พระพุทธเจ้าบอกว่า สัตว์นรกยากต่อการที่จะมาเดินทางพระนิพพาน สัตว์เดรัจฉานก็ยาก เพราะมีความทุกข์ เป็นอารมณ์อยู่ จึงมีคำพูดเอาไว้ 2 ประเด็นว่า เทวดา พรหม ยากต่อการที่จะเข้ามาเดินทาง
เพราะหลงในสุข เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน สัตว์นรก ที่ยากต่อการจะเข้ามาเดินในทางมัชฌิมาปฏิปทา เพราะติดอยู่ในทุกข์ มีบุคคลผู้เดียว ประเภทเดียวเท่านั้น ที่พระศาสดาทรงเรียกว่าเป็นทางแห่ง มัชฌิมาปฏิปทา เป็นเอกวิถี และเป็นเอกหนทางทั้งหลาย เป็นเอกบุคคล เป็นเอกบุรุษ ที่จะเดิน เข้าไปได้หนทางแห่งคนๆ เดียวเดินไปได้ คำว่าคนๆ เดียวในที่นี้หมายความว่า ไม่มีลูก ไม่มีผัว ไม่มีเมีย ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีทั้งข้าราชบริวารทั้งหญิงชาย ไม่มีอะไรๆ แม้แต่ตัวกูของกูก็ต้องไม่มี
มันจึงจะเดินเข้าไปในทางนี้ได้ มันเป็นทางแคบๆ สำหรับสัตว์นรกและเทวดา แต่มันเป็นทางกว้างๆ สำหรับคนที่มีค่าและมีสติปัญญา นั่นคือมัชฌิมาปฏิปทา และเมื่อเดินทางเข้าไป และมันจะยิ่งกว้างใหญ่ โตมโหฬาร จนทำให้ชีวิตเข้าไปถึงพระนิพพาน สติปัญญา สมาธิ พลัง อำนาจก็กว้างใหญ่โตตามไปด้วย
มีลักษณะเช่นนี้ แต่ทางเข้ามันช่างแคบ สังเกตดูได้ว่า การที่เรามาบวชนี้เพียงเพื่อจะทำให้ชีวิตของตน มีสัมมาทิฐิคือความเห็นที่ตรงและถูกต้อง
พระพุทธเจ้าของเราบอกว่า ธรรมะของเราเป็นธรรมะที่ฝืนโลก คือ ธรรมะที่รักษาโรค บางคน เป็นแผลแล้วก็ไม่อยากใส่ยา เพราะมันแสบ ทั้งๆ ที่รู้ว่าใส่ยาแล้วก็จะหาย แต่ก็ไม่ยอมใส่ แล้วแผลนั้น ก็เน่าเฟะ เพราะฉะนั้นการใส่ยาให้แก่ตัวเองก็ตาม ถือว่าการเดินเข้าไปสู่มัชฌิมาปฏิปทา จะเริ่มต้น ด้วยความคับแคบ ต่างจากสัตว์นรก เทวดา พรหม อันมีหนทางที่กว้าง หนทางพระนิพพาน หนทาง
การทำความดีนั้น เป็นหนทางที่เดินเข้าไปยาก มันแคบเท่ารูเข็ม แต่ตอนที่จะออกมันง่ายเหลือเกิน ลองถามดูก็ได้ว่า การบวชนี้ลำบากไหม ถ้าลำบาก ก็แปลว่า ยังไม่ชิน เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลาย ที่มานั้งอยู่ที่นี่ ก็ต้องถือว่า เป็นบุลคลที่เข้ามาสู่หนทางของบุรุษผู้เอก สตรีผู้เอก คือไม่มีอะไรต้องแบกเอาไปถ้าแบกเอาไปคงไปไม่ได้ไกล ก็คือความตายเข้ามาหา แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะมีโอกาสได้กลับมาเกิดเป็นคนกับเขาอีกสักครั้งหนึ่งหรือเปล่า เพื่อที่จะเข้าสู่หนทางอันนี้อีก คงจะเป็นไปได้ยาก
สัตว์นรกนั้น เกิดเป็นคนนั้นยาก คนจะเป็นสัตว์นรกนั้นง่าย พรหมและเทวดาจะจุติมาเป็นคนนั้น ก็ยาก แต่พรหมและเทวดา จะจุติเป็นสัตว์นรกนั้นง่าย มนุษย์จะเกิดเป็นพรหมและเทวดาก็ยาก
เพราะฉะนั้น การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ หรือเป็นคน ถือว่าเป็นบุญลาภอันวิเศษ ที่เราต้องเดินเข้าไปปลดระเบิดเวลาให้เร็วที่สุด อะไรคือชนวนระเบิดของเรา ความตายของเรายังไงล่ะ ความตายที่เขาวางมา
