20.06.54  กระทรวงการคลัง  “ ธรรมะกับการเปลี่ยนแปลง”โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

การเปลี่ยนแปลงในมุมมองของพระศาสนา
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านรอง...กระทรวงการคลัง ท่านหัวหน้าส่วนราชการทุกท่าน
ผู้ปรารถนาเป็นผู้เข้าอกเข้าใจในความจริงของวิถีคิด วิถีทำ วิถีชีวิต
เกี่ยวกับวิถีแห่งการเปลี่ยนแปลง
ขอบอกก่อนว่า เราจะมีการแสดงธรรมเป็น 2 ภาค
ภาคแรก ก็คือ การกล่าวหัวข้อที่เค้าให้พูด
ภาคที่ 2 ก็คือ การถาม ปุจฉา วิสัชนา
ก็คือ ถามตอบปัญหาทุกข้อข้องใจ
ที่ท่านมีอะไรที่ไม่เข้าใจ ถามอะไร
ยกเว้นว่า หวยออกอะไร ไม่ต้องถาม
แล้วก็ใครมีปัญหาอะไรที่ค้างคาใจในครั้นอดีต ปัจจุบัน
และจะมีต่อไปในอนาคต
ก็เขียนใส่กระดาษ แล้วเดี๋ยวพิธีกรเค้าจะอ่าน เพื่อจะถาม
นี่คือ ภาคสุดท้าย
ทีนี้มาพูดถึงเรื่องหัวข้อเรื่อง ความเปลี่ยนแปลง
ชั้นเพิ่งทราบเมื่อวานนี้ ไม่ได้ดูใบนิมนต์ที่เค้าส่งไปนิมนต์
เมื่อวานนี้ไปแสดงธรรมที่โรงพยาบาลทหารเรือ
เค้าก็บอกว่า พรุ่งนี้ ต้องมาที่นี่ ก็จำเป็นต้องมา
พูดถึงความเปลี่ยนแปลง อยากบอกว่า
ทุกคนหนีไม่พ้นคำว่า เปลี่ยนแปลง
เราทุกท่าน ถ้าไม่เปลี่ยนแปลง ก็คงไม่มาถึงตรงนี้
ออกจากท้องแม่ ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย ป่านนี้ก็คงไม่โต
นี่คือ ความเปลี่ยนแปลงที่มันมีอยู่ในความเป็นจริงของชีวิต
เราถามว่า รู้ไม๊ เข้าใจไม๊
ก็อาจจะรู้แบบผิวเผินก็ได้ เข้าใจแบบไม่ถูกลักษณะ
หรือไม่ถูกต้องตามสามัญลักษณะ
คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สักเท่าไหร่
เหตุผลเพราะว่า เราไม่พัฒนาตัวรู้ เราไม่มีตัวรู้จริงๆ
เรามีแค่เพียงแต่ความทรงจำ
หรือรู้ด้วยสัญชาตญาณ แต่ไม่ใช่รู้ด้วยปัญญา
ถามว่า ความเปลี่ยนแปลงมันมีอยู่ทุกสภาวะไม๊
มีอยู่ทุกสภาวะ
ตั้งแต่เอาง่ายๆ ผมบนหัวเรา ออกจากท้องแม่
มันเส้นนี้ที่ไหน มันก็ไม่ใช่เส้นนี้
อ้ายเส้นนี้มันอาจจะผ่านการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการ
มาเป็นยาว สลวย สวยขำ กลับกลายเป็นสีหงอก สีเทา ก็แล้วแต่
นี่คือ ความเปลี่ยนแปลงอยู่ในเซลล์
และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้
เป็นความจริงอันประเสริฐที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนให้เรารับรู้
ถามว่า เมื่อรู้การเปลี่ยนแปลงแล้ว จะทำให้เกิดอะไร
