กิจกรรมของพระศาสนา และก็คณะสงฆ์ในจังหวัด ในอำเภอกำแพงแสน พอดีได้จังหวะเขาถวาย
สตางค์มา 53,000 บาท ก็เลยเอาไปบริจาคให้กับคณะสงฆ์กำแพงแสน เขาจะเอาไปทำทุนการศึกษา
ให้กับเด็กยากจนในอำเภอกำแพงแสน และแจ้งให้พวกท่านได้ทราบ เพื่อจะได้ร่วมอนุโมทนา
เพราะว่าการอนุโมทนา ก็ถือว่าเป็นการทำบุญ
โดยเฉพาะการให้ความสำคัญ ต่อเด็กและ เยาวชนในจังหวัด ในสังคมรอบข้าง ถึง แม้ว่าวัดเราจำเป็น

จะต้องใช้เงินในการพัฒนา แต่ถ้าเราคิดจะแบมืออย่างเดียวแล้ว ไม่คิดจะให้ ใคร บางทีบางครั้งมันก็อาจจะ
ทำให้เรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัว และตระหนี่เกินไป ถึงแม้ว่าวัด เราจำเป็นจะต้องใช้ปัจจัย กับกิจกรรมใดๆ
อีกเยอะแยะ แต่ถ้าผมเป็นผู้นำของพวกท่าน เป็นครู บาอาจารย์สั่งสอนอบรมพวกเราทั้งหลาย แสดงตน
เป็นคนละโมบ ตระหนี่และเห็นแก่ตัว พวก เราทั้งหลายก็จะเอาเยี่ยงอย่างและเอาตาม
คนที่มีใจคิดจะอนุเคราะห์ต่อคนอื่น จำไว้อย่างว่า ถ้าเราปรารถนาจะให้คนอื่นยอม รับเคารพ

ศรัทธาเรา เราต้องยอมรับเคารพและศรัทธาผู้อื่น เราปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นอนุเคราะห์ อุ้มชูเรา
เราต้องคิดที่จะอนุเคราะห์อุ้มชูผู้อื่นด้วย เราปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นไหว้เรา เราก็ต้องคิดที่จะยอมรับ
และไหว้ผู้อื่น ถึงแม้ว่าวัดเราช่วงนี้ ต้องการจะใช้สตางค์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างทาง ทำถนน เอาไฟฟ้าเข้า
และซื้ออุปกรณ์ก่อสร้าง ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่า สตางค์พวกนี้น่าจะเอา มาใช้ประโยชน์ ให้อยู่ในอาวาส
ในวัด ก็เหมือนกับที่ผมเอาสตางค์ไปบริจาคให้กับ ค่ายนเรศวร ล้านเจ็ดแสนบาท ทั้ง ๆที่วัดเรามีสตางค์
แค่แสนกว่าบาท ถามว่าผมทำเพื่ออะไร ทำแล้วได้อะไร ก็ไม่ได้ทำเพื่อยศ ไม่ได้ทำเพื่อเกียรติคุณ
ไม่ได้ทำเพื่อให้ได้ชื่อเสียง และก็ไม่ได้ทำเพื่อให้ใคร ยอมรับ แต่ทำเพื่อแสดงให้คนทั้งหลายและ
คนอยู่ใกล้ได้เห็นว่า พวกนี้คือของใช้ของเรา ถ้าเรา รู้จักใช้ให้มันเป็น มันก็คือของเล่นและของใช้
อย่าให้มันกลายเป็นนายเรา จนว่ากลายเป็นความ หวงแหน ผูกพันธ์ จนเราต้องไปรบราฆ่าฟัน
เพื่อจะแลกมันมา
สำหรับหลวงปู่แล้ว ถือว่าเป็นความโง่เง่าอย่างยิ่ง กับการที่เราต้องเอาชีวิตเข้าแลกกับ

