นิพพาน แปลโดย สภาวะธรรม แปลว่า ดับและเย็น นิพพานไม่ใช่เป็น คุณสมบัติของคนตาย ไม่ใช่คุณสมบัติของคนเป็น
นิพพานเป็นคุณสมบัติของผู้ที่หลุดพ้น เป็นผู้บรรลุ เป็นผู้สลัดหลุดจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง
นิพพาน เป็นคุณสมบัติของ ผู้ที่มีญาณปัญญาอันวิเศษ หยั่งรู้สรรพสัตว์ สรรพสิ่ง สรรพชีวิต สรรพ-วัตถุ ของการเกิดแล้วดับไปใน สรรพวัตถุ สรรพชีวิต สรรพสิ่ง เหล่านี้
นิพพาน เป็นสภาวะ เป็นคุณสมบัติสูงสุดของผู้สลัดหลุด และไม่โดนอะไรมันฉุดให้อยู่
นิพพานเป็นภาวะของพระพุทธะผู้มีอิสระ และเสรีภาพสูงสุดยอด
เพราะฉะนั้น สภาวะของนิพพานไม่มีองค์ประกอบ รูปลักษณ์ ที่จะอธิบาย แต่ความหมายของมัน คือ การดับและเย็น
คล้ายกับเราหิวข้าวจนกระทั่งใกล้จะเป็นลม แล้วเราก็ได้กินข้าว ได้ดื่มน้ำ ความหิวอันนั้นก็หายไป ความทุกข์ทรมานจากความหิวก็ลดน้อยถดถอยลงไป แต่มันชั่วครู่เท่านั้น
สำหรับความหมาย นิพพานของผู้บรรลุ ก็คือ การดับและเย็นตลอดกาล ไม่ต้องกลับไปหิวอีก ไม่ต้องกลับไปเกิด แก่ เจ็บ ตายอีก นั้นคือ ความหมายของนิพพานสูงสุด
ในศาสนานี้ พูดอย่างนี้ ก็เพื่อให้รู้ว่า คราใดที่เราระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า พระศาสดา คราใด ที่เรานึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นภิกษุ สมณะ พระในพระพุทธศาสนา คราใดที่เราระลึกรู้ถึงคำสอนของนักบวชในวัดข้างๆ บ้าน แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติ ขจัด ดัดกาย วาจา ใจ ของตนให้เป็นผู้ตรง ควรต่อการงานทั้งปวง การกระทำ คำที่พูด และสูตรที่คิด คนนั้นก็ถือว่า ได้ทำการบูชาอันใหญ่ต่อคนแก่คนหนึ่ง ซึ่งอายุ 80 ปี เมื่อสองพันกว่าปีก่อนได้ทำงานอันยิ่งใหญ่ให้แก่ประชาชาติและสัตว์โลก และเราก็ได้อาศัยใบบุญของท่าน จนมาถึงวันนี้ สองพันกว่าปีแล้ว
สรุปก็คือ อยากให้รู้ว่า ทุกครั้งที่นึกถึงความดีงามของครูอาจารย์ และหลวงปู่ ทุกครั้งที่นึกถึง ความดีงามของอาวาส และพระในศาสนา ทุกครั้งที่นึกถึงคุณูปการที่ได้ รับการอนุเคราะห์เกื้อกูลจากนักบวชในศาสนา ก็ต้องระลึกถึงคนแก่คนนั้น ไม่ใช่ระลึกถึงหลวงปู่ ไม่ใช่ระลึกถึงตัวครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ระลึกถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งในวัดใดวัดหนึ่งนั่นเป็นเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ ที่หลวงปู่คิดอยู่เสมอ
