18 ก พ. 2554 บ่าย
ระหว่างปฏิบัติธรรม วันมาฆบูชา โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ ใครที่ไม่เคย ยกมือขึ้น แล้วให้รุ่นพี่เข้าไปแนะนำเดินในขั้นที่ 1 หูฟังเสียง เท้าก้าวเดิน ใจรับรู้ สำหรับคนใหม่ คนเก่าก็กำหนดจิตที่หน้าอก พวกรุ่นพี่ กิริยาเดินจะต้องแตกต่างจากรุ่นน้องๆ กิริยาของรุ่นน้องๆ ก็คือ หูฟังเสียง เท้าก้าวเดิน ใจรับรู้ แต่กิริยาของรุ่นพี่ มันเดินเพื่อจะประคองจิตให้ตั้งอยู่ในกาย ขั้นตอนแรกให้ประคองจิตที่จะตั้งอยู่ที่หน้าอก กึ่งกลางตัว เพราะงั้นอิริยาบทที่จะเดินก็จะต่างจากรุ่นน้อง แบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย หลายคนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่นะ รุ่นพี่กำลังเดินประคองจิตอยู่ไม่ใช่หรือ ลูก รู้สึกที่ไหน จิตอยู่ที่นั่น ตอนนี้มีคำสั่งว่า ให้จิตตั้งอยู่ที่หน้าอก เดินประคองจิตตั้งอยู่ที่หน้าอกสำหรับรุ่นพี่
ส่วนคนที่มาใหม่ทำถึงขั้นนี้ได้ไม่ง่าย เพราะฉะนั้นก็ให้ฝึกขั้นตอนแรกไปก่อน ก็คือ หูฟังเสียง เท้าก้าวเดิน ใจรับรู้ตามจังหวะ รุ่นพี่ รู้สึกอยู่ที่หน้าอก ตั้งอยู่ที่หน้าอก สัมผัสที่หน้าอก จิตก็จะอยู่ที่หน้าอก
เดินผ่อนคลายในขั้นที่ 2 รุ่นน้อง ใครที่ไม่เคยทำ รุ่นพี่แนะนำ ในขั้นที่ 2 ทุกอย่างในร่างกายต้องผ่อนคลาย แม้แต่อารมณ์ ความรู้สึก รู้อยู่ข้างนอกน่ะ ไม่ใช่ผ่อนคลาย แต่เป็นของชอบ เป็นการเสพ ถ้ารู้อยู่ในกายตน มันไม่ชอบ มันไม่ได้เสพ แต่มันเป็นความผ่อนคลายจริงๆของอารมณ์ ของจิต เพราะมันไม่ต้องปรุงไง ไม่มีเรื่องอะไรให้คิด แต่ออกไปรู้ข้างนอกน่ะ มันคิดเรื่อยเปื่อย ที่จริงมันไม่ใช่ผ่อนคลาย แต่กลับมีงานเพิ่ม ผ่อนคลายที่แท้จริง คือไม่มีงานอะไร รู้อยู่ภายใน มันไม่มีเรื่องอะไรให้คิด ให้ทำกลับมาเดินในขั้นที่ 1 จิตตั้งไว้กลางกระหม่อม สำหรับรุ่นพี่นะ รุ่นน้องก็เดินเป็นปกติ ลูก จนช่ำชอง เชี่ยวชาญ ชำนาญ อย่าเพิ่งข้ามขั้น ไม่งั้นเดี๋ยวจะลำบาก เพราะกว่ารุ่นพี่เค้าจะเดินถึงวันนี้ได้เนี่ย ใช้เวลาตั้งเป็นปี เค้าไม่ใช่เพิ่งมาเดิน ลูก วิชาปราณโอสถ สำคัญที่สุด คือ ต้องมั่นคง เฉียบคม แล้วก็ตรงไปตรงมา แม่นยำ ไม่อย่างนั้นมันไม่สามารถเอามาเป็นเครื่องมือรักษาโรคได้
จิตตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม รู้สึกที่กลางกระหม่อม รู้ที่กลางกระหม่อม สัมผัสที่กลางกระหม่อม ไม่ใช่ที่เหลือ ประคองจิตไว้บนกลางกระหม่อม หรือกลางศีรษะ หยุดอยู่กับที่ รอจังหวะ แล้วเดี๋ยวเดินต่อ รักษาจิต อากาศข้างนอกมันร้อน ลองหลับตาเสียบ้าง ผิวเปลือกลูกตาจะได้ไม่กระทบไอร้อนรอบข้างจนแสบร้อน