ชั้นไม่อยากจะพูดถึงความเปลี่ยนแปลงมากเกินไปนัก
แต่อยากจะพูดว่า เมื่อรู้ความเปลี่ยนแปลงแล้ว
มันจะทำให้เกิดประโยชน์อะไร
มันก็จะทำให้เราไม่โง่ เข้าใจ รู้จัก ตามความเป็นจริง
มันก็จะถอนซึ่งอุปาทาน ความยึดถือ อำนาจตัณหา
ความทะยานอยาก และกิเลสกรรมทั้งปวง
ทีนี้เราไม่ต้องไปแย่งอะไรกับใครเค้ามา
ไม่ต้องไปคดโกงใคร ไม่ต้องไปทำร้าย ทำลายใคร
เพราะแม้ที่สุดได้มา มันก็ไม่เป็นของเราอยู่ดี
เพราะมันต้องเปลี่ยนแปลงไป
เราต้องเปลี่ยนจากมัน มันก็ต้องปลี่ยนหายจากเรา
สรุปรวมๆ ก็คือ เมื่อเข้าใจ รู้จักตามความเป็นจริง
ในความเปลี่ยนแปลงของชีวิต สรรพสิ่ง สรรพวัตถุ สรรพธรรมชาติ
แล้วก็สรรพชีวิตทั้งปวงรอบๆตัวเราในโลก
รวมทั้งภายในและภายนอกกายเรา
มันจะทำให้เราอยู่ได้อย่างเป็นผู้ที่ไม่โดนครอบงำ
อยู่ได้อย่างเป็นผู้ไม่ตกเป็นทาส อยู่ในอำนาจของสรรพสิ่งทั้งปวง
แล้วเราก็จะเป็นผู้ใช้มัน ไม่ใช่มันมาใช้เรา
แต่หากเราไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก
สภาวะธรรมแห่งความเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก
เราจะโดนมันใช้ แล้วเราก็จะกลายเป็นขี้ข้า
เป็นทาสของมันไม่รู้จักจบสิ้น
แล้วบทสุดท้ายของชีวิต ก็คือ นอนโลง
เพราะพวกนี้ ที่เราขวนขวายแสวงหา ไขว่คว้า ยื้อแย่ง
แก่งแย่ง ชิงดี เอารัดเอาเปรียบ เข่นฆ่า
เพื่อให้ได้มันมา สุดท้าย มันก็ไปตามเราไม่ได้
แล้วเราก็เอามันไปไม่ได้
งั้น ถ้าความเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงมีในระดับนี้จริงๆ
ชีวิตมันทุกข์น้อย มันจะมีสุขมากขึ้น
แต่อ้ายความเข้าใจ รู้จัก ความเปลี่ยนแปลงที่มันมี
อยู่ ณ. วันนี้ เวลานี้ทั่วโลก มันไม่ใช่มีอยู่ในระดับที่กล่าวมา
มันมีแค่ระดับสัญญา คือ ความทรงจำ
ทรงจำว่า เค้ารู้ว่า เราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
เค้ารู้ว่า สังคมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
เค้ารู้ว่าสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
แล้วเราก็รับรู้ได้ว่า ตัวเรา ชีวิตเราก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
อย่างไม่สำนึก ไม่สำนึก ไม่รู้สึก ไม่เตือนกระตุ้นตัวเองว่า
เราอย่ามัวเมา ประมาทกับสิ่งเหล่านี้เกินไปนัก
อย่ายึดถือกับสิ่งเหล่านี้เกินไปนัก
อย่าตกเป็นทาส
อย่าอยู่ในอำนาจกับสิ่งเหล่านี้เกินไปนัก
อย่าปล่อยให้มันมาเป็นนายเรามากเกินไปนัก
