หลวงปู่พุทธอิสระสอนวิชาปราณโอสถ ช่วงมาฆบูชา (22 – 24 กุมภาพันธ์ 2551)

=========================================================

เสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2551  ช่วงบ่าย


เดี๋ยวต้มน้ำผสมหัวยา เอามาแจก มีคนประท้วงว่าแพง ขวดละยี่สิบบาท

โรคเลือดข้น
เมื่อเช้ามีคนตัดนิ้วไปหา แผลเน่าเฟอะ เลือดไม่ลงไปเลี้ยงที่ขา เลยไปเอายามาให้ทา ที่จริงแล้วโรคเลือดข้นนี่หลวงปู่ก็เป็น แต่มันอาจจะเป็นเพราะคนละวิธีการ เวลาหลวงปู่เป็นแผลหรือเป็นอะไรนี่จะหายเร็ว วัน สองวันก็หายแล้ว ต้องดื่มน้ำเยอะๆ ดื่มน้ำมากๆ แล้วถ้าเลือดไม่ลงไปเลี้ยงส่วนไหน กับบำรุงสมอง ... อย่าตัด ตัดแล้วมันรักษาไม่ได้ ตัดมาแล้วแผลเน่า รักษาไม่ได้ เมื่อเลือดมันไม่ลงไปเลี้ยงแล้ว ร่างกายมันก็ไม่สามารถสร้างเซลล์เนื้อใหม่ได้ ก็เลยแผลเหวะ เน่า หนอง แล้วก็ไปเอาโกเอี๊ยะมันก็จะกัดจะดูด เนื้อเยื้อใหม่มันก็ไม่มีโอกาสเจริญเติบโต เพราะฉะนั้น วิธีก็คือ รักษาแผลให้สะอาด ล้างแผลให้สะอาด เอาเปลือกมังคุดมาทุบๆเปลือก แล้วลวกด้วยน้ำอุ่น แล้วเอาน้ำนั้นมาล้างแผล...เช้าๆ เย็นๆ ให้เอาน้ำร้อนประคบ เพื่อให้เลือดมันกระจายไปลงไปเลี้ยงข้างล่าง  นี่มาขาดำครึ่งท่อนเชียว ถ้าไปหาหมอสมัยใหม่เขาก็ตัดทิ้ง คิดเหมือนขาคนเป็นหางจิ้งจก ตัดแล้วก็งอกใหม่ได้... คือหมอเขาคิดอยู่เสมอว่านิ้วไหนร้ายก็ตัดนิ้วนั้น แต่เขาไม่มองว่าตัดแล้วมันไม่งอกใหม่ แต่ถ้าเป็นหมอโบราณเขาก็ต้องมองหาวิธีฟื้นฟูร่ายกาย ทำให้ร่างกายมันฟื้นฟูขึ้นมาเพื่อจะชดเชยสิ่งที่เสียไป แต่สมัยนี้ไม่ ตรงไหนเสียตัด ตรงไหนเน่าตัด ตัดกันง่าย ถ้าตัดง่ายๆ แล้วมันก็เลยกลายเป็นไอ้เรื่องที่จะได้ประโยชน์กลับไม่ได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้น วิธีก็คือ ยาที่ให้ไปขวดหนึ่ง ถ้าหมดแล้วก็มาเอา แล้วก็การบำบัดตัวก็คือไปเอาเปลือกมังคุดสดๆ มาตำให้ละเอียด ผสมน้ำอุ่น แล้วก็เอาไปล้างแผล เติมเกลือแกงเข้าไปหน่อย แล้วก็เอาน้ำร้อนประคบขา ทำให้ขามันมีความอุ่นความร้อน เซลล์กล้ามเนื้อที่มันตายแล้วขามันดำ จะได้หาย เซลล์กล้ามเนื้อที่มันตายๆมันจะได้ฟื้นฟูขึ้นมา มันเหมือนกับต้นไม้น่ะลูก ปล่อยมันแห้ง นานาๆเข้ารากมันก็เหี่ยวลงๆ ถ้าเป็นหมอสมัยนี้เขาก็ให้ตัดราก แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนเขาก็ต้องรดน้ำ บำรุง แล้วจับมันเข้าร่ม รดน้ำ แล้วก็หาวิธีไม่ให้มันสูญเสียน้ำ โดยวิธีเอาถุงพลาสติกคลุมซะ ถ้าเป็นสมัยนี้ ก็ตัดทิ้ง ตรงไหนเน่าตัดทิ้ง

เมื้อกี้มา มีคนขี้ไหล ถ่ายท้อง ... มีใครขี้ไหลหรือเปล่า หลายคนเหรอ กินอะไรเข้าไปล่ะ ... กินยาสมุนไพรของหลวงปู่ ยาน้ำ ... กินเยอะไปซิ นั่นมันเป็นหัวยา ต้องเอาไปผสมน้ำก่อน ... พวกหล่อนก็ชอบ ยาเข้มข้น กูต้มแต่หัวยาไว้นะ คนกรอกมันต้องเอาน้ำต้มเติมก่อน ทีนี้มันไม่ได้เติม มันเล่นยกมาทั้งหม้ออย่างนั้นน่ะ แล้วมากรอก ขี้พุ่งมีเหรอไม่หลับ ... ล้างไส้ ... กินนี่ต้องดูธาตุตัวเองด้วย มีใครกินยาแล้วถ่ายบ้าง ... ใบระกำน่ะ มันเป็นยาระบาย ใบขี้เหล็กก็เป็นยาระบาย ผ่อนคลายประสาท ให้นอนหลับสนิท ...หรือจะไหลก็ขี้มูกกูก็ไม่รู้ ... อาจเป็นได้   เดี๋ยวให้เขาผสมใหม่ ต้องดูนะ ไอ้ที่ข้นๆ ก็อย่าไปกินนะ เดี๋ยวให้เขาไปแจก

อ้าว วันนี้มาปฏิบัติธรรม จำจุดได้หรือยังล่ะ เยอะไปหมด ... ใครยังไม่ได้รูปบ้างล่ะ ... ไปลงทุนเอาบ้างซิ รูปก็มีตั้งให้ดูแล้ว เมื่อเช้าพระเขามาฝึกอะไรให้บ้างล่ะ (ขีด..) มีตัวรู้ไหม แล้วไปฝึกที่สอนไว้บ้างหรือป่าวหล่ะ ... ลุกขึ้นยืน หาน้ำมากิน ไปกินน้ำก่อน

แต่ละคนก็เป็นโรคไม่เหมือนกัน ยังนึกว่าถ้ามีเวลาก็ได้ทำยา แต่การจะทำยาแต่ละครั้งก็ต้องอัปลนเดินเก็บ เดินหา เพราะเราไม่ได้ปลูกเอาไว้เอง บางอย่างก็มี บางอย่างเขาก็ขึ้นเอง บางอย่างก็ในที่ไม่มีก็ต้องไปไล่หา นึกว่าจะทำยามะเร็ง กับยาแก้ริดสีดวง ลำไส้ คนเขาเป็นเยอะ คนชอบกินแป้ง กินเนื้อสัตว์ ผักไม่ยอมกินกัน แล้วก็สารพิษตกค้างนี่ กินอาหารที่มีสารฟอร์มาลีน ยาฆ่าแมลงตกค้างภายในกาย...

=============================================

เตรียม

ไม่ต้องบอกแล้ว ยืนขึ้นมาก็ต้องขยับขยาย ทำความพร้อมให้เกิดขึ้นภายในกาย มันไม่ควรจะต้องเตือนกันแล้ว เอียงซ้ายเอียงขวา ปรับหน้าปรับหลัง เหยียดแข้งเหยียดขา มองตัวเอง หาวิธีสร้างตัวรู้แบบผิวเผินก่อน แล้วจึงค่อยพัฒนาจนกระทั่งกลายเป็นตัวรู้ที่แนบแน่นมากขึ้น ... ถ้าร้อนก็เปิดพัดลมซิ

เมื่อกี้ฝ่าเท้ายืนคงที่ไหม หาวิธีถ่ายน้ำหนักให้เสมอกัน ขวากับซ้าย 50 50 ซ้ายครึ่ง ขวาครึ่ง อย่ายืนเบี้ยวอย่าบิด อย่าเอียง อย่าโยก ปรับสมดุลของกายให้เหมาะสม ทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายผ่อนคลายให้มากที่สุด ฝ่ามือไม่เกร็ง นิ้วไม่กำ หัวไหล่ไม่เกร็ง ไม่หนัก

ลองเอามือเท้าไปที่ใต้ขาพับ แล้วลองแอ่นอกซิ เงยคอ แอ่นอกดูซิ แอ่นอกเยอะๆ หายใจออก ปรับสมดุล กลับมาตรง

หลู่ไหล่มาข้างหน้า หลังมือชนกัน คางติดอก ลู่มาเยอะๆหน่อย ให้คางก้มให้คางติดอก กลับมาตรง ทำอย่างนี้เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อหัวไหล่ กล้ามเนื้อหน้าอก เราจะได้ไม่ตึง ไม่เครียด คนเวลาเครียดมากๆ มันเครียดตรงเส้น เครียดตรงเส้นแล้วคราวนี้ก็จะปวด จะเมื่อย จะวิ่งจี๊ดจ๊าด แล้วคราวนี้ก็จะวิ่งไปหาหมอ หมอก็ไม่รู้จะรักษายังไงถูก ก็เลยต้องวิ่งไปหาหมอทรง หมอเจ้าส่งไป


