แสดงธรรมภาคบ่าย
วันพฤหัสบดีที่17กรกฎาคม2551

วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา วันบูชาใหญ่ ที่พวกเราควรแสดงบูชาโดยการถวายอามิส หรือว่าเครื่องสักการบูชา  แต่ก็มีการบูชาที่ใหญ่กว่าอามิสก็คือการปฏิบัติบูชา  เห็นว่าเตรียมที่จะแสดงตนเป็นพุทธมามะกะกล่าวคำเพื่อขอพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง  ที่เคารพ  เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ  วันอาสาฬหบูชา ถือว่าเป็นวันที่พระรัตนตรัยครบ 3 ประการ  ชาวบ้านยุค  2000 กว่าปีก่อนโน้นเขาดีใจ  บัดนี้แก้ว 3 ประการครบแล้ว  เราก็มาแสดงตนเป็นผู้เข้าถึงซึ่งแก้ววิเศษทั้ง 3 นั้น  ก็เลยเป็นที่มาของธรรมเนียมของการประกาศตนเป็นพุทธมามะกะ  ซึ่งมีสืบทอดกันมาเป็นพันๆปี  เราในฐานะเป็นพุทธบริษัท  ก็ควรจะรักษาธรรมเนียมนี้ไว้เป็นการสืบทอดส่งมอบให้อนุชนคนชั้นหลังๆให้รู้ว่าการแสดงตนเป็นพุทธมามะกะในวันไหนเวลาไหน  ถามว่าทำก่อนหน้านี้ไดไหม  ทำก่อนหน้านี้ก็ได้  แต่มันไม่พ้องกับท้องเรื่อง  คำว่าไม่พ้องกับท้องเรื่อง  ก็คือวันรัตนครบ 3 ประการมันคือวันอาสาฬหบูชา  ก็ต้องให้มันพ้องให้มันตรงกับวันที่เกิดพระรัตนครบสมบูรณ์      ก่อนหน้านี้ก็มีเพียงรัตนะสองคือ  พุทธรัตนะ  กับธรรมรัตนะ  พอถึงวันนี้ก็ครบสังฆรัตนะ  มหาชนก็ดีใจว่าบัดนี้รัตนะอันวิเศษทั้ง 3 ประการได้อุบัติแล้วในโลก  ก็มาแสดงความเคารพ  ยอมรับ  นอบน้อม เข้าถึงรับเอาเป็นสรณะ  เป็นที่พึ่ง  เดี๋ยวให้พวกเราแสดงตนเป็นพุทธมามะกะประกาศตนเป็นผู้เข้าถึง  พุทธรัตนะ  ธรรมรัตนะ  สังฆรัตนะ  ให้เทพยาดาฟ้าดินได้รับรู้ตระหนัก  และกล่าวร่วมอนุโมทนา    การประกาศตนเป็นพุทธมามะกะมันมีผลไปยังจิตวิญญาณ หลังความตาย  เพราะว่าแม้กระทั่งผีเขายังแยกประเภทเผ่าพันธุ์และศาสนา  เวลาตายเป็นผีมันมีผีพุทธ  ผีคริตส์ ผีอิสลาม ผีซิกอะไรอย่างนี้  ไม่ประกาศเอาไว้  เดี๋ยวเขาจะถามว่ามึงผีพวกไหน  ผีเผ่าพันธุ์ไหน  ไม่มีเผ่าพันธุ์ก็อาจจะยาก  งั้นก็อยู่กับพวกเร่ร่อนไปเป็นสัมภเวสี  ผีมันก็มีพวกเหมือนกันนะ  มันเป็นไปตามความเชื่อ  จิตเรามันจะผูกอะไรไว้ยากที่จะคาดเดา  สัญญาจิตมันทำหน้าที่ผูก  ต้องยอมรับว่าโดยหลักการทางพระพุทธศาสนานี่เป็นคำสอนสูงสุดแห่งพุทธิปัญญา  โดย    หลักคำสอน  ความหมายที่สอน  เรื่องราวที่สอน  และเป้าประสงค์สูงสุดของเรื่องคำสอน  ผลสำเร็จแห่งคำสอน  ปรัชญาในพระพุทธศาสนาเป็นคำสอนสูงสุดเหนือกว่าทุกศาสนาใดๆในโลก  งั้นในโลกของวิญญาณก็รู้สึกว่าเป็นคำสอนของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ต้องเรียกว่าอย่างนี้ เป็นสาวกของพระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบริษัทบริวารของพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระพุทธะผู้ประเสริฐพระองค์นั้นนั่นแล้วแต่จะเอ่ยชื่อไปตามกาลตามสมัย  แม้จะล้มหายตายจากไปก็จะมียี่ห้อ มีเผ่าพันธุ์เป็นเครื่องแสดงออก  ในคำสอนสูงสุดในคำสอนพุทธศาสนาก็เป็นปัญญา  เรื่องของปัญญาก็เหมือนกับเราไปสถานทูตไทยในต่างประเทศ  คนที่เป็นทูตไทยเขาก็จะมองว่าเราคือพวก คือพ้อง คือเผ่าพันธุ์เขาก็จะให้ความอุปถัมภ์บำรุง ใกล้ชิดสนิทสนม  แต่ถ้าเป็นเผ่าพันธุ์อื่นความใกล้ชิดสนิทสนมมันก็จะเบาบางลง  มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้  จิตวิญญาณก็เป็นอย่างนี้  โลกหลังความตายมันไม่ได้แตกต่างกัน  เวลามนุษย์ทะเลาะกัน  เทวดาก็ทะเลาะกัน  มันก็มีพวกโง่ พวกฉลาดเถียงกัน เหมือนกับครั้งพุทธกาลที่เถียงกัน เรื่องการแสวงหามงคล38ประการ   ก็จะมีมนุษย์เถียงกันก่อน  แล้วก็มีเทวดาเป็นผู้รักษามนุษย์เหล่านั้นก็เอาไปเถียงกันบ้างในเทวะสถาน เทวดาก็ว่า..ข้าได้ยินมาว่ามนุษย์ของข้า  เพื่อนของข้า  นายของข้า  พวกของข้า  ญาติของข้า  บริวารแห่งข้า  บริษัทของข้าเขาเถียงกันว่า  ภูเขาเป็นมงคล  พระจันทร์เป็นมงคล  พระอาทิตย์เป็นมงคล  ท่านจะว่าอย่างไร ก็นำไปว่ากันในเทวะสถาน  พวกเทวดาบางพวกก็บอกว่านายข้าบอกว่าจอมปลวก  ต้นไม้  เป็นมงคล  เถียงกันให้อึงมี่ในเทวะสถาน  จนสุดท้ายความร้อนรู้ไปถึงพระอินทร์  รู้ไปถึงท้าวสหัมบดีพรหม  สุดท้ายพระพรหมบอกว่าไม่มีใครรู้จริงหรอก  นอกจากพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่จะชี้ได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่เป็นมงคลในโลก  ว่าแล้วเทวดาก็เหาะมาถามพระพุทธเจ้า    พระพันเตภควาองค์สมเด็จพระศาสดาผู้เจริญ  มนุษย์  และเทวดา  พรหมและมารทั้งหลาย  อ้างว่าสิ่งนั้นเป็นมงคล  สิ่งนี้เป็นมงคล  จริงหรือไม่พระเจ้าข้า  พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแสดงมงคลที่มีที่ปรากฏและเป็นมงคลที่มนุษย์ทำได้   มีประโยชน์สูงสุดให้แก่เทวดา  พรหม  มาร  เหล่านั้นได้ฟัง  มงคล 38 ท่านไม่ได้แสดงให้มนุษย์ฟัง  ท่านแสดงให้เทวดาฟัง  เพราะเทวดาเอาเรื่องของมนุษย์ไปเถียงกันในเทวะสถาน  วันนี้มนุษย์เถียงกันเรื่องการเมือง  เทวดาก็เถียงกันเรื่องการเมือง  มนุษย์คิดอย่างไร  เทวดาก็คิดอย่างนั้น  ก็มีเทวดาฝ่ายดี  ฝ่ายไม่ดี  เทวดาฝ่ายสัมมาทิฏฐิ  ฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ  เทวดาไม่ใช่ประเสริฐดีเลิศไปหมด  ภพภูมิแห่งเทวดาทำไม่ยาก  ยกมือไหว้พระจิตสงบระงับครั้งหนึ่งก็ได้เป็นเทวดาแล้ว  แม้ที่สุดไม่เคยทำบุญเลย  ไม่เคยใส่บาตร  ไม่เคยฟังธรรม  ไม่เคยทำสมาธิ  ไม่เคยบำเพ็ญภาวนา  ไม่เคยแม้แต่จะยกมือไหว้พระ  แต่มีใจศรัทธาอย่างนายตุ้มหูเกลี้ยง  ก่อนที่นายตุ้มหูเกลี้ยงจะตายพระพุทธเจ้าทรงเห็นว่านายตุ้มหูเกลี้ยงเคยมี    คุณูประการกับพระองค์มาก่อนในอดีต  ก็ทรงเสด็จมาโปรดที่หน้าบ้านโดยปล่งฉับพลันรังสี  นายตุ้มหูเกลี้ยงลืมตาเห็นแสงสว่างเกิดความสังสัยว่าแสงอะไรช่างสว่างเหลือเกินสัมผัสที่ได้ไม่ร้อนแต่เย็นสบาย    กระทบต้องกายรู้สึกมีจิตปลาบปลื้ม  ก็พยายามผินกายมาดูอย่างไม่ค่อยมีแรง  ก็ได้เห็นพระศาสดาพระผู้มี    พระภาคเจ้ายืนเปล่งฉับพลันรังสีเฉพาะหน้า  นายตุ้มหูเกลี้ยงก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสอย่างแรงกล้า  รำพึงในใจว่าโอ้หนอ  บิดามารดาของข้าพเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ  จึงไม่มีโอกาสได้ถวายทาน  ฟังธรรมต่อพระศาสดาพระสุคตเจ้า  มาบัดนี้เราเองก็มีร่างกายทุพพลภาพเสียแล้ว  สองแขนก็ไม่อาจยกมือไหว้ได้  สองเข่าก็ไม่สามารถลุกขึ้นคุกเข่าได้  หนึ่งตัวก็ไม่สามรถตั้งมั่นได้  แต่หนึ่งใจข้ายอมรับพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยใจศรัทธา  แล้วก็สิ้นใจตาย  บุญก็ไม่เคยทำ  บาตรก็ไม่เคยใส่  ธรรมก็ไม่เคยปฏิบัติ  ฟังธรรมก็ไม่เคยได้ฟัง      แต่ก่อนจะตายจิตมีความศรัทธาโสมนัสยินดีก็ไปเกิดในสวรรค์เป็นเทวดา  ด้วยความศรัทธาในฉับพลันรังสีก็ไม่มีอะไรมากไม่มีทรัพย์สมบัติอันใดนอกจากสีกายอันผุดผ่อง   คนก็มองกันว่าเป็นเทวดาน่ะเป็นง่าย  แค่มีใจศรัทธาก็ได้เป็นแล้ว  เป็นเทวดาเป็นง่ายทำบุญเล็กๆน้อยๆจิตสงบก็ได้เป็นแล้ว  แต่เราจะรู้ว่าเมื่อไหร่จะตาย  ถ้ารู้ก็จะได้ใส่บาตรเสียให้เต็มที่  แต่ถ้าใส่แล้วนึกว่าพระองค์นี้เก๊หรือเปล่านะ  ใส่ไปก็นึกในใจไป  เหมือนดั่งกับเรื่องใส่บาตรกับพระปลอมได้ขึ้นสวรรค์  ใส่บาตรรพระอรหันต์กลับตกนรก  อย่างกับที่อำมาตรท่านหนึ่งเคยทำไว้  ในครั้งที่พระราชาจะใส่บาตรในวันปราบดาภิเษก ให้หาพระ 500 รูป  ตัวเองเป็นอำมาตรับหน้าที่นิมนต์พระ  หาพระได้499องค์  ขาดไปหนึ่งองค์ ซึ่งหาไม่ได้  เดินผ่านไปหยุดพักอยู่หน้าบ้านนายช่างปั้นหม้อ  ได้ยินเสียงสองคนผัวเมียนั่งคุยกันว่าพี่เอ้ย  น้องเอ้ย  มันเป็นอะไรคนมันถึงไม่มาปั้นหม้อ  ข้าวสารกรอกหม้อก็จะไม่มี  ตาอำมาตรพอได้ฟังคำก็เรียกช่างปั้นหม้อว่ามานี่พี่ชาย  
        อำมาตรถาม........อยากมีข้าวสารกรอกหม้อไหม  