เราไม่เตือนตัวเราอย่างนี้
เหตุผลก็เพราะว่า ที่ไม่เตือนตัวเราอย่างนี้
เพราะเราเชื่อว่า มันเป็นของเราอยู่
มันยังคงดำรงชีวิตอยู่กับเรา
มันยังถาวรตลอดกาล ตลอดสมัย
ซึ่งเราก็สามารถคอนโทลควบคุมบังคับบัญชามันได้อยู่
เราเชื่อกันอย่างนั้น
ด้วยความรู้สึกที่เชื่อแบบนี้แหละ พระพุทธเจ้า จึงเรียกว่า อะไร
เป็นอวิชชา คือ ความไม่รู้ เป็นกิเลสกรรม
เป็นตัณหา คือ ความทะยานอยาก
เป็นอุปาทาน คือความยึดถือ
สรุปรวมๆ ก็คือ เป็นความโง่เขลาของจิตวิญญาณเรา
แล้วเราก็ต้องแบกมัน ความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเนี่ย
แบกไปเรื่อย แบกอยู่ในบ้าน แบกออกนอกบ้าน
แบกเดินไปท่ามกลางถนน แบกอยู่ในที่ทำงาน
แล้วก็แบกอยู่ในหน้าที่ตำแหน่งของตน
แบกความเปลี่ยนแปลง
เหมือนกับบุคคลผู้แบกฝุ่นละอองอยู่บนบ่าเต็มทั้ง 2 ข้าง
แล้วก็บอกว่า นี่ทรัพย์อันประเสริฐ
เหมือนกับบุคคลที่แบกปุยนุ่นอยู่บนบ่าเต็ม 2 ข้าง
หรือว่าปุยเมฆอยู่บนบ่าเต็ม 2 ข้าง
แล้วเราก็บอกว่า นี่คือ ทรัพย์อันประเสริฐ
ทั้งๆ ที่ เมฆที่แบกอยู่บนบ่านั้น มันไม่คงที่ ไม่คงรูป
ไม่คงลักษณะ มันเปลี่ยนของมันอยู่ตลอดเวลา
แต่เราก็ภาคภูมิใจเหลือเกิน
แล้วสุดท้าย เมื่อแบกเมฆอยู่บนบ่า นานๆ เข้า
จากเมฆก็จะกลายเป็นไอน้ำ แล้วมันก็หายไป
ในที่สุดแล้ว เราก็มาไล่แบกใหม่
เหมือนเปรียบอีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับการจับฉวยพยับแดด
ไล่วิ่งจับพยับแดด หรือไม่ก็เงาของตัวเอง
แล้วเราก็มีความรู้สึกว่า เป็นสุขมาก กับการที่ได้ยึดถือเงา
ทั้งๆ ที่พยายามจับเท่าไหร่ มันก็จับไม่ติด
แต่เราก็บอกว่า เป็นสุข
นี่คือ ความสามารถในการดำรงชีวิตของเรา
เราเชื่อว่าอย่างนั้น
งั้น ลักษณะอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้า จึงบอกว่า เป็นอวิชชา คือความไม่รู้
เป็นตัณหา คือ ความทะยานอยาก เป็นอุปาทาน คือ ความยึดถือ
เป็นกิเลส คือ เครื่องร้อยรัด และพันธนาการให้สัตว์ต้องดิ้นไม่รู้จักหยุด
แล้วก็ดิ้นไม่หลุดซักทีด้วยซ้ำ
ถ้าเข้าใจตามนี้แล้ว ทุกเรื่อง เราก็จะอยู่กับมันอย่างไร
คำถามต่อมาว่า อ้าว แล้วชั้นจะอยู่กับมันอย่างไร
ก็อยู่กับมันอย่างเป็นผู้ที่เข้าใจ รู้จัก ตามความเป็นจริง
เมื่อเข้าใจ รู้จัก ตามความเป็นจริง
เราก็จะรู้จักบริหารจัดการ รู้จักที่จะพัฒนา
รู้จักที่จะใช้มัน แล้วก็ไม่ปล่อยให้มันมาใช้เรา
แต่ถ้าไม่เข้าใจ ไม่รู้จักตามความเป็นจริง