บทโศลกแต่ละบท สร้างสรรค์ด้วยจิตวิญญาณของพระพุทธะ สำหรับหลวงปู่แล้ว เห็นว่ามันเป็นของ มีค่า แม้แต่ประโยคนำหน้าด้วยคำว่า "ลูกรัก" หลวงปู่ไม่ได้เขียนมันด้วยความรู้สึกชุ่ยๆ พล่อยๆ หรือชนิดที่หลอกล่อ หรือเป็นมารยาสาไถ แต่เขียนด้วยความรู้สึกเอื้ออาทรสุดชีวิต จิตใจว่า การที่เราจะลิขิตเขียนอักษรที่เราไม่รู้เรื่องกับเค้าในภาษาหนังสือ ด้วยความรู้สึกว่า อย่างน้อย เราก็ยังมุ่งหวังว่า อยากให้คนอื่นรู้ในสิ่งที่ตนรู้ สัมผัส สำเหนียก พิสูจน์ทราบ และเข้าใจในสิ่งที่สัมผัส สำเหนียก พิสูจน์ทราบที่เราเป็นอยู่ มุ่งหวังแต่เพียงว่า ได้สืบทอดอุดมการณ์ของคนแก่คนหนึ่ง ที่มีชีวิต เมื่อสองพันกว่าปีก่อน ที่พระองค์ทรง เมตตาอนุเคราะห์ หลวงปู่เพียงแค่ทำหน้าที่ ถึงแม้จะไม่ได้ครึ่งหนึ่ง ไม่ได้เศษเสี้ยวหนึ่งของพระองค์ ก็เพียง แค่ได้ทำสักครึ่งหนึ่ง ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
ฉะนั้น คัมภีร์ ตำรา อักษร ภาษา และหนังสือบทโศลก ที่ออกมาจากอาวาสนี้ ก็คือ ออกมาจากวิญญาณของพระพุทธะ สำหรับหลวงปู่แล้ว มันมีค่าทุกตัวอักษร เพราะทุกตัวอักษรมันมาจากชีวิตและจิตวิญญาณ ที่ออกมาจากไขกระดูกดำของหลวงปู่ มันไม่ใช่ออกมาจากริมฝีปาก หรือฟองน้ำลายบนปลายลิ้น หรือจากมันสมองที่ใช้สัญญาณในการจดจำใครมา เพราะฉะนั้น เมื่อได้ไปแล้ว ตีราคามันไม่ได้หรอก
หลวงปู่ไม่ชอบใจกับการที่ใครจะมาตีราคาบทโศลกหรือไขกระดูกของพระพุทธะ เพราะมีความคิดเสมอ ว่า มันกำลังจะดูถูกเหยียบย่ำทำลาย ตีราคาพระธรรมสูงสุด ให้กลายเป็นราคาของน้ำเงิน ซึ่งถือว่า เป็นวัตถุที่เลวร้าย ที่พระพุทธเจ้าเรียกมันว่า งูพิษ แล้วถ้าเรายังยอมรับสิ่งที่เป็นรัตนะหนึ่งในรัตนะสาม มีค่าเท่างูพิษ ก็แสดงว่า เราไม่เห็นค่าของคนแก่ที่อายุ 80 ปี เมื่อสองพันกว่าปี ทำงานเพื่อปลดปล่อยจิตวิญญาณของเรา แล้วอย่างนี้จะถือว่า เราควรคู่กับการ ได้เรียนรู้ สิ่งที่คนแก่คนนั้น ถ่ายทอดต่อๆ กันมา อย่างนั้นเหรอ
เพราะฉะนั้น ใครผู้ใดก็ตาม ถ้าจะมาพูดถึงเรื่องราคาของจิตวิญญาณ แห่งพระพุทธะ อ้ายอี พวกนั้น ไม่ควรจะเรียนรู้อะไรของพระพุทธะ เพราะถือว่า เป็นการเหยียบย่ำทำลาย ล้าง ดูถูก และประณาม วิญญาณของพระพุทธะ อย่างเลวร้าย
ถ้าเรามีใจ มีความจริงใจ ตั้งใจและเต็มใจ ไม่จำเป็นเสมอไปที่เราต้องบันดาลสรรพสิ่งให้เกิดผลสำเร็จ สัมฤทธิผล ด้วยน้ำเงินหรือราคาค่าของวัตถุเท่านั้น
มีคนถามหลวงปู่ว่า สร้างวัด ทำไมต้องให้ใหญ่โตมโหฬาร จะสอนให้ชาวบ้านยึดติดตรงนั้นหรือ ก็เพราะว่า หลวงปู่เป็นคนใช้กิเลส รอบรู้ และ เข้าใจความหมายของคน และเข้าใจลึกซึ้งถึงแก่นแท้กิเลสของคน สิ่งเหล่านี้มันเป็นเครื่องแสดงออกขององค์ประกอบ ในการวัดใจ บ่งบอกให้เราได้รู้ว่า เราเข้าใจตัวเราได้แค่ไหน