        ช่างปั้นหม้อตอบ.....อยากซิ
        อำมาตร.......จึงชวนบวช  พรุ่งนี้พระราชาจะใส่บาตร
ช่างปั้นหม้อ..........ได้ยินอำมาตรชวนก็นึกดีสิ  ไม่ต้องลงทุนอะไรแค่โกนหัวก็ตกลง  ให้เมียเป็นอุปชาบวชโกนผมให้ผัว  เช้าขึ้นมาก็เอาหม้อมาตัดปาก  ห่มจีวรออกเดินนวยนาทไปต่อแถวเป็นคนสุดท้าย  ความที่กลัวพระราชาจะรู้ว่าเป็นพระเก๋ จึงเดินอย่างเนี๊ยบเลย  วันนั้นก็มีพระอรหันต์ไปด้วย  พระปัจเจกไปด้วย  องค์สุดท้ายพระอะไรก็ไม่รู้เพราะได้เมียเป็นอุปชา  พระราชาใส่บาตรด้วยความปีติว่าพระทั้งห้าร้อยเป็นอรหันต์ทั้งหมด  ก็รู้สึกสบายใจ  อยู่ต่อมาพระราชาสิ้นชีวิตก็ไปเกิดเป็นเทวดา  พระราชาไม่มีบุตร  อำมาตรจึงได้รับเลือกให้เป็นพระราชา  จึงคิดจะใส่บาตรบ้าง  ห้าร้อยรูปบ้างเหมือนกัน  จึงให้เสนาอำมาตรไปป่าวประกาศให้พระมารวมกัน  เสนาอำมาตรก็ป่าวประกาศไปทั่วแผ่นดิน  ก็ได้พระปัจเจก  พระอริยะเจ้า  พระอรหันต์ครบห้าร้อยรูป  พระราชาองค์ใหม่ที่เคยเป็นอำมาตรก็นึกในใจ  พระเหล่านี้เดินเนี๊ยบทุกองค์  สงสัยจะเป็นพระเก๊อย่างที่ตนเคยไปหามาให้พระราชาองค์ก่อนแน่ๆเลย  ก็นึกสงสัยอยู่ตลอดว่าองค์นี้น่าจะไม่ใช่  พระเก๊แน่ๆเดินเนี๊ยบเหลือเกิน  ใส่ไปก็สงสัยไป  พอตายไปใจก็เศร้าหมองคิดว่าเจอแต่พระเก๊เวลาใส่บาตร
จึงไม่สบายใจ  เขาจึงบอกว่าทำบุญกับพระปลอมได้ขึ้นสวรรค์  ทำบุญกับพระอรหันต์กับตกนรก  ที่ขึ้นสวรรค์ก็เพราะใจของคนทำบุญ  หลวงปู่จึงบอกไว้ไงว่าก่อนทำตั้งใจ  ขณะที่ทำเต็มใจ  ทำเสร็จแล้วสบายใจ  จะทำให้ใคร  ใครมันจะมารับก็เรื่องของมัน  เราทำของเราแล้วสบายใจ ทำแบบไม่คิดอะไร ทำแบบอนุเคราะห์สงเคราะห์  นี่พูดถึงเรื่องบุญในชั้นโลกิยะปัญญา  แต่ถ้าเป็นเรื่องของโลกุตตรปัญญาแล้วมันไม่มีเรื่องพวกนี้  มันมีแต่ความว่าง  รู้ชัด  เข้าใจ  ความว่าง  รู้ชัด   เข้าใจ  นิ่งไม่กระเพื่อมตามเหตุตามปัจจัย  ตาเห็น  จมูกได้  ลิ้นรับ  กายสัมผัส  จิตไม่กระเพื่อมตาม  มันก็ผ่อนคลาย  โปร่งเบาสบาย  ใครจะว่าอะไร  ใครจะชม  ใครจะเยินยอยังไง  ใครจะยกย่องซุบซิบนินทา  มันก็จะไม่กระเพื่อมตามไป  อย่างนี้เขาเรียกผู้เข้าถึงโลกุตรปัญญา  ผู้ที่มีจิตโลกุตรปัญญามันจะไม่มีทุกข์  แม้จะทุกข์ก็ทุกข์ตามเหตุปัจจัย  ทุกข์ทางกาย  แต่ใจไม่เป็นทุกข์  กายมันจะร้อน จะหนาวจะทุรนทุราย  นั่นเป็นธรรมชาติแท้ของกาย  อย่าบอกว่าคนถึงโลกุตรปัญญาแล้วไม่มีทุกข์เลยไม่ใช่  มันต้องแยกให้ถูก  ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าคงไม่ต้องอาศัยหมอชีวกโกมารภัทร  ที่ต้องอาศัยก็เพราะนั่นท่านป่วยกาย   ท่านเป็นทุกข์ทางกาย  แต่ใจท่านไม่เป็น  พระครูบาอาจารย์เถรานุเถระพระอรหันต์เจ้าท่านป่วยก็รักษาทางกายแต่จิตใจท่านไม่ได้ทุรนทุราย  ไม่ได้กระวนกระวายไปตาม   ผู้ที่เข้าถึงโลกุตรปัญญาก็จะเป็นอาการแบบนี้  แต่คนที่เข้าไม่ถึงก็จะโวยวายตีโพยตีพาย  กลายเป็นภาระเป็นกังวล  เป็นอาการวิกลวิการจริตทั้งทางกายทางใจไป
