27 ก พ. 2554 13.15 น. ถอดเทป ธรรมะอาทิตย์ที่ 4 โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน รวมทั้งท่านผู้รับชมรายการอาทิตย์สดใสที่รักทุกท่านที่ติดตามชมรายการธรรมะ ต้องขอบคุณที่ติดตามชมรายการ
อยากจะบอกท่านที่รักทั้งหลายว่า วิถีแห่งการเจริญปัญญา มันมีก็คือ ต้อง
1สุตตมายะปัญญา ฟัง
2 จินตามายะปัญญา คิด
3 ภาวนามายะปัญญา ก็คือทำ
ฟัง คิด แล้วก็ทำ อย่าเอาแต่ฟังเฉยๆ แล้วมันจะไม่ได้ประโยชน์อะไร หลายคนเดี๋ยวนี้มีพัฒนาการ เพราะมีสื่อโทรทัศน์ คือ ฟังทางหู ดูทางตา สัมผัสทางตัวได้ แต่เราจะทำอย่างไรให้สิ่งที่ฟังทางหู ดูทางตา สัมผัสทางตัวมันกลายเป็นที่พึ่งพาอาศัยของจิตวิญญาณเราได้อย่างดียิ่ง แค่ฟังเฉยๆ ดูเฉยๆ มันคงไม่ได้คุณ ไม่ได้ประโยชน์ ไม่ได้สาระ ไม่ได้ค่า ไม่ได้ราคาอะไร ถ้าเราไม่ได้ลงไม้ลงมือกระทำ
เพราะงั้นการฟังธรรมที่ดีคือ นอกจากทำความเข้าใจ รู้จัก ตามความเป็นจริงแล้ว มันต้องทำด้วยเหมือนที่เมื่อวานนี้ตอบปัญหาทางอินเตอร์เนท มีคนเค้าถามว่า วิถีแห่งการฟังธรรม มันสามารถจะบรรลุธรรมได้ไม๊ ฟังธรรมฉยๆ นี่จะบรรลุธรรมได้ไม๊ เราว่าได้ไม๊ ได้ไม๊ เอ้า อย่าเพิ่งไปตอบอะไรโดยที่เราไม่ใช้ความคิดปัญญา ไม่ใช้สมอง แม้ที่สุดในอดีตครั้นพุทธกาลก็มีสาวกเยอะแยะ พระอรหันต์อสีติมหาสาวก ที่แค่ฟังปุ๊บก็บรรลุปั๊บ ก็มี มีไม๊ เออ อย่างพระภาทิยะเนี่ย ท่านแค่ฟังเฉยๆ ก็บรรลุธรรมแล้ว แต่ว่าไม่ได้บวช เพราะมีเวรกรรมเก่าติดตามมา ฟังแล้วก็บรรลุธรรม แล้วก็ไปหาผ้าไตรจีวร ก็ผลปรากฏว่าไม่ได้แล้ว โดนวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย ก่อนที่จะได้ผ้ามาครอง
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้จัดบุคคลผู้บรรลุธรรมไว้ 3 ประเภท คืออย่างไร คือ สุกขวิปัสสโก ก็คือใช้ปัญญา พวกนี้ก็จะชอบฟัง ฟังแล้วคิด ฟังแล้วตรึก เค้าต้องมีทุนมาเยอะแล้ว ฟังแล้วเข้าใจ ฟังแล้วบรรลุ ฟังแล้วรู้จักตามความเป็นจริง มันมีทุนมาเยอะแล้ว มีทุนมามากพอที่จะทำให้พอฟังปุ๊บก็รู้ปั๊บทันที แสดงว่า บุพเพกตบุญญตาเค้าดี เต็มพร้อม มีบารมีมากพอสมควร พอเติมน้ำไปหยดสองหยดก็เต็ม ล้นตุ่ม
อีกพวกนึงก็คือ เรียกว่า ฉฬภิญโญ เค้าต้องปฏิสันภิทัปปัตโต ก็คือ พวกที่ฟัง คิดแล้วก็ทำ ทำอย่างยิ่งยวด ทำอย่างมาก ทำอย่างขนิดที่ต้องมอบกายถวายชีวิต ฟัง คิด ทำ
พวกฉฬภิญโญ ก็พวกฟังมาก พวกแรก พวกปฏิสันภิทัปปัตโต นี่ไม่ต้องฟังมาก เพราะมันทำให้บรรลุวิชา 3 คือระลึกชาติได้ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ พวกนี้จะรู้ไปเล็กน้อยนิดหน่อย ฟังเล็กน้อยนิดหน่อย ฟังศึกษาเล็กน้อยนิดหน่อย พอได้หลักได้ใจความ ทำความเข้าใจเบื้องต้น ก็เอาหลัก เอาความเข้าใจเบื้องต้นไปลงมือประพฤติปฏิบัติจนถึงอรรถ พยัญชนะ บรรลุมรรคผลได้ แต่ก็ต้องฝึกจิตอย่างกล้าแข็ง อย่างแรงกล้าอย่างยิ่ง
เตวิโช คือวิชชา 3 พวกนี้ต้องใช้ ต้องใช้การฟัง ไม่ต้องเยอะ เตวิโช ฉฬภิญโญ ปฏิสันภิทัปปัตโต
พระอรหันต์นี่ พระพุทธเจ้า ทรงแยกไว้ 4 ประเภท คือ สุกขวิปัสสโก เตวิโช ฉฬภิญโญ ปฏิสันภิทัปปัตโต
สามพวกสุดท้ายเนี่ย เป็นพวกรู้วิชชา 3 วิชชา 6 แล้วก็วิชชา 8 คือพวกที่ฟังแล้วฝึก ๆ ๆ แล้วพวกนี้ก็จะมีฤทธิ์ มีอำนาจจิต มีอานุภาพจิต แต่พวกแรกที่ฟังแล้วบรรลุ ฟังแล้วเข้าใจ ฟังแล้วรู้ชัด พวกนี้อำนาจจิตจะน้อย แต่ปัญญาจะรุ่งเรือง เค้าเรียกว่า บรรลุได้ด้วยวิถีแห่งปัญญา ไม่ใช่ด้วยวิถีแห่งการกระทำ แล้วพวกนี้มีมากไม๊ อู๊ย หาได้ยาก ไม่ใช่ว่ามีน้อย แต่หาได้ยาก เพราะถ้ามี เค้าก็ไม่อยากเจอพวกมึงหรอก เพราะเจอแล้วเค้าจะรู้สึกว่า โง่ไปในทันที เค้าไม่อยากเจอ ลูก พวกนี้เค้าจะมองพวกเราเป็นอีกคนละชั้นหนึ่ง มองพวกเราเป็นเหมือนอะไร สีซอให้อะไร.... เออๆ ประมาณนั้นล่ะ ลูก เค้าจะมองไปอีกคนละชั้น พวกนี้เค้าไม่ต้องฟังเยอะ ลูก ฟังนิดเดียว แล้วก็เป็นคนมีปกติชอบฟัง ไม่ชอบแสดง ไม่ชอบพูด ฟังแล้วก็เข้าใจ รู้จักตามความเป็นจริง ตรึก ใคร่ครวญ วิเคราะห์ไปเรื่อย พวกนี้ก็เรียกว่าเป็นพระอรหันต์ระดับสุกขวิปัสโก ถ้าบรรลุธรรมนะ บรรลุได้ด้วยอำนาจแห่งปัญญา
เตวิโชก็คือ พวกที่มีวิชชา 3 อย่างที่ว่า มีหูทิพย์ มีตาทิพย์ ระลึกชาติได้
พวกวิชชา 6 ก็คือ นอกจากหูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้ ก็ยังรู้ใจ ทายใจ แสดงฤทธิ์ อิทธิปาฏิหารย์ พวกนี้ก็จะมีอานุภาพจิตสูงขึ้น
ส่วนฉฬภิญโญ ก็มีสมาบัติ 8 เป็นผู้ที่มีเดช มีศักดาเหนือกว่า 2 พวกแรก แต่ก็ต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างยิ่ง ฝึกอย่างยิ่ง สั่งสมอบรมทั้งปัญญา ทั้งตบะ ทั้งเดช ทั้งศักดา ทั้งอานุภาพแห่งจิตอย่างยิ่ง
แต่รวมๆ สรุปก็คือ แค่ได้ฟังธรรมตามสื่อวิทยุ โทรทัศน์ มันคงไม่สามารถทำให้บรรลุไปได้อย่างฉับพลันทันทีไปทั้งหมดหรอก แต่อย่างน้อยๆ มันก็เป็นลู่ทาง เป็นริ้วรอยที่จะทำให้เราเข้าไปสู่กระบวนการทำความเข้าใจ รู้จักตามความเป็นจริง แล้วก็รู้จักวางแล้วว่าง ดับและเย็น มีชีวิตอย่างผ่อนคลาย โปร่งเบาสบาย เอาชนะทุกข์หรือบริหารจัดการความทุกข์ได้ในระดับหนึ่ง มีปัญญาบริหารจัดการปัญหาคือชีวิต ชีวิตคือปัญหา คนมีลมหายใจ มีชีวิต ต้องมีปัญหา มีทุกข์
เพราะฉะนั้น จะบริหารจัดการทั้งปัญหาทั้งทุกข์ได้ ก็ต้องอาศัยปัญญา ก็ต้องย้ำกันอยู่ทุกสัปดาห์ ต้องให้เข้าใจอย่างนี้ ถามว่าทำไมต้องย้ำอย่างนี้ ก็จะได้ปรับความเห็นของตนให้ตรงและถูกต้องตามความเป็นจริง เรียกว่า เป็นหลักสัมมาทิฐิ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลวงปู่ไปแสดงธรรมที่สถาบันการศึกษา กองทัพบก วิทยาลัยกองทัพบกชั้นสูง ก็สอนกับพวกนายพลนายพันเค้าทั้งหลาย เออ ปัญหาของเรานักบวชโดยเฉพาะอนุศาสนาจารย์อยู่ที่นั่นด้วยเป็นมหาเปรียญ เค้าก็ยังเข้าใจค้านและขัดกับธรรมชาติ ธรรมะและความเป็นจริงของพระพุทธเจ้า หลวงปู่ยกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พาไปเผาศพ ใช่ไม๊ แล้วบอกว่างานศพเป็นงานมงคล งานแต่ง เป็นงานอวมงคล แล้วมันจริงอย่างนั้นไม๊ จริงไม๊ เฒ่า อายุปูนนี้แล้ว เคยได้ยินไม๊ งานศพเป็นงานมงคลเนี่ย หา เพิ่งจะเคยได้ยินใช่ไม๊ เออ ก็ได้ยินซะ นี่แหละคือ ของจริงอันประเสริฐ เรามีความตายเป็นของจริงไม๊ ความตายนี่เป็นธรรมดาของสรรพสิ่งและสรรพสัตว์ไม๊ เป็นอริยสัจธรรมได้ไม๊ เป็นสัจธรรมได้ไม๊ แล้วงานแต่งเป็นของจริงไม๊ มันของสมมุติ ของจริงที่ไหน ของจริงมันต้องคาบออกมาจากท้องแม่ นี่ผัวกู ผัวกู ผัวกู มันไม่จริง ไม่จริงแล้วยังมาร้องหาผัว ผัว ผัว เป็นชะนีห้อยโหนเลย ก็มันหาไปเรื่อยๆ
