ปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญปัญญา
วิถีจิต
22กุมภาพันธ์ 2551


ส่งความรับรู้เข้าไปภายใน  รู้แล้วเบิกบาน  รู้แล้วตื่นตัว  ตื่นตา ตื่นใจ  อารมณ์ภายในสงบ  กัมมัฏฐานที่ให้คือ  เรียนรู้ชีวิต  ลุถึงวิชา  เข้าถึงปัญญา  นำพาชีวิต  เรื่องของชีวิต  มีชีวิตภายใน  กับ  ชีวิตภายนอก  เวลานี้เราจะฝึกเพื่อจะให้เกิดตัวรู้  รู้แล้วเฉย  รู้แล้วไม่ต้องมีอารมณ์ปรุง  รู้แล้วละ  รู้แล้ววาง  รู้แล้วว่าง  ยิ่งรู้มากก็ยิ่งว่างมาก มีอิสระมาก  สมองเบา  หน้าอกโล่ง  กายสบาย  ตาไม่ลำบาก  กายไม่ลำบาก  แขน ขา ไม่ลำบาก  ใจนี้ยิ่งไม่ลำบาก  ทุกวันนี้เราพันธนาการกายกับใจนี้ให้ลำบากด้วยขยะเต็มไปหมด  ต่อไปนี้รู้แล้ววาง  รู้แล้วว่างด้วยขบวนการของการใช้ปัญญาวิเคราะห์   ถ้าปัญญายังไม่สามารถวิเคราะห์ได้  ให้ใช้วิธีขีดลงในช่องที่ตั้งโจทย์ไว้
กามฉันทะ         ความพอใจรักใคร่
พยาบาท            ความไม่พึงพอใจ
ถีนะ – มิทธะ    ความง่วงเหงาหาวนอน  เซื่องซึม
อุทธัจจะ – กุกกุจจะ    ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
วิจิกิจฉา             ความลังเลสงสัย
 เช่นฟุ้งซ่านให้ขีดใช่องฟุ้งซ่าน  เกิดความไม่พึงพอใจว่าระงับความฟุ้งไม่ได้ก็ให้ขีดลงไปในช่องของความไม่พึงพอใจ   หรือหงุดหงิดรำคาญก็ขีดในช่องหงุดหงิดรำคาญ  ง่วงเหงาหาวนอนก็ใส่ในช่อง  ง่วงเหงาหาวนอน  เกิดความสงสัยก็ขีดในช่องสงสัย  การขีดเป็นการฝึกปรือรับปัญญา   คนที่มีแต่ตัวรู้ไม่มีปัญญาก็จะสับสน  ฟุ้ง  วางแล้วว่างไม่ได้  เป็นเครื่องบอกว่าปัญญาเรายังอ่อนแอ  ไม่ใช่สติอ่อนแอ  ทั้งที่สติรู้ตัวอยู่แต่มันเลื่อนออกนอกกาย  แสดงว่าเราอยู่ในจิตที่ถูกชักชวนด้วยรูป  ด้วยรส    ด้วยกลิ่น   ด้วยเสียง  ด้วยสัมผัส   และด้วยสัญญาที่ทรงจำ  มีทั้งกุศลชักชวนและอกุศลชักชวน  วิธีที่ดีที่สุดต้องไม่ให้มีอะไรมาชักชวนเราเลย  เหลือไว้เพียงตัวรู้ที่ฉลาด  สว่าง  ชัดเจน  อยู่กับตัวอย่างมั่นคง  เฝ้าดูกระบวนการเกิดดับภายใน  ดูการเปลี่ยนแปลงภายใน  ทำจิตให้ละเอียดขึ้น  ถ้าจิตยังไม่ละเอียดพอก็ใช้วิธีจับมันลงช่อง  กุศลก็ไม่เอา  อกุศลก็ไม่เอา  อัพยากฤตจิตก็ไม่เอา  ขั้นนี้ต้องให้จิตเป็นเอกัคตา  ขั้นต่อไปต้องไม่มีแม้จิตมีแต่ตัวรู้อย่างเดียว(ยืนปฏิบัติจนเวลาสมควร)