สร้างตัวรู้

เอาพร้อมแล้ว สร้างตัวรู้ให้เกิดภายใน หลับตา แขนสองข้างทิ้งดิ่งข้างลำตัว พร้อมที่จะรับรู้ได้แล้ว

ส่งความรู้สึกเข้าไปในกาย รู้แล้ววาง รู้แล้วว่าง รู้แล้วสงบ รู้โดยไม่ปรุง รู้แล้วโล่ง รู้แล้วอิสระ รู้แล้วปลดเปลืองพันธนาการ ฝึกให้ได้บ่อยๆ ผู้รู้ต้องไม่มีพันธนาการ ไม่มีพันธะ ไม่มีความผูกเครื่องข้อง ปราศจากเครื่องร้อยรัด ... เอ้า ระวังล้ม

ทำให้ตัวรู้ตั้งมั่นอยู่ภายในกาย ไม่มีอกุศล ไม่มีกุศล ไม่มีความคิด ... กุศลไม่มี อกุศลจะเกิดได้อย่างไร นั่นหมายถึงว่าจิตของผู้รู้ ไม่มีกุศล แล้วอกุศลมันจะเกิดได้อย่างไร อกุศลก็ต้องไม่มีด้วย ... รู้ไม่ปรุง รู้ไม่แบก รู้ไม่มีพันธนาการ ... เอ้า ถ้ามันลำบากก็นั่งลง

...ระดับเรียนมาถึงขั้นนี่แล้วไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรแล้ว ถ้ายังมานั่งขีด นั่งจดอยู่นีมันก็แสดงว่ามันไม่พัฒนาแล้ว มันต้องกลับไปเริ่มตั้วมเตี่ยมๆ ใหม่แล้ว สอนมาเป็นปีแล้วนี่ ทรงตัวรู้ ไม่ได้ทรงราคะ ไม่ได้ทรงโทสะ ไม่ทรงถีนะมิทธะ ความง่วง ไม่ทรงความฟุ้งซ่าน ไม่ทรงความสงสัย ไม่ทรงโมหะ ไม่ทรงโลภะ ไม่เป็นร่างทรงของกุศล ไม่เป็นร่างทรงของอกุศล มีแต่ตัวความรู้ ตัวรู้ พร้อมรู้ รับรู้ แล้วไม่ปรุง ไม่ปรุงทางหู ไม่ปรุงทางเสียง ไม่ปรุงทางจมูก ไม่ปรุงทางกลิ่น ไม่ปรุงทางตา ไม่ปรุงทางรูป ไม่ปรุงทางสัมผัส ไม่ปรุงทางรส ไม่ปรุงทางลิ้น ไม่ปรุงทางอารมณ์ ทางใจ ... รู้แล้ววาง รู้แล้วว่าง ไม่ใช้รู้แล้วนิ่ง แม้นิ่งก็ยังไม่ถือว่าถูกต้อง วางแล้วว่าง แล้วเบาสบาย บอกแล้วว่าตัวรู้นั้นเปรียบเหมือนน้ำทีสิงอยู่ในบรรยากาศ หรืออากาศที่สิงอยู่รอบๆตัวเรา ซึมสิงอยู่รอบตัวเรา มันจะซ่านไปทั่ว ไม่มีขีดจำกัด ซึ่งจะต่างจากคำว่า นิ่ง สงบ สมาธิ อันนั้นมันต้องเพ่ง ต้องกดอารมณ์ สิ่งที่เราสร้างตัวรู้นี่มันสูงกว่าความสงบ ความเพ่งอารมณ์ สูงกว่าคำว่าสมาธิ มันเหมือนกับทหารยามที่อยู่ประตูทั้งสี่ของเมือง ประตูเมืองทั้งสี่ ทิศทั้งสิบ แล้วก็เพ่งมองข้าศึกศัตรูด้วยความเตรียมพร้อมเสมอ โดยไม่วิ่งออกไปนอกกำแพง ไม่เผลอหลับ ตั้งหน้า ตั้งตาพร้อมรับรู้รับแจ้ง ตรวจการเสมอ พร้อมรุกรบได้ตลอดเวลา ตัวรู้นี้ต้องเปรียบให้ได้ดังนี้ รู้อยู่ภายในกาย

=============================================

รู้ในกายตน

ทีนี่ปรับตัวรู้มาศึกษาในกายตนซิ เรียนรู้ชีวิตก็คือเรียนรู้ในกายตน ลองดูกะโหลกศีรษะซิ กระดูกกะโหลกศีรษะ เอาตัวรู้ไปดูซิว่ากระดูกกะโหลกศีรษะนี่หน้าตาเป็นอย่างไร ถามว่าทำไมต้องไปรู้เรื่องกระดูกกะโหลกศีรษะ เพราะมันจะทำให้ตัวรู้เราตั้งมั่น มีการงาน แล้วจะได้พัฒนาตัวรู้ให้กลายเป็นปัญญา จะได้เปล่งแสงรัศมี เมือตัวรู้มันตั้งมั่นได้นานเข้าๆๆ มันก็เป็นอานุภาพ ถ้ามีแต่ตัวรู้อยู่เฉยๆ บางทีบางครั้งเดี๋ยวมันแว๊บ นั่น บางคนแว๊บแล้ว สับหงกไปแล้ว คอหักด้วย ต้องรู้แบบชนิดที่เราสามารถวิจารณ์ได้ ไม่ใช่รู้แบบชนิดที่แตะต้องอะไรไม่ได้ ก็คือรู้ว่าสภาพธรรมที่ปรากฏบนกระดูกกะโหลกศีรษะ รูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไง สีสันมันเป็นอย่างไง ค้นหามัน มันสีขาว สีเขียว สีดำยังไง ดู ค้นหา จับตั้งแต่ปลายคางก็ได้ หน้าผากก็ได้ โหนกคิ้วก็ได้ โหนกแก้มก็ได้ ไม่ต้องใช้มือ ใช้ตัวรู้เป็นตัวจับ ตัวรู้ตัวนี้ก็คือจิต เลิกได้แล้ว บอกไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรแล้ว เอาจิตจับเป็นจุดๆ ลองจับไปที่หน้าผากซิ หน้าผากหนัก ตึงไหม รับรู้ไปที่หน้าผาก โหนกคิ้ว เป้าตา สันจมูก โหนกแก้มสองข้างซ้ายขวา ริมฝีปากบน ริมฝีปากล่าง มันจะรู้สึกชาๆ ปลายคาง กรามซ้ายขวา มันจะรู้สึกตึงๆ กกหูซ้ายขาว เหมือนกับมีลมออกมาจากรูหูสองข้าง เหนือหูซ้ายขวา รู้แล้วรำคาญนี่เขาเรียกว่ารู้แล้วปรุง แมลงวันตอม แมลงหวี่ไชอย่างเงี้ย เรียกว่ารู้แล้วปรุง แสดงว่ายังมีตัวกูให้ปรุงอยู่ ตัวกูมันก็คือตัวอกุศลน่ะ บอกแล้วว่ากุศลไม่มีแล้วอกุศลมันจะเกิดได้อย่างไร ... กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง กลางกะหม่อมก็จะรู้สึกเหมือนมีลมตีขึ้นเหนือศีรษะ ท้ายทอยก็จะตึงๆ ร้อนๆ ...วันนี้มันเป็นยังไง ว๊อบแว๊บๆ...กรามซ้ายขาว ใต้หูซ้ายขวา คาง ปลายคาง ไม่ต้องกั้นลมหายใจ ปล่อยลมหายใจให้เป็นธรรมชาติ

เอ้าคราวนี้ลงมาที่หลอดลม ลำคอ ลูกกระเดือก ไหปลาร้า กระดูกไหปลาร้าสองข้าง หัวไหล่ บ่า จะรู้สึกหนักๆ สะบักซ้ายขวาด้านหลัง ...

