทำไมทำไม่ได้ ทำไมรู้สึกกระดาก ก็เพราะว่า การตักขี้ เราตั้งใจที่จะฝึกไง
แต่งานทำกับข้าว กวาดพื้น ทำความสะอาด ซักผ้า อยู่กับการงาน เราไม่ได้ตั้งใจฝึกตัวเองไง
มันก็เลยไม่ได้ สิ่งที่ได้คือ ความเหนื่อย เปลี้ย เพลีย และสูญเสีย ซึ่งจะไม่ได้เหมือนการตักขี้
ทั้งๆ ที่เป็นงานชั้นต่ำน่ารังเกียจ แต่สิ่งที่เราได้ คือ ความภาคภูมิว่า ได้ทำในสิ่งที่ทำได้ยาก
แล้วมันก็ลดมานะ ทิฐิ ความยะโส อวดดี ทรนง จองหอง หยิ่งผยอง และความเป็นตัวเป็นตน
ตัวกูก็เล็กลง เพราะนั่นเราตั้งใจที่จะฝึกไง เราตั้งใจที่จะเรียนรู้ศึกษาการเป็นไปเป็นมาของ
จิตที่อยู่กับการงาน แต่ทำไมงานทำกับข้าว ทำครัว เป็นครูสอน เป็นอาจารย์ ทำงานวิชาการ
กวาดพื้น ซักผ้า ทำไมถึงไม่ฝึก หรือฝึกไม่ได้
ที่จริงไม่ใช่ฝึกไม่ได้ แต่เราไม่ฝึก เราก็ไม่อยากจะฝึก เรามัวแต่ไปแจ๊ดๆๆๆ ทำไปคุยไป
ทำไปเล่นไป หูฟังเพลง ปากนินทา มันก็เลยไม่ได้อะไร ไม่ได้ปัญญาไง ได้แต่ความเหนื่อย
แล้วทีนี้มันเป็นแค่นั้นซะเมื่อไหร่ มันกลายเป็นนิสัย เป็นสันดาน เวลาทำอะไรก็ไม่ได้จริงๆ
จังๆ นี่พูดครั้งที่ไม่รู้กี่ร้อยแล้ว ก็พูดแบบนี้ประจำ แต่ก็ไม่ค่อยเปลี่ยน กลับไปเวลาทำงานก็
ไม่รู้ว่า สิ่งที่เราทำ ก็คือการฝึกตัวเอง แล้วการฝึกตัวเอง คนที่จะฝึกตัวเอง เค้าจะหาวิธีทำให้
เลิศ ที่ประเสริฐ ที่ดีเยี่ยม เพราะต้องการให้ผลที่ฝึกออกมาเป็นบวก ไม่ใช่เป็นผลลบ เป็น
ผลดีกับตัวเอง
แต่คนที่เป็นกรรมกร ไม่สนใจวิธีทำ แค่ทำตามหน้าที่ หมดเวลาก็คือหมดทำ แล้วสิ่งที่ได้คือ
เปลี้ย เพลีย หมดแรง แค่นั้น แล้วก็ได้เงินค่าจ้าง ที่จริงงานที่ได้เงินค่าจ้าง มันได้มากกว่า
เงินค่าจ้าง คือประสบการณ์ การเรียนรู้ การไปสัมพันธ์สัมผัส การแก้ปัญหาต่อการงาน ถ้า
เราฝึกตัวเองจริงๆ เราจะเห็นปัญหาทุกช่องทาง แล้วเราเข้าไปสัมพันธ์สัมผัสกับปัญหา เรา
ก็รู้ว่า เราแกร่งพอ กล้าพอที่จะกล้าแก้ปัญหานั้นๆ แล้วปัญหานั้นๆ มันก็จบได้ด้วยสติ
ปัญญาของความตั้งอกตั้งใจของเรา เราไม่ค่อยสนใจไง เรามองว่า การฝึกตัวเอง ต้องมีเวลา
ต้องนั่งสมาธิ ต้องอยู่ในวัด ต้องมีครูอาจารย์อบรมสั่งสอน ถ้าชีวิตหลวงปู่เป็นอย่างนี้ คงไม่
ได้เห็นหลวงปู่นั่งอยู่บนนี้ เพราะชาตินี้ไม่เคยมีครูคนไหนมาสอนหลวงปู่ ไม่มี มีแต่พ่อแม่
ก็ไม่ได้สอนอะไรมาก วิชาครูที่อยู่ในพระพุทธศาสนา อุปัชฌาย์บวชแล้วก็รีบตาย หนี ไม่
กล้าสอนกูหรือเปล่าก็ไม่รู้ เลยไม่ได้มีใครมาสอน ต้องฝึกตัวเอง ต้องศึกษาตัวเอง ถึงได้สอน
ไว้ในวิชาครู 4 อย่าง ว่า อะไร
เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต
นั่นแหละ เป็นวิชาครู เป็นวิญญาณของครู เป็นสันดานครู งั้นทั้งหมดที่ครูคนนี้มีอยู่ ไม่ได้
ไปรู้จากเรื่องอื่น ชั่วชีวิตหลวงปู่ไม่เคยเรียนรู้เรื่องอื่น นอกจากเรียนรู้ชีวิตตัวเอง ชีวิตสรรพ
สัตว์ ชีวิตสิ่งแวดล้อม เพราะชีวิตสรรพสัตว์ ชีวิตตัวเอง ชีวิตสิ่งแวดล้อม นั่นแหละคือ วิชา
คนๆ นึงมันมีทั้ง รัก โลภ โกรธ หลง โง่ ฉลาด น่ารังเกียจ น่ารัก น่าอิจฉา น่าหมั่นไส้ สารพัด
เป็นสรรพวิทยาที่น่าศึกษาจะตายไป แล้วเมื่อเราศึกษาคนอื่นๆ มันทำให้เห็นอุปนิสัยใจคอ
วิธีคิด คำพูดของคนอื่นๆ ว่าเราจะอยู่กับเค้าได้อย่างไร เราจะบริหารจัดการคนแบบนี้ ชนิด
ไหน แบบใด อย่างไร วิชาเหล่านี้มันไม่มีสอนอยู่ในตำราเล่มไหน แต่เป็นวิชาของชีวิต
เป็นตำราชีวิต
พระพุทธศาสนาจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าทิ้งห่างจากสาระของชีวิต
พระพุทธศาสนาจะไม่ให้คุณค่าอะไรเลย ถ้าปฏิเสธ วิชาที่อยู่ในชีวิต
พระพุทธศาสนาจะไม่ได้ให้แสงสว่างใดๆ เลย ถ้าไม่ได้ให้ปัญญากับชีวิต
ในการมีชีวิต ถ้าชีวิตอยู่อย่างไม่มีปัญญา ก็ไม่น่าอยู่ มันเหมือนกับคนตาบอดที่เดินในทาง
มืด หรือทางสว่างก็ไม่รู้
เพราะงั้น วิชาของชีวิต มันเป็นวิชาที่ยิ่งใหญ่ เรียนจนตายก็ไม่จบ แม้ข้ามภพข้ามชาติก็มี
เรื่องให้เรียน ชาตินี้มีชีวิตแบบนี้ มีหน้าที่ ฐานะ ประสบการณ์ การศึกษา สิ่งแวดล้อม
สังคมแบบนี้ ชาติต่อไปจะเป็นยังไง จะเป็นชีวิตอย่างไร มีฐานะ มีสังคม มีสิ่งแวดล้อม มี
การศึกษา มีผลประกอบการ มีพฤติกรรม มีอุปนิสัย มีญาติ แล้วจะอยู่ยังไง มันน่าศึกษาจะ
ตายไป
ในการเรียนรู้วิชาของชีวิต เป็นเรื่องอะไรที่ไม่มีการตายตัว มันเป็นหลักการที่ไม่คงที่ คนที่
เรียนในสิ่งที่ไม่คงที่จนรอบรู้ได้หมด จึงจะเป็นยอดของปัญญา ต่างจากคนที่เรียนทฤษฎี
เมื่อไหร่ใครก็ท่องได้ เมื่อไหร่ใครก็เข้าถึงมันได้ มันง่ายจะตายต่อการท่องจำและเข้าถึง
แต่อ้ายเรื่องที่มันไม่มีรูป ไม่มีลักษณ์ ไม่มีแบบ ไม่มีลักษณะให้ท่องจำ ไม่มีลายลักษณ์
อักษร แต่เราสามารถสัมพันธ์สัมผัสได้อย่างกลมกลืน ถ่องแท้ ละเอียดอ่อน และสุขุม แล้ว
รู้แจ้ง เรียนจบ นั่นแหละ เป็นเรื่องของปัญญาแท้ ไม่ใช่ปัญญาที่ได้จากการท่องจำ ต่างจาก
สัญญา สัญญาน่ะเป็นเรื่องของการทรงจำ ปัญญาแท้คือ การลุถึง การเข้าถึง ในสิ่งที่ไม่เคย
เห็นได้เห็น สิ่งที่ไม่เคยพบได้พบ สิ่งที่ไม่เคยเรียนได้เรียน สิ่งที่ไม่เคยศึกษาได้ศึกษา สิ่งที่
ไม่เคยได้รับรู้ รับทราบ สัมผัส ก็ได้รับรู้ รับทราบ และสัมผัส