ตายนี่ต้องหาไม๊ ต้องหาไม๊ ลูก เจ็บต้องหาไม๊ แก่ต้องหาไม๊ ก็เพราะมันไม่ต้องหา มันเลยต้องเป็นของจริง ของทุกอย่างที่มันต้องหาน่ะ มันไม่จริง แล้วของจริงนี่เป็นมงคลหรืออัปมงคล เป็นมงคล แล้วทำไมดันไปเรียกงานอัปมงคล งานอวมงคล งานซวย
ก็เลยสอนพวกนายพล นายพันเค้า ทีแรกนี่เค้าปีหนึ่ง ก็นิมนต์ซักครั้ง พอสอนจบแล้ว เค้าก็บอกว่ามาทุกเดือนนะครับ ให้อาจารย์บอกนิมนต์มาทุกเดือน องค์นี้ เพราะเค้ายังอยู่อีกหลายเดือน หลักสูตรเค้าปีนึงไง ปีครึ่ง เออ ไปทุกเดือน บอก เออ ถ้ากูแบ่งภาคได้ กูก็จะพยายาม ตอนนี้กูก็เบลอแล้วล่ะ งานอะไรงานอะไรไม่รู้ ปนมั่วไปหมด
เพราะงั้น ปรับความเห็นของตนให้ตรงและถูกต้องตามความเป็นจริง เรียกว่า มีสัมมาทิฐิให้ชัดแจ้ง เราอยู่ในโลกแห่งสมมุติ จนมองสมมุติเป็นเรื่องจริง ซึ่งมันก็จะค้านกับบทโศลกที่หลวงปู่เขียนไว้ หรือแม้ที่สุดก็ค้านกับพระธรรมของพระพุทธเจ้า หลวงปู่หันไปถามอนุศาสนาจารย์ เปรียญอะไร เปรียณ 9 อ้าว แล้วไม่รู้หรือไงว่า พระพุทธเจ้าสอน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สอนเรื่องมรณานุสติกรรมฐาน สอนไม๊ สอน สอนอสุภะกรรมฐาน สอนไม๊ ถ้ามรณา & อสุภะมัน เป็นอัปมงคลแล้ว พระองค์จะสอนทำไม ของที่พระองค์ทรงสอนทุกเรื่องเป็นมงคลหมด เอ๋ย ตอนนี้แกเข้าใจกูมากเลยนะ นั่งเข้าใจครับ เข้าใจครับ อยู่ข้างๆ พูดอะไรๆ แกก็เข้าใจไปหมด พยัดหน้าฮึๆ นี่แหละ เค้าเรียกว่า คนเข้าใจลึกซึ้ง
รวมๆ สรุปก็คือ เราต้องให้เห็นตามความเป็นจริง รู้ชัดตามความเป็นจริง เข้าใจตามความเป็นจริง ความเป็นจริงของชีวิตจริงๆ มันเป็นอย่างนี้ งานแต่งเนี่ย มันเป็นงานอัปมงคลด้วยซ้ำไป มันไม่ใช่งานมงคล ลูก มันเป็นงานที่ไม่จริง มันเป็นงานสมมุติและงานที่หลอกขึ้น ผัวเป็นผัวจริงๆ ของเราไม๊ เออ วันนี้มันเป็น เดี๋ยวมันเผลอแว๊บเดียว เออ มันเป็นของใครไม่รู้ เออ เมียมันเป็นเมียจริงๆ ไม๊ วันนี้มันเป็น เดี๋ยวเผลอแว๊บเดียว เป็นของใครก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น มันไม่จริง ของจริงก็คือความตาย และเมื่อความตายเกิดขึ้นแล้ว มันจะต้องไปเรียนรู้ ไปศึกษา ไปทำความเข้าใจรู้จัก เห็นชัดตามความเป็นจริง เพื่อปลง เพื่อทำให้เกิดสลด สังเวช ทำให้เกิดนิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่าย ทำให้เกิดความคลายตัณหา คลายกำหนัด แล้วลดละอุปาทาน คือความยึดถือ เช่นนี้ เค้าเรียกว่า ผู้มีชีวิตอยู่ในทำนองครองธรรม
ทำนองครองธรรมมีอะไรบ้าง สอนไปแล้ว มี เชื่อกรรม เชื่อกฏแห่งกรรม ว่าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เชื่อว่า กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลวหยาบ
ทำนองครองธรรมลำดับที่ 2 คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สรรพสิ่งเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่และแปรเปลี่ยนในท่ามกลาง แตกสลายในที่สุด การมีชีวิต เห็นความตายเป็นเรื่องมงคล เห็นข่าวความตายเป็นเรื่องของจริง เป็นงานมงคล เป็นสิ่งมงคลที่เราต้องไปศึกษา ไปเรียนรู้เนี่ย ถูกทำนองครองธรรมไม๊ ถูกทำนองครองธรรมเพราะอยู่ในหลัก อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันเป็นทำนองครองธรรม
และสุดท้าย ทำนองครองธรรมระดับสุดท้าย ลำดับสุดท้าย ก็คือ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ทางดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ นี่ทำนองครองธรรมลำดับสุดท้าย
ถ้าทุกคนมีชีวิตอยู่ในทำนองครองธรรมอย่างนี้ หลวงปู่ไม่ห่วงว่าประเทศเราจะเป็นเหมือนดั่งลิเบีย อิหร่าน ตูนีเซีย แถวๆ ตะวันออกกลาง ไม่เป็น ถ้าทุกคนมีชีวิตอยู่ในทำนองครองธรรม มันจะไม่เป็น เพราะมันจะมีแต่สติ เข้าใจ รู้จัก มีปัญญา เข้าใจ รู้จักตามความเป็นจริง มันก็จะไม่เห็นแก่พวก เห็นแก่พรรค เห็นแก่เหล่า เห็นแก่ญาติ เห็นแก่หน้า แม้ที่สุด เห็นแก่เงินก็จะไม่เห็น แต่มันจะเห็นแก่ความจริง เห็นแต่ความเป็นจริง เห็นแต่สัจจธรรม
เมื่อเช้ามีผู้เฒ่า มาทั้งผัวทั้งเมีย เข็นรถมาด้วย หลวงปู่ หลวงตาบัวเค้าตายแล้ว ดับขันธ์ไปแล้ว ก็หวังแต่พึ่งหลวงปู่องค์เดียวแหละ ถามว่าพึ่งอะไร ก็ประเทศชาติจะเสียดินแดนให้เขมรเป็นแสนไร่ ท่านต้องออกไปช่วยเหลือ
กูก็นึกในใจ ขนาดกูไม่ได้ทำอะไร เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว วันอะไรหว่า วันอังคารวันจันทร์อะไรเนี่ย หลวงปู่ไปตรวจที่ๆ จะปลูกสมุนไพร เมืองกาญจน์ พวกเค้าโทรฯไปบอกว่า พวกเสื้อแดงมันจะมากันเป็นร้อยคันรถ มาล้อมวัด จะจุดไฟเผา เราได้ยินเข้าก็เลยบอก เหรอ เผาหรือยังว่ะ บอก ยัง เออ ปล่อยมัน อยากเผา ให้มันเผา เผาเสร็จ เดี๋ยวกูได้สร้างใหม่ บุญกูจะได้มากขึ้น ปล่อยมันเหอะ เฉยมาก เพราะมันเป็นทำนองครงอธรรม มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เค้าบอกว่าคอมพิวเตอร์โดนแฮค กูก็ไม่รู้ มันแฮคมันฮัคยังไง คอมพิวเตอร์มันโดนเข้ามาทำลายข้อมูลอะไรเนี่ย 2 ครั้งแล้ว
แล้วก็มีข่าววันนั้น เค้าประกันแกนนำเสื้อแดง กะจะฉลอง เอาเหยื่อวัดอ้อน้อย กูก็ว่า เออ ปล่อยมันไปเถอะ มันอยากเผา ให้มันเผา ถ้ากูอยู่ กูจะชี้ด้วย นี่เผากุฏิสมภาร เผาก่อน อันนี้ กุฏิสมภาร มึงเผาก่อน อย่างอื่นไม่ต้อง ถ้ากูอยู่ จะชี้ให้เผาเป็นหลังๆ เออ เราจะได้ทำบุญใหม่ เราจะได้สร้างใหม่ เพราะทุกอย่างเราก็สร้างมันขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรง มันเผาแล้วเราก็สร้างมันขึ้นมาใหม่
นี่ไม่ได้ชวนให้มันมาเผา หรือว่าอวดดี หรือว่าอยากจะให้มันเผา ไม่ใช่ แต่เมื่อมันมีเหตุปัจจัย ต้องการเผา เราก็จะไปห้ามเหตุปัจจัยมันทำไม ก็เป็นเวรเป็นกรรมของใคร กรรมใครใครก่อ ผู้นั้นก็รับกรรมไป เราก็เกิดมาชั่วชีวิต ไม่เคยจะไปเผาบ้านแปลงเมืองทำลายทำร้ายใครชาตินี้ แต่ชาติอื่นกูไม่รับรอง หรือมันจะตามมาก็ไม่รู้ ชาติอื่นกูเผาไว้เยอะ