สิ่งที่เป็นของเล่นเหมือนกับมีคำโบราณเขาสอนไว้ว่า เสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต
และก็สละชีวิตเพื่อรักษาธรรม เรามักจะท่องจำและก็ทำตามกันสมัยก่อน แต่ยุคหลังนี้ ไม่มีใครเขานำ
เอามาสอนในโรงเรียน คนสมัยนี้ก็เลยค่อนข้างจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว พ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ยุคโบราณ
เขามักจะสอนให้ลูกหลานเป็นคนที่เอื้ออาทร เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ คิดช่วย เหลือคนอื่นโดยไม่ต้องมุ่งหวังว่า
เราจะต้องได้อะไรตอบแทน เหมือนกับมีผู้มาถามว่า เพื่อนผม เขาทำงานช่วยเหลือคนอื่นอยู่ตลอด
แต่ทำไมหลังจากช่วยแล้ว ไม่ได้อะไรตอบแทนเลย หลวงปู่ ก็ถามกลับไปว่า การที่เพื่อนคุณไปช่วยเหลือ
คนอื่นนั้น ช่วยด้วยความคิดอย่างไร เขาก็บอกว่า ช่วยด้วยใจอนุเคราะห์ ถ้าช่วยด้วยใจอนุเคราะห์
แล้วจะต้องหวังอะไรตอบแทน และก็ไม่ต้อง การอะไรที่จะตอบแทน ต่อการกระทำที่ตนลงมือช่วย
เช่นเดียวกัน การที่พวกเราทั้งหลาย ทำ กิจกรรมการงานและทำหน้าที่ รวมทั้งคนโบราณ ปู่ ย่า ตา ยาย
ที่สอนพวกเรา ยอมสละทรัพย์เพื่อ ให้รักษาอวัยวะ ยอมสละอวัยวะเพื่อให้รักษาชีวิต
และก็ยอมสละชีวิตเพื่อให้ได้รักษาธรรม
การที่ครูบาอาจารย์ ปู่ ย่า ตา ยาย สอนให้เรารู้จักสละทรัพย์ เพื่อให้รักษาอวัยวะ ก็เพราะ

ท่านได้เห็นว่า ทรัพย์หาย อวัยวะอยู่ มีสิทธิจะเรียกร้องหรือแสวงหากลับคืนมาได้ แต่ถ้า อวัยวะหาย
ทรัพย์อยู่ สมัยนี้เขาอาจจะเรียกร้องอวัยวะกลับคืนได้ แต่ไม่แน่ว่า มันจะเหมือนได้ อย่างเก่า
แล้วก็ไอ้ที่ได้มามันก็ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของเขาที่ซื้อเขามา ในขณะเดียวกัน ยุคนี้ ยอมสละอวัยวะ
เพื่อให้รักษาทรัพย์ เราจะเห็นว่าลงหน้าหนังสือมากมาย ออกทางสื่อมวลชนว่า มีโจรมาแย่งทอง
แย่งสตางค์ ก็ยอมเอาชีวิตเข้าแลก
การที่ผมเอาเงินล้านกว่าบาทไปบริจาคให้คนอื่นเขา เพื่อแสดงให้ท่านได้เห็นว่า ผมสอนพวกท่าน

ให้รู้จักใช้สมมุติ ยอมรับสมมุติ ได้ประโยชน์จากสมมุติ ให้ประโยชน์แก่สมมุติ และสุดท้ายอย่ายึดติด
ในสิ่งที่เป็นสมมุติ ทำให้พวกเราได้รู้ว่า ผู้สอนเขาทำได้ ผมไม่ได้ไปยึดติด กับเงินล้านกว่าบาทว่า
มันช่างมีค่ามีราคาเหนือชีวิตเรา สำหรับหลวงปู่แล้วถือว่า เรามีชีวิตอยู่ มันมีค่ามากกว่าเงินล้านกว่าบาท
และยิ่งเป็นชีวิตที่เราพยายามทำประโยชน์ให้คุณ แก่สรรพสัตว์ และประชาชาติ ที่อยู่รอบข้างเรา
ย่อมมีค่ามากกว่า เรามีโอกาสจะแสวงหาได้มากกว่านั้น เพราะฉะนั้น ทุกอย่างเราใช้มัน
อย่าให้มันมาใช้เรา แล้วเราจะยืนหยัดอยู่ได้ทุกที่ มีความสุข มีเสรีภาพ และอิสระ แต่ถ้าเราปล่อย
ให้มันมาใช้เรา อย่าว่าแต่เงินล้านกว่าบาทเลย แค่ เงินร้อยกว่าบาทหายไป เราก็จะร้องไห้เสียใจ
เศร้าโศกโศกาอาดูร ดีไม่ดี บางคนถึงขนาดเป็น โรคตรอมใจไปก็มี กินไม่ได้ นอนไม่หลับ
เสียสุขภาพจิตอีกต่างหาก แค่เงินไม่กี่สตางค์ ก็ทำให้ เราต้องพังไปด้วยอาการทางกาย และวิญญาณ
เราจะเห็นได้ว่า ปัจจุบันนี้ พวกเราลืมคำพูด คำสอนของปู่ ย่า ตา ยายที่เขาสอนสั่ง ให้เรารู้จัก

สละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต สุดท้ายสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม การที่เรามีวิธีการ
มีโอกาส มีภาระ มีหน้าที่ และก็รู้จักสละทรัพย์ได้ตามกาลตามสมัยนั้น ถือว่า เราเป็นผู้มีธรรมะ
คนที่ไม่มีความเอื้ออาทร ไม่มีใจเมตตา ไม่คิดจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ อย่าว่าแต่ทรัพย์นิดหน่อยเลย
แค่น้ำข้าวที่เราเทออกมาจากก้นหม้อที่เราเททิ้งแล้ว ก็ไม่อยากให้ใครกิน แต่คนที่มีจิตใจเอื้ออาทร
การุญต่อสรรพสัตว์ อย่าว่าแต่น้ำข้าวเลย เขาให้ได้มากกว่าน้ำข้าวอีก สุดท้ายแม้กระทั่งน้ำใจและ
เลือดเนื้อชีวิตของเขา แสดงว่าผู้ที่ให้ได้ก็ถือว่า ผู้มีธรรมอันเจริญแล้ว ผู้ที่ไม่มีความตระหนี่
ไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่ทำตนให้เป็นคนที่มีจิตใจคับแคบ
เมื่อเราคิดจะให้คนอื่นได้อย่างนี้ ผู้อื่นก็คิดจะให้เราได้มากกว่านั้น การที่เราเกิดมาเป็นคนมีทรัพย์

พระศาสดาทรงสอนให้เราได้รู้ว่า เพราะอดีตชาติเคยได้สะสมอบรม และแบ่งปัน ให้แก่คนอื่น
การที่เราเกิดมาเป็นคนมีปัญญา พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้ว่า เพราะอดีตชาติเรา เคยฟังธรรม
ปฏิบัติธรรมและเรียนรู้ธรรม ปัจจุบันจึงเกิดมาเป็นคนทีปัญญา ไม่โดนใครเขาโกหก หลอกลวง ชักจูง
ไปในทางที่เสียหายได้ การที่เราเกิดมาเป็นคนมีรูปสวย เพราะอดีตชาติเราเป็น คนที่เมตตา
การที่เราเกิดมาเป็นคนที่มีอวัยวะครบ 32 ไม่ขาดตกบกพร่อง ก็เพราะอดีตชาติเรา รักษาศีลบริสุทธิ์
การที่เรากลายเป็นบุคคลที่พูดจาให้คนเคารพยอมรับ และเชื่อฟังในคำพูด เชื่อถือ ในสิ่งที่พูด
เพราะเราเป็นคนมีสัจจะ มีธรรมะในวาจา คนอื่นฟังเราจึงเชื่อเรา คนอื่นฟังเราจึงยอมรับเรา
คนอื่นฟังเราจึงเคารพศรัทธาเรา
เพราะฉะนั้น ถ้าเรายังเชื่อว่า ปลูกมะม่วง ต้นมะม่วงย่อมให้ผลมาเป็นลูกมะม่วง พวกเราทั้งหลาย

ก็ต้องเชื่อว่าทำดี สักวันหนึ่ง เราต้องรับผลดีตอบแทน ยกเว้นเสียแต่ว่า พวกเรา ทั้งหลายปลูกมะม่วง
แล้วมันทะลึ่งออกมาเป็นลูกมะพร้าว แสดงว่าผลแห่งความดีไม่มีแล้วอย่าทำ แต่เวลานี้มะม่วงที่ไหน ๆ
มันก็ยังออกมาเป็นมะม่วงอยู่ดีนั่นแหละ ก็เป็นการยืนยันในสัจจะธรรมของพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
ของเราว่า ทำดีย่อมได้ดี คนทำชั่วย่อมมีผลชั่วตอบสนอง เหมือนอย่าง เรื่องของทางเข้าวัด
หลวงปู่ขอร้องให้เขาช่วยไปติดต่อ เพื่อจะซื้อทางด้านขวามือ ออกไปทาง หมู่บ้าน ซึ่งหลังจากที่เขา
ไปติดต่อแล้ว หลวงปู่ก็ได้ทราบมาว่า คนที่เป็นคนที่เช่าที่ เขาพูดว่า ถ้ามีปัญญาก็ให้ไปซื้อเอา
ถ้าเจ้าของที่ไม่ขายจะเอาทางที่ไหนออก หลวงปู่ได้พูดออกไปว่า แล้ว คอยดู กูจะเอาทางโดยที่
กูไม่ต้องเสียเงินสักบาท ซึ่ง ถ้าถามว่าทำไมหลวงปู่จึงมีความมั่นใจว่าสิ่ง ที่เราพูดนั้นต้องได้
ก็เพราะว่าสิ่งที่หลวงปู่ทำมาชั่วชีวิต ไม่เคยเป็นผู้รับ มีแต่จะเป็นผู้ให้ แต่ถ้า เมื่อใดที่คิดจะได้
หรือคิดจะรับบ้าง ไม่เคยมีอะไรที่หลวงปู่คิดแล้วจะไม่ได้
ถ้าเรารู้จักที่จะให้คนอื่นบ้าง และเมื่อใดที่เราต้องการบ้าง จำไว้ว่า บุญบารมีและผลบุญที่เราทำมา