เดินในขั้นที่ 1 จิตตั้งไว้ที่กลางกระหม่อม รุ่นพี่ต้องก้าวล่วงข้ามจังหวะแล้ว ไม่ใช่จิตอยู่กับจังหวะนะ ลูก จิตที่อยู่กับจังหวะ มันเป็นพวกรุ่นน้องๆ นะ อย่าลดระดับตัวเอง ถ้ายังมีจังหวะเป็นใหญ่ ยังพะวงเรื่องจังหวะ ยังวิตก ยังตรึก ยังวิจารณ์เรื่องจังหวะ แสดงว่ายังไม่ข้ามขั้น ยังไม่ขยับเลยนะ
ต้องวิตก ต้องตรึก ต้องวิจารณ์อยู่ในฐานะที่ตั้งแห่งจิต จึงจะเรียกว่า ข้ามขั้น คือกระโดดขึ้นมาแล้วนะ สูงแล้ว เป็นขั้นที่สูงกว่าแล้ว คนที่มาฝึกใหม่นะ ลูก ถ้าผิดเนี่ย ที่นี่เค้าจะสอนให้ซื่อตรงกับตัวเอง เค้าจะหยุดเพื่อจะก้าวไปข้างหน้าอย่างถูกต้อง ไม่ใช่ก้าวไปแบบผิดๆ มันจะฝึกนิสัยให้เป็นคนสับเพล่า มักง่าย ไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ทำ พูด คิด ถ้ารู้ว่าผิด ต้องหยุด แล้วมั่นใจว่าถูก จึงก้าว นั่นคือ ฝึกให้เป็นคนซื่อตรง อย่าโกหกตัวเอง แล้วก็รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ จิตอยู่กลางกระหม่อม รู้สึกอยู่ที่ไหน จิตอยู่ที่นั่น รู้สึกอยู่ที่กลางกระหม่อม จิตก็ตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม อย่าตกใจ อย่าพะวงกับไอร้อนที่พุ่งขึ้นมาจากกลางศีรษะ แค่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเฉยๆ แต่อย่าให้ความสำคัญ เพราะถ้าเมื่อใดที่เราไปให้ความสำคัญกับมัน เราก็จะเคลื่อนจากกรรมฐาน คือ เคลื่อนจากการก้าวให้ถูกจังหวะ เคลื่อนจากการรับรู้จังหวะ และสุดท้ายก็เคลื่อนจากที่ตั้งแห่งจิต
จิตตั้งอยู่บนกลางกระหม่อมมึง ไม่ใช่กระหม่อมกู ไม่ต้องหันมามองกูหรอก
ขั้นต่อไป เคลื่อนจิตมาไว้กลางฝ่ามือ 2 ข้าง รู้สึกได้ที่กลางฝ่ามือ รับรู้ได้ที่กลางฝ่ามือ จิตตั้งอยู่ที่กลางฝ่ามือ สัมผัสให้ได้ถึงไอร้อนที่พุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือ ต้อง 2 ข้างด้วย ไม่ใช่ข้างใดข้างหนึ่ง
พวกที่มาใหม่ ลองทำดูซิ ลูก จิตตั้งไว้ที่กลางฝ่ามือ 2 ข้าง ดูซิ ทำได้ไม๊ จังหวะก็ต้องรักษา ก้าวก็ต้องให้ถูก จิตก็ต้องรับรู้ ที่ตั้งแห่งจิตก็ต้องมี
ไม่ต้องยกมือขึ้นมา ทิ้งไว้ข้างลำตัวแล้วให้รับรู้ให้ได้ถึงไอร้อนที่หมุนอยู่กลางฝ่ามือ
