5 ธ ค 2554  8.55 น.  ธรรมะวันพ่อ โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

หน้าที่ของพ่อ คือสอนให้สำเร็จประโยชน์ ต้องเป็นต้นแบบอันงดงาม
ไม่งั้น ลูกหลานจะไม่ซื่อตรง ที่จริงก็สอน แต่ไม่ค่อยจะรับ
ต่อไปนี้ เป็นมงคลที่ 2 รับศีล
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนผู้รักพ่อที่รักทั้งหลาย
กินข้าวกันหรือยัง หลวงปู่ทำแกงส้มกับแกงคั่วสับปะรด หลวงปู่ยังไม่ได้ฉัน
เพราะว่าฉันมื้อเดียว อธิษฐานจะทำกับข้าว...ทำไว้แล้ว มาอุ่น เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ไปบิณฑบาตร เมื่อเช้า เดินถอยหลัง จะไม่ไปข้างหน้า...
ตั้งจิตอธิษฐานว่า เราจะทำดีเพื่อพ่อ เพื่อพระเจ้าอยู่หัว ถ้าทุกคนมีจิตคิดเป็นกุศล กตัญญู
ทำประโยชน์เพื่อสาธารณะ แผ่นดินจะสุข โลกจะไม่ทุรนทุราย
สิ่งสำคัญ ถ้าทุกคนเห็นแก่ตัวมากไป โลภโมโทสันมาก ชอบพูด ไม่ชอบทำ
สังคมปัจจุบัน พูดแล้ว ไม่ทำ คนนั้น คนนี้ ไม่ดี แต่ตัวเองไม่ทำ
คนเป็นพ่อ ทำตัวแบบนี้ ไม่ดี ศาลานี้หาพ่อน้อย มีแต่แม่
ยกมือซิ นับตัวได้เลย เตรียมเสื้อไว้ วันนี้ แจกอวโลฯ ด้วย
อย่ารับสมอ้างเอาลูกคนอื่นมาเป็นลูกตัวเอง...
สังคมขาดต้นแบบที่งดงาม มีสนใจแค่น้อยนิด ไม่ได้ทำจริงๆ จังๆ
เวลามีลูก ออกลูกมา พูดคิดแบบไหน เราจะมีคำถามสงสัยตลอด เพราะว่า เราไม่มีต้นแบบที่ชัดเจน
ถ้าต้นแบบ แม่แบบชัดเจน สิ่งที่อออกมา ก็ไม่เสียหาย
แต่สังคมปัจจุบันขาดพ่อพิมพ์ แม่พิมพ์ที่เป็นต้นแบบชัดเจน ...
ดีของพ่อ ดีของแม่ ต้องเป็นดีที่พึ่งได้ด้วย ไม่ใช่ดีคิด แต่ไม่ดีทำ
ถ้าไม่ครบสูตร ก็พึ่งไม่ได้ บางครั้ง ดีมากเกินไป ก็ไม่อยากทำตาม
เหมือนหลวงปู่ มาตรฐานดีเกินไป
เมื่อเช้า พวกเอาน้ำแกงส้มไปใส่ผักแกงจืด เมื่อวานเพิ่งสอน เรื่องวิปัสนา
ก็ไปว่ามันไม่ได้ เมื่อเช้ายังมืด กลายเป็นว่า ทำด้วยสัญชาตญาณ ไม่ได้ทำด้วยปัญญา
หรือหลวงปู่มาตรฐานสูงเกินไป
สงสัยต้องลดมาตรฐานตัวเอง เช้าเอน เพลนอน บ่ายพักผ่อน....หวยออกก็เก็ง กลางคืนออกเที่ยว
เหลือมาตรฐานต่ำ จะได้ทำตามได้ เอาไม๊
ไม่ต้องอะไรมาก แค่เข้ามาได้เรื่อง..โต๊ะก็ยังตั้งในศาลา เข้าวันที่ 3 แล้ว ยังต้องมานั่งเก็บโต๊ะ
เรื่องเล็กน้อยอย่างนี้
สมมุติ หลวงปู่เป็นพ่อบ้าน ไม่ละเอียดอ่อน ไม่สุขุม อะไรจะเกิดขึ้น ความสกปรกซกมกเกิดขึ้น
มันจะมานั่งติ ด่า แล้วมันจะสงบได้อย่างไร เพราะว่าปล่อยธุระไม่ใช่ ไม่ใช่หน้าที่กู
เมื่อคนไม่อยากทำ คนหนึ่งทำ ก็ต้องทำไป พูดไป บ่นไป ด่าด้วย