สำหรับผู้ที่ติดยึดในวัตถุ ก็ยังมีความรู้สึกชื่นชม ยอมรับ ถ้าได้เข้ามาที่นี่ด้วยจิตใจที่ยอมรับ มันก็ครึ่งหนึ่งแล้ว กับการที่จะเอาชนะได้ ที่จะพิชิต ขจัด ขัดเกลา ดัดกาย วาจา ใจ และสิ่งที่เป็นขยะมูลฝอยในใจออกไป
การที่พวกเรายอม จะน้อมตัวเข้ามาที่นี่ ก็แสดงว่า พวกเราทิ้งขยะเก่าของเรามาครึ่งหนึ่ง แล้วเปิดถังขยะของเราเพื่อจะให้นายช่างผู้ใจดี หรือใครก็ตาม ที่จะเอามือล้วงขยะเก่า ที่ตกค้างนอนนิ่งอยู่ก้นถัง ในตัวเราให้ออกมา
แต่เมื่อใดที่พวกเราไม่เข้ามาที่นี่ ไม่มีใครมีสิทธิ์จะไปตามบอกให้เราเปิดฝาถังขยะออก แล้วเมื่อนั้น ขยะมันไม่เต็มตัวท่วมหัวใจพวกเราอย่างนั้นหรือ และที่พวกเราเข้ามาที่นี่ได้ ลำดับแรกก็คือ ไปดูหน่อยซิ เค้าว่าวัดสวยร่มรื่น
สรุปก็คือ มาได้ ก็เพราะกิเลส มาได้เพราะคนเค้าพูดถึงเรื่องกิเลส เราก็ตามกิเลสเขามา แต่ก็ยังดีกว่า กิเลสที่ไปดูหน่อยซิ เขาว่าอีนี่มันร้องเพลงเพราะ ไปดูหน่อยซิ เขาว่า คอนเสิร์ตนี้แสดงดี
หลวงปู่ว่า นั่นมันเป็นกิเลสที่ทำให้เราอัปรีย์ แต่กิเลสอย่างแรก เขาเรียกว่า กุศลกิเลส หรือกิเลสที่เป็นความฉลาดพื้นๆ
เพราะฉะนั้น ทั้งหลายทั้งปวง มันเป็นความจำเป็นที่หลวงปู่ต้อง รังสรรค์ สร้างสรรค์ทำให้วัดนี้มันดูดีในสายตาของผู้มีกิเลสทั้งหลาย ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะต้องแสดงกิเลส ของตน หรือไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะยึดถือเอาอาวาส เอาวัตถุธาตุ หิน อิฐ ปูน ทราย เหล็ก ทองเหลือง สิ่งทั้งหลายมาเป็นสรณะ ที่พึ่งที่ยึดถือแก่คนทั้งหลาย ไม่ได้มีความคิดอย่างนั้น คิดแต่เพียงว่า ทุกคนมีธรรม มีพระเจ้าสูงสุด อยู่ในจิตวิญญาณ ปลุกจิตวิญญาณของพระเจ้าให้ตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะถ่ายทอดวิทยาการให้แก่ผู้คนให้ได้ และสิ่งเหล่านี้ มันก็เป็นองค์ประกอบพื้นๆ เท่านั้น มันไม่ใช่ใจความสำคัญ แต่มันก็เป็นความจำเป็นที่เราต้องบริหาร จำเป็นที่ต้อง ดูแลรักษาและพัฒนามันให้มั่นคงสภาพดี ดูดี สะอาด และมีระเบียบในสายตามชาวบ้าน ไม่ใช่เพื่อส่งให้ตนเป็นผู้สง่างาม แต่เพื่อจะเป็นเครื่องล่อให้ผู้มีธุลีและกิเลสอันเบาบางที่จะเข้ามา ยอมให้เราเปิดฝาถังขยะของเขา ล้วงมือเข้าไปในตัวเขา เพื่อดึงเอาขยะในตัวเขาที่ฝังแน่นออกมาอีกให้ได้เท่านั้นเองแหละ
