4 ธ ค 2554 13.50 น. ธรรมะต้นเดือน โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน
วันนี้ต้องขออภัยที่ให้นั่งรอ เพราะว่ามันไม่อยากจะลุก มันหมดแรง
ได้ยินเสียงพิธีกร ฟังเสียงเจื้อยแจ้วครั้งแรก เดี๋ยวจะลุกแล้ว
ครั้งที่สอง จะลุก แต่ร่างกายไม่ขยับ
ครั้งที่สาม เดี๋ยว
ครั้งที่สี่ ไม่ได้โว้ย 4 โมงเย็นมีอีก 1,500 กล่อง ไม่ได้ รีบลุก เดี๋ยวเค้ามารับ
พวกส่งก็หนีบวชไปหมดแล้ว เหลือวารินทร์กับหมู 2 คน แต่ชาวบ้านยังเดือดร้อนมาก
พระโพธิสัตว์องค์นี้ต้องมีกำลัง หนักๆ เข้า ไม่ใช่ใจไม่ไหว ร่างกายไม่ไหว
เมื่อคืนตื่น 12 โมงครึ่ง ยาวถึง 11 โมง ทำกับข้าว ให้โอวาทนาค รักษาโรค...
เมื่อคืนวานกลับไป ตั้งใจจะไปนอน เอากำลังเอาแรงมาใช้ประโยชน์วันนี้
ทำทุกวัน ..หลายคนสงสัยว่า ทำทำไม
ทำให้มั่นใจว่า กายนี้ศักดิ์สิทธิ์ ได้มาคุ้ม เพราะขันธ์ 5 นี้ ได้มายาก กว่าจะผ่านยาคุม ร่างกายครบ 32 ถ้าใช้ไม่คุ้มทุน ...กิน กาม เกียรติ โกรธ ก็จะไม่คุ้มกับที่ท่านเหล่านั้น ผู้มีคุณได้ลงทุน ...
ถือว่าเป็นผู้มีคุณ...อย่างนี้จึงจะเรียกว่า กายศักดิ์สิทธิ์ ตายไม่เสียดาย
เวลาใกล้ตายก็ไม่สะดุ้ง ไม่เสียดาย เพราะทำมาหมดทุกเรื่อง
เหมือนเมื่อวาน เค้ามาเล่าให้ฟัง นักวิชาการจะแก้มาตรา 112 ..
อยากมีสิทธิ์วิภาควิจารณ์สถาบันได้ตามเหตุตามปัจจัย
ถามหลวงปู่ว่า มีความเห็นอย่างไร
ที่แน่ๆ พวกนี้ ไม่ได้มีส่วนในการสร้างชาติ กอบกู้บ้านเมือง...
ที่เรารู้จักคือราชวงศ์จักรี ใช้เลือดเนื้อเป็นพลี ไม่ต้องมองถึงอู่ทอง พระร่วง....
ตั้งแต่สุโขทัย กรุงศรีอยุธยา สร้างบ้านแปลงเมืองเป็นรัตนโกสินทร์
ผู้นำในราชวงศ์จักรี คือ ราชวงศ์จักรี ได้ทำหน้าที่มาตลอดระยะเวลาร่วม 200 ปี
แล้วอ้ายนักวิชาการ ยังเป็นวุ้นอยู่ที่ไหน เอาสิทธิ์ เอาอะไรมาวิภาควิจารณ์
จะบอกว่า สถาบันกษัตริย์เป็นสาธารณะ ติชมได้
พระมหากษัตริย์ไม่ใช่อาชีพ ...นักการเมือง เป็นบุรุษพิเศษเฉพาะ ไม่มีใครอาจเป็นได้
แต่เป็นโดยสายเลือด โดยลักษณะคุณพิเศษ
แม้ในพระสุตตันตปิฎก พระพุทธเจ้ายังเรียกชนชั้นเหล่านี้ว่า เป็นสมมุติเทพ อุบัติเทพ