แสดงตนเป็นพุทธมามะกะ  พร้อมแล้วให้พวกเราแสดงตนเป็นพุทธมามะกะประกาศตนเป็นผู้เข้าถึงพุทธรัตนะ  ธรรมรัตนะ  สังฆรัตนะ  ให้เทพยาดาฟ้าดินได้รับรู้ตระหนัก  และกล่าวร่วมอนุโมทนา  (ทุกคนร่วมกันประกาศแสดงตนเป็นพุทธมามะกะพร้อมกัน)
การแสดงตนเป็นพุทธมามะกะ  ประกาศตนให้โลกมนุษย์  โลกวิญญาณได้รับรู้ว่าพระรัตนะตรัยทั้ง3  พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ  พระสังฆรัตนะเป็นที่พึ่งที่เคารพ  การกล่าวย้ำคำว่าพุทธังสะระณัง คัจฉามิ ทุติ  ตะติ  เป็นการแสดงออกว่าเราเข้าถึงพระพุทธแม้ครั้งที่หนึ่ง  ที่สอง  และครั้งที่สาม  เข้าถึงพระธรรมแม้ครั้งที่หนึ่ง  ที่สอง  และครั้งที่สาม    เข้าถึงพระสงฆ์ก็ครั้งที่หนึ่ง  ที่สอง และครั้งที่สาม  เป็นสรณะเป็นที่พึ่งของเรา  เราจึงเอาพระพุทธ  พระธรรมและพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง  ไม่มีที่พึ่งอื่นใดในโลก  ด้วยความซื่อตรง
คำสั่ง        ลุกขึ้นยืนเปิดหนังสือสวดมนต์เล่มมนต์พิธีหน้า  92  สวดถอยหลังจนจบ
คำสั่ง        นั่งลง  สวดเดินหน้าจนจบบทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
คำสั่ง    ลุกขึ้นยืนอย่างผ่อนคลาย  รักษาจิตให้อยู่ในกายตน  ส่งความรู้สึกสำรวจตรวจเข้าไปในกาย เมื่อครู่    เราเจริญมนต์กายเป็นมนต์  ใจเป็นมนต์  ทั้งตัวเรามีแต่มนต์อันศักดิ์สิทธิ์  สมองผ่อนคลาย  หายใจเข้าลึกๆ  ขับไล่ความดันในสมองที่กดอัดกันอยู่ให้กลายเป็นไอร้อนเป็นลมหายใจที่พ่นออก  แล้วสูดเข้าไปใหม่  หายใจเข้าลึกๆ เบาๆ  ยาวๆ  ให้ลมซาบซ่านไปทุกอณูของกล้ามเนื้อและไขกระดูกจนลำตัวโป่งพอง   แล้วผ่อนลมออกยาวๆ  หายใจเข้าอีกทีให้มันดื่มด่ำช้าๆจนเต็มปอด  ถุงลมหน้าอกขยาย  ไล่ลมไปถึงหัวเหน่า  ไปถึงท่อนขา  ไปถึงข้อพับ  ไปถึงฝ่าเท้า  ไอร้อนปรากฏชัดแล้วผ่อนลมออก  หายใจเข้าให้ลมซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย  กว้างลึกเต็มรู้  หายใจออกผ่อนคลาย