        ค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งอย่างท่านผู้รู้นั่ง  อย่าให้ตัวรู้เคลื่อนออก  รักษาท่านผู้รู้ไว้  ต้องรู้ให้ได้ทุกอิริยาบถ   ยืนก็รู้  นั่งก็รู้  แม้นอนก็ต้องรู้  รู้ละ  รู้วาง  รู้ว่างแล้วเฉยไม่ให้มีร่างทรงอะไรทั้งนั้น(  นั่งปฏิบัติจนเวลาอันสมควร)
         ค่อยๆเอนตัวลงนอนตะแคงขวา  นอนแบบท่านผู้รู้นอน  ใช้
อำนาจของจิตให้สมบูรณ์  จิตมีอำนาจในการ รับ จำ คิด รู้  ทำให้ตัวรู้ทรงอยู่ได้จึงจะขยับไปขั้นต่อไปได้  ยืนรู้  แต่นั่งไม่รู้  นั่งรู้แต่นอนไม่รู้  นอนรู้แต่เดินไม่รู้  ไปเรียนอะไรยังไม่ได้  เรียนสูงกว่านี้ยังไม่ได้  ต้องยืนรู้  นั่งรู้ นอนรู้  เดินรู้ จนเป็นนิสัยของผู้รู้    คนที่มีท่านผู้รู้อยู่ด้วยตลอด ทำ พูด คิดก็ถูกไม่ผิดพลาด  ชีวิตเราผิดพลาดมาตลอด  ถูกๆ  ผิดๆ มาตลอดได้ๆเสียๆแลกกันอยู่ตลอดตลอด  ทำแบบไม่ต้องแลกดูบ้าง  ทำแล้วเอากำไรได้เลย  ไม่ต้องขาดทุนอารมณ์(  นอนตะแคงพอสมควรแก่เวลาแล้ว)
                 ค่อยๆพลิกตัวตะแคงซ้ายอย่างท่านผู้รู้  อย่างนี้เขาเรียกฝึก
จิตให้เชื่อง   คนฉลาดในจิตคือคนฉลาดในโลก  คนฉลาดในโลกคือคนฉลาดทุกเรื่อง  ผู้ฉลาดในทุกเรื่องคือผู้ฉลาดในชีวิตตัวเอง  ผู้ฉลาดในชีวิตตัวเองคือคนที่ไม่ทำผิดทำพลาดให้ชีวิตเสียหาย   ขบวนการสร้างตัวรู้คือภารกิจเบื้องต้นในการเรียนรู้การศึกษา  วิชามีรออยู่แล้ว  ที่ยังไม่มีคือตัวพร้อมรู้(พอสมควรเวลาแล้ว)
    กลับมาเป็นนอนหงายอย่างท่านผู้รู้  (นอนหงายจนสมควรเวลา)
คำสั่ง..........นั่งคุกเข่าท่าเทพธิดาเหยียดขาซ้ายไปข้างหน้า  เอนตัวลงนอน  หลังเท้าขวาแนบพื้นข้างสะโพก ยกขาซ้ายเกยไว้บนหน้าขาขวา  มือดึงส้นเท้าขวาเข้ามาให้ติดสะโพกขวา    กดเข่าขวาลงแนบพื้น  เดินลมอักษรสวรรค์ไปที่ก้นกบ  ให้หลังแนบพื้นให้เต็ม  
 หายใจเข้าลมเข้าจมูก  ลำคอ  หน้าอก  ช่องท้อง ย้อนไปก้นกบ  เดินขึ้นไปตามแผ่นหลัง  ต้นคอ กะโหลกศีรษะ  กลางกระหม่อม หน้าผาก  ออกจมูก  เดินลมวนเวียน เข้าจมูก ขึ้นหน้าผาก  กลางกระหม่อม  กะโหลกศีรษะด้านหลัง  ต้นคอด้านหลัง  หัวไหล่2ข้าง  กระดูกสันหลัง  ลงไปก้นกบ  ทะลุหน้าท้อง  ขึ้นลิ้นปี่  หน้าอก  ลำคอ  ออกปาก  หายใจสลับสับเปลี่ยนวนเวียนกันจนแผ่นหลังร้อนแล้วจึงลุกขึ้นนั่ง            
  สลับขา    งอเข่าซ้ายเข้ามาแนบข้างสะโพกซ้ายให้หลังเท้าซ้ายแนบพื้น ยกขาขวาเกยไว้บนหน้าขาซ้าย ใช้มือดึงส้นเท้าซ้ายให้ติดสะโพกซ้าย  กดเข่าซ้ายให้แนบพื้น   หลังแนบพื้นเดินลมอักษรสวรรค์ไปที่ก้นกบ  สลับสับเปลี่ยนกันจนแผ่นหลังร้อนแล้วลุกขึ้นนั่ง        