เราก็จะไม่รู้จักที่จะบริหารจัดการ ไม่รู้จักที่จะพัฒนา
แล้วเราก็ขวนขวาย แสวงหามาแล้วก็ตั้งมันให้กลายเป็นนายเรา
แล้วเราก็จะต้องตกเป็นทาสของมัน
แล้วมันก็จะใช้เราไปทำเรื่อง สารพัดเรื่อง ทั้งดี ทั้งเลว
ทั้งได้ ทั้งเสีย ทั้งใช่ ไม่ใช่ ชั่วเลวหยาบ
เราทำได้ทั้งหมดเพื่อมัน
แล้วสุดท้ายเราก็กลายเป็นอะไร
เป็นซาตานในสายตาของคนรอบข้าง
แล้วก็เป็นมารในตัวเราเอง
เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเนี่ย ต้นเหตุจากความไม่รู้ความเปลี่ยนแปลง
ในความเปลี่ยนแปลงในที่นี้ ถ้าพูดกันสั้นๆ
ตามหลักพุทธศาสนา มันคือ หลักไตรลักษณ์
หลักไตรลักษณ์ ก็คืออะไร
อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ อนัตตา คือความไม่มีตัวตน
ทั้งหมดเนี่ย มันไม่มีตัวตน
อยากจะบอกว่า ที่ชั้นใช้พูดอยู่นี่ เค้าเรียกว่า ไมค์
ไม่มีใครปฏิเสธว่า มันไม่ได้เรียกว่า ไมค์
แต่ตรงไหนล่ะมันเป็นไมค์
อ้ายตรงไหนมั่ง ส่วนไหนมั่ง มันเป็นไมค์
มันเป็นหลายสิ่งรวมเป็น 1 สิ่ง เรียก 1 สิ่งนี้ว่า ชื่อนี้ว่า ไมค์
เพราะสำเร็จประโยชน์ทำในกิจกรรม
แต่เมื่อถึงคราวที่มันจะต้องเปลี่ยนแปลง
หลายสิ่งก็แตกแยกออก
1 สิ่งก็แตกแยกออกเป็นหลายสิ่ง
แล้วทีนี้ หาได้ตรงไหนว่า มันคือ ไมค์
มันก็ไม่ได้เรียกว่า ไมค์อีกแล้ว
แล้วไมค์ตัวนี้ มันอยู่ได้ตลอดกาล ตลอดสมัยไม๊
ไม่ ไม่ใช่ เดี๋ยวมันก็เสื่อม ใช้มันก็เสื่อม
นี่คือ ความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราไม่ค่อยเข้าใจ
เราไม่ค่อยรู้จัก เพราะเราติดอยู่ในสมมุติไง
เรามีอุปาทาน ความยึดถือ
และเราเชื่อในสมมุติว่า เป็นของจริงอยู่เนืองๆ
เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ชั้นเขียนบทโศลกไว้บทหนึ่ง
ตอนอยู่ถ้ำรังเสือ จังหวัดราชบุรี ว่า
ลูกรัก จงรู้จักสมมุติ ใช้สมมุติ ยอมรับสมมุติ
ได้ประโยชน์จากสมมุติ ให้ประโยชน์กับสมสุติ
และท้ายสุด อย่ายึดติดในสิ่งที่เป็นสมมุติ
เจ้าคือ พระพุทธะ
แต่ถ้าเมื่อใดที่เรามีชีวิตอยู่กับสมมุติ โดยไม่รู้จักสมมุติ
แล้วสุดท้าย ตกเป็นทาสของสมมุติ
เจ้าก็คือ สามัญสัตว์ธรรมดาๆ ที่ต้องรอเวลาให้ผู้แข็งแรง
มาปลดเปลื้องเราจากสมมุติให้หมดไป ซึ่งมันยากมาก
เพราะว่า ไม่มีใครจะทำอะไรให้ตัวเราได้ เท่ากับตัวเราเอง
เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า
อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน
เพราะฉะนั้น ในวันนี้ พวกคุณมาเรียนรู้ ศึกษา หรือฟังความเปลี่ยนแปลง
ซึ่งเป็นสามัญลักษณะ ซึ่งมันเป็นมานาน
แล้วคุณก็เจอมันอยู่ตลอดเวลาทั้งชีวิตคุณ
กว่าจะโตมาถึงวันนี้ ถ้าคุณไม่เปลี่ยน ก็มีแต่ตาย
เพราะฉะนั้น คุณเข้าใจความเปลี่ยนนี้ไม๊
ถามว่า เข้าใจไม๊   เข้าใจ
รู้จักไม๊   รู้จัก
แต่รู้และเข้าใจเพียงแค่เปลือก
ที่เรียกว่า สัญญา คือความทรงจำ
ลักษณะอาการของจิต นี่มันทำหน้าที่อยู่ 4 อย่าง
รับอารมณ์
จำอารมณ์
คิดในอารมณ์
และรู้ในอารมณ์
คุณใช้จิตแค่ 2 ตัว รับ กับ จำ
แต่ คิด กับ รู้ น่ะ คุณไม่ค่อยใช้
ธรรมชาติของสามัญสัตว์ เป็นอย่างนี้
รับ กับ จำ  รับ กับ จำ อยู่อย่างนี้
แต่ คิด กับรู้ นี่ ไม่ค่อยได้ใช้
จะใช้นานๆ ที  ไม่ใช่ใช้ถี่ๆ
หลายเรื่องในชีวิตคุณที่ผ่านมาในช่วงเวลา 1 ชั่วโมงเนี่ย
บางทีบางครั้ง คุณแทบจะไม่ได้คิดมันเลย
มีแต่ รับ กับ จำ  รับ กับ จำ
แต่คิด กับ รู้ นี่ ใช้มันน้อยมาก
เพราะฉะนั้น คุณก็เลยต้องตกเป็นทาสของความไม่รู้
ความโง่เขลาที่เรียกว่า อวิชชา
แล้วสุดท้าย ตัวคุณเองก็จะอยู่ในอำนาจของความเปลี่ยนแปลง
แล้วก็ปล่อยให้ความเปลี่ยนแปลงมามีอำนาจเหนือคุณ
แล้วก็ชักใยคุณ ให้คุณสุข ให้คุณทุกข์ ให้คุณร้องไห้
ให้คุณดีใจ ให้คุณปลาบปลื้ม ให้คุณเสียใจ
เออ วันนี้ ชั้นได้ 2 ขั้น ปีนี้ ชั้นได้เลื่อนขั้น ก็ดีใจ
ปีนี้ ชั้นไม่ได้เลื่อนขั้นซักขั้น ก็เศร้าใจ เสียใจ
ปีนี้ได้แค่ขั้นครึ่ง ก็พึงพอใจในระดับหนึ่ง
ปีนี้เสียตำแหน่งไปอีกแล้ว ก็แย่แล้ว ใจตก  ตกใจ
รวมๆ สรุปแล้ว เราไม่พร้อมที่จะเผชิญกับความเป็นจริง
จริงๆ เราหลอกตัวเองตลอดเวลา
เหมือนที่เราแบกปุยเมฆเดินไปกลางแดด
แล้วเราก็ภูมิใจในปุยเมฆที่เราแบกเหลือเกิน
แล้วเราก็บอกกับคนอื่นๆ ว่า
เรามีสมบัติมหาศาลอยู่บนบ่าเรา
แต่พอปุยเมฆโดนแดดแล้ว มันก็ระเหย
แล้วเราก็ไปไขว่คว้า ไปหาปุยเมฆมาแบกใหม่
แล้วเราก็ภาคภูมิใจในงานนี้เหลือเกิน
แล้วทำไงถึงจะมีชีวิตอยู่ได้กับความเปลี่ยนแปลง
ก็มีชีวิตอยู่ด้วยความเข้าใจ รู้จักตามความเป็นจริง
และมีชีวิตให้สอดคล้องอยู่กับมัน
ยอมรับมัน แล้วก็อยู่กับมันอย่างเป็นผู้ใช้มัน
อย่าให้มันมามีอำนาจเหนือ แล้วก็มาใช้เรา
เท่านี้แหละ คุณก็จะสามารถอยู่กับความเปลี่ยนแปลง
ได้อย่างไม่ทุกข์เกินไป เป็นสุขพอควร
แล้วก็ไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในอำนาจการครอบงำของความเปลี่ยนแปลง