สำรวจให้ทั่วสะบัก หัวไหล่ บ่า ท่อนแขนด้านบน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือ ไล่ตั้งแต่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย หลังมือ ซ้ายขวา ข้อมือด้านหลังซ้ายขวา ไล่ขึ้นมาท่อนแขนด้านข้าง ข้อศอก ท่อนแขนด้านบน หัวไหล่ ลงไปที่สะบักซ้ายขวา มารวมกันที่กระดูกสันหลัง ข้อต่อระหว่างคอกับกระดูกสันหลัง ไหลลงไปจนถึงก้นกบ แยกออกเป็นสองสาย ก้นกบซ้าย ก้นกบขวา คือสะโพกซ้าย สะโพกขวา ข้อพับ ขาพับ ลงไปที่น่องซ้ายขวา ส้นเท้า ฝ่าเท้าซ้ายขวา ปลายนิ้วเท้าทั้งสิบ

ย้อนกลับขึ้นมาที่หลังเท้า ข้อเท้า กระดูกซ้ายขวา หน้าแข่งซ้ายขาว หัวเข่า หน้าขาซ้ายขวา มารวมกันตรงหัวเหน่า ผ่านจุดใต้สะดือและเหนือสะดือ ใต้สะดือมีสองจุด เหนือสะดือมีสี่จุด ... ขึ้นไปที่ลิ้นปี่ ไปที่ราวนมซ้ายขวาแยกออก ไปที่รักแร้ซ้ายขวา สีข้างใต้รักแร้ ท่อนแขนด้านในใต้รักแร้ ลงมาที่ข้อศอกซ้ายขวา ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ และฝ่ามือ

สูดลมหายเข้า ขึ้นจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง กระดูกสันหลัง ลงไปที่ก้นกบ แยกไปที่ตะโพกซ้ายขวา ลงไปที่ท่อนขา ขาพับ ท่อนขาด้านล้าง ส้นเท้า ฝ่าเท้า ปลายนิ้วเท้า ขึ้นมาที่หลังเท้า หน้าแข่ง หัวเข่า หน้าขา หัวเหน่า ขึ้นมาที่สะดือ ลิ้นปี่ แยกไปที่ซี่โครง ชายโครง ไหลย้อนกลับมาที่ราวนม ไหปลาร้า รักแร้ ลงไปที่แขนด้านในซ้ายขวา ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ ลมหายใจปล่อยเป็นธรรมชาติ เป็นปรกติ

ต่อไปหายใจเอาปราณนะ หายใจเข้าขึ้นจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง กระดูกสันหลัง ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง ขึ้นมาที่หน้าอก ลำคอ ออกปาก

หายใจเข้า จมูก ลำคอ ลงไปที่ไหปลาร้าสองข้าง แยกไปที่ท่อนแขนสองข้าง ข้อศอกสองข้าง ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ หายใจออก

หายใจเข้า ขึ้นจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง กระดูกสันหลัง ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง ขึ้นมาที่สะดือ ลิ้นปี่ หน้าอก ไหปลาร้าสองข้าง ท่อนแขนด้านบนสองข้าง ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ หายใจออก

หายใจเข้า จมูก ลำคอ ลงไปที่กระดูกราวนม แยกไปที่หัวไหล่สองข้างซ้ายขวา ใต้แขน ท่อนแขนด้านใน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ หลังมือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก

สูดลมหายใจเข้า จมูก หลอดลม ลำคอ ลงไปที่ไหปลาร้า หัวไหล่สองข้าง ท่อนแขนด้านบน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ หลังมือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก

สูดลมหายใจเข้า จมูก หลอดลม ลำคอ หน้าอก ลิ้นปี่ เหนือสะดือสามจุด ใต้สะดือสองจุด ลงไปที่หัวเหน่า แยกไปที่ขาสองข้าง หัวเข่า ท่อนขาด้านล่าง ลงไปที่ข้อเท้า ฝ่าเท้า หายใจออก

หายใจเข้า ตั้งแต่ปลายเท้า ฝ่าเท้า ขึ้นมาที่ข้อเท้า ท่อนขาล่าง หัวเข่า ท่อนขาด้านบน ลงมาที่สะดือ หายใจออก แม้สะดือก็มีลมออกได้ ... เอาใหม่

หายใจเข้า จมูก ลำคอ ราวนมสองข้าง ลิ้นปี่ ลงไปที่สะดือ หัวเหน่า หน้าขา หัวเข่า หน้าแข้ง ข้อเท้า ฝ่าเท้า หายใจออก

หายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง กระดูกสันหลัง ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง ถึงสะดือ หายใจออก

หายใจเข้าลึกๆ ให้ลมซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย หายใจออก ผ่อนคลาย
=============================================

เอ้า คราวนี้ค่อยๆ ลดตัวลงนั่งช้าๆ ลองดูซิว่านั่งแล้วจะทำได้ไหม อย่าเพิ่งลืมตา นั่งแล้วหงายฝ่ามือที่หัวเข่า ขัดสมาธิ หงายฝ่ามือที่หัวเข่า ตัวตั้งตรง ยืดอกขึ้น

สูดลมหายใจเข้า จมูก หลอดลม ลงไปที่หัวไหล่สองข้าง ท่อนแขน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก จะต้องรู้สึกให้ได้ว่าแม้ลมก็ออกที่ปลายนิ้วมือ

สูดลมหายใจเข้า ปลายนิ้วมือ ฝ่ามือ ข้อมือ ท่อนแขนด้านล่าง ข้อศอก ท่อนแขนด้านบน หัวไหล่ มารวมกันที่ลิ้นปี่ ไหลลงไปที่สะดือ หายใจออก

หายใจเข้า สะดือ ลิ้นปี่ หน้าอก ลำคอ ออกปาก

หายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่และขมับสองข้าง ท่อนแขนด้านบน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ฝ่ามือ ข้อมือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก

หายใจเข้า จมูก ลำคอ ลงไปที่ราวนม แยกไปที่ใต้รักแร้สองข้าง ท่อนแขนด้านใน ข้อพับ ข้อศอกด้านใน ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ ปลายนิ้วมือ นิ้วกลาง หายใจออก

สูดลมหายใจเข้าที่นิ้วกลางสองข้าง ฝ่ามือ ข้อมือ ท่อนแขนด้านล่าง ข้อพับ ข้อศอก ท่อนแขนด้านบน รักแร้สองข้าง ราวนม ขึ้นมาที่ลำคอ ออกปาก

หายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกะหม่อม ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง กระดูกสนหลัง ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง สะดือ หายใจออก ต้องรู้ให้ได้ว่ามีลมออกที่สะดือ ถ้าไม่ได้ทำใหม่

สูดลมหายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกะหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง กระดูกสันหลัง ลงไปที่ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง เหนือสะดือสามจุดหายใจออก ท้องจะมีลมอุ่นๆออกมาเหนือสะดือ ต้องรับรู้ให้ได้ดังนั้น

สูดลมหายใจเข้า จมูก หลอดลม ลำคอ หน้าอก ลิ้นปี่ สะดือ หายใจออก

ยืดอกขึ้น สูดลมหายใจเข้า ให้ลมซ่านไปทั่วทุกรูขุมขน ไล่ลมมาอยู่ที่ท่อนแขน ข้อศอก ข้อมือ ฝ่ามือ หายใจออก

สูดลมหายใจเข้า จมูก ลำคอ หน้าอก ลิ้นปี่ สะดือ หัวเหน่า แยกลงมาที่ท่อนขาด้านล่าง หัวเข่า หน้าแข้ง ลงไปที่ข้อเท้า ฝ่าเท้า ปลายนิ้วเท้า หายใจออก

สูดลมหายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง ท่อนแขน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ หลังมือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก

หายใจเข้า ปลายนิ้วกลาง หลังมือ ข้อมือ ท่อนแขนด้านล่าง ข้อศอก ท่อนแขนด้านบน หัวไหล่ ต้นคอ กะโหลกศีรษะด้านหลัง กลางกระหม่อม หน้าผาก ออกจมูก

เพ่งความรู้สึกดูที่ฝ่ามือ และปลายนิ้วมือ
=============================================

ทำให้ผ่ามือหยุดไอร้อน และออกที่ปลายนิ้ว แรกๆ ก็จะออกทุกนิ้ว หาวิธีบังคับให้ออกที่นิ้วโป้ง นิ้วโป้งเป็นเรื่องที่ยากเพราะปลายประสาทจะหนา หาวิธีบังคับ ถ้าทำได้ นิ้วอื่นก็จะง่าย ... ปล่อยลมหายใจให้เป็นปกติ ถ้าไม่ชัดก็ประกอบลมหายใจเข้า หาช่องเดินให้อยู่กลางนิ้วโป้งให้ได้ แล้วหายใจออก ลองดู ...

จากนิ้วโป้งก็ไปถึงนิ้วชี้ .................................. (เสียงฉาบ) ......................................................
จากนิ้วชี้ก็ไปที่นิ้วกลาง แรกๆ ลมอาจจะพุ่งออกเป็นสายที่ปลายนิ้ว ต้องประกอบลมหายใจทุกครั้ง                 เข้า ... เดินไปที่ปลายนิ้ว

สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ให้ลมซ่านไปทั่วทุกรูขุมขนและทั่วสรรพางค์กาย ลองดูซิแม้รูขุมขนมีลมออกไหม สัมผัสถึงไอร้อนรอบตัวได้ไหม แล้วหายใจออกอย่างผ่อนคลาย

อีกที หายใจเข้ากว้างๆ ลึก เต็ม รู้
ออก เบา ยาว หมด รู้
เข้า กว้าง ลึก เต็ม รู้
ออก เบา ยาว หมด รู้
แม้ปลายนิ้วเท้าก็ต้องรู้ให้ได้ว่ามีลมออก
อีกที เข้า กว้าง ลึก เต็ม รู้
ปลายนิ้วเท้า ฝ่าเท้า ออก เบา ยาว หมด รู้
=============================================

สร้างปฏิสัมพันธ์อันดี

...หยุดการกำหนดรู้ลมและจุดต่างๆ ในกาย แต่สร้างตัวรู้ให้เกิดในภายใน ทำให้สองวิชามีปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกันให้ได้ แม้จะอยู่กันคนละขั้นก็ตาม