รวมๆ สรุปก็เลยอยากบอกว่า ถ้าลูกหลานมีชีวิตอยู่ในทำนองครองธรรมอย่างชัดแจ้งเนี่ย ไม่ต้องกลัวว่า บ้านเมืองเราว่าจะเหมือนกับประเทศอื่นๆ เค้ามีฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ ประชาชนกับประชาชนจะเข่นฆ่าห้ำหั่น ทำร้ายทำลายกัน ถ้าทุกคนยังอยู่ในทำนองครองธรรมนะ เสื้อแดงก็มีทำนองครองธรรม เสื้อเหลืองก็มีทำนองครองธรรม
เราก็บอกกับผู้เฒ่า 2 คนว่า เออ มึงน่ะหวังพึ่งกู แล้วกูจะไปหวังพึ่งใคร เออ ตาบัว เค้าบอกตาบัวเค้าตายแล้ว ได้แต่หวังพึ่งท่าน เหลือท่านองค์เดียวล่ะ เอ๋ย ยังเหลืออีกหลายองค์ ไปพึ่งๆ คนอื่นเค้ามั่งเหอะ ขนาดตัวเองแย่ เข็นรถเข็นมาแล้วนะ ยังแบกโลกไว้อีก วันนั้นอ้ายเชาวลิต พี่เชาของพวกเราทั้งหลาย ออกจากบ้านมาตั้งแต่ตี 4 เลย 6โมงมาเจอกัน หลวงปู่ทำไงดีล่ะ เขมรมันจะยึดประเทศไทยนะเนี่ย โอ๋ แล้วมึงมาแต่เช้า มาทำไม นอนไม่หลับ เมื่อคืนนอนไม่หลับ คิดมาก คิดเรื่องอะไร เขมรจะยึดประเทศไทย ชั่งแม่มัน ให้มันยึดไปมั่ง มันอยู่เยอะๆ ให้มันแบ่งกัน อ่ะ ทำไมพูดอย่างนั้น อ้าว แล้วมันจะทำยังไง เมื่อก่อนนี้ ไทยเคยไปยึดเขมรมัน เคยหรือเปล่า เคย เสียมราฐ ศรีโสภณ พระตะบอง ลึกเข้าไปถึงค่อนเมืองครึ่งเมือง เขมรต่ำ เขมรใต้ เป็นของไทย แถวติดจันทบูร เหลือเขมรเหนืออยู่หน่อยเดียวเอง เขมรเหนือก็ติดฝั่งพม่า ฝ่ายลาว เหลืออยู่หน่อยนึง นอกนั้นไทยยึดหมดแหละ แล้วก็ไม่เป็นไร ผลัดกัน มึงบ้างกูบ้าง แต่จริงๆ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราจะไปคิดอะไรมากมาย
แต่สำคัญก็คือ เราต้องเข้าใจ รู้จักตามความเป็นจริง มีชีวิตอยู่ในห้วงทำนองครองธรรมให้ชัดแจ้ง แล้วเราจะรู้ว่าทุกอย่างเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ทำหน้าที่ของเราไป
ทุกอย่างเป็นสมมุติ เมียนี่สมมุติไม๊ จริงหง่ะ ผัวนี่สมมุติไม๊ อ้าวแล้วไหนบอก เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร มึงสมมุติยังไงว่ะ แต่สมัยนี้ทองแพง มันไม่เอา ดีไม่ดี มันเข็นผัวไปส่งร้านทอง เมียสมมุติ ผัวสมมุติ ทุกอย่างเป็นสมมุติหมดน่ะ ลูก ยศถาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทอง เรือกสวนไร่นา วัดวาอาราม แม้ตัวกูเป็นสมมุติไม๊ เป็น อย่างนี้ หลวงปู่ไม่ห่วง
ถ้าลูกหลานมีวิถีคิดแบบนี้แล้ว คิดอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่คิดแค่ชั่วครั้งชั่วครู่ พอเจอหลวงปู่แล้วคิด พอไม่เจอหน้า เอาแล้ว เมาล่ะ มันสะใจ อย่างนี้ไม่ใช่ ต้องคิดทุกขณะจิต จึงจะสามารถปิดประตูนรกได้ คิดว่าสรรพสิ่งในโลก เกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่และแปรปรวนในท่ามกลาง สุดท้ายแตกสลายในที่สุด รู้ชัดอย่างนี้ตามความเป็นจริง ประตูนรกจะปิดสนิทสำหรับเรา แต่ถ้าไม่รู้ชัด ว๊อบๆแว๊มๆ เดี๋ยวผลุบ เดี๋ยวโผล่ แว๊บๆ เป็นฟ้าแลบ งูแลบ ฟ้าแลบฟ้าร้อง งูแลบลิ้น อย่างนั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน อีตอนแลบน่ะ มันแลบสั้น แต่อีตอนมันไม่แลบเนี่ย มันเปิดยาวมาก อาจจะร่วงลงไปในนรกเสียก่อน จะมาระลึกอีกที ก็ยากแล้วล่ะ
งั้น ต้องรู้จัก เข้าใจ เรียกว่าซ้อมดับแล้วเย็น ซ้อมวางแล้วว่าง ซ้อมดับแล้วเย็น ต้องรู้จักซ้อมนิพพานเอาไว้บ้าง ซ้อมที่จะระลึกถึงความเป็นจริง ให้มีชีวิตอยู่ในห้วงของทำนองครองธรรม แล้วตัวเราเองก็จะได้ไม่ตกเป็นทาส ไม่อยู่ในอำนาจการขับเคลื่อนหรือผลักดันของอำนาจกิเลส ตัณหา อุปาทาน ราคะ โทสะ อวิชชา ความยึดถือ ความพันธนาการทางกิเลส กิเลสทั้งปวงก็จะเบาบางลงไป
เพราะฉะนั้น ต้องฝึก ขยัน งั้นฟังธรรมก็ต้องให้ได้อนุสติแบบนี้ ต้องมีจิตระลึกรู้แบบนี้ เออ ถ้าเราจะคิดว่า เราจะฟังแล้ว เข้าใจอย่างเดียว แล้วไม่ลงมือทำ ก็ไม่สำเร็จประโยชน์เหมือนกัน เพราะเราเองเราก็ไม่มั่นใจว่า ตัวเราเป็นผู้มีบุพเพกตบุญญตาไว้ดีแล้ว เพราะคนที่มีบุพเพฯ ฟังธรรมปุ๊บบรรลุปั๊บเนี่ย เค้าไม่เกิดในสมัยนี้หรอกลูก ไม่เกิด โดยเฉพาะในศาลานี้ ไม่มีหรอก หายาก ฟังปุ๊บบรรลุปั๊บเนี่ย อู้ฮู้ เข็นแล้วเข็นอีก บางทีถีบนะ ดัน ยัน ยัด เยียด ยังไม่ไปเลย ยังอยู่กับที่เลย ไม่หือไม่อือ ไม่รู้ซ้ายรู้ขวาเลย เออ มันไม่ใช่ โอ้โห บางทีมันสารพัด
เพราะงั้นเลยอยากบอกว่า อ้ายชนิดฟังปุ๊บบรรลุปั๊บเนี่ย ไม่เกิดในยุคนี้ แล้วจะเกิดในยุคไหน ยุคพระพุทธเจ้า เพราะพวกนั้นมีบุญพอแล้วที่จะเรียนรู้ศึกษาพระธรรม เค้าจะไม่เกิดในยุคที่ว่างพระพุทธเจ้า จะไม่เกิดในยุคนี้ เพราะงั้น การฟังก็ถือว่า เป็นการสั่งสมอบรมเจริญปัญญา เจริญบารมี เจริญคุณงามความดี แต่อย่าหวังว่า ฟังปุ๊บ จะบรรลุปั๊บน่ะ ไม่มี
เพราะงั้น โบราณาจารย์ ครูบาอาจารย์ พระศาสดา จึงต้องสอนพระธรรมพระอรหันต์อีก 3 ประเภทสุดท้ายไง เตวิโช ฉฬภิญโญ ปฏิสันภิทัปปัตโต เผื่อว่า เราบารมีไม่มากพอ ฟังแล้วมันยังไม่บรรลุ ก็เข็น ก็เข่น ก็ขัน ก็ดัน ก็ดึง ก็ทึ้ง ก็ขัด ก็อัด ก็กระทืบ อะไรก็แล้วแต่เถอะให้มันไปให้ได้ก็แล้วกัน ให้มันทะลุทะลวงไปถึงเป้าหมายในที่สุด มันมีเหตุปัจจัยอย่างนี้แหละ
หลายคนเค้าเขียนหนังสือมาถามว่า ทำไมต้องมีอรหันต์หลายพวก พวกอรหันต์ก็น่าจะคืออรหันต์ทั้งนั้น ทำไมมีอรหันต์พวกนั้นพวกนี้ อรหันต์สุกขวิปัสโก อรหันต์พวกวิชา 3 อรหันต์พวกฉฬภิญโญ อรหันต์เตวิโช อรหันต์ปฏิสันฯ มาจากไหน ก็สติปัญญาของคนมันหลากหลาย แต่จัดลำดับไว้ได้ 4 พวก เออ พวกนี้อะไรดี พวกปฐปรมัติเหรอ ชื่อเพราะนะ ปฐปรมัติเนี่ย พวกจะเป็นอาหารของเต่าและปลา รอเน่าอย่างเดียว คงไม่ถึงขนาดนั้น เพราะพวกนี้จะไม่ฟังอะไร พวกปฐปรมัติ จะเป็นพวกหัวดื้อ หัวรั้น ไม่ยอมฟังอะไร ไม่ยอมรับอะไร ไม่รู้อะไร ไม่ศึกษาอะไร ไม่เรียนอะไร ปฏิเสธทุกเรื่อง แล้วก็ถือดื้อ อวดตัวเองหัวดี แล้วก็ไม่เรียนรู้ ไม่ศึกษา ว่ายากสอนยาก พวกว่าอย่างนั้น
อีก 3 พวกต่อมา ก็พวกที่สามารถเรียนรู้ศึกษาได้ สามารถจะเข้าใจได้ สามารถเข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนได้ไม่ยาก
เพราะงั้นถ้ามองดูแล้ว ก็คงจะเป็นพวก 3 พวกต่อมาล่ะ อ้ายพวกสุดท้ายคงไม่มีเหลือ