คำสั่ง    กำหนดจิตดูภายในกาย  ให้จิตว่าง ผ่อนคลายเบาสบาย  ไม่มีอะไรคิด  ไม่ต้องทำอะไร  ปลดเปลื้องคลายภาระออกให้หมด  สมองโล่ง  กายเบา  ใจสบาย  กล้ามเนื้อทุกส่วนผ่อนคลาย  ตรงไหนที่ยังตรึงเครียดให้ผ่อนคลายด้วยลมที่เข้าและออก  ตรงไหนที่ปวดเมื่อยให้ลมผ่านเข้าไป  หายใจเข้าให้ลมผ่านเข้าไปตรงจุดที่ปวดเมื่อย  แล้วคลายออกมากับลมที่ออก  ให้รู้สึกได้ว่าลมได้พุ่งทะลุผ่านไปยังจุดนั้นๆ  เข้าไปในร่างกาย  ในไขกระดูก   ในหลอดเลือด  ในทุกส่วนของร่างกายในส่วนนั้น ถ้ารู้สึกตัวพองมีลมออกจากรูขุมขนอย่าไปสนใจ  เรากำลังไล่ของเสียภายในกายออกจากร่างกาย  อวัยวะทุกส่วนต้องผ่อนคลาย  พิจารณาโครงสร้างความเป็นไปภายในกาย  มีจิตใคร่ครวญดูอยู่ภายในกาย  อย่าเก็บกักอารมณ์ใดๆไว้  มีแค่ตัวรู้ปรากฏ  รู้อยู่เฉพาะหน้าไม่สัดส่ายไปทางไหน สร้างตัวรู้ให้เกิดขึ้นบ่อยๆถี่ๆ  เกิดขึ้นทุกลมหายใจทุกนาที  ตัวรู้เมื่อเกิดขึ้นบ่อยๆถี่ๆ  ทีนี้ไม่ว่าอะไรจะเข้าหรือจะออกเราก็จะเป็นผู้รู้ชัด  แต่เมื่อใดที่ตัวรู้มันหายมันก็จะมีคำว่าปรุงเข้ามาเสพทีนี้มันก็จะเป็นอุปาทานเป็นความยึดถือ  ชาติ ชรา มรณะ พยาธิก็จะตามมา  หลักปฏิจจสมุปปันธรรมเราเรียนศึกษามาแล้ว  อวิชชาทำให้เกิดสังขาร  สังขารทำให้เกิดวิญญาณ  วิญญาณทำให้เกิดนามรูป  นามรูปทำให้เกิดสฬายตนะ  สฬายตนะทำให้เกิดผัสสะ  ผัสสะทำให้เกิดเวทนา  เวทนาสุขทุกข์ทำให้เกิดตัณหาความทะยานอยาก  ตัณหาทำให้เกิดอุปาทานความยึดถือทีนี้ก็ชาติ ภพตามมาอีกแล้ว  เราไม่ต้องการที่จะมีชาติมีภพ  แต่เมื่อใดที่เรามีตัณหามีความทะยานอยาก มันก็เกิดชาติเกิดภพได้  อยากทำดีก็เป็นชาติภพแห่งกุศลเรียกว่าเป็นเทวดาเป็นพระ เป็นสาธุบุรุษ  สาธุสตรี เป็นบุรุษที่ดีเป็นสตรีที่ประเสริฐ  แต่ถ้าเมื่อใดที่อยากทำชั่ว  มันก็กลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย  เป็นมนุษย์สเปรโต มนุษย์เดรัจฉานโน  อย่างนั้นไป  โดยไม่ต้องรอตาย  ถ้ามีตัวรู้อยู่ตลอดเวลา  มันก็จะเป็นเรื่องเป็นราวที่หยุดอยาก  ไม่ต้องลำบากเพราะความอยากไม่หยุด  ชีวิตเราก็จะมีความสุข วันนี้เอาแค่นี้ก่อนเอาพอให้เข้าใจพื้นฐานที่จะดำเนินในวันต่อไป  ว่าเราจะต้องมีตัวรู้เฉพาะหน้าอยู่ตลอดเวลา  สร้างตัวรู้ให้เกิดขึ้นทุกขณะ  ทุกโอกาส  และตัวรู้ตัวนี้ที่เป็นครู  เป็นคุณเครื่องป้องกันภัยพิบัติที่เกิดจากผัสสะเวทนา  ตัณหา  อุปาทาน  เกิดชาติ ชรา มรณะ พยาธิ  ทุกข์ โทรมนัส  พอตัวรู้มันปรากฏมันก็ทำลายอวิชชา  ที่เราเป็นอยู่อย่างนี้ก็ไม่มีอวิชชาแล้ว  อวิชชามันโดนทำลาย  เพราะตัวรู้ปรากฏชัด  รู้เฉพาะหน้า
คำสั่ง    หายใจเข้าลึกๆ  ภาวนาว่าสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
หายใจออก  สัตว์ทั้งปวงจนพ้นทุกข์
    สูดลมหายใจเข้า    หายใจออกผ่อนคลาย  ยกมือไหว้พระกัมมัฏฐานแล้วลืมตาลงนั่ง