เดินในขั้นที่ 2 ผ่อนคลาย เดี๋ยวจะเครียดเกินไป ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายเส้นเอ็น ผ่อนคลายระบบประสาท ผ่อนคลายการรับรู้ รู้ให้อยู่แต่ภายใน บางเบา แต่ไม่ใช่เลื่อนหลุดไปรู้ข้างนอก
เริ่มเดินในขั้นที่ 2 ให้ผ่อนคลายให้มากที่สุด เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ขั้นตอนที่ยากขึ้นไปอีกในขั้นที่ 1
ใครข้างนอกไปเอาน้ำมาเลี้ยงกันหน่อยลูก ไป เห็นมันเดินน้ำลายยืด เดี๋ยวต้องพาไปฉีดยาโว้ย ตามันชักเริ่มขวางแล้ว เริ่มขวางๆ
มันมองหัวกูหรือมันมองอะไรว่ะ กูก็ร้อนเป็นเหมือนกัน ผมไม่มี กูก็เอาผ้าปิดหัว
ใครไปหาน้ำมาเลี้ยงกันซิลูก อ้ายพวก 83 พรรษา มีน้ำอะไรบ้าง เอามา เดี๋ยว 4 โมงค่อยเลี้ยง ยัง ยังไม่เลิกง่ายหรอกกู
ขั้นนี้ (2) ผ่อนคลายแท้จริง มันต้องเย็นยันไขกระดูก ถึงจะเรียกว่า สำร็จประโยชน์ กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ประสาทผ่อนคลาย ผิวหนังผ่อนคลาย ระบบการรับรู้ผ่อนคลาย เอ็น พังผืด ข้อกระดูกผ่อนคลาย มันจะเบาตัวขึ้น เค้าเรียกอีกอย่างว่า ขั้นสลายปราณ
ในร่างกายมนุษย์เนี่ย มีพลังอยู่ 3 อย่าง พลังกาย พลังปราณ และพลังจิต
วิชาปราณโอสถ มันสามารถจะรวมพลังทั้ง 3 ให้เป็น 1 ได้จนกลายมาเป็นโอสถหรือยาวิเศษ หรือยาทิพย์ที่จะทะลุทะลวงไปในต่อมหมวกไตและท่อต่างๆ แม้กระทั่งหลอดเลือด มันจะกระตุ้นทะลุทะลวง มันสามารถให้กลายเป็นเข็มที่แหลมคมแทงเข้าไปในอณูของร่างกายที่เราต้องการ เหมือนกับลักษณะวิชาฝังเข็มการแพทย์แบบจีน แต่นี่เราใช้ปราณเป็นตัวทะลุทะลวงหรือทิ่มแทง แต่กว่าจะใช้ถึงขั้นนั้นได้ ก็ต้องรวม 3 ให้เป็น 1 ให้ได้ เรียกว่า รู้กายในกาย รู้จิตในจิต รู้เวทนาในเวทนา
เคลื่อนเข้าสู่ขั้นตอนที่ 1 จิตตั้งไว้ในขาหลังทุกครั้งที่ก้าว เท้าก้าวไปข้างหน้า จิตอยู่ที่ขาหลัง เท้าขวาไปข้างหน้า จิตอยู่ที่เท้าซ้ายด้านหลัง เท้าซ้ายไปข้างหน้า จิตย้ายไปอยู่ที่เท้าขวาด้านหลังทุกครั้ง พร้อม เริ่ม บอกแล้วว่า มันจะยากขึ้น
รับรู้ รู้สึกอยู่ที่เท้าหลังที่ยังไม่ก้าวออกไป
จิตตั้งอยู่ที่เท้าหลัง เท้าหลัง เอาอะไรเป็นตัวกำหนด เอาตั้งแต่หัวเข่าลงไป หัวเข่า น่อง ข้อเท้า ฝ่าเท้า ปลายนิ้วเท้า
หยุดก่อน
รู้สึกตรงไหน ข้างหลังน่ะ ตอนถ่ายน้ำหนัก ตามรู้ตอนถ่ายน้ำหนัก รู้สึกมีจิตไม๊ เออ นั่นแหละ เค้าเรียกว่า จิตตั้งอยู่ที่ขาหลัง รู้สึกตอนถ่ายน้ำหนัก รู้ได้แค่ตอนถ่ายน้ำหนักอย่างเดียวไม๊ มันจะรู้ไปยันกระทั่งหัวเข่าแต่ละข้อ กระดูกเข่าเคลื่อน แล้วถ่ายน้ำหนักลงไปที่น่อง หน้าแข้ง ข้อเท้า ส้นเท้า กลางเท้า และปลายนิ้วเท้า ใช่ไม๊ ตามรู้ให้ได้อย่างนี้ จึงเรียกว่า จิตตั้งอยู่ที่ขาหลัง