งั้นก็สรุปว่า การฟังธรรม ไม่ว่าจะตามสื่อก็ตาม ทางที่ไหนๆ เนี่ย หลวงปู่เปิดโทรทัศน์ เปิดวิทยุ ถ้าเจอคนสอนธรรมะ หลวงปู่จะฟังจนจบ เช้าๆ สมัยก่อนจะมีตอนตี 3 ตี 4 ของคุณผู้หญิงท่านนึง อาจารย์สุจินต์ บริหารวรรณเขต เออ ก็จะชอบฟังแก แกก็บรรยายดี แต่แกไม่ค่อยให้เราปฏิบัติ คือแกจะเป็นพวกสุกขวิปัสโก ฝึกให้ศึกษา ให้เรียนรู้ ให้เข้าใจตามความเป็นจริง พอเข้าใจ รู้จักตามความเป็นจริงแล้ว เข้าใจการเกิดดับของจิต เข้าใจเจตสิกเข้ามาปรุง เข้าใจอาการเป็นไปแห่งจิต เข้าใจสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ทุกอย่างเป็นสภาพธรรมทั้งหมด มองดูผัวตบหน้าเมียก็เป็นสภาพธรรม เมียยิ้มให้ผัวก็เป็นสภาพธรรม เมียโกงเงินผัวไปซื้อหวยก็เป็นสภาพธรรม ทุกอย่างมันเป็นสภาพธรรมไปหมด แกมองทุกอย่างเป็นธรรมะไปหมด เออ ธรรมะมันมีธรรมะที่เป็นฝ่ายดีกับธรรมะที่เป็นฝ่ายดำ จะเรียกว่า ฝ่ายชั่วคงไม่ถูกต้อง ธรรมะฝ่ายขาวกับธรรมะฝ่ายดำ แกก็จะมองให้เห็น สอนให้เห็นเป็นสภาพธรรม ก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอก ลูก
มันไม่ผิดอะไร แต่พวกเราจะโดนสอนโดยเคยชินว่า กุศลกับอกุศล มันแยกออกจากกัน ธรรมะกับอธรรมมันแยกออกจากกัน แต่แกไม่เรียกอธรรม แกเรียกธรรมทั้งหมด สภาพธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นส่วนกุศล ก็เป็นสภาพธรรมในส่วนกุศล อกุศลก็เป็นสภาพธรรมในส่วนอกุศล แต่แกจะไม่มีคำว่า อธรรม ก็ได้ความรู้ไปอีกเรื่องหนึ่ง เพราะหลวงปู่เป็นคนชอบฟัง ฟังแล้วไม่ได้หวังว่าจะบรรลุหรอก แต่ก็ฟังให้เข้าใจ รู้จักตามความเป็นจริง แล้วก็ยอมรับว่า เออ ท่านผู้นี้เป็นปราชญ์ ท่านผู้นี้ยังไม่ถึง มันมียายชีคนนึง ยายชีอะไรหว่า อยู่ช่อง 5 ชอบออกมาจีบปากจีบคอพูด ไม่ใช่ ยายอะไรไม่รู้ อู๊ย บอกมีฤทธิ์ ยายคนนี้มีฤทธิ์ มีเดช หา เหรอ เห็นแกพูดแล้วน่าบี้สิว เออ ปล่อยแกเถอะ เค้าพูดได้ก็เป็นเรื่องดี
แต่อ้ายคนที่พูดธรรมกับบ่นเพ้อธรรม หรือพูดธรรมด้วยหัวใจที่มีธรรมเนี่ย มีกิริยาแตกต่างจากคนที่พูดธรรมโดยเสแสร้งแกล้งทำ มองไม่ยาก มันไม่มี มันซื่อตรง มันตรงไปตรงมา คนที่มีธรรมอยู่ในใจ เวลาพูดธรรมะออกจากใจ มันก็ง่ายในการสื่อความหมาย อ้ายคนที่ไม่มีธรรมะในใจพยายามเสแสร้งให้ได้ธรรมะอันสวยหรู สุดท้ายมันก็ได้เห็นความเสแสร้งอย่างชัดแจ้ง มันก็ปรากฏมายากาล มึงมองออกไม๊ เออ มันจะเห็น มันจะมองชัด ลูก มันจะทำเป็นคนรุ่มรวยแต่ข้างในกลวงโบ๋ อะไรอย่างนี้ ประมาณนั้นแหละ
เอาเปิดโอกาสให้ถามปัญหาสัก 10 ข้อ มีกติกาว่า อย่าถามแต่เรื่องของโลกโลกียะมาก ถามเรื่องปฏิบัติบ้าง
ปุจฉา ถ้าเราไม่มีอะไรเป็นสิ่งยึดติด จะรู้สึกโหวงๆ จะแก้อย่างไร จะกลับไปทางโลกก็ไม่อยากกลับ จะปฏิบัติธรรมก็ไม่ก้าวหน้า เหมือนค้างอยู่บนอากาศ ขึ้นก็ไม่ได้ ลงก็ไม่อยากลง เวลานั่งสมาธิ นิ่งมาก แต่ไม่รู้จะทำอะไรต่อ
วิสัชนา พวกขาดศรัทธาก็เป็นอย่างนี้แหละ ลูก ขาดพละคือพลังแห่งจิต 5 อย่าง เริ่มจากอะไร ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญา งั้นพวกจิตขาดศรัทธาก็จะเป็นอย่างนี้ ขาดศรัทธา ขาดความเพียร ก็จะมีความท้อแท้ ท้อถอย พอเจอปัญหาอุปสรรคขวากหนามเข้าหน่อย ก็เปลี้ย ก็แปล้ หมดเรี่ยวแรง แม้ไม่เจออะไร ไปแล้ว ก็เอ้ มาทำไม สงสัย ไม่ศรัทธา ไม่เชื่อไง ไม่มีศรัทธา เพราะงั้นวิธีคือ ต้องสร้างศรัทธา ให้เกิดศรัทธาให้มากขึ้น ก็จะมีคำตอบให้แก่ตัวเอง จบ
ปุจฉา ขยะเก่าไม่เพิ่ม ขยะใหม่ไม่สร้าง ขอหลวงปู่ช่วยขยาย
วิสัชนา ที่จริงมันเป็นหลัก 3 อย่างที่หลวงปู่เขียนไว้สมัยที่อยู่ถ้ำสิงโตทอง ถ้ำรังเสือ รู้สึกจะถ้ำรังเสือ กิจพระศาสนามี 3 อย่าง ลูกรัก
1 ไม่เพิ่มขยะใหม่
2 กำจัดขยะเก่า
3 ทำของดีที่มีอยู่แล้วให้ผ่องใส
จบกิจพระศาสนา
ไม่เพิ่มขยะใหม่ ทำลายขยะเก่า ทำของดีที่มีอยู่แล้วให้ผ่องใส เท่านี้ก็จบกิจพระศาสนา
แล้วถามว่าความหมายมันคืออะไร
ราคะเป็นขยะไม๊ โทสะเป็นขยะไม๊ โมหะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นขยะไม๊ เออ มีทั้งเก่าและใหม่ใช่ไม๊ ใช่ เพราะฉะนั้น เราต้องแยกให้ได้ว่า ปัจจุบันธรรม ขยะใหม่นั้น มันมีอะไรเข้ามาทางตา ตาเห็นรูป รูปสวยนี่ สวยเป็นราคะไม๊ เป็นโมหะความหลงไม๊ อ้าว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องจัดการกับตาเห็นรูป ไม่ใช่ไปควักเอาลูกตาออกนะ แต่ต้องมองให้เห็นชัด รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า รูปที่เห็นมันมีองค์ประกอบอะไร
เหมือนกับมีพระเค้าเขียนมา ไม่รู้พระจากวัดไหน ชอบเขียนมาถามปัญหากูจังเลย มีโยมผู้หญิงมาคอยใส่บาตร มาถวายอาหารอยู่บ่อยๆ เรารู้สึกได้ว่า โยมนั้นจะชอบเรา เราก็แรกไม่คิดอะไร ทำไปทำมาเราก็รู้จักคิดอะไร รู้สึกจะคิดอะไร อย่างนี้มันจะเป็นอาบัติไม๊ครับ เออ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เคยตัดใจว่า ไม่สนใจ ไม่ใยดี ไม่ดูแล แต่พอเห็นแล้วก็สงสารไปพูดดีด้วย เลยกลายเป็นว่าต้องโทรศัพท์คุยกันทุกวัน อย่างนี้จะเป็นอาบัติไม๊ครับ
อ้ายเราก็เลยบอก โอ๊ย เวรกร๊รม เวรกรรม ผมชั่งสมเพชท่านเหลือเกิน รู้จักไปมองอสุภะกรรมฐานบ้าง ว่างๆ ก็ลองไปดูซากศพที่มันกำลังขึ้นอืด น้ำเหลืองไหล ตาปลิ้น ลิ้นจุกปาก แล้วเอาชื่ออีคนนั้นเขียนติดศพไว้ แล้วมองดูว่าอีคนนั้นมันสวยตรงไหน หัดปลงสังเวชเสียบ้าง ให้สำนึกในหน้าที่ แล้วสุดท้ายจบลงท้ายไปว่า มีกายออกจากกาม แล้วใจยังหมกมุ่นในกามเนี่ย น่าทุเรศจริงๆ เขียนด่าไปอย่างนั้น ไม่รู้ล่ะ อยากถามมา เออ เป็นนักบวช
เพราะฉะนั้น พวกนี้มันเป็นขยะทั้งนั้นแหละ ลูก คือไม่อยู่ในทำนองครองธรรม ไม่อยู่ในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่อยู่ในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่อยู่ในสิ่งมงคล แต่ไปแสวงหาสิ่งอัปมงคลอย่างนี้ แสวงหาเรือน เป็นผู้ออกจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือน แล้วดันไปแสวงหาเรือนอีก มันก็ค้านขัดกับพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วจะมาเป็นสาวกของพระองค์ได้อย่างไร ก็ดีเหมือนกัน ตอบปัญหาอินเตอร์เนท ต่อหน้ามันไม่กล้าถามกู มันก็ใช้วิธีทางอินเตอร์เนทถาม แต่หลวงปู่เล่นไม่เป็นหรอก เค้าไปลอกเอามาให้ ก็ตอบไปตามเหตุตามปัจจัย