คำสั่ง............คุกเข่าในท่าเทพธิดา  ยืดอกขึ้นเอามือวางไว้ที่หัวเข่าคว่ำมือลง  เดินลมอักษรสวรรค์โคจรลมไปตามจุดต่างๆ  
หายใจเข้า  จมูก  ลำคอ  หน้าอก  ลิ้นปี่  ช่องท้อง  ลงไปก้นกบ  ขึ้นมาที่กระดูกสันหลัง สะบัก 2 ข้าง หัวไหล่ 2 ข้าง  ต้นคอ  กะโหลกศีรษะด้านหลัง  กลาง กระหม่อม หน้าผาก เบ้าตา  ลมผ่านตรงไหนต้องรู้ให้ได้ว่าตรงนั้นร้อน
หายใจออกปาก
 หายใจเข้า จมูก  เบ้าตา  หน้าผาก  กลางกระหม่อม  กะโหลกศีรษะด้านหลัง  ต้นคอ  หัวไหล่  2 ข้าง  สะบัก 2 ข้าง  กระดูกสันหลัง  ก้นกบ ทะลุช่องท้องขึ้นมาที่ลิ้นปี่  หน้าอก   ลำคอ  หายใจออกปาก  เดินลมสลับกันไปจนรู้สึกร้อน
คำสั่ง...............เอนตัวลงไปข้างหลังช้าๆ  เอาศอกลงก่อน  ขาไม่เปลี่ยนตำแหน่งยังคงที่  นอนลงเอาหลังแนบพื้น
(ท่าเหล่านี้จะไปกระตุ้นต่อมหมวกไตโดยเฉพาะ  ช่องท้อง  หน้าท้อง  ไต  ตับ  ม้าม)
คำสั่ง................ให้ศึกษา จุดในภาพครู 6จุด
หน้าผาก  มีกี่จุด
กลางกระหม่อม  มีกี่จุด   
 ฝ่ามือ 2 ข้าง  มีกี่จุด
สะดือ  มีกี่จุด  
หัวเข่า  มีกี่จุด   
ปลายเท้า  มีกี่จุด
มองแล้วจำไว้  ให้มองเป็นกลุ่ม  ดูทุกรูปแล้วนำมาประมวลเอาไว้โดยใช้สัญญาขจิต
แผนภูมิเหล่านี้  มีวิธีรักษาอยู่  4 ขั้น  คือ  กดจุด  ลมยา  ฝังเข็ม  และใช้ปราณโอสถ
คำว่าปราณโอสถเป็นขั้นสูงสุดโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ  แต่ใช้กำลังข้างใน  ในการทะลุทะลวงตามจุดต่างๆ  เวลาเดิน
ลมก็ให้เดินครบทุกจุด จำไว้ว่า  ปราณสุริยะแบ่งเป็นเย็นกับร้อน  ปราณโอสถก็เหมือนกันมีเย็นกับร้อน  ที่ชื่อแตกต่างกันที่ชื่อปราณสุริยะก็เพราะว่าส่วนใหญ่จะหนักไปทางร้อนมากกว่า  แต่ปราณโอสถเป็นพลังที่นิ่มนวล  เป็นพลังบำบัดรักษา ปราณสุริยะเป็นพลังที่ใช้กำจัดเชื้อโรคข้างใน  กำจัดเหตุปัจจัยที่อุดตันขัดข้อง  เช่นเส้นเลือดอุดตัน  ผนังหลอดเลือดตีบตัน  ต้องใช้พลังความร้อนข้างในในการละลาย  ต้องทำบ่อยๆไม่ใช่ทำครั้งเดียวแล้วหาย  ต้องทำทุกวัน  ทุกวันๆ  จนไม่มีอะไรเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด  ไม่มีไขมันอุดตันหรือหินปูนเกาะ  
คนผิวเนื้อดำแดง  และคนผิวดำจะเป็นคนเลือดเค็ม  ส่วนใหญ่จะมีหินปูนเกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือด  และทำให้หลอดเลือดเปาะบาง