คนโดนด่าไม่ชอบ ไม่พอใจ ไม่สบายใจ บ่อยๆ ก็อยู่กันไม่ได้ ก็บ้านแตก
แต่ถ้าทุกคนเป็นต้นแบบของตนเอง ทำหน้าที่รับผิดชอบของตน ล้างชามเอง ช่วยกันล้าง
ทำตัวเป็นที่พึ่งตนเองได้ เป็นที่พึ่งคนอื่นได้
แต่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ แกเป็นบริกร ฉันมีหน้าที่เสพ แกมีหน้าที่สร้าง
คนสร้างก็อดรนทนไม่ไหว คนใช้ในบ้านก็ไม่ว่าอะไร เพราะเป็นอาชีพ
แต่ถ้าเป็นพ่อแม่พี่น้อง วันหนึ่งทนไม่ได้ ก็ต้องบ่น สุดท้าย บ้านจะสงบได้อย่างไร
ถ้าทุกคนใช้อัตตาหิ อัตโน นาโถ เราใส่ เราซัก  เราใช้ ไม่เช็ด ก็เป็นภาระ
ไม่ถูกต้องตามวิถีทางพุทธรรม พุทธรรมสอนไว้ พึ่งตนและเป็นที่พึ่งคนอื่น
หลวงปู่เขียนบทโศลก ป้ายเหลืองอ๋อยไว้ ผู้ที่อยู่ที่นี่ ต้องทำสิ่งเหล่านี้
ปราบพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ ดำริสติ ดำริเป็นสัมมา
พึ่งตัวเองได้ และเป็นที่พึ่งคนอื่นได้ จึงจะอยู่ที่นี่ได้
สุดท้าย มันพึ่งกูคนเดียว เพราะกูเป็นคนเขียน หลวงปู่เป็นคนเขียน มึงเขียน ก็เป็นที่พึ่ง
นี่ ไม่ใช่บ่น ลูก
...แล้วมันกลายเป็นปัญหาบ้านแตก เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าไปถามอริยมรรค 8....
เอาแค่เรื่องอัตตาหิ อัตโน นาโถ สิ่งที่ทำ คำที่พูด  ไม่กระทบใคร
เหมือนเมื่อเช้า หลวงปู่ต้มน้ำไว้ วันนี้มีแกงส้ม จะใส่อะไร มีลูกชิ้น
เห็นพระมาช่วยงาน ..หันมาอีกที เทลูกชิ้นเต็มหม้อ
ลูกชิ้นเวลาสุก จะลอย..  แล้วจะรู้ไม๊ว่า อันไหนสุก ไม่สุก นี่ไม่ได้ใช้ปัญญา
แม้เรื่องนิดหน่อย ไม่ได้ใช้ปัญญา เพราะฉะนั้น หลวงปู่ไม่ได้นั่งวิปัสนา
แต่ปัญญาจากงานที่ทำ....  ท่านทำงานไว แต่ต้องละเอียด
ถ้าเร็วแล้วเสียหาย อย่าทำ
พอลูกชิ้นสุก ลอย ลูกชิ้นไม่สุก ก็เหม็นคาว
แม้การคนในกะทะ ก็ต้องสอน อะไรทำก่อน ทำหลัง
เฮอ กูเป็นคนมาตรฐานสูงเกินไปไม๊
ปีหน้า กูจะทำเป็นคนเอ๋อ จมขี้ จมเยี่ยว อย่างนั้น ดีไม๊ เผื่อพวกมึงจะมีความสุข
สงสัยจะทำอย่างนั้นบ้าง เพราะมาตรฐานสูง คนอื่นตามไม่ทัน
...โอ้โห หลวงปู่คิดมากกว่าคนร้อยคนคิด
กลายเป็นเรื่องไม่ดีของเค้า เค้าคิดไม่ทัน
ดีนะ กูไม่มีเมีย ไม่มีลูก ถ้าเป็นพ่อบ้านใคร ลูกมันออกมา มันกลับเข้าไปอยู่ในท้องแม่ใหม่
ชีวิตหลวงปู่ไม่มีครู ต้องศึกษา สั่งสม อบรม เรียนรู้ พินิจ พิจารณาเอง
แม้เด็กๆ เดินจากบ้านไปโรงเรียน รถเมล์สมัยรถเมล์นายเลิศ ใครเกิดทันบ้าง
นั่งรถเมล์นายเลิศ เวียนหัว เมารถ กระเป๋าบอก มึงอยู่ตรงนั้น วันนั้นกูเช็ดอ๊วกมึง
ก็เดิน บ้านอยู่คลองเตย เดินไปวัดธาตุทอง เอกมัย.....