และอะไรมันจะยิ่งใหญ่เท่ากับสิ่งที่เป็นอยู่ในตัวเรา หนึ่งนาทีเราคิดได้เป็นร้อยเรื่อง แล้ว
ร้อยเรื่อง เรารู้มันหมดทั้งร้อยเรื่องไม๊ เราก็ชอบที่จะรู้เรื่องของคนอื่น แต่ไม่ชอบรู้เรื่องของ
ตัวเอง พอมารู้เรื่องของตัวเอง ก็กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ เพราะมันไม่ตื่นเต้น สนุกสนาน ง่วง
หลับ ที่จริง มันเป็นมายาของมารที่สั่งให้เราเป็นอย่างนั้น เพราะมารกลัวว่า เราจะปลด
เปลื้องพันธนาการจากวิญญาณ ซึ่งมารใส่พันธนาการไว้ในวิญญาณเราทุกขั้นตอน ถ้าเรา
กลับไปรู้เรื่อง ก็จะรู้เงื่อนปม รู้วิธีแก้ไข รู้ว่าจะปลดล็อกมันอย่างไร
งั้น มารก็ต้องหาเล่ห์เพทุบายที่จะหลอกล่อเรา ให้ขี้เกียจ ให้สันหลังยาว ให้ฟุ้งซ่าน ให้ง่วง
หงาว หาวนอน ให้ไม่อยากนอน ให้มันสารพัดอย่าง ให้ปวด ให้เมื่อย ให้มีเวทนา ให้ได้พึง
พอใจ เราใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตกับการแสวงหาประโยชน์ให้มาร แต่ไม่เคยใช้เวลากับทั้งชีวิต
ที่จะแสวงหาประโยชน์แก่ชีวิตกับตัวเอง
อ้ายที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มันเป็นประโยชน์ของมารทั้งนั้น ลูก เราบอกเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัย
ก็อาศัยแค่ชั่วครู่ บ้านหลังโต ตายแล้วเอาไปที่ไหนได้ เงินทั้งกองเบ่อเร่อ ตามแล้วก็ไม่ได้
เป็นของเรา แล้วอะไรเป็นสมบัติของเราจริงๆ เครื่องอาศัยอะไรที่เราอาศัยแล้วปลอดภัย
ผ่อนคลาย ร่มเย็นเป็นสุขข้ามภพข้ามชาติได้ เครื่องอาศัยที่สุดยอกที่สุดที่พระพุทธเจ้าทรง
ให้ก็คือ ปัญญา ปัญญาจึงเป็นแสงสว่างของโลก ของสัตว์โลกทั้งปวง
งั้นต้องศึกษา วิชาครูไม่ใช่เป็นเรื่องเอาไปท่องจำ ปีนี้กูว่าจะไม่ให้ไหว้ครูกรรมฐาน เพราะ
มันไหว้ทีไร ก็ เรื่องเก่าทุกที แต่ทำไม่ได้ซักที ไหว้ไม๊ มึงก็เท่ากับไหว้อีกแล้ว ไม่เห็นต้อง
ไปเรียนรู้เลยชีวิต บอกแล้วบอกอีก ซ้ำซาก แสงไม่ออกหัวเลย มีแต่เขา เอาไปทำให้
แสงออกหัวหน่อย
เอ้าถวายทาน ลูก เดี๋ยวจะได้กลับบ้านกลับช่อง
หลวงปู่ บุญทั้งหลายที่ข้าได้ทำมาแล้วทั้งปี ขอจงเป็นเดชะ พลวะปัจจัยดลบันดาลให้ข้าได้
สำเร็จมรรคผลโพธิญาณในอนาคตกาล ขอมรรคผลของข้าจงรุ่งเรือง เจริญ อภิบาลปกป้อง
ภัยลูกหลานให้พ้นจากทุกข์ จากโศก จากโรค จากภัย ให้แคล้วคลาดปลอดภัย เดินทางโดย
สวัสดิภาพ รุ่งเรือง เจริญ มีอำนาจ พลัง ตบะ ชัยชนะ ความสำเร็จ ทรัพย์ลาภ และความสุข
ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
กรวดน้ำ ว่าตาม
ตั้งใจรับพร