เอาใหม่
รุ่นน้องๆ ถ้าทำได้ ก็ทำ ลูก ถ้าทำไม่ได้ ก็เริ่มฝึกขั้นแรกๆก่อน เพราะขั้นนี้จะยาก ถ้าสติไม่แจ่มใส ไม่แข็งแรง จะรับรู้ไม่ได้อย่างที่พูดนี้หรอก
อีกสักครึ่งชั่วโมง แล้วก็พัก ลูก กินน้ำ ทำให้ได้ทั้งซ้ายและขวา
เริ่มขั้นที่ 1 จิตตั้งไว้ที่ขาหลัง
น้ำยังไม่แจก ยังไม่แจกตอนนี้ รออีกครึ่งชั่วโมง ค่อยแจก ยัง ปฏิบัติธรรมอยู่ แจกน้ำได้ยังไง
คนรับก็ใจง่ายเหลือเกินนะ
อย่ารวมปนกับการถ่ายน้ำหนักแล้วรับรู้การตั้งของจิตในขาหลังจนเลยจังหวะที่จะก้าว นั่นแสดงว่า เราไม่กระตือรือร้น
บอกแล้วว่า วิชาปราณโอสถ มันเป็นการฝึกนิสัยให้เหมาะสม รวดเร็ว ฉับไว กระทัดรัด กระชับ ได้ใจความชัดเจน มัวแต่เพลินกับการเสพความรู้สึกจนลืมจังหวะ นั่นแสดงว่าใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้ว เป็นโมหะและความหลงในการเสพ มีจังหวะไว้บังคับให้เกิดความกระตือรือร้น ทำอะไรมีการตัดสินใจ ไม่ใช่เฉื่อยชา ล่าช้า
หยุดอยู่กับที่ สูดลมหายใจลึกๆ หลับตา
หายใจออก เบาๆ ยาว หมด ผ่อนคลาย
หายใจเข้าไปใหม่ กว้าง ลึก เต็ม
ออก เบา ยาว หมด ผ่อนคลาย
สูดลมหายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กระโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง ลงไปที่กระดูกสันหลัง ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง ใต้สะดือ เหนือสะดือ ลิ้นปี่ หน้าอก ลำคอ ออกปาก
หายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กระโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง กระดูกสันหลัง
ลงไปที่ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง ใต้สะดือ เหนือสะดือ ลิ้นปี่ หน้าอก ลำคอ ออกจมูก
หายใจเข้า จมูก หลอดลม ลำคอ ลงไปที่ทรวงอก ลิ้นปี่ หน้าท้อง ใต้สะดือ ลงไปที่หัวเหน่า ทะลุไปที่ก้นกบ ขึ้นมาที่กระดูกสันหลัง ต้นคอ กระโหลกศีรษะด้านหลัง กลางกระหม่อม หน้าผาก ออกจมูก
หายใจเข้า จมูก หลอดลม ลำคอ ลงไปที่หน้าอก ลิ้นปี่ หน้าท้อง ใต้สะดือ หัวเหน่า ทะลุไปที่ก้นกบ ขึ้นมาที่กระดูกสันหลัง ต้นคอด้านหลัง กระโหลกศีรษะด้านหลัง กลางกระหม่อม หน้าผาก ออกจมูก
หายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กระโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง แยกไปที่หัวไหล่ซ้ายขวา ท่อนแขนด้านบน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก
หายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กระโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง บ่า 2 ข้าง หัวไหล่ 2 ข้าง ท่อนแขนด้านบน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก เบา ยาว หมด
จิตตั้งไว้ที่กลางฝ่ามือ 2 ข้าง ทิ้งลมหายใจ ปล่อยลมให้เป็นธรรมชาติ
ดูซิว่าเกิดอะไรขึ้นที่กลางฝ่ามือ 2 ข้าง
จิตรู้อยู่ สัมผัสอยู่ ตั้งอยู่ แนบแน่นและมั่นคงที่กลางฝ่ามือ 2 ข้าง
ทีนี้ สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ตั้งแต่บนลงล่าง แล้วหายใจออก เบา ยาว หมด ผ่อนคลาย
หายใจเข้า ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
หายใจออก ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก ยกมือไหว้พระกรรมฐาน ลืมตาแล้วเข้าที่ ลูก
ไปรับแจกน้ำ
ร้อนหัว หัวไม่มีผม เสียสมดุล
ไปเอาน้ำทาน ลูก กินน้ำทุกคน อากาศร้อนๆ จะทุรนทุราย เดี๋ยวตับไต ไส้ พุง สุกหมด
(มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งมาปฏิบัติธรรมมากราบหลวงปู่ บอกว่ามาตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กราบหลวงปู่)
หลวงปู่บอกว่า “กราบหลวงปู่ กราบที่ไหนก็ได้ อย่าไปกราบกลางถนนก็แล้วกัน เดี๋ยวรถชน”
ใครยังไม่ได้น้ำ ไปเอาน้ำมาทาน ลูก น้ำหมด น้ำหมดก็ในบ่อไง น้ำหมดได้ไงว่ะ
เฮอ โลกมันร้อน อากาศทุรนทุราย ต่อไปได้เห็นทั่วโลกเปลี่ยนล่ะมึง ไม่รู้กูอยู่ถึงหรือเปล่า
อีกหน่อยประเทศไทยหิมะจะตก ส่วนหนึ่งก็จะเป็นทะเลทราย
ตอนนั้น กูคงตายแล้วล่ะ มึงจะอยู่ไม๊ กูตายแล้วมึงจะเหลือเหรอ
เดี๋ยวจะให้ไปพัก ลูก เพราะว่า 4 โมงแล้ว มีเวลา 2 ชั่วโมง ไปอาบน้ำอาบท่า ใครที่ยังไม่ได้ถือศีล ขอศีลบวชเนกขัมมะ ก็มาขอซะ บวชแล้วก็ไปอาบน้ำอาบท่า เตรียมตัวเจริญพุทธมนต์ตอน 6 โมงเย็น
เย็นนี้เค้ามีการเวียนเทียนถวายเป็นพุทธบูชา วันนี้เราก็ปฏิบัติธรรมเป็นพุทธบูชาแล้ว ก็ทำเสียให้ครบ การเวียนเทียนปทักษิณ เป็นอามิสบูชาอย่างหนึ่ง มีดอกไม้เครื่องหอม ช่วงเช้า เราทำอามิสบูชาโดยการใส่บาตร แจกทาน สายๆ ก็ปฏิบัติบูชา ปฏิบัติธรรม ทำให้ครบสูตร พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญการบูชาอันยิ่ง การบูชาอันควร การบูชาอันวิเศษที่พระองค์ทรงยกย่อง ก็คือ ปฏิบัติบูชา เราจะได้เวลาจากการปฏิบัติเยอะหน่อย ก็ถือว่า เป็นการบูชาที่พระพุทธเจ้ายกย่อง
ร้อนหัว ไฟมันจะออกตา คนมันมีไฟอยู่ ตาแดง ไฟจะออกตา ต้องลดอุณหภูมิ