ปราณสุริยะ กับปราณโอสถ ว่ากันที่จริงแล้วถ้าพูดถึงเรื่องของการสร้างสติสัมปชัญญะและวิปัสสนาก็ยังถือว่าสองปราณนั้นยังเป็นขั้นต่ำ แต่ถ้าจิตมีพัฒนาการที่ดี เราก็สามารถจะสร้างปฏิสัมพันธ์อันงดงาม แค่ก้าวล่วงขั้นหนึ่งก็ขยับขึ้นมาสู่วิปัสสนาญาณได้  สร้างตัวรู้ให้เกิดขึ้นภายในกาย เริ่มต้นตั้งแต่มีตัวรู้ วางแล้วว่าง  รู้สึกอยู่ภายใน ไม่ปรุง ... รู้แล้ว วาง แล้วว่าง … รู้ ละ วาง ว่าง … รู้ ละ วาง ว่าง เป็นความรู้ที่แข็งแรง ยั่งยืน ไม่หลุดไม่รอด ไม่แถ ไม่เผลอไปไหน

ลองจับนิมิตดู เอากระดูกตัวเองเป็นนิมิต ลองทำวิปัสนึกดูสักครั้งซิ นึกว่าโครงกระดูกปรากฏอยู่ในกายตน จับโครงกระดูกนั้นเป็นนิมิตเครื่องหมาย ไล่ตั้งแต่กะโหลกศีรษะ กระดูกต้นคอ กระดูกหัวไหล่ ไหปลาร้า ซี่โครง ลิ้นปี่ กระดูกทรวงอก ไล่ให้หมด หรือมองตรงภาพรวมๆ ว่านี่คือกระดูกตั้งอยู่ มองให้ทะลุหนัง ทะลุเนื้อนะ ... มีแต่กระดูกตั้งอยู่ …

...(เสียงระฆัง)...
กระดูกตั้งอยู่แล้วมันจะมีอารมณ์ง่วงได้อย่างไร กระดูกมันง่วงเป็นที่ไหน กระดูกตั้งอยู่แล้วมันจะฟุ้งได้อย่างไร กระดูกมันฟุ้งเองได้ที่ไหน กระดูกตั้งอยู่แล้วมันจะสับสนสงสัยได้อย่างไร กระดูกมันสับสนเองได้ที่ไหน กระดูกตั้งอยู่แล้วมันจะมีความหลงได้อย่างไร กระดูกตั้งอยู่แล้วมันจะมีความคิดได้อย่างไร ว้าวุ่นได้อย่างไร รู้สึกให้ได้ว่าเราคือกระดูกที่ตั้งอยู่ สำรวจตรวจดูซิว่ากระดูกแต่ละท่อน ซี่โครงแต่ละซี่ ชิ้นเล็กชิ้นน้อยแต่ละชิ้นน่ะ มันมีรูปร่างลักษณะงดงามสัณฐานสวยขนาดไหน

บอกแล้วว่ากรรมฐานของที่นี่ เรียนรู้ชีวิต ลุถึงวิชา เกิดปัญญา นำพาชีวิต

มองให้ทะลุเนื้อทะลุหนัง ทะลุเอ็น ทะลุพังพืด …
ยิ่งถ้าใช้ปราณโอสถในวิชาวิเคราะห์กระดูกก็ยิ่งเป็นประโยชน์ ปวดตรงไหน เจ็บตรงไหน ขัดตรงไหน ยอกตรงไหน มันจะเข้าไปบำบัดรักษา แม้ที่สุดถึงขนาดมันสามารถทำให้ลั่นกรั๊วบกร๊าบได้ทันที แล้วมันจะเบาจะโล่งขึ้น

เพ่งมองไปที่กระดูกสันหลังและกะโหลกศีรษะ ต้นคอ ก้นกบ มองย้อยหลังเข้าไป อย่ามองมาข้างหน้า จับกระดูกสันหลังเอาไว้ แล้วจะรู้สึกเสียวสันหลัง เบาสบาย

ไล่ตั้งแต่สูงลงต่ำ หรือต่ำขึ้นสูงก็ได้
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ให้ลมซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย แล้วผ่อนลมออกไปยาวๆ เบาๆ สบาย

อีกที … ลมออก เบา ยาว สบาย

หายใจเข้าไปใหม่ ให้ลมเข้าไปในไขกระดูกและข้อของกระดูก ให้รู้สึกได้ว่ากระดูกทุกข้อได้รับลมผ่าน ผ่านเข้าไปในแกนกลางของกระดูก เรียกว่าชำระไขกระดูก จนกระทั่งทะลุทะลวงไปถึงปลายนิ้วมือนิ้วเท้า หลังจากหายใจครั้งนี้แล้วต้องโล่ง ... หายใจออกผ่อนคลาย

เอาใหม่ ... ให้ลมซึมเข้าไปในแกนกลางของไขกระดูก ในข้อกระดูก แม้ในกะโหลกศีรษะ ... แล้วหายใจออก ผ่อนคลาย

=============================================

นอน มีสติพิจารณาความเป็นไปในกาย

ลืมตาม ปรับท่าปฏิบัติธรรม ลงนอน นอนหงาย ... ชอบอยู่แล้ว กำลังรออยู่เชียว

เหยียดขาไป นอนท่าตรง ... แยกขา กางแขน แบมือ ... เออ ก็มีสำนักนี้ล่ะ สอนแบบนี้ ... มึงหวิดได้วิชาไปทั้งแผ่นแล้วไม๊ล่ะ มึงหันตีนไปทางป้ายกูทำไมล่ะ

เอ้า สูดลมหายใจเข้า แล้วตาม ให้ลมเดินตามข้อกระดูกให้หมด...จนถึงปลายนิ้วมือนิ้วเท้า

...เฒ่า ไม่นอนเหรอ นั่นแหล่ะ นอนหงายแถวนั้นแหล่ะ ลูกหลานไปไหนหมด ไม่พยุงให้นอนล่ะ ... เออ ให้คนแก่เอาเลือดลงหัวบ้างซิ

ให้ฝ่ามือกับฝ่าเท้ามีไอร้อนปรากฏ …

... เออ แล้วนอนลงมา นอนหงายลงมา ถอยหลังลงหน่อย ... เออ เอาล่ะ ตายก็ไม่เสียชาติเกิดล่ะ ได้มานอนวัดอ้อน้อย

นอนแล้วหายใจเข้าลึกๆ ให้ลมมันเดินไล่ไปถึงปลายเท้า แล้วหายใจออก
ไล่ลมหายใจไปปลายเท้าแล้วจึงจะออก ถึงมือกับเท้า แล้วจึงจะหายใจออก ค่อยๆ ดื่มลมหายใจลงไปช้าๆ เติมลมหายใจลงไปช้าๆ ให้ลมมันไหลลงไปถึงปลายนิ้วมือนิ้วเท้า แล้วจึงจะหายใจออก ... เฮ้ย ทำไมมันเงียบแท้วะ ทำไมมันไม่กระเพื่อเลยวะ ...

หายใจเข้า ... ให้ลมอัดเข้าไปช้าๆ อย่าเข้าถึงขนาดเสียดแทง เรียกว่าให้ลมสุขุม ... ให้รับรู้ได้ถึงไอร้อนที่ออกตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ ขาหนีบ ซอกคอ ลำตัว อย่างนี้เขาเรียกว่ามีสติพิจารณาความเป็นไปภายในกาย รู้ตัวตลอดทั่วสรรพางค์กาย

ถามว่าเมื่อทำแล้วมันจะได้อะไร เมื่อจิตเราไม่ได้เสวยอารมณ์กุศล ไม่ได้เสวยอารมณ์อกุศล มีแต่ตัวรู้อยู่ภายในจิต พัฒนาการของจิตเมื่อมีตัวรู้ตั้งมั่นอย่างยั่งยืนยาวนาน แม้ที่สุดเราจะไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไร มันก็สามารถทำให้เรามีชีวิตยู่อย่างเป็นผู้รู้ได้ในขณะหนึ่งๆ หรือถ้าทำได้ทุกเวลามันก็เป็นทุกขณะ ผู้รู้ก็คือผู้ที่ทำไม่ผิด พูดไม่ผิด คิดไม่ผิด ผู้รู้ก็คือผู้ที่ไม่หลง ไม่โง่ ไม่งมงาย เมื่อไม่โง่ ไม่หลง ไม่งมงาย ทำ พูด คิด ใดๆ มันก็จะกลายเป็นมหากุศล

ค่อยๆ สร้างบารมีแห่งความเป็นผู้รู้อยู่เนื่องนิตย์ จนสุดท้ายเราก็สามารถพิจารณาเห็นทุกอย่างได้เป็นตามความเป็นจริง ที่ทุกวันนี้เราไม่สามารถเห็นหรือไม่สามารถพิจารณาทุกอย่างเป็นตามความเป็นจริงก็เพราะเราไม่รู้

การพิจารณาเห็นทุกอย่างเป็นตามความเป็นจริงมันให้ประโยชน์อะไร อย่างน้อยมันก็ไม่มีพันธะ ไม่มีพันธนาการต่อชีวิตจิตวิญาณเรา อิสรเสรีภาพก็เกิดขึ้นกับเราเพราะเราเป็นผู้ไม่มีพันธนาการในจิต เรียกกว่าอยู่อย่างอิสระในโลก เพราะเป็นผู้รู้ ไม่ต้องถามว่าคุณธรรมระดับนี้อยู่ในขั้นไหนของพระอริยเจ้า เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านก็อยู่กันอย่างอิสระในโลก ไม่มีพันธนาการทางจิต
=============================================