ได้ฟัง ยังไม่คิด ใครอยากมีตาทิพย์ ให้เพ่งพระอาทิตย์ เด็กๆ อยู่ ป. 3 มัวแต่มองพระอาทิตย์เดินไป ผลุบ อ้ายเวร ใครมาเปิดปากท่อ ไม่ได้คิดอะไร ไม่รู้ว่า ตัวเองหล่นไปในท่อ
มันทรงอารมณ์เดียวกับพระอาทิตย์ คิดว่า พระอาทิตย์ตกน้ำ
อ้าว นี่กูหล่นท่อเหรอ กลับมาไปไม่ทัน เพราะชุดโรงเรียน มีชุดเดียว เย็นกลับมาซัก
เพราะว่าบ้านยากจน หาวิธีรวยทางลัด เค้าบอก ถ้ามีตาทิพย์ จะมองเห็นหวย
ฤทธิ์ที่อยากถูกหวย แต่ไม่เคยซื้อ อยากเห็นหวย
ฝึก 1 เดือน หลับตาเห็นพระอาทิตย์ ลืมตา เห็นพระอาทิตย์  ก.ไก่ ข. ไข่ ตาเห็นแต่พระอาทิตย์
ชักไม่ค่อยดี สมัยเด็กๆ หลวงปู่เป็นโรคตาดำ พอตกเย็น ตามองไม่เห็น ใช้มือคลำ
ตาสอนให้มองพระอาทิตย์ กลางคืนจะได้ตาสว่าง มองเห็นหวย มองเห็นเทวดา ผีสางนางไม้
ก็ใช้การฝึก เพราะไม่มีครู เชื่อในสิ่งที่เราทำ
แต่ลูกหลานยุคนี้พูดให้ฟัง ทำให้เห็น ผลงานก็ออกมาให้เห็น แต่ลูกหลานทำตามไม่ได้
...ตัวเองรู้สึกว่าอ่อนด้อย ไม่มีปัญญา ไม่มีต้นแบบให้ดู แบบบ้านแตก
ไม่มีต้นแบบ ต้องแข็งแรงด้วยตัวเอง
แต่พวกเราอบอุ่น สมบูรณ์ มากไปหรือเปล่า ทำให้ไม่แกร่งพอที่จะฝ่าฟันอุปสรรค
บางทีการสอนปัจจุบัน เอาอารมณ์เป็นตัวกำหนด
สมัยก่อนไม่มีโอกาสปรับตัว..สังคมจะตราหน้า ….ทรัพยากรหาได้น้อย
เพราะฉะนั้น พ่อแม่ทั้งหลาย อย่าให้ คอยเสริฟในสิ่งที่เค้าเสพอยู่เนืองๆ
สุดท้าย ลูกจะเป็นง่อย สุดท้ายไม่เป็น ....อย่างที่เค้าเรียก เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ
อดทนที่จะทำดี ทำดีอย่างทนทาน อย่างเนื่อนนาน ไม่เดือดร้อน เสียหาย
เมื่อเช้า....หั่นผักไม่กี่หัว  เอากะละมังซักผ้ามาใส่..อ้ายอ้วน มึงเอามาใส่อะไร ...