หมดบุญลงมา เป็นสัตว์ เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นเทพโดยสมมุติ
เป็นเหมือนมนุษย์ดั่งเทพ ตระกูลเราสมัยพระยามหากษัตริย์ศึก สร้างบ้านจนได้ครองเมือง
เป็นสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ทำหน้าที่กอบกู้บ้านเมือง
พวกนักวิจารณ์ พวกนักวิชาการจะแก้กฏหมาย มันอยู่ไหน มันทำหน้าที่อะไร อยู่ขุมไหน
ถามหลวงปู่ว่า เห็นด้วยไม๊
กูถามมึงหน่อย ใครมาว่าพ่อ ว่าแม่มึง มึงเห็นด้วยไม๊
ไม่มีใครในโลกใบนี้ เป็นสุขที่คนเอาพ่อแม่เรามาวิจารณ์
เมื่อทุกคนไม่ชอบใจให้ใครมาวิจารณ์ล้ำเส้น
พระเจ้าแผ่นดินก็ไม่พอใจ ฉันใดฉันนั้น อกเขาอกเรา
ชีวิตเราอยู่ด้วยสำนึกบุญคุณหรือเปล่า
พระมหากษัตริย์พระองค์นี้ ได้ทำหน้าที่มา 60 ปี ไม่เห็นบุญคุณท่านบ้างเหรอ
ถึงได้บังอาจมาติฉิน รู้จักสำนึกในบุญคุณ...จะทำอะไร ไม่ถ่มน้ำลายรดฟ้า
ถ้าถามว่า งั้นท่านทำถูกทำผิด ก็ไม่ต้องวิจารณ์ราชวงค์.....
ท่านต้องเข้าใจว่า มี 2 สถานภาพ ที่อยู่ได้ด้วยศรัทธา คือ 1. ศาสนา 2. พระราชามหากษัตริย์
ถ้าพระราชา .........ประชาชนไม่ยอมรับเอง ไม่ต้องไปวิจารณ์หรอก
ที่วิจารณ์ เพื่อทำลายหรือส่งเสริม
โดยรวมคือ มีเหตุมุ่งหมายเป็นความคิดไม่ดีต่อราชวงศ์จักรี
นี่หรือเปล่า ถึงวิภาควิจารณ์
ถ้าบอกว่า เราเป็นลูก ต้องการรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียม ต้องจำเป็นวิจารณ์หรือไม่
...วิจารณ์ ไม่ใช่หมายถึงความเคารพ มันวิจารณ์หรือประจาน
เหตุการณ์ก็ไม่รู้จริงเท็จ จัดฉาก ละครน้ำเน่า...
ต้องคิดว่า สิ่งที่เราทำ มันชอบธรรมไม๊
กลับมาถาม หลวงปู่อยู่ได้เพราะศรัทธาหรืออะไร
กูไม่ได้อยู่ได้ด้วยศรัทธา กูอยู่เพราะรู้ สามารถ เพอเฟคแมน (perfect man)
กูรู้ว่า ศรัทธาไม่ยั่งยืน ทำไม่ยาก เสกนิด เสกหน่อย ก็ได้แล้ว
แต่เพราะ สองขากูแข็งแรง .....หนึ่งหัวคิดออก ....
....ดีครับท่าน ใช่ครับผม แต่กูไม่ใช่ ...หลวงปู่เป็นคนไม่ใช่รักษาศรัทธา
แต่อยู่ได้เพราะ หนึ่งหัวคิดออก สองขาแข็งแรง หนึ่งตัวตั้งมั่น…
ถูกคือ ถูก ดีคือ ดี ผิดคือ ผิด ชัดเจน
อยู่ไม่ใช่เพราะอาศัยศรัทธา แต่อยู่เพราะ...