ย่อมตอบสนองเราให้สมความปรารถนา การที่เราได้รู้จักให้ผู้อื่น อนุเคราะห์ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น
เราอาจไม่มุ่งหวังอะไรตอบแทน แต่ถ้าสักวันหนึ่ง เราเกิดตกอับ ตกระกำลำบาก ถ้าเราต้องการอะไร
ตอบแทน แม้แต่น้ำที่อยู่บนหิน มันก็มีสิทธิที่จะหยดลงมาใส่ปากเราได้ เหมือน ดั่งที่พระมารดา
ของพระมหาโพธิสัตว์คือเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านเป็นผู้มีพรอัน 10 ประการ นั่นก็คือ เมื่อใดที่ท่าน
ปรารถนาจะกินน้ำ ถึงแม้จะอยู่ในถ้ำ น้ำก็จะไหลออกจากถ้ำ เมื่อใดที่ท่านปรารถนา จะได้ธัญญาชาติ
และอาหาร ถึงแม้จะอยู่ในป่า ก็จะได้ธัญญาชาติและอาหารที่สมบูรณ์ เปรียบ ประดุจอาหารทิพย์
ถามว่า ทำไมพระมารดาของพระมหาโพธิสัตว์ ถึงมีพรอันประเสริฐ และ สามารถได้รับผลตอบสนอง
ได้ขนาดนั้น ก็เพราะว่าอดีตชาติและทุกๆชาติ ท่านเป็นผู้ที่รู้จักให้ ตลอดเวลา จึงได้มีโอกาสได้เกิด
เป็นแม่ของพระพุทธเจ้า และเป็นมารดาของพระมหาโพธิสัตว์ อาหารและน้ำทรัพย์สมบัติ
และธัญญาชาติทั้งปวงที่ท่านต้องการไม่ขัดสน
ที่พูดอย่างนี้ก็เพื่อจะชี้นำให้ได้เห็นว่า คุณประโยชน์ของการเป็นผู้ให้ วันนี้เราอาจ จะไม่หวังอะไร

แต่ถ้าสักวันหนึ่งเราต้องการอะไร ย่อมแน่นอนเหลือเกินว่า ไม่มีอะไรที่จะไม่ได้ ดังหวัง แต่ถ้าเรา
ไม่รู้จักให้และไม่คิดจะให้ ไม่จิตใจเอื้ออาทร และไม่แบ่งปันให้ ให้เรานั่งหวัง อะไรไปสัก 100 วัน
1000 ปี มันก็ไม่มีอะไรให้เราเป็นที่หวัง เพราะฉะนั้น ให้พวกท่านทั้งหลาย ที่นั่งอยู่ในที่นี้ จงเป็นผู้ที่
รู้จักให้เสียบ้าง
จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยเดินบิณฑบาตแถวสลัมคลองเตย บ้านก็ติดทางรถไฟหลวงปู่ ก็เดินนับหมอน