เราบอก ขยันน่ะ ของมึง   ของน่ะ ของกู แฟ๊บของกู น้ำของกู
เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เป็นวิปัสนาได้ไม๊ เป็นปัญญาได้ไม๊
แค่ต้มน้ำ ลวกหมู 2 กิโล กว่าน้ำจะเดือด แก๊สไปเท่าไหร่
ทุกอย่างเสียหายหมด พอต้มหมูเสร็จ ใช้น้ำกับแฟ๊บเท่าไหร่ล้างหม้อ....
คนสมัยนี้ หัวหงอก หัวดำ ไม่คิด ต้องสอน
นั่นคือ วิปัสนา แม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ หลวงปู่ไม่เคยทำอะไรหล่น ทัพพีหัก
มันเป็นอะไรก็ไม่รู้
กูอยากไปเกิดใหม่เสียเหลือเกิน
นี่คือ คำบ่นของกู ครอบครัวธรรมอิสระ เป็นครอบครัวใหญ่ เรื่องง่ายๆ แต่ไม่คิด พิจารณา
...พระโอ๋ เอาตะหลิววางบนหลังตู้เย็นแทนที่จะวางในหม้อ
ให้คนสับข่า นั่งบนหลังตู้เย็น...พวกหัวหงอกทั้งนั้น ไม่ใช้ปัญญา ไม่ใช้วิปัสนา
วิปัสนา ไม่ใช่นั่งหลับตา รอผลนิพพาน
มันจะบรรลุได้ไง เมื่อมันผิดตลอดชาติ
อันนี้ เป็นกัณฑ์ในครัว ไม่ใช่วันพ่อนะจ๊ะ
ล้างผักกวางตุ้งทั้งต้น ทำไมไม่แยกใบส่วนใบ
เฮ้ย พวกนี้มันเป็นเมียใคร ผัวมันคงอายุสั้น เพราะผักมันมียา มิน่า มันถึงอยู่ในวัด ผัวตายหมด
ให้หั่นถั่วฝักยาว กูผัดถั่วฝักยาวกับหนังยางทุกมื้อ ทั้งที่บ่น ด่าทุกวัน
มันไม่มีวิปัสนา ไม่มีปัญญา ทำด้วยสัญชาตญาณ
นี่เป็นธรรมะไม๊ มีปัญญา..
อานิสงส์ของสติ จะทำ พูด คิด ไม่ผิดหลาด
คนทำแบบไม่มีสติสัมปชัญญะ ..ผัดผักบุ้ง มาเป็นต้น
วันไหนมีผัดผัก หลวงปู่ต้องตื่น 12 โมง ต้องมาแช่น้ำเกลือเช้า
เราต้องตื่นก่อนมัน 3 ชั่วโมง ถ้าไม่งั้น มันจะจุ่ม ยก เพราะสมัยนี้ มันฉีดยาเช้า เก็บเย็น
ทำไมกินผัก กินชีวจิต เป็นมะเร็ง ...ถั่วฝักยาวถ้าไม่ฉีด หนอนกิน ผิวไม่เป็นมัน
พริก ส้มตำ เด็ดอย่างไร ตำอย่างนั้น มะเร็งตับ มะเร็งปอด ของพวกนี้กำจัดไม่ได้
เราห่วงคนกิน ตื่น 12 โมง นอน 4 ทุ่ม ตื่นมาแช่ เค้าจะได้ ตื่นมาล้าง
7 โมงเช้า จะมาเอา 2,000 -3,000 กล่อง
เฮอ ปีหน้า กูจะเอ๋อ นั่งน้ำลายสอ มึงซื้อจุกนม.....