กลับมาดูกระดูก

เอ้า ลองกลับมาเป็นทางวิปัสนึกบ้าง ว่ากระดูกนอนอยู่ กระดูกกลุ่มใหญ่นอนอยู่ กองอยู่กับพื้น เมื่อกี้ตัวกูนอนอยู่ เที่ยวนี้กระดูก ... กระดูกนอนอยู่

เฮ้ย กระดูกกรนได้ไงวะ กระดูกหลับไปได้ไง กระดูกไม่กรน กระดูกไม่ง่วง กระดูกไม่หลับ กระดูกไม่มีอารมณ์ กระดูกไม่มีความรู้สึก แยกจิตออกจากกระดูก มองให้รู้ว่านี่คือกระดูก แล้วอะไรคือผู้มอง จิตคือผู้มองกระดูก อย่างให้จิตกับกระดูกมันผูกกัน

กระดูกนอนอยู่แล้ว ลองหายใจเข้าไปในท่อของกระดูกซิ ลองเป่าลมเข้าไปในท่อของกระดูกซิ เพราะกระดูกแต่ละท่อนมันมีรูพรุนตรงกลาง ตั้งแต่กะโหลกศีรษะ เรื่อยไปจนถึงกระดูกท่อนแขน กระดูกซี่โครง กระดูกสันหลัง กระดูกขาบนขาล่าง แม้กระดูกปลายนิ้วมือนิ้วเท้ามันก็กลวง ให้เดินลมไปทั่วซิ ลองหาวิธีซิรับรู้ได้ว่าเมื่อลมเดินไปถึงจุดปลายนิ้วมือนิ้วเท้าก็มีลมไหลพุ่งออกมาจากปลายนิ้วมือนิ้วเท้าด้วย

... เสียงอะไรครืดๆ วะ ลมออกจากกระดูกเหรอ

เอ้า ทีนี้ลองทำให้ลมเดินวนรอบกะโหลกศีรษะด้านบนซิ ... วนรอบกะโหลกศีรษะด้านบน ...
=============================================

แผ่เมตตา

ต่อไปกำหนดลมหายใจเข้า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข หายใจออก สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์ แต่พิเศษตรงที่ให้ลมหายใจและคำว่าสัตว์ทั้งปวง ออกมาจากแกนกลางของกระดูกสันหลัง นั่นหมายถึงต้องภาวนา ไม่ใช่ริมฝีปาก แกนกลางของกระดูกสันหลังระหว่างข้อต่อที่ต่อกับก้นกบ แล้วไล่ขึ้นมาจนถึงสมองถึงกะโหลกศีรษะด้านหลัง ให้กระเทือนถึงกระดูกสันหลัง แล้วก็มาออกที่จมูก ...

...(เสียงระฆัง)...

ต่อไปสูดลมหายใจเข้าจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ท้ายทอย ต้นคอด้านหลัง สะบัก หัวไหล่ กระดูกสันหลัง ลงไปที่ก้นกบ ท่อนขาด้านบน ข้อพับ ท่อนขาด้านล่าง ส้นเท้า ฝ่าเท้า ปลายนิ้วเท้า หลังเท้า หายใจออก

หายใจเข้า จมูก หลอดลม ลำคอ หน้าอก ช่องท้อง เหนือสะดือ หัวเหน่า แยกไปที่ขาสองข้าง หัวเข่าสองข้าง หน้าแข้งสองข้าง ข้อเท้า หลังเท้า ปลายนิ้วเท้า หายใจออก

หายใจเข้า ขึ้นจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง ท่อนแขนด้านบน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ หลังมือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก

สูดลมหายใจเข้า ปลายนิ้วมือ ฝ่ามือ ข้อมือ ท่อนแขนด้านล่าง ข้อศอก ท่อนแขนด้านบน หัวไหล่ ขึ้นมาที่ต้นคอสองข้าง ขึ้นมาที่กะโหลกศีรษะด้านหลัง มารวมกันที่ศูนย์รวมประสาทกลางกระหม่อม หน้าผาก เป้าตา ออกจมูก

ยกมือไหว้พระกรรมฐานแล้วลุกขึ้นนั่ง
=============================================

ตื่นได้แล้ว กรนครืดๆๆ เชียว กรรมฐานวัดไหนมันจะไม่สบายเท่าสำนักนี้เล้ย

สันหลังโล่งไหม กระดูกสันหลังโล่งไหม ทำแล้วกระดูกสันหลังต้องโล่ง ต้นคอต้องโล่ง สมองต้องโปร่ง ต้องชำระไขกระดูกอย่างนี้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน จนกระทั่งมันสามารถเดินลมได้ทุกขณะ จุดต่างๆ ที่มีไว้เป็นเพียงแค่สมมติฐาน บรรทัดฐานในการที่ลมจะต้องผ่าน แต่ถ้าเราชำระไขกระดูกจนลมสามารถเดินทะลุทะลวงเข้าไปในโพรงกระดูก จุดเหล่านี้แทบไม่มีความหมาย เพราะถือว่าลมที่เดินมันได้จุดแล้ว ก็ถือว่าจุดไม่มีความหมายแล้ว มันจะเดินไปได้ทุกข้อกระดูกตามที่เราต้องการให้เดิน เรียกขั้นนี้ว่าหายใจชำระไขกระดูก หรือปราณชำระไขกระดูก แต่ต้องทำให้ได้ทุกวัน ได้ทั้งยืน แล้วก็ท่านอน ... แต่มีบางคนมันแอบหลับ ... มึงไม่ต้องมาชำเลืองกู

พอ ... เดี๋ยวให้ถามปัญหา สักครึ่งชั่วโมง สี่โมงเลิก

ขอเรียนเชิญทุกท่านกราบในพระกรรมฐานที่องค์หลวงปู่ฯ ท่านเมตตาอบรมสั่งสอนเราในวันนี้ค่ะ
=============================================