เอ้า ได้หมดหรือยัง น้ำน่ะ เสร็จแล้วก็ไปพัก
ให้ถามปัญหา 5 ข้อ
เข้าใจถึงเรื่องเอาจิตตั้งไว้ในจุดต่างๆ หรือยัง เห็นชัดเรื่องเอาจิตตั้งไว้ที่ขาหลังไม๊ ต้องเห็นแม้การเคลื่อนของข้อกระดูก จึงจะเรียกว่า สำเร็จประโยชน์
อย่าเห็นเพียงแค่รับรู้สึกตามผิวหนัง เพราะมีหลายคนในที่นี้เห็นเพราะรู้สึกว่า ผิวหนัง ก็คือ ผิวหนังด้านหลัง ข้อพับ กับน่องมันตึงรับการถ่ายน้ำหนัก ถ้าเห็นแค่นั้น เค้าเรียกว่า เห็นเวทนา ยังไม่ใช่
ต้องเห็นกายในกาย คือเห็นข้อกระดูกเคลื่อนในขณะที่เราย้ายน้ำหนักและถ่ายเทน้ำหนัก เห็นแค่เวทนาเฉยๆ ก็คือ เห็นแค่อาการตึง อาการแสดงความรู้สึกตึงที่ขาหลังเฉยๆ นี้ยังใช้ไม่ได้ ยังเห็นหยาบอยู่ เป็นความเห็นที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่วิเศษ ต้องเห็นแม้กระทั่งข้อกระดูกที่มันเคลื่อน
เวลาเราถ่ายน้ำหนักจากขาหลังไปขาหน้า รู้สึกใช่ไม๊
ต้องรู้สึกให้ได้ว่า ขาหลังเมื่อถ่ายน้ำหนักไปขาหน้าแล้ว ข้อกระดูกแต่ละข้อมันเคลื่อน ต้องเห็นให้ได้อย่างนั้น แม้นกระดูกปลายนิ้วเท้าก็ต้องให้เห็นให้ได้ จึงจะเรียกว่าเป็นผู้มีจิตตั้งอยู่ที่ขาหลัง เพราะหน้าที่ของจิต มัน รับ จำ คิด รู้ ต้องทำให้หมด ต้องให้รับรู้ให้หมด ไม่ใช่รู้เป็นบางเรื่อง
แค่ผิวหนังเป็นผิวเผิน ยังใช้ไม่ได้ ยังไม่ถูกต้อง ยังหยาบอยู่ ยังเป็นจิตชั้นหยาบ
จะเห็นว่า แม้ขั้นที่ 1 หลวงปู่จะวางขั้นตอนไว้ทีละเล็กทีละน้อย
ค่อยๆ ที่จะปรับจิตให้ละเอียดขึ้น เพราะงั้น คนที่มาใหม่ ถ้าทำได้ก็ถือว่าวิเศษ แสดงว่ามีวาสนา เพราะคนที่ทำได้ขั้นนี้น่ะ ฝึกมากี่ปีแล้ว 2 ปี กว่าๆ แล้ว เพราะงั้นพวกมาใหม่ๆ แล้วทำได้ ถือว่าดี แสดงว่ามีวาสนาเก่า แต่ที่ยังทำไม่ได้ ก็อย่าตกใจ อย่ารำคาญ อย่าเกียจคร้าน ลูก ต้องฝึก ขยันที่จะทำเรื่อยๆ เอ้า ใครจะถามอะไร มีไม๊
ข้อสงสัยทั้งหลาย มันจะต้องสลายไป เมื่อมันทำให้ถึงที่สุด อย่าเพิ่งตั้งข้อสงสัยเมื่อเริ่มคิดจะทำ หรือเมื่อเริ่มทำ จะถูกหรือผิด ถ้ายังอยู่ในคำสอนอยู่ ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้
ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง ไม่ใช่มาถามครูว่า ถูกหรือผิด มันเป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน ไม่งั้นหลวงปู่ก็จะกลายเป็นคนที่ครอบงำความคิด แล้วตัวเองไม่มีสติปัญญา ค้นหาความถูกผิดได้หรือ มันก็ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ถูกต้อง