กูสอนทุกเรื่อง มีเรื่องเดียว กูไม่ได้สอน  คุย ทุกเรื่อง
ตะหลิวล้าง แต่ไม่ได้ล้างด้าม ....เวลาจับ เหนียว
ถ้ากูเป็นวัยรุ่น มึงไม่ได้เห็นขาอ่อนกูหรอก กูไม่เอามาทำพันธุ์
ดีนะ กูบวชซะ จริงๆ ให้ตาย มันอะไรกันนักหนา
สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว
ไม่ต้องนั่งรอหลับตา ทำสมาธิภาวนา แล้วบรรลุธรรม
เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ให้มันบรรลุธรรมเถอะ
บรรลุธรรม คือ ความพ้นจากความผิดพลาดด้วย ไม่ใช่แค่พ้นจากความทุกข์
ทุกข์จะพ้นได้อย่างไร ถ้าความผิดพลาดยังมีอยู่
ความเสียหาย ความบกพร่อง ความฉิบหายยังมีอยู่ แล้วจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร
อยากบรรลุธรรม อย่ารอตาย ให้บรรลุพ้นจากความผิดพลาดทุกๆ ครั้ง
หุงข้าว ก็ไม่ผิดพลาด ต้มแกงก็ไม่ผิดพลาด ล้างชามก็ไม่ผิดพลาด  ซักผ้าก็ไม่ผิดพลาด
ทำทุกเรื่องไม่ให้ผิดพลาดเลย คือ ผู้มีคุณสมบัติจะบรรลุธรรม พร้อมจะนิพพาน คือ ดับและเย็น
เมื่อเช้า เรามัวแต่ดูเค้าคนพะแนงหมูกะทะใบบัว เตาเล็กๆ คนมาก ก็จะคว่ำ...
ทำแล้ว ทำให้รู้ว่า ลูกศิษย์ที่เราสอนมา ไม่ได้พัฒนาเลย วิชาดูจิต ...ระลึกรู้ ขีดลมหายใจ
ฝึกสติ สมาธิ มันไม่ได้บูรณาการมาใช้ในชีวิต...
แล้วคำสอนของพระพุทธะ จะพึ่งได้ยังไง
ตายก็พึ่งไม่ได้ เพราะชั่วชีวิต ผิดมาตลอด
ปีหน้า กูจะเอ๋อ มึงถามวัว กูจะตอบควาย เพราะว่า ปีหน้า กูจะทำซอ
เวลาเค้าให้แสดงธรรม กูจะสีซอ เพลงอะไร จะเล่นได้ จะสี
ไม่ไหว ทำไมมันไม่เอามาใช้กับชีวิต ลูกเอ๋ย
เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต ท่องกันจัง  จำได้ไม๊
ทำได้ไม๊
วันนี้ วันพ่อ ขอกูบ่น ไม่ใช่เทศน์ กูบ่น
พระวัดนี้ ไปที่ไหน ..พอเข้าที่ไหน ...หลบไปอีกที่ แทนที่จะว่า ..เห็นผิด ว่าพลาดจะได้บอก
เอาอีกแล้ว ทิ้งงานไว้ให้กูอีกแล้ว
ชั่วชีวิตหลวงปู่ จะบอกว่า ทำอะไรไม่ผิด ไม่มี
เด็กๆ หลวงปู่เป็นคนขี้หลงขี้ลืม..วางของแล้วลืม หัวกูจะน่วมไปหมด ก็ต้องฝึกตัวเองต้องจำ
จำไว้ ดีกว่าจด...ทั้งจำทั้งจด ต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน จะได้ไม่ผิดพลาดเสียหาย
พร่ำสอนตัวเองว่า ทำอะไร ต้องกลับมาดู
ทุกวันนี้ คนมีโอกาสน้อย...การรักษาถนอมโอกาสคือ ผลกำไร
การไม่ผิดพลาด คือไม่ขาดทุน
ต้องสร้างโอกาส ไม่ผิดพลาด จึงไม่ขาดทุน
ชั่วชีวิตหลวงปู่ ไม่ขาดทุน ยกเว้นแสร้ง
ไม่เจ๊าะแจ๊ะ  เพราะไม่ได้อยู่เพื่อให้ใครเชื่อและศรัทธา
แต่อยู่..หนึ่งตัวตั้งมั่น หนึ่งหัวคิดออก อยู่เพราะใช้ความสามารถ สติปัญญา
ต้นแบบที่ให้ลูกหลานทำตาม ไม่งั้น หลวงปู่อายที่จะอยู่...นั่งให้คนไหว้ หลวงปู่จะอาย
สิ่งที่หลวงปู่ขอพรจากสวรรค์ ไม่ใช่ขอให้อายุยืน.....