วัดอื่นติดป้ายตั้งแต่หัวตรอกถึงท้ายตรอก เค้าลงหนังสือพิมพ์ให้หลื้ม
มึงเคยเห็นหลวงปู่ทำอย่างนั้นไม๊ ....กล่องเต็มไปหมด
เพราะว่ากูอยู่ ไม่ได้อาศัยศรัทธา แต่อาศัยสติปัญญาและลำแข้งของตน
ไม่ได้อาศัยศรัทธามันโดยตรง ศรัทธาเป็นเครื่องประกอบความสามารถ
พระราชาองค์นี้ก็เหมือนกัน อยู่ด้วยความรู้ความสามารถ จนคนทั่วโลกนิยมสรรเสริญ
....แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เป็นคน ใช่คนหรือเปล่า ถ้าเป็นคนไม่ใช่คน มันก็ว่า เลว
ถ้าเป็นคนกับคน มีความสามารถ..แต่ทุกวันนี้ มุมมองของคนใช่คนมันน้อยมาก
แต่คนไม่ใช่คน เยอะมาก
สรุป อยากทำลาย ไม่ใช่อยากส่งเสริมสถาบันหลักของชาติ
เพราะฉะนั้น การอาศัยอยู่ในโลกโดยศรัทธา แต่ขาดปัญญา จะเป็นคนอ่อนแอ
มึงว่า หลวงปู่เป็นคนอ่อนแอไม๊
อ่อนแล้ว แต่ไม่อ้อแอ้ ไม่เคยย่อท้อและท้อถอยต่อภาระกรรมที่เกิดขึ้น
เมื่อวาน สอนพระผัดข้าว แกงส้ม เราบอกว่า ท่าน วิปัสสนา คือ อยู่กับกะทะ ตะหลิว
หั่นผัก ล้างหม้อ จัดระเบียบ เช็ดถู ถ้าทำด้วยปัญญา จะไม่แตกเสียหาย
ใครไปช่วยในครัว ยกมือ เคยเห็นกูทำอะไรเสียหายไม๊
เพราะหลวงปู่มีวิชา มีปัญญา ใช้วิปัสสนา คือปัญญาในการทำงาน
ไม่เคยมีดบาดมือ น้ำร้อนลวกมือ ทำของหล่น เพราะว่า มีสติปัญญา
มีวิชชา ....ไม่ต้องไปนั่งหลับตา ให้ของไม่หล่นจากกะทะ คนหมู น้ำตาล น้ำปลา ไม่หกจากกะทะ
อากาศก็ร้อน ไฟก็ร้อน แต่จิตใจร้อน ไม่เยือกเย็น....ของเสียหาย ทำก็พลาด ไม่ได้ซากมัน
เสียเวลาเปล่าๆ
เพราะงั้น หลวงปู่อยู่ด้วยศรัทธา หรือความสามารถ
ถ้าไม่สามารถ จะทำหอมจัง ...คนผ่าตัด 7 ปี เดินไม่ได้ เป็นโรคซึมเศร้า
3 เดือนต่อมา ใช้ไม้เท้าเดินได้...
จะมาพ่นน้ำหมาก...
หลวงปู่ เค้านิมนต์ไปปลุกเสกพระ มากี่องค์ เกจิคอหัก มีอยู่องค์เดียวไม่เลย
มันไม่รู้ กูหลับมีฟอร์ม กูแอบไปหลับในสวรรค์
ขากลับจารพระให้ 9 องค์ องค์ที่กูจาร ขายองค์ละ 30,000.....
ฟอร์มกูไม่มีย้วยหรอก...
อยากบอกว่า ใครมีปาก มีเสียง มาวิจารณ์ บอก หยุดเสียเถอะ
ไม่งั้น เดี๋ยวเจอตีน...ถามจริงๆ โคตรเหง้าคุณทำได้เท่ากับราชวงษ์จักรีหรือเปล่า
ถ้าไม่ ขอให้ทำให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาคุย แสดงว่า สกุลคุณมีคุณต่อแผ่นดิน
แต่นี่ มีอำนาจแค่หางอึ่ง ทำมาคุยวิจารณ์
พระราชา ศาสนา ชาติ ทั้ง 3 สถาบันนี้ อยู่ได้ด้วยศรัทธา
ศรัทธาอาศัยความสามารถ ไม่ใช่ความสามารถอาศัยศรัทธา
ชั่วชีวิตหลวงปู่ ไม่เคยนั่งงอมือ งอตีน อ้างปากขอ
มีแต่คิดจะให้ และไม่ได้พูดด้วยความจองหอง อวดดี แต่เห็นแจ้งตามความเป็นจริง
ให้ ใจเป็นสุข รับใจเป็นทุกข์
ให้จากหัวใจ คนรับได้ประโยชน์ ก็ยิ่งสุขมากขึ้น
ถ้าทำความเข้าใจอย่างนี้ ก็ต้องสร้างความสามารถ
....ตามที่หลวงปู่ขอในวันบวงสรวง..ไม่ต้องให้อะไร
ขอให้สวรรค์ประทานพร ..สองขาข้าแข็งแรง สองมือ.. หนึ่งตัวตั้งมั่น หนึ่งหัวคิดออก...