จำได้ไหม เทปนิทานเรื่อง หนอนในหลุมขี้ นั่นแหละดี หากได้ฟังเวลากินข้าว เพื่อช่วยกระตุ้นให้ได้คิดว่า อย่ากินด้วยความเมา อย่างน้อยๆ จะได้กินโดยรู้จักคิดมันก็ยังดีกว่าที่ไม่ได้คิดอะไร แล้วกินด้วยความรู้สึกเมา ให้รู้สึกตัวกันเสียบ้างว่า วันไหนมันกินข้าวด้วยความอร่อย เมาในการกิน กิเลสกำลังเพิ่มพูนโตขึ้นอีก เราซิตาย แต่กิเลสโต เพราะฉะนั้นต้องยกประโยชน์ให้ผู้มีใจอารี ที่ชี้แนะให้เปิดเทปเรื่องขี้ เวลากิน ทั้งหลายสิ่งทั้งปวงเหล่านี้เป็นชีวิตของพระพุทธะ มันเป็นศิลปะของการจัดการปัญหาของชีวิต มันไม่ใช่เรื่องของตำรับ ตำรา คัมภีร์ อักษร หัวใจของคนทุกคนที่เราไม่รู้ไม่เห็น ไม่เข้าใจมัน ก็เพราะเราไม่ยอม ไม่กล้า ไม่คิด แม้จะปลดปล่อยจิตวิญญาณชีวิตของตน ให้พ้นจากการร้อยรัดของความชอบ ความชัง การยอมรับ หรือการปฏิเสธ เพราะเรามักจะคิดกันว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องของกู ตัวกู เราหวงแหนมัน เราไม่กล้า ไม่ปล่อยให้ใครมาแตะต้องของ เราอย่างเด็ดขาด ถ้าคิดแบบนี้เราก็จะต้องสับสน และจมปลักอยู่ในกองขี้ไม่เลิก
เพราะฉะนั้น เปิดประตูจิตวิญญาณให้มันเปิดกว้างขึ้นอีกนิดหนึ่ง เพื่อจะได้รับฟังสรรพเสียง สรรพสำเนียง จากจิตวิญญาณแห่งวัตถุธาตุ จิตวิญญาณแห่งสรรพสัตว์ จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ และ จิตวิญญาณของเพื่อนผู้อยู่ร่วมโลก รวมทั้งจิตวิญญาณของเรา ว่ามันพูดภาษาอะไร และเราฟังแล้ว เอามาใช้อะไรได้บ้างกับตัวเรา
ทั้งหมดนี้ ก็เพื่ออยากจะเตือนพวกเราว่า อย่ากักขังตัวเองไว้ในคุกแห่งอารมณ์ อารมณ์แห่งความเมา เมาในลาภ เมาในยศ เมาในวัย เมาในสุข เมาในทุกข์ หรือเมาในชื่อเสียง เกียรติภูมิ หรือทรัพย์สิน
สิ่งเหล่านี้เป็นคุกที่กักขังสรรพสัตว์ให้นอนนิ่ง และตายเรื่อยมา ตลอดกาล และตลอดสมัย เราจะตายติดต่อกันไม่รู้จักสิ้นสุด ถ้าเรามาหลงใหลอยู่ในคุกแบบนี้
แล้วคุกนี้ ใครเป็นผู้กักขัง เราเองเป็นผู้ขังตัวเราเอง
และใคร จะเป็นผู้ปลดปล่อยได้ เราเองเป็นผู้ที่จะไขกุญแจ แล้วก็ก้าว เดินออกมาอย่างองอาจ สำคัญมันอยู่ที่ว่า เรากล้าหรือไม่ และอาจหาญ ได้อย่างไร ขนาดไหน ที่จะลสัดให้หลุด ไม่ปล่อยให้ติด หยุดอยู่กับที่
เรามีพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเกิดเป็นอันเดียวกัน ก็คือ คำว่าบุญและคุณธรรม ที่เราเข้ามาร่วมกันอยู่ในนี้ ด้วยความหมายของคำว่า บุญเป็นบิดาและมารดาเกิดของเรา และบัดนี้ บิดาและมารดาเกิดของเราก็สิงสถิตอยู่ในจิตวิญญาณของคนทุกคน ทุกคนมีบุญ แปลว่า ความอิ่มและเต็ม
คุณธรรม แปลว่า ประเสริฐเลิศ และก็งามพร้อม