คนผิวขาวและขาวเหลือง  ส่วนใหญ่มักจะมีไขมันอุดตันตามหลอดเลือด  ผนังเลือดจะหนา  พื้นผิวภายในของผนังเลือดจะหนาไปด้วย  ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ยากหัวใจจะทำงานเยอะ  การสูบฉีดเลือดจะมีน้อย  จะเหนื่อย  ตัวขาวซีด  ซึ่งเป็นธรรมชาติ  โรคที่ต้องระวังก็คือโรคไต  โรคเส้นเลือดอุดตัน  เส้นเลือดในสมองแตก ส่วนใหญ่จะเกิดจากเลือดและองค์ประกอบภายในกาย
วิธีจำจุด      คือจำจุดเบื้องบนก่อน  นั่นคือ  กะโหลกศีรษะมีกี่จุด แล้วจำอวัยวะส่วนล่างปลายเท้ามีกี่จุดจำ    แล้วเดินลมไปตามจุดแล้วมันจะจำได้เอง  เหมือนกับเราเทน้ำใส่ร่องน้ำ  น้ำที่มันไหลไปได้ครั้งหนึ่ง  ครั้งที่ 2 มันก็จะไหลไปตามนั้นอีก  จำไปทีละอย่างทีละจุดแล้วค่อยๆพัฒนาไล่ไป
การเดินลม ก็เหมือนกัน จุดกำเนิดของลมก็เหมือนกันบางคนอาจจะเอาฝ่ามือเป็นเกณฑ์  เอาหน้าผากเป็นเกณฑ์  เอากระหม่อมเป็นเกณฑ์  เอาสะดือเป็นเกณฑ์  เดินลมตั้งแต่สะดือขึ้นบน  ลงล่างอย่างนี้เป็นต้น
คำสั่ง.........    .ทุกคนดูที่จุดฝ่ามือในภาพ  แล้วมาประจำที่  ปรับสมดุลของร่างกายเอียงซ้าย  เอียงขวา ก้มตัวลงแขม่วท้อง  ดึงไส้  เอนไปข้างหลัง หน้าเงยหน้า  ก้มหน้า  เพื่อขับไล่สิ่งอุดตัน  เรียกว่าล้างท่อ  วอร์มเสียก่อน
เตรียมพร้อม.......ยืนในท่าที่ผ่อนคลาย  สมดุลของกายต้องเหมาะสม  น้ำหนักตัวซ้าย ขวา เสมอกัน ขับไล่ความถมึงทึงตึงเครียดออก  สร้างตัวรู้ภายใน  สร้างผู้เรียนรู้  เมื่อท่านผู้เรียนรู้เกิดขึ้นแล้วทำให้ตั้งมั่น  ปราณโอสถจำเป็นต้องมีตัวรู้อย่างยิ่ง  ต้องเห็นลมเดินเป็นสายสีขาวเข้าไปในกระแสเลือด  ในหลอดเลือดและในโพรงกระดูก  จึงจะใช้ได้  จิตต้องตั้งมั่น และละเอียด  ชำแลกเข้าไปในไขกระดูก  ทะลุทะลวงหลอดเลือดได้ มีผู้รู้แล้ว
หายใจเข้าลึกๆ    ให้ลมซ่านไปทั่วสรรพางค์กายถึงปลายนิ้วเท้าปลายนิ้วมือฝ่ามือแล้วหายใจออกผ่อนคลาย
หายใจเข้า  และออกสลับกันได้ในระหว่างปราณเดินไปตามจุดต่างๆ เข้าได้  ออกก็ได้    
วิธีเข้าเริ่มแรกที่ต้องจำ    หายใจเข้า...     ลมขึ้นจมูก  หน้าผาก  กลางกระหม่อม  กะโหลกศีรษะด้านหลัง  ต้นคอด้านหลัง   หัวไหล่  2 ข้าง    กระดูกสันหลัง  ลงไปที่ก้นกบ  ลงไปสะโพกตรงก้นด้านหลัง  ต้นขาด้านหลัง  ข้อพับ  ลงไปที่น่อง  ข้อเท้า  ส้นเท้า  ฝ่าเท้า  ย้อนกลับขึ้นมาจากปลายเท้าขึ้นมาหลังเท้า  ข้อเท้า  หน้าแข้ง  หัวเข่า  หน้าขา  หัวเหน่า  สะดือ  ซี่โครงซ้ายขวา  มาบรรจบที่ลิ้นปี่  ย้อนกลับไปหน้าอก ไหปลาร้า   หัวไหล่ลงไปท่อนแขนด้านบน  