สองขายืนได้ .....หนึ่งตัวตั้งมั่น หนึ่งหัวคิดออก แล้วไม่มีเรื่องอะไรที่คิดไม่ออกและทำไม่ได้
ไม่ใช่ขอให้ตัวเองร่ำรวย มีทรัพย์สมบัติ อายุยืนยาว ก็ไม่ต้องการ
ถ้าอยู่ยาวนาน แล้วโง่ ตายดีกว่า
พึ่งตัวเองไม่ได้ เป็นที่พึ่งของคนอื่นไม่ได้ สู้ตายดีกว่า
พ่อแม่ต้องสอนอย่างนี้ จะได้ไม่เป็นภาระสังคม เป็นกาฝากสังคม....
สุดท้ายขอนักการเมือง กลายเป็นสังคมอุปถัมภ์ เละเทะ คดในข้อ งอในกระดูก
ชีวิตหลวงปู่ไม่เป็นอย่างนั้น แล้วไม่อยากให้ลูกหลานเป็น...
ได้ คือ ได้
ดี คือ ดี
ไม่ดี คือ ไม่ดี
อย่าใส่หน้ากากเข้าหากัน จนลืมถอดหน้ากาก แม้ตายก็ใส่หน้ากาก หลอกยมบาล
มนุษย์พันธุ์มะละกอ ใส้กลวง ไม่มีแก่นสาร สาระ จะตายพรุ่งนี้ ก็กลัวตาย
เพราะมันไม่บรรลุในอะไร
บรรลุ คือ ความไม่ผิดพลาด
มันจะไปรอบรรลุวันตาย
วันนี้ ต้องพูดแรงๆ หน่อย   แรงไม๊
ปีหน้า กูจะสีซอ
เหนื่อยจริงๆ มันไม่ใช่เข็นครกขึ้นเขา  มันเข็นเขาลงครก ..มันขนาดไหน
มันต้องถาก ต้องดุนอย่างเดียว แล้วพวกนี้ ไม่ใช่เขาธรรมดา เขาเดียว 
เขาแหลมด้วย ด่ามากๆ ก็ไปนินทาลับหลัง กูโดนอีกแล้ว
มึงว่า หลวงปู่ ...กูโง่หรือฉลาด
หลวงปู่อยากให้มึงเกลียด
ถ้ามึงเกลียด แล้วมึงฉลาดแล้ว กูไม่ว่า ถ้ามึง...
สู้หลวงปู่อยู่ในป่าดีกว่า
มีลูกหลานแข็งแรง พึ่งตัวเองได้...มีเป็นร้อย เป็นล้าน ก็ไม่เหนื่อย
เหมือนนางวิสาขา ออกลูกคนที่ 80 เชื่อไม่เชื่อ ไม่รู้ พระไตรปิฎกบอกไว้
พระพุทธเจ้าถามว่า เบื่อไม๊ 
ไม่เบื่อ เพราะนางผลิตลูกเป็นอริยบุคคล
....นี่แค่ได้กลิ่น ยังไม่ต้องเห็นหน้า ก็บอกพอแล้ว
กูถึงได้บอกว่า มันเป็นโอกาส น้ำท่วมคราวนี้ เป็นโอกาสของพ่อ ของหลวงปู่ ของลูกหลาน
จะได้แสดงน้ำใจ หลวงปู่ไม่ได้เสียดาย ตั้งแต่ สิงหา หมดไป 20 กว่าล้าน
มึงลองนึกดู เมื่อวาน 5,500 เมื่อเช้า 1,500 บ่ายอีก 2,500
เดี๋ยวต้องกลับไปเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวคนมารับมหาทาน ประมาณ หมื่น
ไม่ได้เสียดาย แต่นี่ คือ โอกาส เราจะได้สั่งสมอริยทรัพย์
เพราะมึงตาย ผัวก็ไปหาใหม่ เราจะเหลืออะไร ชาติหน้าไม่รู้จะอดอยาก....