ไม้รถไฟบิณฑบาต คนข้าง ๆสลัมข้าง ๆทางรถไฟคลองเตย เขาก็มารอใส่บาตร มีอยู่ครอบครัวหนึ่ง
เขามีลูกซึ่งกำลังป่วย ตัวเองก็ไปรับจ้าง มีแม่ก็อายุประมาณ 40 กว่า แต่ก็ เพราะที่ตัวเองทำงานหนัก
จนกลายเป็นมองดูอายุ 50-60 ปี ลูกป่วยก็เลยไม่มีโอกาสได้ไปรับจ้าง วันนั้นมีข้าวที่หุงได้เป็นข้าวต้ม
ได้แค่ 2 ชามเอง เขาเอาข้าวต้มชามหนึ่งให้ลูกได้กิน กับเกลือ แล้วมีไข่เค็มอีกครึ่งซีก แล้วก็เอา
ข้าวต้มอีกชามหนึ่งใส่บาตรหลวงปู่ และก็ไข่เค็มครึ่งซีก ปกติบิณฑบาต พระจะไม่ค่อยได้รับข้าวต้ม
ใส่บาตร แต่วันนั้นหลวงปู่ได้รับข้าวต้มครั้งแรกเป็น เจ้าแรกพร้อมกับไข่เค็มครึ่งซีก เมื่อหลวงปู่รับ
บาตรเสร็จแล้วก็กลับวัด วันนั้นรับข้าวต้มถ้วยเดียว ก็กลับ กลับมาเสร็จก็ฉันเป็นที่เรียบร้อย ก็ตรวจดู
กุฏิว่ามีอะไรเหลือบ้าง มีสตางค์ติดอยู่ประมาณ 1600 บาท มีเครื่องสังฆทานอยู่ 10 กว่ากระป๋อง
หลวงปู่เรียกให้เด็ก ๆ ช่วยกันขนเอาสตางค์กับ สังฆทาน แล้วพากันเดินนับหมอนไม้รถไฟเอาไปให้
กับบ้านหลังนั้น ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เขาหวัง และอธิษฐานก็คือ ขอให้ข้าวมื้อนั้นของเขา ได้เป็นข้าวมื้อ
ต่อไปในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด แม่ซึ่งเป็น แม่ของเด็กที่ป่วยนั้น เขาอธิษฐานตอนนั้นที่มาใส่บาตรข้าวต้ม
ให้แก่หลวงปู่ และหลวงปู่ก็เลยถาม เขาว่า แล้วเอ็งเชื่อได้อย่างไรว่า ข้าวต้มของเอ็งจะกลายเป็น
ข้าวสวยในวันพรุ่งนี้ เขาบอกว่าเขา เชื่อพระพุทธเจ้า เขาศรัทธาพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่า ขอเพียงทำบุญด้วยใจศรัทธา แม้แต่ข้าวต้ม 1 ถ้วย มัน ก็กลายมาเป็น

ข้าวสาร 1 ถัง ถ้าเรามีใจน้อมที่จะให้ด้วยใจเอื้ออาทรสุดชีวิต อย่างชนิดที่ว่าไม่คิด ว่าตัวเองจะรอด
เหมือนกับแม่ของเด็กทีป่วย ทำให้เราอดรนทนอยู่ไม่ได้ จึงต้องขนทั้งข้าวสาร ทั้งสังฆทานและก็
สตางค์ เอามาให้ทั้งหมด จะเห็นว่าผู้ที่ทำบุญด้วยในศรัทธาด้วยความเอื้ออาทร และไม่ได้คิดว่าตนเอง
จะรอดก่อน และคนอื่นจึงจะได้ สิ่งที่เขาจะรับย่อมได้มากกว่าที่คิด ซึ่ง การอธิษฐานของเขาก็ไม่ได้
มาตะโกนให้หลวงปู่ได้ยินหรอกนะ แต่เพราะมันเป็นของแปลก โดย ปกติธรรมดาของพระบิณฑบาต
ไม่มีใครเขาใส่ข้าวต้มในบาตรหรอก แต่คนที่เอาข้าวต้มมาใส่ ด้วยกิริยาและสภาพเช่นนั้น
ผู้มีปัญญาย่อมวิเคราะห์ได้ออกว่า ช่างเป็นมื้อสุดท้ายของเขาแล้ว และมันก็เป็นจริงอย่างที่เราได้รู้มา
เมื่อเข้าไปเจอในบ้านเขาก็น่าสมเพท พอดีลูกไปโดนรถชนมา และเขาไม่สตางค์รักษา เฉี่ยวและก็หนี
การที่เรามีจิตใจที่เสียสละ และแบ่งปันโดยไม่หวังว่า ตนเองจะอยู่รอดหรือไม่นั้น มันเป็นสุดยอด
ในการบำเพ็ญทานอันยิ่งใหญ่ เราลองคำนึงนึกถึงว่า หัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความที่คิดจะให้และ
เมตตา ทั้ง ๆ ที่ท้องเราก็หิว ปากเราก็อยาก แต่ถ้ามี คนอื่นเขาอดใกล้ตายแล้ว เรากล้าที่จะสละมื้อนั้น
ให้แก่คนอื่นได้ มันช่างเป็นบทบาทในการ ทดลองจิตใจ และบารมีของตนเองว่า ให้ได้ไหม กล้าไหม
พร้อมไหม เต็มใจหรือเปล่า แล้วถ้า เราเป็นผู้ให้ได้ กล้า พร้อมและเต็มใจ เราจะกลายเป็นมหาโพธิสัตว์
ที่ยิ่งใหญ่ในพริบตา แต่ถ้า เราไม่กล้า ไม่ให้ ไม่พร้อม และไม่เต็มใจ เราก็จะกลายเป็นสัตว์ธรรมดาธรรมดา
ที่ใครก็เป็นอย่างเราได้