ข้อศอก  ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ  ฝ่ามือ  จิตจับอยู่ที่กลางฝ่ามือ  มือไม่กำ  ไม่เกร็ง  ปล่อยลมหายใจเป็นธรรมชาติไม่ต้องสนใจลมหายใจ  ความรู้สึกอยู่ที่ฝ่ามือ  ดูว่ามีไอร้อนปรากฏที่ฝ่ามือและหลังมือหรือไม่  ทิ้งไว้พักหนึ่ง
หายใจเข้าใหม่...    จมูก  ลำคอ  หน้าอก  ลิ้นปี่  ช่องท้อง  รวมกันที่หัวเหน่าแยกไปที่ขาซ้าย  ขวา   หัวเข่า  หน้าแข้ง  2 ข้าง   ตาตุ่ม  ข้อเท้า  หลังเท้า2ข้าง ปลายนิ้วเท้า 2 ข้าง  ใต้ฝ่าเท้า  ขึ้นมาส้นเท้า  น่องทั้ง 2 ข้าง  ขาพับ  ต้นขา
ด้านหลัง  สะโพกด้านหลังตรงก้น  ก้นกบ  ขึ้นไปที่กระดูกสันหลัง  สะบักซ้าย-  ขวา  หัวไหล่  ลงไปท่อนแขนด้านบน  ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ  ฝ่ามือ  หลังมือ  ดูว่าที่ฝ่ามือ  กับหลังมือมีไอร้อนปรากฏหรือไม่  มีตัวรู้อยู่เฉพาะที่ฝ่ามือกับหลังมือสักพัก
วิธีใช้ปราณให้สำเร็จประโยชน์  ปรับลมหายใจ  ให้ลมหายใจและปราณควบคู่กันไป  เพื่อจะให้ได้ผลและมีพลังมาก  ลมหายใจ 1 ครั้ง ก็คือ 1 ปราณ
หายใจเข้าไปใหม่    ....    หายใจเข้าจมูก  หน้าผาก  กระหม่อม  กะโหลกศีรษะด้านหลังต้นคอด้านหลัง  ลงไปที่หัวไหล่ 2 ข้าง  ท่อนแขนด้านบน  ข้อศอก  ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ  ฝ่ามือ  หายใจออก
หายใจเข้า.....    จมูก  หน้าผาก  กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง  ต้นคอด้านหลัง  หัวไหล2ข้าง  ท่อนแขนด้านบน  ข้อศอก  ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ  ฝ่ามือ  หลังมือ  นิ้วมือ  หายใจออก
สูดลมหายใจเข้า....    จมูก  หน้าผาก  กลางกระหม่อม  กะโหลกศีรษะด้านหลัง  ต้นคอด้านหลัง  หัวไหล่ 2 ข้าง  ท่อนแขนด้านบน  ข้อศอก  ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ  ฝ่ามือ  หลังมือ  นิ้วมือ  
หายใจออก  (ให้รู้สึกได้ว่าปราณไหลออกไปจากฝ่ามือทั้ง  2  และนิ้วมือทั้ง  10   เวลาหายใจเข้า  ก็ให้รู้สึกได้ว่านิ้วได้ดูดเอาลมหายใจเข้ามาด้วย)