ฟังธรรม สร้างตัวรู้

ชีวิตจะเป็นสุขได้ก็เพราะเราบริหารกายกับบริหารจิต หลวงปู่คิดอย่างนี้เสมอมาชั่วชีวิต เลยหากรรมวิธี หากุศโลบายที่จะทำยังไงที่จะให้ลูกหลานได้มีโอกาสบริหารได้ทั้งกายและจิต ไหนๆ เราก็มีสมบัติที่เป็นทุกข์มาแล้วแต่กำเนิด เพราะมนุษย์มีสมบัติติดมาอยู่สองอย่าง ทุกข์สมบัติกับมรณะสมบัติ แล้วเราจะทำยังไงที่จะสามารถให้เรามีชีวิตอย่างทุกข์น้อยที่สุด มันก็จะต้องหากรรมวิธีหากุศโลบาย แม้คนอื่นอาจจะมองว่าวิธีเลอะเทอะไร้สาระ แต่ถ้าเราทำแล้วเราเป็นสุขก็พอแล้วหล่ะ ใครจะว่าไงก็ช่างมัน เราทำแล้วเรารู้สึกเบาสบาย ผ่อนคลาย ก็พอแล้วหล่ะ เพราะทั้งชีวิตเราตั้งแต่ตื่น ยันหลับ ก็มีแต่ทุกข์ตลอด แล้วเราจะทำอย่างไงให้เราตื่นอย่างเป็นสุข แม้นอนก็เป็นสุข นั่งก็เป็นสุข ยืนก็เป็นสุข เดินก็เป็นสุข ... ก็ทำอย่างที่สอนนี่แหล่ะ สร้างตัวรู้ให้เกิด แล้วนำตัวรู้เหล่านั้นมารับรู้สิ่งที่เป็นภายในกาย เรียกว่าเรียนรู้ชีวิต ชีวิตมันก็คือวิชา เมื่อชีวิตมันเป็นวิชชา เมื่อเราลุถึงวิชา ปัญญามันก็เกิดแก่เรา ทีนี้เราก็จะมีชีวิตอยู่อย่างผ่อนคลาย ทุกข์น้อย ความสุขมันก็จะตามมาเอง แต่ทุกวันนี้ที่เราอยู่กัน คนทั้งหลายก็มีแต่ทุกข์มากๆ ยืนก็เป็นทุกข์ นั่งก็เป็นทุกข์ นอนก็เป็นทุกข์ หิวก็เป็นทุกข์ กระหายเป็นทุกข์ ก็เรามีสมบัติเป็นทุกขสัจจะน่ะ พระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมข้อแรกก็เริ่มตั้งแต่ทุกข์ เพราะพระองค์ทรงเห็นสัจธรรมข้อนี้ว่ามันเป็นทุกข์จริงๆ มันไม่มีใครหนีทุกข์ไปได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องใช้ปัญญาบริหารตัวต้นทุกข์เนี่ยให้มันรับทุกข์น้อยหน่อย แล้วอะไรคือตัวต้นทุกข์ ก็คือตัวเรานี่แหล่ะ ตัวเราที่นั่งอยู่นี่แหล่ะ มันเป็นทุกข์ เหตุที่มีตัวเราก็เพราะเราโง่ เราไม่รู้ งั้นเราก็ต้องทำให้เกิดตัวรู้ เมื่อมีความรู้ มันก็จะนำพาให้ตัวต้นทุกข์นี้ให้รับทุกข์น้อย แม้ใครจะยัดเยียดทุกขสัจจะหรือทุกขสมบัติให้เรา ด้วยเหตุปัจจัยใดๆ ทั้งภายในและภายนอก ทั้งอดีตปัจจัย อนาคตปัจจัย และปัจจุบันปัจจัย แต่ถ้าเรามีตัวรู้ มีสติปัญญา มีท่านผู้รู้ เราก็สามารถจะหลีกเลี่ยงเหตุปัจจัยทุกข์เหล่านั้น ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบันได้ในระดับหนึ่ง มันก็ยังดีกว่าคนที่นั่งเป็นทุกข์ เดินเป็นทุกข์ ยืนเป็นทุกข์ นอนเป็นทุกข์ อ้าปากก็ทุกข์ หุบปากก็ทุกข์ แล้วมันจะมีชีวิตอยู่อย่างไร สิ่งที่หลวงปู่สอนก็เพียงมุ่งหวังที่จะให้ลูกหลานได้อยู่กันอย่างผ่อนคลายความทุกข์ได้ในขณะหนึ่ง แล้วก็สร้างให้เกิดสติปัญญาให้มาก แล้วที่สุดมันก็จะชนะทุกข์ไปเอง เพราะว่าปัญญาเท่านั้นจึงจะสามารถถอนรากเหงา ถอนโคนแห่งทุกข์ได้ เหมือนดังหลักปฏิจจสมุปบาท ที่อวิชชาพาเข้ามาให้เกิดสัณฐานการปรุง เพราะมีสัณฐานการปรุงมันทำให้เกิดวิญญาณการรับรู้ เพราะวิญญาณการรับรู้ก็ทำให้เกิดนามรูป เพราะนามรูปมันทำให้เกิดสารายตะนะ ที่เรียกว่าแดนต่ออารมณ์คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  พอมีแดนต่ออารมณ์ก็มีผัสสะ มีผัสสะก็มีเวทนา พอมีเวทนา สุข ทุกข์ ทีนี้ก็อยาก อยากพ้น อยากมี อยากได้ และไม่อยากอยากก็ถือว่าเป็นความอยากอย่างหนึ่ง พอมีตัณหาก็มีอุปทานความยึดถือตามมาแล้ว ตามมาด้วยความทุกข์ทรมาน ภพ ชาติตามมา ชรา มรณะ พยาธิก็ตามมา ทุกอย่างมันอยู่แค่จิตเดียว ปฏิจจสมุปบาทธรรมมันเกิดได้ในขณะจิตเดียว แล้วเวลาที่เรามีตัวรู้ ปฏิจจสมุปบาทธรรมจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย เพราะรู้หนึ่งจิต อวิชชาก็โดนดับ สัณฐานการปรุงก็ไม่มี วิณญาณการรับรู้ก็รู้เฉพาะเรื่องที่เป็นปัจจุบันธรรมรู้ มันก็ไม่ใฝ่รู้ในเรื่องอดีต ไม่ใฝ่รู้ในเรื่องอนาคต รู้ในปัจจุบันรู้อะไร ก็รู้ว่าเรากำลังทำพระกรรมฐานอยู่ไง รู้ว่าเรากำลังจะเจริญมหากุศลอยู่ไง รู้ว่าเวลานี้กระดูกกลุ่มหนึ่งนอนอยู่ไง รู้ว่าเวลานี้เราจะวาง แล้วว่างไง

เมื่อวิณณาณการรับรู้ไม่มี สังขารการปรุงแต่งใดๆไม่ปรากฏ การต่ออารมณ์ต่างๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเราสามารถสำรวมสังวรณ์ระวังได้ด้วยความรู้และท่านผู้รู้ เวทนามันจะมาจากไหน มันไม่มีทางมา มันมาไม่ได้ อย่างนั้นเราก็ต้องเป็นผู้ไม่มีเวทนา ทุกขเวทนาก็ไม่เกิด สุขเวทนาก็ไม่เกิด แต่มันจะเกิดเฉพาะสภาวะธรรมที่มีเหตุปัจจัยเท่านั้น  เมื่อมีตัวรู้แล้วเวทนาไม่เกิด

ไอ้คำว่าเบาสบายเนี่ยมันไม่จัดว่าเป็นเวทนา เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่อารมณ์ แต่เป็นสภาวะธรรมที่เกิดจากการปลดเปลื้องพันธะ ปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการที่เป็นอิสระ พอเราเป็นอิสระจากพันธนาการเราก็รู้สึกเบาสบาย มันเป็นความรู้สึกโดยเหตุปัจจัย ไม่ใช่รู้สึกโดยอารมณ์ เขาถึงไม่เรียกว่าเป็นเวทนา ถ้าจะจัดว่าเป็นเวทนาก็เป็นเวทนาที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งจากอารมณ์ แต่เป็นเหตุปัจจัยจากการประพฤติปฏิบัติในการวางแล้วว่าง ปกติเราเคยยึดเคยแบกอยู่ พอวางแล้วว่างมันก็ผ่อนคลาย มันก็เบาสบาย เพราะฉะนั้นตัณหาและความทยานอยากมันก็จะหยุด จะเห็นว่าเวลาปฏิบัติกรรมฐานจนถึงตัวรู้เนี่ยจะมีตัวอยากไหม เมื่อถึงตัวรู้จะไม่มีตัวอยาก พอไม่มีตัวอยากมันก็ไม่ทุกข์ยาก เพราะฉะนั้นก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้เกิดตัวรู้อยู่ตลอดเวลา ทำอยู่บ่อยๆ ...

... ไม่ต้องตั้งท่าแล้ว สอนมาหลายปีแล้ว พอถึงเวลาก็ทรงตัวรู้ทันที ทีเป็นร่างทรงของราคะไม่เห็นต้องตั้งท่าเลย ทีกัดกับหมูกับหมา ทะเลาะกับคนนั้นคนนี้ไม่เห็นต้องตั้งท่าเลย พอจะทรงตัวรู้ของท่านผู้รู้หน่อยแหมต้องท่าเยอะเหลือเกิน ต้องนั่งท่านี้ ต้องเดินท่านี้ ต้องนอนแบบนี้ ทำดีต้องมีท่าเหรอ ทีทำชั่วไม่เห็นต้องตั้งท่าเลย แป๊บดีก็ชั่วเลย สังเกตไหม ... เพราะฉะนั้นเลิกตั้งท่าได้แล้ว

ไอ้ท่าทางทั้งหลายมันมาจากคนที่ยังไม่เข้าใจเหตุปัจจัย ยังไม่รู้อะไร  สองปีที่ผ่านมาหลวงปู่สอนให้ขีดบ้าง สอนให้ยืนบ้าง สอนให้เดินบ้าง ก็เพื่อให้คุ้นเคยกับท่านผู้รู้  ปีนี้หลวงปู่จะไม่ค่อนสอนเรื่องท่ายืน ท่าเดิน ท่านอน ท่าขีดอะไร ท่านั่งอะไร มันเป็นของเด็กอนุบาลแล้ว ถ้าพวกหล่อนเด็กอนุบาลครูก็คงไม่รับแล้ว ... แก่เกินไป ไม่ใช่โตเกินไป เหี่ยวเกินไป เพราะงั้นก็ต้องเริ่มแล้ว พอมีอะไรกระทบปุ๊บ ต้องสร้างตัวรู้ปั๊บ เขาจะด่าเรา เขานินทาเรา จะว่าเรา เราไม่เป็นอย่างนั้นหรือเป็นอย่างนั้นก็แล้วแต่ มีตัวรู้เข้าไว้ สร้างตัวรู้เข้าไว้ เขาทำเพื่ออะไร เขาด่าเราเพื่ออะไร เขาทำร้ายเพื่ออะไร เขาทำลายเพื่ออะไร เขาปรามาสเพื่ออะไร สร้างตัวรู้เอาไว้ แล้วใจ เราจะได้ไม่ปรุง จิตเราจะได้ไม่หวั่นไหว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ การรับรู้เราควบคุมได้ ความทุกข์เดือดร้อนที่มันกลายเป็นสมบัติมันจะได้เบาบางลงบ้าง เรามีทุกขสัจจะเป็นสมบัติติดตัว นี่ของจริงและเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องประหลาดเราไม่เคยคิดเลยว่าทำไมเรามีชีวิตอยู่เพื่อเพิ่มสมบัติเก่า แล้วสมบัติตัวนี้มันก็คือทุกขสัจจะอีกนั้นแหล่ะ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเรามีทุกข์เป็นสมบัติ แต่มาเกิดแล้วก็ยังมาแสวงหาทุกข์เพิ่มอีก นี่เขาเรียกว่าชีวิตผู้รู้ไหม ... เกิดมาแล้วมันก็มีทุกข์แถมมาอยู่แล้ว ยังมาหาทุกข์เพิ่มอีก ... หาทุกข์เพิ่มยังไง มีผัวก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ไหม ไปบอกเลิกมันเลย เลี้ยงผัวก็เป็นทุกข์ หุงข้าวให้ผัวกินก็เป็นทุกข์ ซักผ้าให้ผัวใส่ก็เป็นทุกข์ พูดอย่างนี้ไม่ใช่บอกให้ไปเลิกผัว แต่พูดให้ฟังว่าเกิดก็เป็นทุกข์มาอยู่แล้ว แต่เราก็ยังเพิ่มทุกข์อีก พระพุทธเจ้าจึงเป็นผู้ออกจากเรือน ไม่เป็นผู้ข้องเรือน เป็นอนาคานิก คือผู้ไม่อยู่ในเรือน ผู้ไม่แสวงหา เพราะพระองค์รู้ว่านั่นคือการสะสมกองทุกข์ไง