นี่คือ พรที่ข้าอยากได้จากสวรรค์
ของดีเป็นของกู ใครไม่เห็น ก็ดีกู
ที่อวดดี นั่นอัปรีย์ ..ไม่จำเป็นต้องอวด
ดีเอาหน้า มันอาศัยไม่ได้
ดีไม่ต้องอาศัยหน้า ดีด้วยหัวใจที่เอื้ออารี
ดีที่อาศัยได้ข้ามภพข้ามชาติ ไม่เป็นพิษ เป็นภัย ดีที่ให้ได้กับคน...
ดีไม่ได้ดี ไม่ใช่.... แม้ไม่มีคนเห็น เราก็รู้
จงเชื่อว่า ความดีเป็นยารักษากาย รักษาชีวิต ทรัพย์สมบัติ
ทรัพย์สมบัติที่โจรปล้นไม่ได้ น้ำท่วมไม่หาย
ดีที่มีบารมี เรียกว่า ดียิ่งใหญ่
ดีแบบร่ำรวย ไม่ยั่งยืน ตายแล้วเอาไปไม่ได้
แต่ดีที่มีในใจ มันรวยหลายสิบชาติ รวยข้ามภพข้ามชาติ รวยยิ่งใหญ่ อย่างนี้ เรียกว่า รวย
ชั่วชีวิตหลวงปู่ พูดเสมอว่า ลูกรัก พ่อไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อให้คนอื่นไหว้
แต่หวังและปรารถนาอย่างแรงกล้าจะไหว้ตัวเองได้ กราบตัวเองสนิท
ถ้าทุกคนคิดได้อย่างนี้ ..อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน
พระองค์ไม่ได้สอนให้ไปพึ่งใคร ลูบหน้า ปะจมูกใคร
แม้ชีวิตสุดท้ายของพระองค์....สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
หลวงปู่จำเข้าสันดานว่า จะมีชีวิตอยู่อย่างไม่เมามาย ขาดสติ....
ทั้งชีวิต จิตวิญญาณ แข็งแรง เฉพาะตนและให้คนอื่นพึ่งพาอาศัยได้
จึงได้ปฏิบัติตน สั่งสม อบรม นานแสนนาน...กายศักดิ์สิทธิ์ จิตศักดิ์สิทธิ์ และธรรมศักดิ์สิทธิ์
อยากบอกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น นี่ไม่ใช่เรื่องทำไม่ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องทำลำบาก คนธรรมดาทำไม่ได้พวกเราเรียนรู้สูงกว่าหลวงปู่ หลวงปู่ไม่จบ ป. 4
พวกเราต้องทำได้มากกว่านี้ มึงกินข้าวหรือกินขี้ ข้าวคนละพันธุ์กับหลวงปู่หรือเปล่า
อยากบอกว่า ที่ทำไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ทำต่างหาก.....ตั้งใจทำ และพร้อมที่จะทำ
หลวงปู่มองพวกส่งของ พวกหั่นผัก พวกกรอก พวกแพ็ค
บางคนไปแว๊บ หายไป 2-3 วันโผล่มา บางคนแว๊บ หายไปเลย...
เราก็สังเกต พวกนี้ดีไม่ทน เพราะไม่ทนทำดี ถ้าทนที่จะทำ จะ...
เพราะมันไม่ทนทำดี...