สูดลมหายใจเข้า....     จมูก  หน้าผาก  กลางกระหม่อม  กะโหลกศีรษะด้านหลัง  ต้นคอด้านหลัง  หัวไหล่ 2 ข้าง  สะบักหลัง   ท่อนแขนด้านบน รักแร้  ข้อศอก  ท่อนแขนด้านล่าง  ข้อมือ  ฝ่ามือ  หลังมือ  ปลายนิ้วมือทั้ง10 หายใจออก
ทำซ้ำๆจนชำนาญ  ทำจนเห็นเส้นลมเดินไปตามข้อกระดูก  แม้เวลาลมเข้าให้เห็นได้ด้วยว่าปลายนิ้วมือฝ่ามือได้ดูดเอาลมเข้ามาได้ด้วยก็ยิ่งวิเศษ  อย่าสนใจเมื่อเกิดอาการขยายของนิ้วมือ  ฝ่ามือ  หรือ ท่อนแขน  นั่นคืออุเพ็งคาปิติ  มันจะระเบิด  จะแตกก็ไม่ต้องสนใจ  ตามดูลมต่อไป
วิธีจบที่ต้องจำ     สูดลมหายใจเข้า...   จมูก  หน้าผาก  กลางกระหม่อม  กะโหลกศีรษะด้านหลัง  ต้นคอด้านหลัง  หัวไหล่ 2ข้าง  สะบัก  ย้อนวนมากระดูกสันหลัง  ลงไปที่ก้นกบ  แยกออกไปที่สะโพก 2ข้าง  ท่อนขาด้นบน ขาพับ  ท่อนขาด้านล่าง ส้นเท้า  ฝ่าเท้า  ปลายนิ้วเท้า  ขึ้นไปหลังเท้า  ข้อเท้า  หน้าแข้ง  หัวเข่า  ท่อนขาด้านบน  2 ข้าง  หัวเหน่า  ไปรวมกันที่สะดือ  แล้วแยกไปที่ซี่โครงซ้าย -  ขวา  มารวมกันที่ลิ้นปี่  แยกออกไปที่ซี่โครง  ขึ้นไปหน้าอก  ราวนม 2 ข้าง  ไหปลาร้า  ลำคอ  ปลายคาง หายใจออกปาก
หายใจเข้า     ให้ลมซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย
หายใจออก     ผ่อนคลาย
หายใจเข้า       สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
หายใจออก     สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
ยกมือไหวพระกรรมฐาน  ลืมตา  ลงนั่ง
การฝึกสมถะ  จิตจะเข้มข้นและหนักกว่าการฝึกตัวรู้  เป็นธรรมชาติของอารมณ์แห่งสมาธิจิต  มันย่อมมีความหนัก  ยิ่งมีการเพ่งปราณยิ่งมีความหนัก  แต่อย่าไปยึดถือกับความหนัก  ฝึกไปๆมันจะกลายเป็นเบาและแหลมเล็กเป็นเข็ม  และจะทะลุทะลวงไปได้ทุกอณูของรูขุมขน  และต้องจำลีลาการเข้าและออกไว้ให้ดี  เวลาก่อนออกต้องเดินลมไปถึงฝ่าเท้าก่อน  ก่อนที่จะออก  ก่อนเข้าก็เหมือนกันต้องเดินลมให้ได้ตั้งแต่บนลงล่าง  ล่างย้อนขึ้นบนแล้วจึงจะเริ่มเข้า  อย่าจำผิดจำพลาดเพราะเริ่มจบกับเริ่มเข้าจะคล้ายคลึงกัน  แต่เวลาตอนใช้จะต่างกัน  ลมหายใจ1ลมก็คือ 1 ปราณจึงจะมีพลัง  นั่นหมายถึงทุกครั้งที่เดินปราณไปยังจุดต่างๆต้องใช้ลมหายใจเดียว ไม่ใช่ทั้งเข้าและออก  แต่ตอนเริ่มจะมีทั้งลมเข้าและลมออก  แต่เวลาจะใช้ตามจุดมีแค่ลมเดียว  ต้องมีลมเดียวเท่านั้นจึงจะเป็นพลังของปราณ  เข้าก็ได้  ออกก็ได้แม้ที่สุดลมที่เข้าไม่ใช่แค่ปลายจมูก  แม้ปลายนิ้วก็ดูดลมเข้าได้