กูไม่รู้ว่าพวกมึงคิดยังไง แต่กูรู้ว่าเวลากูมีอะไรเยอะแยะแล้วกูจะเป็นทุกข์มาก เพราะฉะนั้นกูพยายามจะไม่มีอะไร ทำตัวเปล่าๆ เบาๆ สบายๆ ของกูอย่างเงี้ย ที่หาๆมากูก็พยายามจะไม่แบก ไม่เก็บ ไม่ยึด ... แต่หายไม่ได้นะมึง (ฮ่า) หายหล่ะกูจะตามไปด่า เพราะถือว่าบริหารของเขาไม่ดี เขาอุตส่าห์ให้มาแล้วดูแลไม่เรียบร้อย ไม่ใช่ของกู...แต่อย่าหาย (ฮา)  เออ..ถ้าคนให้เขาไม่คิดอะไรไม่หวังบุญน่ะกูจะปล่อยให้มันหาย แต่คนให้เขาคิดหวังบุญ แล้วกูมาปล่อยให้มันหาย กูก็ต้องกลายเป็นหนี้บุญเขาซิ แล้วจะไปเอาบุญอะไรมาให้เขานักหนา งั้นถ้าบริหารของเขาไม่ดีมันก็กลายเป็นหนี้เขา เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องดีนะ ไอ้ทรัพย์สินเงินทองที่ชาวบ้านเขามายัดยัดยัดให้เนี่ยนะ นั่นมันกองทุกข์ พันธนาการทั้งนั้น สู้ไม่มีซะดีกว่า ไม่ต้องมาแบกมาเป็นภาระบริหาร ทุกบาททุกสตางค์มันเป็นกองทุกข์ทั้งนั้น ไม่รู้คนอื่นคิดยังไง กูคิดของกูอย่างเนี้ย แล้วชั่วชีวิตกูก็ไม่พก ... ไปใต้กูก็ไม่พก ไอ้คนขับรถมันถามว่า หลวงปู่มีตังส์เติมน้ำมันไหมน่ะ ... ฉิบหายหล่ะ มึงเคยเห็นกูมีเหรอ (ฮ่า) ... เอาหลวงปู่ไม่มีเหรอ ผมก็ไม่ได้เบิกมา ... เออ งั้นมึงก็จอดข้างทางเถอะ (ฮา) กูบอกแล้วให้หาตังส์เติมน้ำมันมาด้วย กูไม่มีนะ กูมีหน้าที่นั่งอย่างเดียว มึงไม่ไปกูก็เดิน กูไม่สนใจหรอก (ฮา)...

มันสบาย ไม่ต้องแบก ไม่ต้องไปหามันอะไรนักหนา ไม่ต้องทุกข์มาก ชั่วชีวิตหลวงปู่น่ะรู้อยู่ว่ามันเป็นทุกข์ เรามีสมบัติติดตัวอยู่สองอย่าง มรณะสมบัติกับทุกขสมบัติ ทุกวันนี้มันก็ตายทุกวัน ความตายมันก็เข้ามา ... เมื่อเช้านี้พอต้มยาแล้วก็เอาน้ำมาล้างมือ ล้างตีน เออ ... ตีนกูตายแล้ว ทำไมตีนกูมันเหี่ยวกว่าหน้ากูอีกวะเนี่ย นี่ความตายมันมาเยือนแล้ว แล้วจะมานั่งแบก นั่งหาอะไรกันนักหนา แค่อยู่แล้วก็ใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า มีสาระ มีเครื่องเกาะเครื่องยึดก็คือพระธรรมก็ภูมิใจแล้ว ไม่ต้องไปเกาะไปยึดอะไรมาก ... เอ้า หมดเวลา ไม่ได้ถามปัญหา เหลืออีกสิบนาที ใครจะถาม ...เอ้า
=============================================




ปุจฉา-วิสัชนา

อีนั่นมันกินยาไปแล้วมันค่อยยังชั่วขึ้นหรือยัง ที่เจริญพาไปน่ะ อยู่ไหนหล่ะ ดีขึ้นหรือยัง ไปดูซิ ตัวมันแข็งหรือยัง จะได้นิมนต์พระ เห็นหน้ามันบวมๆ น่าจะเป็นไต แต่ตะกี้ไม่ได้มองตา ขี้จนหมดแรงเลยเหรอ แล้วเขาเอาน้ำยามาหรือยังหล่ะ ไปผสมให้เจือจางแล้วเอามาแจกซิ แจกกันคนละถ้วย

ปุจฉา    หลังจากปฏิบัติในท่านอนแล้ว รู้สึกว่ามีความเย็นเกิดขึ้น
วิสัชนา    วิชาปราณโอสถนี่จะเป็นครูทำให้เรารู้จักเห็นธาตุเจ้าเรือนของตน บางคนได้ร้อน บางคนได้หนัก บางคนได้โล่ง ร้อนก็คือธาตุไฟเป็นเจ้าเรือน หนักก็คือธาตุดินเป็นเจ้าเรือน โล่งก็คือธาตุลมเป็นเจ้าเรือน เย็นก็คือธาตุน้ำเป็นเจ้าเรือน มันเป็นวิชายา ทำไปเถอะ ให้ทำทุกวันๆ

ปุจฉา    ตอนนอนพิจารณาโครงกระดูก แต่มีความรู้สึกเต้นของเส้นเลือด จะต้องทิ้งความรู้สึกนั้น
วิสัชนา    ไม่เสียหายอะไร กูนอนกูยังเห็นชีพจรกูเต้นเลย ทำไปเหอะ แล้วจะรู้สึกว่าเออ ชีพจรเราเต้นมีเสียงเหมือนกัน มันเป็นปัจจัตตังรู้ได้เฉพาะตน หลวงปู่นอนยังได้ยินเสียงชีพจรตัวเองเต้น

ปุจฉา    ตอนช่วงที่ลูกเดินลมเข้าถึงจุดต่างๆ ถึงฝ่ามือ หลังมือ จะรู้สึกอุ่นๆ แล้วจึงจางหายไป ลูกมีอาการคอแห้ง แสบคอเล็กน้อย ดื่มน้ำก่อนปฏิบัติแล้ว แต่ยังร้อนคอ
วิสัชนา    เมื่อวานบอกแล้วใช่ไหม ว่าจะร้อนคอ คอแห้ง แสดงว่ากินน้ำน้อย มันจะเป็นผลอย่างเนี่ย กินน้ำเข้าไป

เอ้าน้ำยามาแล้ว บ้วนออกไปใหม่ๆ เดี๋ยวเจือจาง เที่ยวนี้ของฟรีนะโว้ย  เติมไปหรือยัง มึงเอาแต่หัวมาเดี๋ยวขี้ขึ้นสมอง เอ้ย...ไม่ต้องถึงขั้นใส่ขวดไปนะ เอาคนละแก้วพอลูก

ฝึกไปเหอะ กูยังมีวิชาสอนพวกมึงอีกเป็นกระตัก ถ้ากูไม่ตายเสียก่อนนะ

เฮ้ย ไอ้พวกนั้นน่ะไปยืนเข้าแถวเสนอหน้าเลย มานั่งก่อน เดี๋ยวเขาตักแจก ดูมันซิ ดูกระดูกมันตะกละซิ เมื่อกี้กูพูดอยู่ กระดูกแดกไม่ได้ กระดูกมันยืนเข้าแถว เอ้า...กระดูกด่ากระดูกซะแล้ว

ปุจฉา    ลูกมีอาการแข็งที่เส้นเอ็น เนื้อเยื่อที่หุ้มตาม  ปวดบวมบริเวณ ตาตุ่ม และใต้ฝ่าเท้า ปวดบริเวณซีกขวา ขอทราบวิธีบำบัดรักษาเพื่อให้ทุเลาได้อย่างไร เวลาปวดจะทรมานมาก
วิสัชนา    ฟังท่าจะเป็นไม่เส้นเอ็นอักเสบก็รูมาตอย โรคเส้นเอ็นอักเสบเนี่ยรักษาไม่ยากหรอก ใช้น้ำร้อนน้ำเย็นประคบ ใช้ลูกประคบมีขาย ยาที่ต้มมีแก่นสัก น้ำมันไพลที่อยู่ในลูกประคบช่วยแก้เส้นเอ็นอักเสบ ยา เส้นเอ็นแข็งแรง แก้อาการปวดหลังปวดเอว แต่รูมาตอยจะต้องใช้..หลายชนิด ถ้ากูมีเวลาก็อยากจะทำยาแจกบ้าง อยากจะทำยาโรคมะเร็ง กับโรคริดสีดวง ยามาเลเลียทำแล้ว เขาแจกหรือยัง ... เออ ก็พวกมึงไม่ได้เป็นน่ะเขาจะแจกทำไม เขาจะเอาไปแจกที่ใต้ พระใต้เขาเป็นมาเลเลีย เดี๋ยวมีเวลาค่อยทำ ยารูมาตอย รูมาติซั่ม ยาไขข้ออักเสบ เส้นเอ็นอักเสบน่ะมันทำไม่ยาก ต้น..เปลือกประดู่มีแล้ว ให้พระเขาไปนั่งถากๆ เอาไว้แล้ว เปลือกประดู่ ...คา พญายา เหลืออยู่สองชนิด ชะมดเชียง (หายาก) พิกัดยาข้อกระดูก กระดูกข้อเอ็นเนี่ย มันทำไม่ยาก แต่ตัวยามันหายาก เอาไว้มีเวลาแล้วจะหา ค่อยๆ ทำ ทนทนไปก่อนแล้วกัน น้ำมันน่ะช่วยลดอาการปวดบวมได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะยาหม่องน่ะ เขาแจกกันไปได้รับหรือยัง กูก็ว่าจะทำอีก หาขี้ผึ้งแท้ๆ ใครมีขี้ผึ้งแท้ๆ ก็เอามาบริจาคให้วัดบ้าง