เมื่อทุกคนมีบุญ และก็นำมันออกมาใช้ทุกที่ ทุกถิ่น นี่แหละคือ วิธีที่จะตอบสนองคุณพระศาสนา อย่าคิดว่าจะตอบแทนบุญคุณวัดนี้ ด้วยการบริจาค หลวงปู่บอกพระว่า ที่ส่งท่านออกไปธุดงค์ มิใช่ให้ออกไปเที่ยวเล่นหรือพักผ่อน แต่ส่งให้ ท่านออกไปหาประสบการณ์ทางวิญญาณ และก็เผยแผ่พระศาสนา ถ้า ท่านไม่สามารถจะแสดงธรรมอันใดทั้งอรรถและพยัญชนะได้กระจ่างชัดและแจ่มแจ้ง ก็ทำดั่งพระอัสสชิสงบเสงี่ยม และเจียมตัวเอง ผู้คนทั้งหลาย เค้าเห็นท่านละเมียดละไม ละเอียดอ่อน กิริยาอาการดูแล้วสง่างาม เค้าก็จะพากันมาสะกิดสีข้างถามว่า ท่านเป็นศิษย์ใคร ท่านไม่ต้อง เอาเกียรติคุณของอาจารย์ไปเล่า บันลือสีหนาทว่า ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของท่านผู้นั้น ท่านผู้นั้นสอนธรรมให้แก่ข้าพเจ้า แต่ขณะเดียวกัน ตัวเราเอง กลับเป็นคนเลวที่สุดในสายตา ของสังคม เท่ากับเราเอาอาจารย์ไปประจานและเหยียบย่ำ
ฉะนั้น ถ้าจะคิดจะตอบแทนบุญคุณแห่งอารามธรรมอิสระ พระพุทธอิสระ จงกลับไปทำเรื่องดีๆ ให้เกิดขึ้นในสังคมชีวิตตนเอง ทำสิ่งที่เป็นเรื่องงามและปฏิเสธสิ่งที่เลวร้าย สนับสนุนและส่งเสริมให้โอกาสแก่คนทำดี ถ้าทำได้อย่างนี้ ถือว่าเป็นการประกาศศาสนา ช่วยเหลือคนแก่คนหนึ่งที่อายุ 80 ปี เดินวันละสิบโยชน์ เพื่อประกาศศาสนา แล้วก็ช่วยเหลือพระพุทธอิสระ อาวาส อารามธรรมอิสระ ให้ได้ทำสิ่งดีๆ ถ่ายทอดจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ สืบเนื่องต่อๆ กันไป เท่านี้ก็ถือว่า เป็นการให้การตอบแทนอย่างสูงสุดแล้วล่ะลูก
ท้ายสุดนี้ ทุกคนมานั่งอยู่ในที่นี้ ต้องเปรียบเหมือนสวนผลไม้ อาวาสนี้ มันก็คือสวนผลไม้สวนใหญ่ ซึ่งมีทั้งทุเรียน เงาะ ละมุด พุทรา มะม่วง ขนุน มะนาว มะพร้าว ส้มโอ ฟักแฟง แตงโม ไชโยโห่ฮิ๊ว มันมีทั้งหลายทั้งปวง ทั้งหมด มีทั้งเปรี้ยว ทั้งเค็ม ทั้งเผ็ด ทั้งขม ทั้งสุก ทั้งไม่สุก ทั้งฝาด ทั้งไม่ฝาด ทั้งจืด ทั้งชนิด ที่หมาไม่แดก และหมาแดกได้ ทีนี้มันขึ้นอยู่กับพวกเราทั้งหลายแล้วล่ะ ว่า สติปัญญาและดุลพินิจของตน จะเลือกเก็บลูกไหนที่เหมาะกับตน เลือกสิ่งที่เหมาะสมที่ตนคิดว่าทำได้ ทำถึง แล้วมีประโยชน์ เอามาใช้ ไม่ใช่รับมันไปทั้งลูก รับมันไปทั้งสวน แบกมันไปทั้งกระบุง กินไม่ได้ แล้วก็โยนทิ้ง แต่หลวงปู่เชื่อว่า พอพวกเราออกไปจากวัด มันก็ทิ้งอยู่แถวๆ นี้ เต็มไปหมด
หลวงปู่หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สวนผลไม้สวนนี้ มันคงให้อาหารทิพย์ในใจแก่เราได้บ้าง ไม่มากก็น้อยล่ะลูก และก็นำเอามันไปใช้เป็น ยารักษาโรค โรคสิ้นหวัง โรคไร้ความหวัง โรคท้อถอย โรคหมดกำลังใจ และก็โรคกลัดกลุ้ม ร้อนรุ่ม อึดอัดขัดเคือง สับสน และวุ่นวาย ผลไม้สวนนี้มันก็สามารถรักษา และ แก้โรคเหล่านี้ได้ ขอให้มันใช้ได้ถูกวิธีเถิด แล้ววิถีทางแห่งพุทธะ ก็จะเกิดขึ้นในจิตวิญญาณของพวกเราทุกคนเอง