จนกลายเป็นลื่นถลา ตกลงไปในที่ชั่ว ทำชั่ว
เผลอพูดชั่ว และคิดชั่ว จากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงปรารถนา
คนที่ทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว จากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่พึงปรารถนา
เป็นคนน่าสมเพชนะ ไม่ใช่น่าสงสาร
เหมือนๆ กัน คนที่เห็นว่า ตัวเองยังไม่ได้ตำแหน่ง
แล้วก็ไปหาวิธีการ ทำวิถีทาง ไม่ว่าจะดี
คือ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา
เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง โดยไม่คำนึงถึงความถูก ความผิด
ความดี ความชั่ว ความได้ ใคร่เสีย
ใครจะเสียประโยชน์อะไร ไม่คำนึง ขอให้กูได้มา
ทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว เพราะความเปลี่ยนแปลง
แล้วมันคงที่ไม๊
มันก็ไม่ได้คงที่ แล้วมันก็หายไป
มันอยู่ได้ไม่นาน เดี๋ยวมันเสื่อม
แล้วเราก็ภูมิใจในความที่มันได้มาแว๊บๆ
แต่เสียใจกับความเสื่อมยาวนาน
นี่คือ ชีวิตของมนุษย์ที่มีอุปาทาน ความยึดถือ
มีตัณหา ความทะยานอยาก
มีอวิชชา คือ ความโง่เขลาที่ไม่รู้จริง ไม่เข้าใจรู้จัก
เมื่อวานนี้ ชั้นไปแสดงธรรมที่โรงพยาบาลทหารเรือ
ให้กรรมฐานคนที่มาฟังธรรม
บอกกับเค้าว่า ให้ภาวนาตามนี้ว่า
ทั้งชีวิตคุณทุกนาที ถ้าคุณไม่ทำบุญ มันก็จะเป็นบาป
ถ้าคุณไม่มีปัญญา คุณจะมีความโง่เขลา
งั้น เมื่อใดที่เรามีความโง่เขลา เราก็จะทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว
แต่ถ้าเมื่อใดที่เราชาญฉลาด เราก็จะทำดี พูดดี คิดดี
เพราะงั้น หน้าที่ของเรา ก็ต้องทำให้จิตนี้มันสร้องเสพแต่สิ่งที่ดีๆ
คือมี สติ สมาธิ แล้วก็ปัญญา
แล้วก็ท่องไว้ในใจ สติ สมาธิ ปัญญา เข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น
มีสติ สมาธิ ปัญญา เข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น
ไม่รู้จะทำอะไร ดีกว่าไปนินทา ด่าชาวบ้าน ก็ท่องไว้ในใจว่า
สติ สมาธิ ปัญญา เข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น
มันก็จะทำให้ชีวิตเราพร้อมที่จะเผชิญกับความเป็นจริง
และความเปลี่ยนแปลงทั้งปวงได้
เจริญธรรม
ทิ้งเวลาให้คุณถามปัญหา อยากถามอะไร เชิญ
ชั้นว่า แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอสำหรับคนที่อยู่ในโลกแห่งความเปลี่ยนแปลง
และพร้อมที่จะเผชิญกับมันอย่างเป็นผู้มีสติ สมาธิ ปัญญา
ใครมีปัญหาอะไร ฝากคำถามกับพิธีกร