เพราะงั้น สรุปรวมๆ ก็คือ ไม่เพิ่มขยะใหม่ ทำลายขยะเก่า ขยะใหม่ในที่นี้ มันต้องหมายถึงเป็นปัจจุบันจริงๆ ตาเห็น หูฟัง จมูกดม ลิ้นรับ กายสัมผัส ใจรับรู้ ทุกอย่างเข้ามาต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่า เป็นทองหรือเป็นขี้ เป็นของดีหรือของเลว ต้องวิเคราะห์ให้ได้อย่างนี้ คือต้องมีมหาสติอย่างยิ่ง แล้วก็ขยะเก่าที่มีอยู่ กรรมเก่ามีไม๊ กุศลกรรมมีไม๊ อกุศลกรรมมีไม๊ อดีตกรรมมีไม๊ ปัจจุบันกรรมมีไม๊ แล้วมันก็จะส่งผลไปในอนาคตกรรม
เพราะฉะนั้นเหล่านี้เป็นขยะเก่าที่ต้องขุดรากถอนโคนมันด้วยปัญญา รู้แจ้งแทงตลอดแต่ละภพแต่ละชาติ เราสั่งสมมันมาแล้วกี่อย่างกี่ชนิด ราคะกี่กิโล โทสะกี่เข่ง โมหะกี่ตัน ต้องกำจัดออกให้หมด แล้วก็ทำของดีที่มันมีอยู่แล้ว ของดีที่มีอยู่แล้ว คือจิตที่ปราศจากเครื่องปรุง คือสภาพจิตที่ภาษาเซนเค้าเรียกว่า จิตเดิมแท้ หรือธรรมะภาษาหินยานอย่างพวกเราเค้าเรียกความหมายว่าจิตประภัสสระ หรือประภัสสร เรียกว่า ของดีที่มีอยู่แล้วให้ผ่องใส จบ
ปุจฉา เราจะทราบได้อย่างไรถึงของดีที่มีอยู่ในตัวเรา และจะเรียนรู้ตัวเอง จะเริ่มอย่างไร
วิสัชนา คนทุกคนมีของดีทั้งนั้น ถ้าไม่มีของดี มันก็ไม่เป็นคน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรกไป เพราะงั้นของดีที่มีอยู่ แม้สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก เมื่อพ้นจากอัตตภาพนั้นแล้ว ความดีที่มีหรือของดีที่มันมีอยู่ภายในแต่ละภพแต่ละชาติก็แล้วแต่ จะปรากฏ มันจะแสดงตนออกมา จนทำให้เราไปจับต้องมันได้ สำคัญเราจะต้องไม่ลืมที่จะค้นหามัน
ปัญหาของพวกเราก็คือ เราลืมที่จะค้นหาของดี มันก็เลยไม่คิดว่า ตัวเองมีของดี แล้วก็เลยไปอาศัยดีจากคนอื่น หลวงปู่เขียนบทโศลกขึ้นมาสอนไว้อีกบทว่า ลูกรัก จงปลุกครูผู้มีใจอารีที่แสนดีและนอนนิ่งหลับไหลอยู่ในตัวเจ้าให้ตื่นขึ้นมา แล้วเมื่อครูผู้ใจอารีนี้ตื่นขึ้นมาอย่างองอาจสง่างามแล้ว ทีนี้เจ้าไม่ต้องถามว่า เจ้าควรทำอะไร และไม่ควรทำอะไร เพราะนั่นคือหน้าที่ของครูเจ้าจะบอกเจ้าทุกเมื่อเชื่อวัน
ปัญหาสำคัญ คือ เราไม่เชื่อว่าเรามีครูผู้ใจอารีที่นอนนิ่งสถิตย์อยู่ภายใน เราก็ไปแสวงหาครูภายนอก เพราะงั้น หลวงปู่จึงกล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ชั่วชีวิตในการเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ไม่มีครูคนไหนเป็นผู้สอน ไม่มีครู ยกเว้นพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นถ้ามีความสามารถที่จะปลุกครูผู้ใจอารีที่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ภายในให้ตื่นขึ้นมาได้ นั่นแหละคือครูผู้ยิ่งใหญ่ของเรา ครูข้างนอกน่ะ อย่างมึงเจอหน้าหลวงปู่เดือนละกี่ครั้ง เออ แต่ครูภายในมันเจอได้ทุกครั้ง เออ ได้ทุกนาที ทุกลมหายใจเข้าและออก จบ
ปุจฉา พระพุทธเจ้าทรงสามารถต่ออายุเองของพระองค์ได้ อยู่ได้นานนับกัล์ป เหตุใดจึงรับคำของพญามารไปนิพพาน ซึ่งถ้าพระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ จะมีคนพ้นทุกข์อีกมาก
วิสัชนา ฮืม ถามกูแล้วกูจะไปถามใคร เพราะเกิดไม่ทันพระพุทธเจ้าเหมือนกัน แต่ก็ถือว่าเป็นเวรกรรมของสัตว์ล่ะ ก็บอกแล้วไงว่า สัตว์ผู้มีปัญญาอันแกร่งกล้า มีสติอันตั้งมั่น มีบารมีอันยิ่งใหญ่ ก็จะเกิดในยุคสมัยที่ทันพระพุทธเจ้า สัตว์ผู้มีปัญญาอันอ่อนด้อย มีสติอันอ่อนแอ มีสมาธิอันไม่ตั้งมั่น มีบุญอันน้อยนิด ก็จะเกิดในชั้นหลังๆ ที่พุทธเจ้านิพพานแล้ว แล้วแต่อายุขัย
เรานี่เกิดในชั้นที่ พ ศ 2000 เท่าไหร่ ถ้าคนไปเกิดใน พ ศ 5000 เนี่ย ก็บุญจะน้อยกว่าเราอีก เรานี่ก็ถือว่ามีบุญมาก อย่างน้อยเราก็มีบุญมากกว่าอ้าย พ ศ 5000 ล่ะ อ้าว ใช่หรือเปล่า แต่อ้ายคนที่เกิด พ ศ 500 เค้ามีบุญมากกว่าเรา พ ศ 2500 น่ะ อ้ายคนที่เกิด พ ศ 1 ก็ยิ่งมีบุญมากกว่าเรา มากกว่าอ้าย พ ศ 500 อีกนะ เพราะอะไร ก็เพราะว่า พระสัจจธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้ายังบริสุทธิ์ บริบูรณ์ไง ยังไม่มีการประดับประดาตกแต่งเติมแต้มสีแสงเสียงให้มันหะรูหะรา อลังการณ์ ตระการตาอร่ามใจมากมายเหมือนสมัยนี้ไง ขนาดสมัยนี้ 2500 ยังขนาดนี้ อย่าหวังว่าอีก 5000 ปี จะได้เห็นของจริงอย่างชัดแจ้ง มันจะต้องมีอะไรเคลือบแคลงปกปิดจนกระทั่งเราต้องใช้เวลาอย่างมหาศาลกับการที่จะเรียนเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะต้องใช้เวลาอีกมหาศาลในการที่จะนำชีวิตเข้าไปสู่ความหมายของคำว่าทำนองครองธรรม
เพราะงั้นถือว่าพวกเรานี่ก็มีดี มีบุญเก่าสั่งสมอบรมมาดีแล้ว แม้จะเกิดกลางยุค 5000 ปี ก็ยังดีกว่ายุคสุดท้ายตอน 5000 ปี ต้องเชื่ออย่างนี้ ต้องคิดแบบนี้ เพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเองที่จะขวนขวาย แล้วก็ประคับประคองชีวิตของตนให้มีชีวิตอยู่ในทำนองครองธรรม
ไม่ใช่อยู่ในคลองในวิถีในทางแห่งซาตาน มารที่ราคะพาไป โทสะพาไป โมหะพาไป โลภะพาไป อวิชชาพาไป ตัณหาพาไป ความกำหนัดยินดีนำพาเราไป ทำ พูด คิดเป็นไปตามอำนาจของมันอย่างนี้ ซึ่งมันแสดงว่าเราหมดแรง หมดกำลังที่จะประกาศตัวเองเป็นอิสระ เป็นเสรีภาพ ไร้อิสรภาพแล้ว ทีนี้ก็ยากที่เราจะไปขุดคุ้ยเอาครูผู้ใจอารีของเราให้ตื่นขึ้นมา งั้นยุคนี้สมัยนี้ มันจึงเป็นยุคเหมือนกับว่า ได้ทดลอง ทดสอบว่า ถ้าเราเพียรจริง ตั้งใจจริง มีศรัทธาจริง มีวิริยะจริง มีสติ สมาธิ ปัญญาตั้งมั่นจริงๆ แล้ว เราต้องการจริงๆ เราก็สามารถจะปลุกครูให้ตื่นขึ้นได้จริง แล้วมันก็เป็นการฝึกให้เรามีตบะ มีศักดา มีอานุภาพ
เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะบรรลุธรรมใน 2000 กว่าเนี่ย ส่วนใหญ่ เค้าจะเป็นพวกเตวิโช ฉฬภิญโญ ปฏิสันภิทัปปัตโตทั้งนั้นแหละ เพราะเค้าต้องเสียกำลังฝึกไง ต้องออกแรง ออกกำลัง หายากมากพวกสุกขวิปัสโก ยกเว้นพวกสั่งสมใหม่ อบรมใหม่ เจริญปัญญาใหม่ๆ แล้วก็ชอบเรื่องพวกนี้ คือชอบที่จะฟังอย่างเดียว ไม่สนใจจะปฏิบัติ แสดงว่าเค้าก็จะต้องไปพบพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป บุญที่สั่งสมในการขยันฟัง สนใจฟังก็จะต้องไปเจอพระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป
แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราพูดกันเองหรือเข้าใจกันเองนะ ลูก พระพุทธเจ้าบอกไว้ชัด วิถีแห่งการเจริญปัญญา เกิดปัญญา มีอยู่ 3 ทาง