(น้ำสมุนไพร) ทำไมมันข้นแท้ นี่ข้นไหม นี่ยังข้นอยู่เลยนี่ มึงเติมแล้วเหรอ เดี๋ยวขี้พุ่งหรอก ครึ่งแก้วก็พอ ... ใครยังไม่ได้ก็ยกมือ เขาจะได้ยกไปส่ง

ปุจฉา    เมื่อเรามีตัวรู้แล้ว มาพิจารณาโครงกระดูกดังที่หลวงปู่ได้นำปฏิบัติในบางครั้ง จิตมันฟุ้งซ่าน มีวิธีอย่างไรเพื่อให้ตัวรู้กลับมาเหมือนเดิม
วิสัชนา    ก็เพราะว่ามันมีสติ แต่ขาดสัมปชัญญะ ถามว่าทุกข์เรื่องอะไรก็รู้ รู้ไม่มีตัวปัญญา เพราะถ้ามีปัญญามันก็จะหยุดได้บ้าง เพราะถ้ารู้ด้วยการวิเคราะห์ใคร่ครวญด้วยปัญญา อสาระ ไม่มีแก่นสาร แต่นี่รู้ แต่ไม่มีปัญญา มีสติแต่ขาดปัญญา ฉลาดแต่ขาดขาดเฉลียว เมื่อวานก็สอน วันนี้ก็บอก ว่าถ้าสติมันมีแต่ขาดปัญญา มันก็จะนำพาเราไป อย่างนี้ก็ต้องกลับมาที่อุบาย แสดงว่าจิตมันเป็นชั้นอนุบาล ต้องใช้อุบาย ใช้เครื่องมือในการประกอบ ขีดบ้าง ยกบ้าง เพื่อดึง เป็นตัวประกอบ ยืนบ้าง ก้มหน้า เงยหน้า รู้ลมเป็นสติ ขีดเป็นสัมปชัญญะ รู้ลมเป็นสติ ยกแขนเป็นสัมปชัญญะ  สัมปชัญญะก็คือตัวควบคุม ตัวสั่งงาน เป็นตัวควบคุมสติอีกทีหนึ่ง ถ้ามีสติ เรียกว่า มีสติมา สัมปชาโน มันไม่พลาดหรอก มันจะหาที่ตั้งที่เหมาะสม อย่างนี้ก็ต้องบอกให้รู้เลยว่าแสดงว่าเรายังอ่อนแออยู่ ยังไม่มีพัฒนาการ

เอ้าแจกให้ครบ คนมาใหม่ มาเก่า เดี่ยวพรุ่งนี่จะต้มไปที่โรงพยาบาลสำเหร่ แล้วก็ไปที่บ้านคุณสุนันทา

ปุจฉา    เมื่อลูกหายใจเข้า มีความรู้สึกว่าลมหายใจเข้าเพียงข้างซ้ายข้างเดียว ไปจนถึงเท้าซ้าย ไม่ทราบว่าร่างกายของลูกผิดปกติหรือไม่ ควรจะแก้ไขอย่างไร

วิสัชนา    มันแสดงอาการความผิดปกติให้เห็น เหมือนกับท่อน้ำ สายยางที่มันหักน่ะ น้ำมันเดินไม่ได้ ต้องหาวิธีทะลวงมันให้ได้   เดินลมไปที่ปลายนิ้วหัวแม่โป้งมือเนี่ย เดินยากไหม ใครที่เดินยากก็ให้รู้ไว้ว่าอัมพฤกกำลังถามหา ต้องทำให้ลมเดินได้ทะลุทะลวงทุกข้อกระดูก

ใครยังไม่ได้ยกมือ

ปุจฉา    เมื่อเวลาที่ลุกนั่งขัดสมาธิ จะปวดที่ข้อพับสะโพกด้านซ้าย เมื่อหลวงปู่ให้เดินลมไปตามกระดูก เมื่อถึงส่วนนี้จะรู้สึกร้อนและปวด ลูกเดินลมเข้าออก ก็จะรู้สึกร้อนและปวดมากขึ้น ไม่ทราบเพราะปฏิบัติผิดหรือเป็นเพราะอะไร
วิสัชนา    ทำต่อไปจนหายปวด แสดงว่าเครื่องในของแต่ละคนมันไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ จะต้องรักษาซ่อมแซมซ่อมบำรุงกัน ทำต่อไป

ปุจฉา    ลูกอายุ 26 ปี เมื่อ 3 ปีที่แล้วลูกเป็นโรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส ไม่ทราบว่าตัวไหน เพราะหมอไม่บอก มีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ของความเมตตาจากหลวงปู่ ทำรักษาเพื่อรักษาและการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันด้วย
วิสัชนา    ไปเอาพริกไทยดำยัดใส่เข้าไปในไข่ แล้วก็เอาไปต้ม ใส่เข้าไปซักแปดเม็ด เอาไปต้ม แล้วพยายามหาหามะระ พวกของขม ของจืดกับของเค็ม ของขมกับของหวาน กินอาหารแค่สองรสนี่ ขมกับหวาน แล้วหยุดเผ็ด ก็จะบรรเทาอาการอักเสบ เมื่อก่อนกูก็เป็น

ปุจฉา    ตามที่หลวงปู่ได้อธิบายเรื่องพระอรหันต์มี 4 แบบนั้น พระอรหันต์แต่ละแบบ เมื่อนิพพานแล้ว มี ต่าง หรือเหมือนกันอย่างไร
วิสัชนา    ไม่ต่างกัน เหมือนกันหมด ที่ต่างกันก็ตรงที่แต่ละคนมีคุณสมบัติ คือเอกคัตทะ ความเป็นคุณวิเศษของแต่ละคนสะสมมาไม่เหมือนกัน นิพพานแล้ว นิพพานมีสองอย่าง นิพานโดยกิเลส และนิพพานโดยสังขาร  นิพานโดยกิเลสดับคือยังมีชีวิตอยู่ นิพพานโดยสังขารคือดับทั้งกิเลส แล้วก็ดับทั้งชีวิต เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทั้ง 4 ประเภท เมื่อถึงคำว่านิพพานก็คือจบ อยู่ชั้นเดียวกัน ไม่เหลือเชื้อ ไม่กลับมาเกิดอีก จะพูดถึงชั้นไม่ได้ เดี๋ยวจะเข้าใจว่านิพพานคือแดน มีชั้นอยู่ ไม่ได้ นิพพานคือสภาวธรรมของคนที่ดับกิเลส ของท่านผู้หมดกิเลสแล้ว

คำถามสุดท้าย ขอให้ญาติธรรมถามด้วยตนเองเพราะมีอาการอยู่ค่ะ
ปุจฉา    เดินลื่นในห้องน้ำ …
วิสัชนา    เอาอะไรลง  มึงหงายหลังแล้วเอาอะไรลงพื้น ปลายเท้า อะไรที่กระแทกพื้นก่อน  เท้าข้างซ้ายพอยืนแล้วยึดหมดเลย น่าจะวิเคราะห์ได้ว่ากล้ามเนื้ออักเสบ ลองใช้น้ำอุ่นประคบ อย่างไปใช้ยา เพราะมีพิษกับไต

มีญาติธรรมขอถามอีกคำถามหนึ่งค่ะ
ปุจฉา    ลูกชายเป็นฝีที่น่อง ผ่าที่โรงพยาบาล สามเดือนกว่าแล้วยังไม่หาย หมอคว้าน เท่าก้อนส้ม
วิสัชนา    ต้องพามาดู เรื่องแผลมันบอกอาการไม่ได้ ต้องดูริมของแผล มันต้องรู้ด้วยว่าคนเป็นแผลเป็นธาตุอะไร คนมีธาตุไฟอาจทำให้แผลนั้นเยิ้ม ต้องเอาแผลมาดู

หมดยัง ใครยังไม่ได้ยกมือ แม่ครัวกินยัง กูให้กินนะไม่ใช่กรอกใส่ขวด เดี๋ยวตบเลยอีอ้วนนี่ มึงนึกว่ากูนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว มึงแอบยังไง กูก็ยังรู้อยู่

ถวายสังฆทาน
นะโมสามจบ...