ฝากธนาคารไว้ชาติหน้าจะได้มีกิน มีใช้
สั่งสมอริยทรัพย์ ภพภูมิหน้าจะได้ใช้
เสียดายทำไม ภพภูมิหน้า กูจะได้ใช้
ถ้ากูไม่ทำ  เสียดาย เดี๋ยวคนก็เอาไปกิน
เพราะฉะนั้น รู้จักคิด วิเคราะห์อย่างนี้
หลวงปู่จึงได้บอกว่า เป็นโอกาส แต่เราจะฉกฉวยโอกาสนี้หรือไม่
ถ้าเราฉกฉวยไม่เป็น ก็เหมือนกับหอย
ทำบุญหนึ่ง อยากได้หน้าร้อย คนถาม มูลนิธินั้น มูลนิธินี้มาเอา
ช่างมันเถอะ
คนรับบอก ไม่เอาของ อบต เอาของหลวงปู่พุทธะอิสระ
เพราะเอาของหลวงปู่พุทธะอิสระ ไม่ต้องเซ็นต์ชื่อ
เซ็นต์ชื่อเพราะอะไร เบิก 30 บาท
ช่างมัน
แต่กูไปแจกเอง ห้ามเซ็นต์
อยากได้หน้า ก็เอาหน้าแถกไป เรื่องจริง
ถ้าเราเชื่อพระศาสดา ธรรมใดเกิดแต่เหตุ.....
ทำไมหอยเอาหน้าเดิน
วันข้างหน้า มันได้เป็นหอย ยินดีด้วย พี่หอย
ถ้าเป็นผู้หญิง ยินดีด้วย อีหอย
หลวงปู่ไม่อยากเป็นท่านหอย
วันนึงกี่พันห่อ  เหนื่อยก็พัก บางทีก็ไม่ไหวเหมือนกัน
ไปซื้อวัว...จิโรจน์ตายไปแล้ว เงินล้านกว่าบาทให้พระกันไว้ วัวมันก็ไม่ยอมตาย
ตาย กูจะไปทำกับข้าว มันก็ไม่ยอมตาย
พระพงษ์ ..หมูดันตาย 2 ตัว ถูกรถชนตาย บอกให้ชำแหละ ไม่ฝังหรือครับ
บอกแล้ว ตาย ....
ซื้อวัว ได้มา 8 ตัว บอกตัวละ 30,000 ต่อ 15,000 ใครบอกไม่ต่อ กูต่อ
เค้าบอก นี่วัวนะครับ  เออ รู้จักไม๊ บุญน่ะบุญ
พอตกกลางคืน อาคันตุกะ แปลกหน้า มา ..ให้คนอื่นไปซื้อก็ไม่เชื่อ
อู้ย ไปไกลๆ ตีน กูซื้อเอง กูก็เป็นเจ้าของชีวิต....
ไม่เคยเห็นป่วยเพราะตัวเอง  ป่วยเพราะเสือก..เรื่องชาวบ้าน
เราก็ว่า เออ จริงด้วย
เช้าวันนั้น กูก็เลยไม่ตีฆ้อง
ตีฆ้องให้เทวดาได้ยิน ให้เทวดาสาธุ
วันนั้น กูไม่ตี เพราะเทวดาด่า หาว่ากูเสือก
ให้เทวดาอดเสียบ้าง
มึงรู้ไม๊ กูลำบาก อ้ายลูกศิษย์ทั้งหลาย ประธานมูลนิธิ...