ให้ว่า 20 ปีจะต้องตายโดยที่ 20 ปีนี้ จะเดินเข้าไปถึงจุดมุ่งหมายได้ไหม เข้าถึงนิพพานได้ไหม เข้าถึงนิพพานก่อนตาย เวลานี้อันนี้ก็ถือว่าชนวนมันฝ่อ ไม่ต้องกลับมา แต่ถ้าหากว่าเราไม่สามารถ จะเดินเข้าไปได้ และยังหลงระเริง ประมาท ละเมอเพ้อพก หมกมุ่นอยู่กับอารมณ์ ทำอารมณ์ให้เป็นอะไร
มีความฉิบหายในอารมณ์ต่อไปไม่จบสิ้น ก็ถือว่าคนเราเดินเซเหมือนคนเมา สุดท้ายก็ไปไหนไม่ได้ ต้องตาย แล้วก็ไม่รู้ว่า เมื่อไรจะกลับมาเกิดเป็นคนอีก
เพราะฉะนั้นจึงอยากจะบอกพวกเราลูกหลานทั้งหลายว่า รักตัวเองบ้าง อย่าให้คนอื่นเขามารักตัวเองนัก ไม่ต้องรอให้คนอื่นเขามารักตัวเอง และก็ไม่มีใครเขาจะรักเราเท่ากับเรารักตัวเอง และเมื่อใดที่เรารัก
ตัวเองได้ ก็ถือว่าเรารู้จักประโยชน์ตัวเองแท้ๆ ไม่ใช่การมีเมียมาก มีลูกมาก มีรถมาก มีเรือนใหญ่ มีสมบัติเยอะ มีเงินกองโต มีเกียรติยศอันมั่นคง ประโยชน์ของตัวเองที่แท้จริงคือ การเรียนรู้ชีวิต และศิลปะภายในการดำรงชีวิตของตนว่า ทำยังไงเราถึงสามารถเข้าไปอยู่ในหนทางแห่ง มัชฌิมาปฏิปทา
หรือมรรคปฏิบัติได้ หนทางการปฏิบัติที่ถูกต้อง บริสุทธิ์ ยุติธรรมและตรงแนว ทำความเห็นข้อแรกให้ถูกต้องพิจารณามีการกล่าววาจาหรือมีสติ มีความตั้งมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง ตรงแนว บริสุทธิ์และยุติธรรมต่อไป
แต่ถ้าเราทำความเห็นให้ผิดปรกติโดยเฉพาะที่เราไม่เห็นภัยของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ส่วนใหญ่แล้ว พวกวัยดอกไม้บาน จะมีข้อเสีย เพราะชีวิตเป็นดอกไม้ที่รื่นเริงบันเทิง อยู่ในหมู่ภมรมนตรี และ แมลงภู่ผึ้งทั้งหลาย โดยไม่ใส่ใจว่า ตัวเองต้องเ**่ยวอับเฉาในที่สุด การที่เรารีบเบ่งบานขึ้นมารับ
แสงเดือนแสงตะวันนั้น มีประโยชน์แล้ว ก็ยังมีโทษมหันต์ เหตุผลก็เพราะว่า เราไม่รู้จักวิธีการที่จะ รับแสงเดือนแสงตะวัน บางทีเราก็ต้องเหิ่ยวเฉาในเร็ววัน นั้นคือความตายเข้ามาหา
การเกิดมามีชีวิตแล้ว ทุกคนก็ไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง บุคคลที่เกิดมาก็เหมือนกับเกิดมาเล่นละคร มาเล่นเป็นพ่อแม่ เป็นลูก เป็นตา เป็นยาย ฯลฯ ขึ้นอยู่กับคนนั้น ๆ จะเล่นบทบาทของตนได้ดีแค่ไหน
พอตายแล้วก็แปลว่าเขาเลิกจ้าง ชีวิตคือโรงละคร พอตายแล้วไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้เพราะฉะนั้นจึงอยากจะบอกกับลูกหลายทั้งหลายว่า กระแสพระนิพพานมันเกิดจากสัตว์ทุกประเภท
คนทุกคน มันขึ้นอยู่กับว่า จะเป็นสัตว์ประเภทไหน คนประเภทไหน หมายถึงมีสติปัญญาระดับไหน ขนาดไหน ที่สามารถจะรู้ว่าชีวิตของตนนั้น มีสาระแก่นสารอะไรบ้าง และการดำเนินชีวิตของตน เกิดมาเพื่ออะไร
ที่หลวงปู่เคยเขียนไว้ว่า ท่านมาทำไม..มาเพื่ออะไร..มาแล้วได้อะไร และถ้าไป..ไปอยู่ที่ไหน แล้วเกิดประโยชน์ อะไรกับการมา สุดท้ายต้องบอกตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า..เราต้องตาย ถ้ารู้จักถามตัวเองอย่างนั้นบ่อยๆ
ก็คงจะทำอะไรอย่างมีสติ และให้เป็นไปตามบทบาท คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็เหมือนกันเลี้ยงลูกมาจนแก่ ใกล้จะตายอยู่แล้ว ก็ยังเลี้ยงกันต่อไป จริงๆ แล้วไม่ได้เลี้ยงลูกหรอก เลี้ยงกิเลสของลูกมากกว่า