1. สุตตมายะปัญญา ฟัง
2. จินตามายะปัญญา คิด
3. ภาวนามายะปัญญา ทำ
ฟัง คิด ทำ เพราะงั้น 3 ทางนี้ใครจะเลือกทางใดทางหนึ่งได้ไม๊ ได้ ถ้ามีกำลังแก่กล้า สามารถเลือกได้ แต่ถ้าไม่มีกำลังแก่กล้า เค้าก็จัดไว้เฉพาะบุคคล เฉพาะคนที่มีสมบัติที่จะฟังแล้วบรรลุ เฉพาะคนที่มีสมบัติที่จะคิดแล้วบรรลุ เฉพาะคนที่มีสมบัติว่าต้องทำแล้วจึงบรรลุ ท่านจัดอาไว้อย่างนี้ จบ ลูก
ปุจฉา การหล่อพระเกศสมเด็จปกเกล้าปกกระหม่อม พระนาคปรก หลวงปู่มีโครงการจะใช้ทองคำสำหรับหุ้มรอบนอก หรือหล่อด้วยทองเหลืองแค่เพียงอย่างเดียว ในกรณีที่ใช้ทองคำหุ้มรอบนอก ผู้ต้องการถวายจะนำมาถวายในเวลาไหน และหลวงปู่จะเมตตาหล่อพระเกศในวันที่เท่าไหร่
วิสัชนา ถวายได้ทุกเวลา ลูก มันไม่จำกัดหรอก เพราะมันใช้เยอะมาก แม้หุ้มรอบนอก ยืนดู ขนาดไปยืนดูพระเกศยังสูงกี่เท่าตัว ต้องนั่งร้านชั้นที่ 2 นั่งร้านนี่ก็ 2 เมตรแล้วนะ ชั้นที่ 2 กว่าจะถึงปลายเอื้อมมือ หลวงปู่ไปช่วยเค้าแต่งปลายพระเกศ ก็ 4 เมตร ความสูงก็ 4 เมตร แค่หุ้มก็ใช้มหาศาลแล้ว เพราะว่าจำนวนมันมาก แล้วพื้นที่มันกว้างมาก ก็ไม่เป็นไร ทำเท่าที่ทำได้ ไม่ต้องวิกตกังวล ค่อยๆทำไป เดี๋ยวกูก็ขายหมดล่ะ วันนี้ก็ขาย นี่กำลังประกาศขายพระ เอาสมภารเบอร์ 1 ลูกวัดเบอร์ 2 ใครจะซื้อบ้าง ขายไม่แพงหรอก เฒ่าเอาไม๊สมภาร
ไม่ต้องกังวล ลูก หลวงปู่ทำแบบไม่เป็นทุกข์ ทำแบบสบายๆ เสร็จเมื่อไหร่ มีตังค์เมื่อไหร่ พร้อมเมื่อไหร่ มีทองเหลืองทองแดง ตอนนี้ทองเหลืองทองแดงขึ้นมาบานเลย จากทองแดงโลละ 250 เดี๋ยวนี้ขึ้นมา 320 ทองเหลืองโลละ 150 ขึ้นมา 180 ทุกอย่างมันขึ้นหมด หลวงปู่กำลังปรึกษาช่างเมื่อวานว่า เอ เราทำพญานาคนี่ เราใช้วิธีอย่างนี้ได้ไม๊ ใช้แมคคานิคแบบโบราณที่หลวงปู่เคยทำ ก็คือ ทำโครงเป็นปูนแห้ง แล้วก็เอาแผ่นทองเหลืองบางๆ มาบุบ แล้วก็ตอกลายขึ้นรูปให้มันเป็นลาย คือแผ่นทองเหลืองหุ้มปูน ตอกตะปูปิดเป็นเกล็ด แต่ถามว่าทนไม๊ ก็ทนล่ะ ลูก แต่ก็ทนไม่เท่ากับทองเหลือง แต่ก็มองดูว่า ทุนมันก็จะใช้มาก ความสูงมันต้อง 60 เมตรแล้ว น้ำหนักมันก็มากด้วย เดี๋ยวก็ลองดูอีกที ลูก ไม่ต้องกังวล ค่อยๆ ทำไป ใครมีโลหะอะไรจะมาให้ก็ไม่ว่า รับทั้งนั้นแหละ ยกเว้นระเบิดกับลูกปืน เดี๋ยวจะบอกอะไรก็ไม่ว่า งั้นเอาระเบิดไปก็แล้วกัน ไม่เอา อย่างนั้นไม่เอา จบ
ปุจฉา ไม่รู้ว่าฝึกกรรมฐานถูกหรือไม่ มีอยู่คืน รู้สึกเจ็บหัวใจมาก ก็เลยนอนฝึกกรรมฐาน แล้วรู้สึกจะเป็นลมปราณที่วนอยู่รอบตัวเป็นรูปวงกลม จากใหญ่มาเล็ก สักพักก็กลายเป็นแสงวิ่งทะลุตามเส้นในตัวลูกถึงเส้นหัวใจลูกที่เจ็บ
วิสัชนา ก็ทำไป ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย ก็ทำแล้วมันสบายขึ้น ไม่ได้ผิด จบ ประสบการณ์ทางวิญญาณในการปฏิบัติธรรมของแต่ละคน มันไม่เหมือนกัน แต่ละคนไม่เท่ากัน เพราะแต่ละคนมีมีธาตุเจ้าเรือนต่างกัน มีจริตนิสัยก็ต่างกัน มีวิถีคิด วิถีชีวิตก็แตกต่างกัน
เพราะงั้น วิชาปราณโอสถไม่มีหลักตายตัว มันมีอยู่ข้อนึงก็คือ ประโยชน์
ถ้ามันมีประโยชน์ ใช้ได้ทั้งนั้น
ถ้าไม่มีประโยชน์ ใช้ไม่ได้เลย
ฝึกแล้วมีประโยชน์ไม๊ล่ะ หา เออ ถ้ามีประโยชน์ก็ใช้ได้ ธรรมะมันจะไม่ศักดิ์สิทธิ์เลย ลูก ถ้าเราพึ่งไม่ได้ แต่ถ้าพึ่งได้ ก็เป็นธรรมะอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา จบ
ปุจฉา หลวงปู่เคยวิสัชนาว่า คนที่เคยเป็นมะเร็งเต้านม ลามไปถึงต่อมน้ำเหลือง สามารถเดินลมปราณจนถึงขั้นชำระไขกระดูก จะช่วยให้โรคดีขึ้นได้ ปัจจุบันเดินลมอักษรสวรรค์ตามวิธีของหลวงปู่อย่างเดียว ไม่ได้เดินตามจังหวะ จะสามารถรักษาโรคได้หรือไม่ อย่างไร
วิสัชนา อักษรสวรรค์ก็ได้ แต่ต้องฝึกจนกระทั่งทำให้กระดูกเคลื่อนได้ตามข้อ ไขข้อต่างๆสามารถทำให้ของเหลวไหลเวียนได้ดี อย่างนี้ก็น่าจะได้ ถ้าทำได้นะ จบ
ปุจฉา จากคำว่า บุญเป็นเครื่องยังให้ถึงสมบัติทั้งปวง หากบุคคลใดขยันทำมาหากิน แต่ตระหนี่ ไม่สนใจในบุญทานนั้น คนนั้นจะมีสิทธิ์ถึงสมบัติและโภคทรัพย์ได้หรือไม่
วิสัชนา เค้าก็จะได้แต่สมบัติในชาติปัจจุบัน แล้วก็เป็นคนที่โง่เอามากๆ บริหารทรัพย์ไม่เป็น เค้าเรียกว่า ไม่ใช้ทรัพย์ต่อทรัพย์ เผื่อไว้ในชาติต่อๆไป หรือในอนาคต คนมีทรัพย์แล้วไม่รู้จักใช้ทรัพย์ ไม่เอาทรัพย์มาสั่งสมอบรมอริยทรัพย์ ไม่สร้างให้ทรัพย์กลายเป็นอริยะ คือจะติดตามตัวไปในภพชาติต่อๆ ไป ก็คือว่า เป็นคนโง่เชลาเบาปัญญา เพราะเค้าคิดว่า เค้าจะมีชีวิตเสวยทรัพย์นั้นมันจนกระทั่งไม่รู้จักตายมั๊ง ซึ่งมันก็จะต่างกับคนสมัยโบราณที่เค้าจะนิยมทำทาน ทำบุญบริจาค แล้วก็แบ่งปันทรัพย์ของตนให้กับผู้อื่น คนอื่น ช่วยเหลือสัตว์อื่น แล้วก็คนตกทุกข์ได้ยาก เพราะเค้าเชื่อแล้วก็ถือว่า นี่คือกระบวนการที่จะสั่งสมอริยะทรัพย์ ให้ติดตามเค้าได้ทั่วตลอดกาลตลอดสมัย หรือตราบนานเท่านาน ข้ามภพข้ามชาติไปได้
นี่ก็ไม่ใช่ความคิดของหลวงปู่เอง หรือความคิดของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ที่สุด จิตตคหบดีเศรษฐีที่ถูกเผาวัดแล้ว แล้วก็มาสร้างวัดใหม่ พระศาสดาก็ยังอนุโมทนาว่า ท่านช่างเป็นผู้มีอริยะทรัพย์อันประเสริฐยิ่ง ถามว่า ทำไมจึงเรียกว่า มีอริยะทรัพย์อันประเสริฐยิ่ง ก็เพราะว่า ที่ท่านทำวัดไปครั้งแรกด้วยทองคำ ลงมือไปถึง 7 ปี 7 เดือน แล้วมันมาเผาหมดภายในคืนเดียว แล้วท่านก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไร แล้วแถมยังรู้สึกยินดีว่า ทรัพย์เราไม่ได้หายไปไหน เพราะเราได้ตั้งใจทำถวายพระศาสดา รุ่งขึ้นก็ระดมทำใหม่อีกจนกระทั่งแล้วเสร็จภายในเวลาอันไม่นานนัก พระพุทธเจ้าก็ยกย่องว่า นี่เป็นผู้ฉลาดในการบริหารทรัพย์
พูดอย่างนี้ไม่ใช่เดี๋ยววันนี้ มึงช่วยกูเผาอ้ายนั่นอ้ายนี่นะ ไม่เอานะโว้ย ยังไม่ต้อง กูขี้เกียจเหนื่อย เออ เดี๋ยวบอก เอ้า เราต้องฉลาด เผา เผา ไม่ใช่นะ เออ ขี้เกียจเหนื่อย คนตระหนี่จะไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพย์ใดๆ จบ
ปุจฉา ลูกจะต้องตั้งจิตอธิษฐานอย่างไรให้ได้ติดตามปฏิบัติธรรมกับองค์หลวงปู่ และบรรลุธรรมในยุคสมัยที่องค์หลวงปู่สำเร็จพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า