ด่าเค้าก็ไม่ได้ เอาผักเอาหญ้ามาให้
มาถึง ถามเป็นไง
ก็เป็นกูนี่แหละ
เออ ลูกหลานมันจะรู้ไม๊..ว่า มาแบ่งเบาภาระ
เป็นครูดีไม่ได้ ลูกศิษย์ต้องอัปรีย์
ต้องเป็นครูอัปรีย์ ลูกศิษย์ถึงจะได้ดี
จะเป็นครูที่ดี ต้องอัปรีย์ในสายตาของศิษย์
หลวงปู่เขียนไวยกรณ์อรหันต์...ถ้าครูดีในสายตาของศิษย์..
ก่อนที่ศิษย์จะมองครูดี ศิษย์ต้องมองครูอัปรีย์เสียก่อน
มึงสังเกต สมัยก่อนหลวงปู่เจอมากับตัวเอง เด็กๆ ครูตีลูกศิษย์ ตีตูดไหม้ แต่ลูกศิษย์ดีทุกคน
ยายไม้บรรทัดมาแล้ว..ในสายตาของศิษย์ แกไม่ดี แต่ภาระกรรมของแกต่อเรา ดี
ใครก็ด่าแก แต่สุดท้าย คนก็ไหว้แก
เพราะฉะนั้น ลูกศิษย์จะมองครูอัปรีย์เสมอ
แต่สุดท้าย ครูคนนั้นจะเป็นตำนานของศิษย์ ไม่ว่ากี่ร้อย กี่พันปี
เพราะงั้น ครูคนนี้ไม่ได้ดีในสายตาศิษย์...สุดท้าย จะจบลงตรงคำว่า
วันหนึ่งข้างหน้า จะเป็นตำนานเล่าขานไม่จบสิ้น
นี่ไม่ได้มายกย่องตัวเอง อยากให้รู้ว่า ชั่วชีวิต ไม่เคยทำในสิ่งที่ไม่คิด
เรามีครูที่ตรงไปตรงมา ชอบ ก็คือ ชอบ ได้ ก็คือ ได้ คิดจะด่า ก็ด่า
ถ้าถูก ก็บอกว่า ถูก ถ้าผิด ก็บอกว่า ผิด
ไม่ต้องมาอดทน กับความผิดพลาดของศิษย์
เพราะความอดทนในความผิดพลาด ไม่มีสิทธิ์จะแก้ไข
เออ ช่างมันเถอะ แล้วเมื่อไหร่จะแก้
ผิด ต้องแก้
พลาด ต้องตำหนิ
ถาม ทำไมไม่บอกดีๆ 
ก็กูทำได้แค่นี้
บอกดีๆ ก็เคยบอกไปแล้ว เคยทำให้ดู
ไวยากรณ์อรหันต์บทต่อมา ..ครูที่ดี ไม่ต้องการศิษย์ มีแต่ศิษย์ ที่ต้องการครู
เมื่อครูได้ศิษย์...แม้จะต้องป่นให้ศิษย์เป็นแป้ง ครูก็ต้องทำ
นั่นคือ หน้าที่ของครูที่ดี ที่ได้ศิษย์ดีมาแล้ว
บทโศลกพันกว่า..สิ่งที่พูด คือ สิ่งที่ทำ ...
10.30 น.
เอาล่ะ เดี๋ยวจะไปทำกับข้าว บ่ายๆ จะมารับ 2,000 กว่า
มีหมอฟันมา ใครจะถอนฟันน้ำนม อุดฟัน รักษาฟรี ลูก ไปทำกับเค้าหน่อย
ไปกรอกข้าวสาร อาหารแห้ง แบ่งส่วนหนึ่งไว้เลี้ยงพระใหม่ เดี๋ยวพระกินแกลบ
เดี๋ยวบ่ายๆ โมงมาฟังธรรม ใครพาพ่อมา..พาพ่อมา ไม่ใช่ผัวนะ
บุญทั้งหลายที่หลวงปู่ทำ....
กรวดน้ำเสียก่อน เดี๋ยวเทวดาร้องขอ