ให้พิธีกรเค้าช่วยถาม
ไม่มีเลยเหรอ
ใครอยากถามอะไรไม๊
หายใจกันหรือเปล่า ทำไมนั่งนิ่ง
ช่วยเบาไฟพวกนี้หน่อยได้ไม๊
มันทำตาชั้นชักเริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว
ขอบคุณครับ
เป็นดาราได้เลย
มือถือไมค์ ไฟส่องหน้า
มีใครถามอะไรไม๊
หลายคนอาจจะสงสัย เอ พระมาเกี่ยวอะไรกับงานกูวันนี้
ที่จริงน่ะ มีพระทุกงานน่ะดี
ดีกว่ามีซาตานทุกเรื่อง
อ้าว จริ๊ง จริง มีพระ พกพระไว้บ้าง
มันจะทำให้เรารู้จักคิด รู้จักเข้าใจ
เหมือนอย่างที่ วันนี้ ถ้าชั้นไม่มา
คุณจะรู้ไม๊ว่า จิตมีหน้าที่ 4 อย่าง
รับอารมณ์ จำอารมณ์ รู้อารมณ์ คิดอารมณ์ คุณจะรู้ไม๊
แล้วถามว่า วันหนึ่ง หนึ่งวัน หนึ่งชั่วโมง
คุณใช้จิตตัวไหนมากที่สุด
ใช้จิตตัวไหนมากที่สุด
รับ มากที่สุด
รับ กับ จำ เนี่ย
บางที รับ แล้วก็ จำ ไม่ค่อยได้
เช่น จำ ไม่ค่อยได้ว่า เป็นหนี้ใคร
แต่จำได่ว่า เงินชั้นมีเท่าไหร่ อะไรประมาณนี้
ผัวคนอื่น ชั้น จำ ไม่ได้ แต่ผัวชั้น ชั้น จำ ได้หมด อะไรประมาณนี้
คือ เราใช้แต่จิตตัว รับ กับ จำ  รับ กับ จำ
อ้าย คิด กับ รู้ ไม่ค่อยได้ใช้
เพราะไม่ค่อยได้ใช้ในความคิด กับ ความรู้
เราก็เลยอยู่ในอำนาจการครอบงำของความเปลี่ยนแปลงในทุกเรื่อง
งั้น ถ้าเราฝึกให้ตัวเราเป็นผู้ คิด กับ รู้ บ่อยๆ
ให้ รับ กับ จำ อยู่ข้างหลัง
ก่อนจะ รับ ต้อง คิด ก่อน
คิด แล้ว จึงจะ รับ ว่า มันถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว ใช่ ไม่ใช่ ได้หรือเสีย
แต่เวลานี้ เราไม่เคย คิด
ใครเค้าพูดอะไรให้ฟัง ก็ รับ ไว้หมด ดีก็ รับ
บางครั้งบางที มันไม่ต้องการพูดให้เราฟัง
พูดคนละห้อง แต่ดันเอาหูไปแนบข้างฝา
มึงพูดอะไรวะ
นี่ไง อยาก รับ ไง
ทั้งๆ ที่คำพูดนั้นก็เสียดแทงหู แต่เราก็ชอบจะฟัง
เพราะอยากจะรู้ว่า มันนินทาอะไรเรา
นี่เค้าเรียกว่า หูหาเรื่อง หูไม่ดี
หาวิธีล้างหูก็ยาก
เหมือนกับมีคำกล่าวที่เค้าบอกว่า
หมาจะกินซากศพ แม่หมาจะสอนลูกมัน
อย่ากินหูนะลูก ถ้ากินหูแล้ว เอ็งจะนอนไม่หลับ
เอ้า สุดท้าย กินใจ โอ้โห ใจนี้ชั่วมาก อย่ากินเลย
รวมแล้ว ทั้งตัวของมนุษย์ นี่หมากินไม่ได้เลย
ที่เค้ามีตัวอย่าง เช่น หลวงพ่อพุทธทาส ท่าน..การ์ตูนให้ดูน่ะ
ทั้งตัวของมนุษย์นี่ หมากินไม่ได้
ถ้าพูดเป็นภาษาชาวบ้าน ท่านก็เรียกว่า หมาไม่แดก
ชั่วจนหมาไม่แดกเลยทั้งตัว ตั้งแต่หัวจรดปลายตีน
ท่านว่าอย่างนั้นนะ ไม่ใช่ชั้นว่า
แต่เอาคำว่าของท่านมาเล่าให้พวกคุณฟัง