วิสัชนา อ้อ อย่างนั้นก็ไม่ว่ากัน แต่ติดตามกูไปวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ ไม่ต้อง ไม่ต้อง ขอร้อง ไกลๆ หน่อยก็ดี อย่าใกล้นัก อะไรอย่างนี้ ทำเท่าที่ทำได้ ก็บอกแล้วว่า หลวงปู่คุยกับคนที่มาหา เค้ามาเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ อะไร เราก็เลยบอกว่า เออ ดีน่ะเป็นลูกษิษย์กู แต่ชั่วน่ะเป็นลูกสัตว์ เข้าใจความหมายนี้ไม๊
ดีน่ะ เป็นลูกศิษย์กู แต่ถ้าชั่วน่ะ เป็นลูกสัตว์ ไม่ใช่ลูกศิษย์ เหมือนๆ กับเนี่ย เมื่อวานเพิ่งตะเพิดยายอะไรไปคนนึง ยายอุไรเค้าตายเค้าเผา เออ แล้วมันสัมอ้างไปขอเรี่ยไรเงินคนนั้นเงินคนนี้ เอามาจัดงานศพยายอุไร เอ เราก็ว่า เงินกูก็เป็นคนจ่ายแล้วมันเงินที่ไหนมาเรี่ยไร แล้วก็ถามว่า อ้าว นี่ไป 20000 นี่อีกหมื่นไปทำงานศพยายอุไร อีกหมื่นถวายหลวงปู่ เค้าก็ถามว่า ถวายแล้วเรอะ พองานศพมา เค้าก็มาถามว่า หลวงปู่ได้ตังค์หรือยัง ดิฉันโอนเงินมาถวายฝากคนนั้นๆ มา โอนอะไรมาให้กู กูไม่รู้เรื่องอะไร มึงอย่ามาตู่กู
เออ แล้วก็อยู่วัดอย่างเดียวยังไม่พอ ไปไล่ยืมคนนั้นยืมคนนี้ อ้ายพวกอยู่วัดแล้วไปไล่ยืมเงินคนเนี่ย ขอร้องทีเถอะ อย่าทำ บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ มีที่ให้ซุกหัวนอน มีข้าวให้กิน แล้วมันจะต้องไปใช้เงินอะไรมากมาย มาอาศัยวัดอยู่ก็ดีแล้ว
ที่นี่มีแต่ปัญหา เมื่อวานนี้เอาอีกแล้ว อีกราย อีกคู่นึงแล้ว ทะเลาะกัน เออ เลี้ยงหมาเลี้ยงแมว หมาแมวกัดกัน คนยิ่งกว่าหมากว่าแมวกัดกัน เออ อ้ายที่มันกัดน่ะเดรัจฉาน แต่อ้ายที่ตีกันน่ะ มันเลวยิ่งกว่าเดรัจฉาน เพราะตีกันเพราะสัตว์เดรัจฉาน กูไม่คิดว่าวัดกูจะมีเดรัจฉานเยอะขนาดนี้ เราก็ไม่รู้จะพูดยังไง ยืนมองมัน มันก็ยึกๆ เลยถมึงตาใส่ บอกว่า มึงนี่ถ้าจะไม่รักชีวิตแล้วล่ะ แล้วก็เดินกลับ ขี้เกียจไปด่ามัน ขนาดยืนดูมัน ยังไม่เงียบเลย แต่ว่ามันสติไม่ดี ช่วยมันไม่ได้ ก็บอกแล้วว่า คนมาอยู่วัดกูน่ะ คนดีไม่ค่อยมาหรอกส่วนใหญ่บ้าทั้งนั้น บ้าๆ ทั้งนั้น นั่งอยู่คุยคนเดียวอย่างนี้ เออ ช่างมันเถอะ ปล่อยมันเถอะ กูเมตตาไม๊ เมตตานะ แล้วใครจะเมตตากูนะเนี่ย มานั่งเลี้ยงคนบ้าๆไว้เต็มวัดเนี่ย
ปุจฉา จิตที่สับสน เครียด ฟุ้งซ่าน จะปฏิบัติธรรมได้อย่างไร
วิสัชนา มันมีกันทุกคนล่ะ ลูก มันต้องฝึก ค่อยๆ ที่จะปรับ คนทำใหม่ๆ ก็อย่างนี้ทุกคน เหมือนกับเด็กๆ ที่ไปโรงเรียนใหม่ๆ มันอยากไปไม๊ โอ้ อุ้ย มันกอดเสาไฟฟ้าแน่นเลย แม่มันก็ดึง ดีไม่ดี เสาบ้านเสาประตูบ้านมันดึงแน่น ร้องไห้ แหกปาก พอไปสักพักนึง ทีนี้แม่มันดึง บอกให้อยู่บ้านบ้างสิลูก มันก็ไป เพราะติดเพื่อนไง เหมือนกันล่ะ ลูก คนฝึกปฏิบัติธรรมเหมือนกัน มันลักษณะเหมือนเด็กไปโรงเรียนใหม่ๆ งั้นต้องพยายาม ถ้าวันนั้นแม่ขี้คร้าน บอกเออ ไม่ไปก็อย่าไปเลยลูก อยู่อย่างนี้น่ะ ลูกก็โง่เป็นควาย โง่ดักดานอยู่อย่างนั้นอยู่ในบ้าน ถ้าแม่ไม่ขี้คร้าน ก็พยายามผลักดัน ทั้งฉุดกระชากลากถู จ้างก็เอา อะไรอย่างนี้ ลูกก็เลยได้เรียนหนังสือ รู้เรื่อง
การปฏิบัติธรรมก็ไม่ต่างกันหรอกลูก แต่ละคนทุกคนเป็นอย่างนี้ อย่าว่าแต่คนที่ชอบ บางครั้งมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน มันก็ชังเหมือนกัน นั่งนานๆ ยืนนานๆ เดินนานๆ มันเปลี้ย มันเพลีย มันเหนื่อย มันก็ต้องปรับเปลี่ยนอิริยาบท หาวิธีเข้ามาบริหารจัดการ เดี๋ยวมันก็ฝึกนิสัยเป็นความคุ้นเคย เป็นความเคยชินเป็นความชอบ แม้วันนี้เราชอบ อย่าคิดว่ามันจะชอบได้ตลอดนะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้า ไม่ชอบแล้วก็มี เพราะช่วงก่อนระหว่างจะถึงอาทิตย์หน้า มันมีแว๊บไปครั้งหนึ่ง โอ้โห ละครเรื่องนี้กำลังมัน เลยติดใจละคร มาอีกที มันเหมือนแขกแปลกหน้าเสียแล้วกับการปฏิบัติธรรม จริงไม๊ อันนี้เรื่องจริง
เพราะงั้น ทุกเรื่องมันจึงต้องเรียนอยู่ตลอดไง พระพุทธเจ้าจึงสอนมหาสติปัฏฐาน 4 ไง
มหาสติปัฏฐาน 4 มันต้องมีสติทุกขณะลมหายใจเข้าและออก เพื่อประคองจิต เพราะเมื่อมันร่วงลงไปแล้วเนี่ย มันยากที่จะดึงมันขึ้นมาอีก มันต้องเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ ไม่จบ
งั้นพวกโลกียะวิสัย มันก็เป็นอย่างนี้ ถูกบ้างผิดบ้าง ผิดบ้างถูกบ้าง สลับสับเปลี่ยนกันไป แต่ถ้าหากถูกมากกว่าผิด มันก็สามารถเข้าไปสู่โลกุตตระวิสัยได้ แต่จะปล่อยให้ผิดมากกว่านี้ ก็ต้องจมปลักหนักกว่าโลกียะวิสัย ลงไปนรกวิสัย เดรัจฉานวิสัยไปนู้น หนักกว่าเก่าอีก
เพราะงั้น พวกโลกียะวิสัยต้องมีหน้าที่ประคับประคองให้ดีกับชั่วมันบัลล้าน (balance) กันให้ได้ ถ้าเมื่อไหร่ชั่วสูงกว่าดี แสดงว่ามันจะกลายเป็นเดรัจฉานวิสัย สัตว์นรกวิสัย ทุกข์คติวิสัยแล้วล่ะ มันไม่ได้เสพเรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสโลกียะแล้ว
การดำรงอยู่ชีวิตของสรรพสัตว์และมนุษย์เนี่ย มันเป็นเหมือนคนในตัวของมันเสร็จน่ะ ในสภาพจิต สภาพอารมณ์ สภาพธรรม คราครั้งใดที่เราเสพสุขทุกข์ สุขทุกข์ ทุกข์สุข สุขทุกข์ ทุกข์สุขอยู่ตลอดเวลาเนี่ย มันก็อยู่ในโลกของโลกียะ แต่เมื่อไรที่เราเสพแต่ทุกข์ สุขไม่โผล่เลยเนี่ยนะ แสดงว่าเราจะเป็นทุกข์คติวิสัยแล้ว เรากำลังตกนรกแล้ว แล้วมันเกิดจากเหตุปัจจัยอะไร ถ้ามีปัญญา มันก็ไม่เกิด แต่ถ้าไม่มีปัญญา มันจึงเกิด ค้นหาเหตุไม่ได้ ดับเหตุไม่ได้ มันก็เลยเกิดแต่ทุกข์ สุขไม่มี
ทีนี้จะพัฒนาจากสุขทุกข์ ทุกข์สุข สุขทุกข์ กลายเป็นโลกุตตระ พ้นจากโลกียะ อย่างนั้นก็ต้องใช้ปัญญามากๆ ใช้แสงสว่างเยอะๆ เหมือนกับคนเดินทางไปในที่แคบๆ แต่มีไฟดวงนิดเดียว หรือไม่ก็เดินทางไปในที่กว้างๆ แล้วมีไฟดวงนิดเดียว มันก็มีทัศนวิสัยอันแคบ ใช่ไม๊ มองเห็นเฉพาะแค่ก้าวหนึ่งๆ แต่ถ้าเมื่อใดที่เรามีปัญญา คือมีดวงไฟอันสว่าง แสงโชติช่วง มันก็เห็นเป็นเจอก้าวสิบก้าวข้างหน้าได้ เป็นหมื่นก้าวพันก้าวข้างหน้าได้ จะก้าวยาวก้าวสั้นก็ไม่ลำบากกาย ไม่ลำบากใจลำบากที่จะก้าว แต่ถ้าเรามีไฟอันเล็กนิดเดียว อย่าว่าก้าวเลย ค่อยๆ เขยิบไปทีละนิ้วๆ ก็ยังยาก เพราะกลัวว่าจะตกเหว ตกร่อง ตกรู หรือไม่ก็โดนหนาม โดนเข็มทิ่มอะไรอย่างนี้ เราก็ไม่กล้าจะไปไหน งั้นการเดินทางของมนุษยชาติหรือการมีชีวิตอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับการเดินทาง เดินทางเข้าไปสู่โลกแห่งความสุขทุกข์ โลกียะ โลกุตตระ สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย แล้วก็สัตว์นรก