กูอย่างหนา ...ชั่วชีวิตหลวงปู่ ไม่เคยใช้คำว่า อดทน
ดี เพราะต้องการจะทำ ป่วยก็ฉันยา
เราบอกตัวเอง คนทุกข์ยังมีมาก เราช่วยแค่นี้ยังไม่ตาย
ติดไฟ ต้มน้ำ มีกูกับหมา ก็ทำ
ปิง เรียนอยู่ธรรมศาสตร์ บอก หลวงปู่ตื่นแล้ว ผมยังไม่ได้นอนเลย
เออ ไม่ต้องนอน แช่ผักกวางตุ้ง กว่าพวกมันจะมา ก็ตี 3 ตี 4
6โมง... 8 โมง รักษาไข้ ถ้าไม่ตื่น 12 โมง แล้วจะตื่นตอนไหน
นี่ ยังค้างแกงคั่ว ..เดี๋ยวลานะจ๊ะ จะไปทำต่อ
.....พระบอก มีแต่ผัก...กูไม่ได้แกงพริก แกงถั่ว ..ถั่วฝักยาว 3 ไร่ หมู 5 กิโล ก็พอแล้ว
ผักเยอะๆไว้ ก็พอแล้ว เดี๋ยวคอเรสตอเรล.... ไก่ร้อยโล วันเดียวหายเรียบ
พระ ก็สงสารเค้านะ หุงข้าว..ฟืนกูหมดเป็นกองๆ โชคดี กูเก็บไว้นะ
ถามว่า ทำไมต้องทำเอง น้ำทุกหยด ข้าวทุกเม็ด หมูทุกก้อน มีค่า
ห้ามทิ้ง ต้องใช้ประโยชน์สูงสุด
เราจะได้ไม่เป็นหนี้
ก็ถือโอกาสสอนลูกหลานในครัวไปด้วย สอนแบบไม่ได้สอน
อ้ายสันขวาน อ้ายห่า ...มันก็ทน ไม่ไป ที่ไป ก็เยอะ
แต่ทั้งหลายทั้งปวง ให้ลูกหลานรู้ว่า อย่าอยู่ เพราะให้คนอื่นเชื่อว่า เราดี
แต่อยู่เพราะว่า เรามีดีเป็นที่อาศัยของตน
และทำดี ไม่ต้องได้หน้า
บทโศลกที่สอนไว้ ...ทุกครั้งที่ทำงาน ...จงกำจัด หัว หาง เขา งา ขน และเงา ตัวตนให้หมด
เพราะว่า สิ่งเหล่านี้ คือความลำพองยะโส
ยิ่งดีเท่าไหร่ ต้องเป็นธุลี....
..........เดี๋ยวก็โดนควายเหยียบแบน
คือ ดีไม่ต้องเสนอหน้า ดีเสนอหน้า นั่นอัปรีย์
จงเป็นดีที่เรารู้สึกพึ่งพาอาศัยได้
ดีต้องไม่รู้จักพอ ทุกเรื่อง พอได้หมด แต่ต้องดีไม่พอ
ถ้าดีพอแล้ว แสดงว่า เราต้องตายแล้ว ร่างกายเราได้ทำสมบูรณ์แล้ว
ธรรมไม่ช้ำ กิจกรรมไม่เสียหาย
จะตาย ก็ไม่เสียดายชาติภพ ที่ได้อาศัยอุทรพ่อแม่ อาศัยแผ่นดิน....
ได้กตัญญูตอบแทนคุณได้อย่างสมบูรณ์
ถึงเวลาตาย พร้อมเผชิญต่อความตายอย่างไม่สะดุ้ง
ดีแบบตัวเรามีความกล้า ไม่ลื่นไหล ไม่หวาดกลัว ไม่รักษาหน้า
กูไม่มีหน้าหรอก วันก่อน ป้ายหน้า อยากสอนลูกหลานว่า....
แสดงว่า มึงยัง....
คำสอนที่เขียนไว้หน้าวัด ...ลดมานะ ละทิฏฐิ...ไม่ทำตัวมีมานะ คือ ความถือตัวถือตน
ทองแท้ตกหลุมขี้ ก็เป็นทอง
เพชรแท้ตกหลุมไฟ ก็เป็นเพชร
ทองแท้ละลาย ก็เป็นสีทอง
ทองแท้ ไม่กลัวการเผาไฟ
เพชรแท้ไม่กลัวกราเจียระไน
เหล็กแท้ ไม่กลัวการทุบตี
คนดีแท้ๆ ไม่กลัวการพิสูจน์ทราบ
กูยังไม่เคยเห็นลูกศิษย์กูดีแท้ๆ ...ดีผลุบๆ โผล่ๆ
ดีเช้า อัปรีย์เย็น บางทีอัปรีย์ทั้งวัน คือ ดีไม่ทน
ปลูกมะม่วงรอได้ 3-5 ปี ทำดีไม่ได้ นาทีเดียว กูทวงแล้ว
แค่ความดี ก็พูดสิบชาติไม่จบ
เพราะว่า เราไม่เข้าใจดี ดีต้องมีคำชม ถ้าติ ก็ไม่นิยม ไม่ชอบ แสดงว่า ไม่ดี
บางครั้ง คำติ เป็นเรื่องดี...ไม่หลงละเมอเพ้อพก หลงไหลได้ปลื้ม...