ใครถามอะไรอีก มีไม๊
จำไว้ว่า คำสอนทั้งหมด มันจะวิเศษได้ก็ต่อเมื่อตัวเองต้องทำให้ได้ แล้วจะเข้าใจที่สุด จำได้ง่ายที่สุด จะไม่มีวันลืมและเลือนหายไปจากหัวใจและไขกระดูกเลย ก็คือ ต้องทำให้ได้ และแสวงหาคำตอบจากการกระทำ ไม่ใช่จากการถาม เพราะการถามนั้นเป็นเพียงแค่การปรับส่วนความเข้าใจให้มันตรง แต่ถ้าทำอยู่ตามคำสอนของครูบาอาจารย์แล้ว ยังไม่ต้องสงสัยว่าตรงหรือไม่ตรง ทำให้ได้ก่อน ให้ถึงจุดก่อนแล้วจึงจะมาถามว่า ใช่หรือ ไม่ใช่
ที่จริงเมื่อถึงจุดแล้ว คงไม่มีคำถามต่อไปแล้ว แต่ทีนี้ถ้ายังไม่ถึงจุด ครึ่งๆ กลางๆ แล้วไม่ยอมทำต่อ เนี่ย มันก็จะไม่รู้จักจบ
ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นปัจจัตตัง มันรู้ได้เฉพาะตน
ทำได้ ก็คือ ถูก
ทำไม่ได้ ก็ไม่ถูก
ให้รู้ไว้อย่างนี้ แล้วถูกของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เข้าใจเสียด้วยว่า ถูกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เพราะคนทำกรรมมาต่างกัน ลูก วาสนาของคนก็ต่างกัน บุญวาสนาบารมีของแต่ละคนก็ต่างกัน คนหนึ่งได้อย่างนี้ อีกคนก็ได้อีกอย่างหนึ่ง มันไม่เหมือนกัน ทั้งที่ครูบาอาจารย์คนเดียวกัน
แต่ให้มันได้ ดีกว่าไม่ได้อะไร
ไป กราบพระ
จะพยายามทบทวน บวชถึงวันที่เท่าไหร่ จะทบทวนให้ได้ถึงขั้นที่ 6 เพราะงั้นต้องพยายามทำให้ได้ เพราะว่ามัวเป๊อะแป๊ะ เจ๊อะ แจ๊ะ อยู่ขั้นที่ 1 หลายเดือนแล้ว ไม่ขยับไปไหน เพราะขั้นที่ 1 ก็ละเอียดมากใช่ไม๊ ยิ่งฝึกยิ่งละเอียดเยอะขึ้นๆ แล้วจิตมันจะละเอียดมากขึ้น ภาระกรรมของจิตก็จะมีเยอะขึ้น
หลวงปู่ก็จะดูจริตพวกมึง ดูอารมณ์จิตของพวกมึง ดูความก้าวหน้าของพวกมึงว่า ควรจะใส่เพิ่มหรือไม่ใส่เพิ่ม ถ้ามันไม่ก้าวหน้า ใส่เข้าไป มันก็จะกลายเป็นขยะ ไม่ได้ประโยชน์
เพราะงั้นก็จะค่อยๆ ดูว่า เออ มันเริ่มก้าวหน้าแล้ว ก็เลื่อนขึ้นไปอีกหน่อย ขยับไปอีกนิด ถีบมันไปอีกหน่อยนึง ถ้ามันเห็นว่าใส่เข้าไปแล้ว มันยังเอิ๊บ ไม่ไปไหนเลย ไม่หือ ไม่อือ อย่างนั้นก็เขี่ยมันลงมา ไปอยู่ที่เดิม อนุบาล รักษาจังหวะเอาไว้
สำคัญก็คือ วิชาปราณโอสถ บอกไปหลายเที่ยวแล้วว่า มันจะเป็นโอสถอันวิเศษ ที่สามารถบำบัดรักษาโรคได้สารพัดได้ ก็ต่อเมื่อเราต้องรวมพลัง 3 อย่างให้เข้าด้วยกัน
1 พลังกาย 2 พลังจิต 3 พลังปราณ