ถ้าเรามีไฟ คือ ปัญญาอันสว่างมากๆ เราก็จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีไฟ ไม่มีปัญญาอันสว่าง ไม่ขึ้นไปไหน ก็จมปลักดักดานอยู่กับที่ ทีนี้ก็ไฟหมดเชื้อ สุดท้ายก็ไปไหนไม่ได้แล้ว ตัวเองก็ตกต่ำอยู่อย่างนั้น รัก โลภ โกรธ หลง ครอบงำไม่จบสิ้นอย่างนี้
งั้นก็ต้องพัฒนา หลวงปู่จึงสอน จึงฝึก จึงให้เราเรียนรู้ศึกษาสั่งสมอบรมเจริญปัญญา
เพราะมีปัญญา จึงบริหารทุกข์ได้
เพราะมีปัญญา จึงแก้ปัญหาได้
เพราะมีปัญญา จึงรู้ว่า ชีวิต คือทุกข์และปัญหา
และเพราะมีปัญญา จึงแก้ทุกข์และปัญหาได้กับชีวิต
ทั้งหมดเนี่ยมาจากปัญญา มันก็ตรงกับคำสอนในวันไหว้ครู ว่าอะไร
เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต
พอ เตรียมปฏิบัติธรรม อ้อ เค้าบอกหรือยังว่า ไปเจริญพุทธมนต์วันไหน วันอะไร เออ วันพฤหัส ไปซักตอนบ่าย 2 โมง เออ เค้านัดกันก่อนบ่ายโมง ไปบอกการไฟฟ้าด้วย ใส่ชุดอะไรไป เออ บ่ายโมงครึ่ง เค้านัดพร้อมกัน
16.00 น. หลังปฏิบัติ
เข้าที่ รู้แล้วล่ะ พวกมึงจะอ้วนได้ยังไง ไม่ต้องกินข้าว ลูก เดินปราณโอสถไป แล้วเดี๋ยวพวกมึงจะอ้วนบวมไปเอง มึงจะบวมแบบไม่สิ้นเปบือง เพราะกูเห็นพวกมึงบวมกันเกือบทุกคน มือบวม ตัวบวม ตาบวม หน้าบวม บวมไม๊ เออ มีอยู่ 2 กรณี ลูก
กรณีแรก คือ ร่างกายเราบกพร่อง
กรณีที่ 2 คือ เรากั้นท่อของปราณที่เดินออกจากรูขุมขนให้มารวมอยู่ในจุดใดจุดหนึ่ง ปราณมันก็เลยพลุ่งพล่านอยู่ภายใน ไม่สามารถออกตามอัธยาศัยของมันได้ เพราะเรายังบังคับมัน แต่กรณีนี้นี่น่าจะเป็นไปได้น้อย เพราะดูท่าทางมึงยังไม่ค่อยสามารถที่จะควบคุมปราณได้ตลอด
กรณีนี้มันจะข้ามล่วงปิติทั้ง 5 แล้วล่ะ เรียกว่า อุเพงคาปิติ คือร่างกายจะโตใหญ่เหมือนกำลังจะแตกปริ เหมือนศพกำลังขึ้นอืด แต่เป็นปิติที่เราไม่ซาบซ่าน แต่มันเป็นสัญญลักษณ์ เป็นนิมิตรแห่งความเป็นจริงที่เราได้จากการฝึกปราณที่เดินภายใน
เอาน้ำมาแจกกัน เอามาให้ผู้เฒ่าบ้าง
อ้อ บอกซะ เดี๋ยวจะไม่ได้บอก แบบพระผงน้ำพระทัยปกเกล้าปกกระหม่อมเนี่ย เค้าทำมาเรียบร้อย แต่ละคนทำมาหลายคน หลวงปู่ก็มารวมเอาคนโน้นมาใส่ เอาคนนี้ไปใส่หน่อย แล้วก็ให้เค้าไปทำพิมพ์แล้ว อาทิตย์หน้าเค้าจะเอาพิมพ์มาให้ดู
ทีนี้ก็หลวงปู่ต้องเตรียมผง ผงเก่าที่ยังพอมีเหลืออยู่จากการทำพระในถ้ำ เรียกผงอิฐิเจ ผงปฐมัง ผงตรีนิสังเห ที่ใช้ดอกไม้ตากแห้งมาบดแล้วปั้นเป็นชอล์ก แล้วก็เขียนอักขระแล้วลบ เขียนแล้วลบ ให้ครบร้อยแปดครั้ง แล้วก็ผงพระปริตร แล้วจึงจะเอามาทำพระ ทีนี้ก็บอกบุญลูกหลานว่า ใครมีพระผง พระดิน พระที่ไม่ได้ใช้น่ะลูก ที่มันสามารถเอามาตำบดใส่กับพระได้ ก็เอามารวบรวม อาทิตย์หน้าต้องมาใช่ไม๊ เออ เร่งหน่อย จะทำซะ บอกเค้าเมื่อครู่นี้ เลขาฯมูลนิธิอโรคยาให้ทำเรื่องขอพระราชทานพระปรมาธิไธย เค้าถามว่าจะทำซักเท่าไหร่ ก็ว่าจะทำซัก 9999 องค์เท่านั้น ไม่ขาย จะทำแจก เออ เดี๋ยวเก็บไว้ที่วัดส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็แจก
งั้นก็ ใครมีผงวิเศษอะไรก็เอามารวบรวม ดอกไม้แห้งบูชาพระก็ได้ เอามารวบรวม ให้เค้าไปเอาพวกชาวถ้ำไปเอาผงโมกผาที่อยู่ในถ้ำนั่นแหละ เป็นผงศักดิ์สิทธิ์ เป็นผงของพวกคนธรรภ์ สีเหมือนกับปูนขาว แต่อยู่ในใต้ถ้ำ ต้องขุดลงไป ยุ่ยๆ เหมือนกับดินสอพอง สมเด็จพุทธาจารย์(โต) ท่านใช้ผงนี้สำหรับทำพระท่าน โดนอากาศแล้วมันจะแข็ง แล้วมีแวว จะมีเหมือนเม็ดพระธาตุอยู่ข้างใน
แล้วก็วันพฤหัส (3 มี ค 54) ไปไม๊ เออ บอกพรรคพวกด้วย เพื่อนพ้องน้องพี่ไปแสดงความจงรักภักดี ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ แล้วก็ไปเจริญพระพุทธมนต์โปรดสัตว์หน่อย เพราะที่ศิริราชน่ะ เค้าตายกันเป็นร้อย ตามซ้ำตายซาก ตายจนผีไม่มีที่อยู่ ก็ซ้อนกัน ขี่คอกันบ้าง ก็ไปสวดมนต์อนุเคราะห์ให้เค้าได้รับฟัง ปลดปล่อยเค้าบ้าง คราวที่แล้วเค้าก็อุตส่าห์ตามมาขอบใจ สวดมนต์ให้เค้า เออ ใครว่างก็ไป เค้ารวมกันกี่โมง บ่ายโมงครึ่ง เดี๋ยวพวกการไฟฟ้าเค้าจะรวมหนังสือสวดมนตฺไปให้ แต่งตัวให้ดี ให้เรียบร้อยก็แล้วกัน สีอะไร เออ ไม่มีก็ซื้อเอา กูไม่ไหวแจกแล้ว ไม่มีก็ซื้อเอา เอ้า ถวายทาน ลูก วันนี้ทำได้เรื่องไม๊
รู้สึกไม๊ว่า เหมือนมีปราณมันไหลอย่างรุนแรงออกจากนิ้วตลอดเวลา เวลาเดินน่ะ รู้สึกไม๊ แล้วมันจะแรงเหมือนกับเราเปิดน้ำจากสายยาง จากท่อแรงๆ ตอนเช้ามืดน่ะ มันจะไหลโจ๊กๆ อยู่ตลอด อย่าวิตก อย่ากังวล แสดงว่าเรารวม 5 ให้มาอยู่ 1 เหมือนกับแม่น้ำ หรือท่อรั่วหลายๆ ท่อ แล้วเราอุดรูให้มันไหลออกท่อเดียว มันก็รุนแรงแบบนั้น แต่อย่าห่วง แค่นี้ยังใช้ไม่ได้ ต้องทำให้เล็กเหมือนดั่งเข็ม แล้วชำแรกเข้าไปในเส้นเลือดฝอยให้ได้ จึงจะเรียกว่า ใช้ได้ ยัง แค่นี้ยังฝึกไม่ได้ ยังใช้เอาการไม่ได้ มีใครบ้างที่ไม่รับรู้สึกอะไรใครเค้าเลย ไม่หือไม่อือ เดินแต่ซากอย่างเดียว อาม่าเหรอ
เดินเนี่ย มันทำให้กระดูกพัฒนา วิชาแพทย์ปฐวี หรือแพทย์กระดูกโบราณเนี่ย เค้าจะให้ว่ายน้ำ ให้เดิน เพื่อแก้โรคกระดูกพรุน กระดูกเปราะ ว่ายน้ำแล้วก็เดิน เพราะทุกครั้งที่เราเดินเนี่ย เซลล์กระดูกมันจะทำงาน ซ่อมและเจริญเติบโต และมันซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่ทุกครั้งที่นั่ง เซลล์กระดูกจะไม่ทำงาน หรือทำงานได้น้อยมาก ทุกครั้งที่ยืนที่เดิน เซลล์กระดูกจะทำงาน แต่ก็เดินให้เหมาะสมตามวัย ไม่ใช่พูดอย่างนี้แล้วเดินเป็นชะมดติดจั่น เดินมันทั้งวัน ไม่ต้องทำอะไร เออ ไม่ได้ อย่างนั้นไม่ได้ ลูก เดินแล้วก็ดื่มน้ำเยอะๆ
เอ้า ถวายทาน ลูก พวกมึงนี่ยังบวมไม่เลิกนะ ดูยังตึง รู้สึกไม่แก่นะ หน้าเต่งตึง อยากจะเป็นคนแก่ยาก แล้วตึงตลอดเวลา ไม้หน้าสามเด็งกลับน่ะ เดินทุกวันน่ะ มึงเดินตลอดเวลา 3 เวลา แล้วมึงจะไม้หน้า 3 เด็งกลับ คือมึงน่ะเด็งกลับ ไม้หน้าสามตกข้างหน้า เอ้า นะโม 3 จบ ลูก
ห้องสมุดธรรมอิสระ
แสดงธรรมอาทิตย์ปลายเดือน วันที่ ๒๗ ก.พ.๕๔
- Details
- Written by พระธนุส กิตฺติญาโณ (พระจูเนียร์)
- Hits: 2437