เรายังไม่เป็น อัตตาหิ อัตโน นาโ ถ เรายังไม่เป็นที่พึ่งของตน
เรายังไม่สามารถเข้าถึงที่พึ่งของตน เข้าถึงสัจธรรม...แล้วจะไปทำเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา...
จะไปทำมรรค 8 มีแต่มักง่าย....ไม่รู้จักตัวตนของตนจริงๆ
เป็นเรื่องสำคัญมาก ...ดูแลจัดการชีวิต..
คำสอนวันไหว้ครู ..เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต
มันพ้นจากตน ..อัตตาหิ อัตโน นาโถไม๊ ไม่พ้นเลย ธรรมะ 84,000 ..
เราชอบแสวง แต่ตัวเราหาย แล้วภาคภูมิว่า เรามีความรู้เยอะ
ชั่วชีวิตหลวงปู่ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ ยกเว้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
คนไม่เชื่อ เพราะไม่มีครูบาอาจารย์
โชคดี คือเราแข็งแรง ด้วย สองขา สองมือทำได้ หนึ่งหัวคิดออก
เพราะบางครั้งการมีครูบาอาจารย์ .....ก็เป็นไม้เลื้อย รอครู...สุดท้าย หลักโยก
การมีครู ไม่ใช่เป็นเรื่องดีเสมอ เพราะว่า เราจะอ่อนแอ ไม่แข็งแรง
สุดท้าย หายใจด้วยตัวเองไม่ได้ อาศัยคนอื่นหายใจ
...เจ้าจงปลุกครูผู้ใจอารีองค์นั้น ตื่นได้จริง ไม่ต้องพึ่งที่ไหน เพราะครูผู้ใจอารีจะสอนเจ้า...
หน้าที่ ภาระของเจ้า คือ ปลุกครูผู้ใจอารีนั้นให้ได้ซึ่งอยู่ในตัวของเรา
พวกเราทำอย่างนี้ไม๊ ...ดันมีครูปากมากอีกด้วย ....กูบรรลุแล้ว
ชิตังเม แปลว่า กูรู้แล้ว
15.00 น.
พอ หมดเวลา กูจะไปทำกับข้าวแล้ว
มึงน้ำแห้งเมื่อไหร่ กูเลิกทำ..กูก็หวังว่าพวกมึงจะมีใจกว้าง กูรู้ พวกมึงกว้างมาก
หลวงปู่ก็จะต้องทำหน้าที่แบ่งเวลาของ คนทุกข์ คนสุข หรือสุกๆ ดิบๆ
พอ ไป เดี๋ยวจะไปทำกับข้าว ไปช่วยกรอกข้าว
อ้อ เดี๋ยวนัดวันไปสวดมนต์ที่ศิริราชหน่อย
ไปไม๊ เออ จะพาพระใหม่ไป เดี๋ยวให้เค้าไปจองสถานที่
คิดว่า เอาอยู่ อดทนไว้ คงจะจบภายในสิ้นปี
ศิริราชน้ำลดแล้ว...มาที่นี่ยากไม๊ สงสารคนมา
บางคนบ่น มา 4 ชั่วโมง 94 มาจนได้ มาจนถึง
บอก ไม่ใช่ท่าน ไม่มา...
เมื่อเช้าหลวงปู่บวชพระ 99 รูป เณร 2 รูป...แบ่งบุญให้ลูกหลาน...
ใครจะต้องการปฏิบัติธรรมเต็มที่ ก็ไป ทองผาภูมิ หลวงปู่มีเวลาสอน 10 วัน
วันพ่อพรุ่งนี้ ใครพาพ่อมา จะมีของขวัญให้ทั้งพ่อทั้งลูก มีพระประธานแจก 15.20 น.
ห้องสมุดธรรมอิสระ
แสดงธรรมอาทิตย์ต้นเดือน วัดอ้อน้อย วันที่ ๔ ธ.ค.๕๔
- Details
- Written by พระธนุส กิตฺติญาโณ (พระจูเนียร์)
- Hits: 2907