3 อย่างนี้เมื่อรวมกันได้แล้ว ก็ต้องรู้จักวิธีใช้พลังทั้ง 3 ที่รวมเป็นหนึ่งเนี่ย จะเคลื่อนย้ายไปตามจุดต่างๆ ก็ต้องอาศัยหลักการก็คือ เที่ยงตรง มั่นคง แม่นยำ แล้วก็ ชัดเจน จดไว้เสียบ้าง ไม่งั้นมันจะไม่สามารถทะลวงต่อมหมวกไตในกายได้เลย เดี๋ยวๆ พอชั่วโมงหน้า กูมาถามพวกมึง ตอบไม่ได้ หลักการในการใช้ปราณ มีหลัก 4 อย่าง อะไรบ้าง เที่ยงตรง มั่นคง แม่นยำ ชัดเจน
นี่บอกเป็นครั้งที่หลายร้อยแล้วนะเนี่ย
เพราะงั้นต้องฝึกให้ได้ แล้วก็วิชาปราณโอสถ นอกจาก เที่ยงตรง มั่นคง แม่นยำ ชัดเจน แล้ว มันจะทำให้เราดัดนิสัยด้วย จะสังเกตุว่าเมื่อครู่นี้ คนเสพการสัมผัสเรื่องการเคลื่อนย้ายจากขาหลังมาขาหน้า จิตตั้งอยู่ขาหลังเนี่ย คนอ้อยอิ่ง มัวแต่เคลื่อนทีละนิดๆ เพลินไง เสพสัมผัส อ้าว เค้าไปกัน 2 ป๊อกแล้ว กูยังไม่ได้ก้าวเลย
มันบอกอะไร มันบอกว่านิสัยเฉื่อยชาไง บอกว่าเป็นคนนิสัยเฉื่อยชา ไม่พัฒนา ไม่ก้าวหน้า
เพราะงั้น จังหวะมันเป็นเครื่องกำกับให้เรากระตือรือร้น กระฉับกระเฉง พร้อมกับสถานการณ์
สงบแล้วเฉื่อยชา มีประโยชน์อะไร มันใช้อะไรไม่ได้ ชีวิตก็อาศัยมันไม่ได้ เป็นประโยชน์อะไรแก่ชีวิต สงบแล้วทันต่อเหตุการณ์ เหมาะสมกับสถานการณ์ แล้วเข้าได้ทุกกาลทุกสมัย มันจะมีคุณค่ามาก
สิ่งที่หลวงปู่อยากเห็นและอยากได้ ก็คือ อยากเห็นพวกเรามีวิชาสำหรับศึกษา บริหารจัดการชีวิต บอกแล้วว่า เวลาเราไหว้ครูกรรมฐาน สอนหลักการไว้ว่า เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต
เออ มันจะไม่มีโอกาสนำพาชีวิตได้เลย ถ้าสงบแล้วยืด ยืด ยืด อ้าว ไป 3 ป๊อกแล้ว กูยังก้าวไม่หมดเลย ถ่ายน้ำหนักเพลินอยู่อย่างนี้
เมื่อกี้สังเกตมีหลายคน แล้วเป็นหลายคนที่ต้องปรับแก้นิสัย นั่นไม่ใช่ออกมาจากความเป็นอุบัติเหตุ หรือความบังเอิญ แต่มันเป็นสันดาน เป็นนิสัย นิสัยที่เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น ไม่กระฉับกระเฉง ไม่ทัน ไม่ตรงต่อสถานการณ์ปัจจุบันที่เป็นอยู่
แล้วเราจะไปทำกิน พูดคุย เอาชีวิตอยู่รอดในสังคมที่แร้นแค้นและบีบคั้น ทุรนทุราย และตะกายทะยานอยากอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้าเรายังเป็นคนเฉื่อยชาอยู่อย่างนี้
ติดในเครื่องเสพ เพราะงั้น วิชาปราณโอสถนอกจากฝึกปราณแล้ว มันยังฝึกนิสัยได้ด้วย ยังกระตุ้นให้เราเป็นคนค่อนข้างที่จะกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง กระชุ่มกระชวย และรุ่มรวยปัญญา ไม่จด วางเฉย ไม่เอาล่ะ กูไม่พูดล่ะ กระฉับกระเฉง กระชุ่มกระชวย
เอา ไป กราบพระ ไป ลูก ไป สิ กราบพระสิ กราบแล้ว อ้าว กูก็ไปสิ