หลวงปู่จึงบอกกับลูกหลานตอนมาบวชเณร แล้วเณรร้องไห้อยากกลับบ้าน แม่ก็โอ๋ พ่อก็โอ๋
จะเอาลูกกลับ แล้วคนที่ร้องไห้พ่อแม่ไม่ให้กลับ วันสึกเณรก็ไม่อยากกลับบ้านอีก แสดงว่าตอนที่ร้องนั้น มีกิเลส แต่ตอนที่ไม่ร้องนั้นไม่มีกิเลส พ่อแม่ไม่เข้าใจจึงพยายามที่จะเอาใจลูก สนับสนุนลูกให้ทำ
ความชั่วตามกิเลส ที่คำนึงนึกถึงไป หลวงปู่ก็ถามว่า จะเลี้ยงลูกเอาตัวลูกหรือเอากิเลสของลูก แต่ถ้าเลี้ยงเพื่อจะเอาตัวลูกพ่อแม่ก็ต้องปล่อยให้มาเคาะ ขัดเกลา ถ้าคิดจะเอาทั้งลูกตัวเองและเอาทั้ง กิเลสด้วย ก็หอบลูกออกไปจากวัดได้แล้ว
สำหรับพระเณรทั้งหลาย เขาฉันอาหารเพื่อให้กิเลสตาย แต่ชาวประชาหน้าใสและชาวบ้านทั้งหลาย กินเพื่อให้กิเลสโต หลวงปู่ขอบอกความจริงกับลูกหลานทั้งหลายว่า กระแสนิพพานนั้น มันมีด้วยกันทุกคน
เว้นแต่ใครจะเดินไปหรือไม่เท่านั้นเอง และทุกคนก็มีสิทธิ์จะเดินหรือหยุดเดิน สิทธิ์อันนี้พระเจ้าองค์ใด ก็ไม่ได้ดลบันดาล เราเป็นผู้ดลบันดาลชีวิตเราให้ยอมเดินหรือไม่ยอมเดินเท่านั้นเอง แล้วมีกี่คนที่จะรู้
ขนาดนั้น มีกี่คนที่จะวาง ละเว้น สิ่งที่เป็นเครื่องล่อ ต้องบอกว่ามันเป็นเครื่องล่อให้หยุดการเดินทาง เช่น กิน กาม เกียรติโกรธ อะไรก็แล้วแต่ โลดโผนโจนทะยานออกไปแล้วกระโดดออกไปนอกทาง จะเข้ามาอีกก็ไม่ได้แล้ว
พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หนทางสายเอกเป็นของบุคคลผู้เอก คือบุคคลผู้เดียว เดินได้เท่านั้น ขึ้นต้นด้วยความคับแคบ แต่เต็มไปด้วยความกว้างขวางในอนาคต
รู้ไหมว่าคำพูดว่า แก่ล่าง แก่บน แก่ตรงกลาง ไม่แก่นั้นคืออะไร ก็จิตวิญญาณนี้มันไม่แก่หรอกนะ
ยิ่งอยู่จิตวิญญาณก็ยิ่งแกร่ง ถ้าอยู่กับคนเก่งก็ยิ่งเก่ง ถ้าอยู่กับคนกล้าก็ยิ่งกล้า ร่างกายแก่ แต่จิตใจไม่แก่ หัวใจไม่ยอมแก่ นี้เป็นการแสดงถึงธรรมชาติแท้ของจิตที่ไม่ยอมแก่ด้วย รู้ไหมว่าจิตตัวนี้ไม่ยอมตาย กับเขาด้วย
หลวงปู่จึงบอกว่า ใครเลือกเกิดไม่ได้ไม่ใช่กู ใครเลือกตายไม่ได้ไม่ใช่กู และใครเลือกอยู่ไม่ได้ ก็ไม่ใช่กูอีก พระพุทธเจ้าจึงกล้าบอกว่า โลกเป็นของเรา เราคือโลก โลกคือเรา จักรวาลของเรา
เราคือจักรวาล นั่นแสดงว่า พระองค์มีอำนาจมีพลังเหนือสรรพสิ่ง มีสมบัติและมีทุนทรัพย์อย่างเหลือเฟือ ที่จะไปซื้อวิมานที่ไหนอยู่ก็ได้ พระองค์จึงกล้าบอกว่า "อวิชชา" ทำให้สัตว์โง่ ไม่อย่างนั้นพระองค์จะบอก
ได้อย่างไรว่า
ภาราหะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นของหนักเน้อ ภาระหาโร จะปุคคโล
บุคคลนั่นแหละเป็นผู้แบกของหนักพาไป
ภาราทานัง ทุกขังโลเก
การแบกถือของหนักเป็นความทุกข์ในโลกเน้อ
ภาระนิกเข ปะนังสุขัง
การสลัดของหนักทิ้งลงเสีย เป็นความสุขจริงหนอ
ลูกรัก เมื่อใดที่เจ้าคือจะชำระล้างร่างกายขันธ์ทั้ง ๕ เจ้าจงระลึกนึกถึงว่าเจ้าจงทำให้มันหมดจด
และคือว่านี่คือการใช้หนี้เก่าและก็จงทำด้วยความรู้สึกที่น่าเบื่อหน่ายเพราะทำไม่เลิกสักที