งั้น จะทำยังไงไม่ให้หมารังเกียจเรา
แล้วก็เวลาเราไปนอนกลางป่าช้า แล้วหมาอยากกินเรา
ชั้นก็ไม่คิดว่า พวกคุณคงไม่โดนให้หมากินหรอก
แต่อยากจะบอกว่า เค้าเปรียบเปรยว่า
เราจะทำยังไง ให้ชีวิตเราตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเนี่ย
รู้จัก คิด ก่อน รับ
รู้ จึงจะ จำ
ถ้าไม่ดี ก็อย่า จำ  อย่านำเอามาเก็บเอาไว้
แต่ณ. วันนี้ เราไม่เคยเลือกไง
เรา จำ ทุกเรื่อง ดีหรือชั่ว จำ หมด
แล้วก็เอามาทุกข์ เอามาทำให้ชีวิตเราเป็นเรื่องขุ่นเคือง มัวหมอง เศร้าใจ
เอ้า เค้ามีคำถาม เชิญ
คำถาม  ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ครอบครัวเรา
จะทำยังไงให้เราอยู่กับสิ่งเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ให้อยู่ได้แบบเหมือนเดิม
หลวงปู่   แบบให้เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเหมือนเดิม น้องหนู ไม่มี
ชีวิตเราไม่มีอะไรเหมือนเดิม เมื่อวานที่ผ่านมาแล้ว
วันนี้จะย้อนกลับมาเหมือนเมื่อวานก็คงไม่ได้
เมื่อวาน คุณอาจจะชอบกินเผ็ด กินเปรี้ยว
แต่พออายุมากเข้า เผ็ด เปรี้ยว กินเข้าไป ก็เป็นโทษต่อร่างกาย
มันก็ไม่เหมือนเดิม
แม้จะบอกว่า มันเหมือนเดิม ทำไมจะไม่เหมือนเดิม
เพราะคนเก่าคนเดิม
แต่ความสัมพันธ์ สัมผัส ความรับรู้ ความรู้สึก ประสาทรับรู้
รวมทั้งอารมณ์ที่ปรากฏ มันก็ไม่เหมือนเดิมอยู่ดี
ทุกวันมันเปลี่ยนอยู่ตลอด
เพราะงั้น ครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลง
ก็เป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา
แล้วมันเป็นเช่นนั้นเอง
เราอยู่กับความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั้งชีวิตเรา
แม้ตัวเราก็เปลี่ยนแปลง
หลายคนอาจจะจ้องมองคนอื่นว่า เปลี่ยนอยู่ตลอด
แต่ลืมมองตัวเองว่า เปลี่ยนไม๊  เปลี่ยน
เราลืมมองตัวเองว่า เราก็เปลี่ยนอยู่ตลอด
ผมบนหัวเราเคยดกดำ มันก็กลายเป็นหลุดร่วง
จากดำขำ ก็กลายเป็นดำคล้ำๆ กลายเป็นสีขาวเข้ามาแซม
จากหนังที่เคยเต่งตึง ทาอะไรก็เด้งไปหมด ใช้ครีมก็เด้ง
ลมพัดไม่กระพือ เวลานั่งรถมอเตอร์ไซด์พลึบพลับๆ
ไม่ใช่เสื้อผ้า แต่หนังหน้ากระพือ
คือ พยายามพูดให้เห็นภาพไง
พูดให้เห็นภาพว่า มันเป็นอย่างนั้น
แล้วมันเป็นอยู่ทุกคนไม๊  ทุกคน
แล้วเป็นทุกวันไม๊  ทุกวัน
เป็นอยู่กับทุกคน และเป็นอยู่กับทุกวัน
และเป็นอยู่กับทุกนาที เป็นอยู่กับทุกชีวิต
แม้ที่สุด ทุกลมหายใจ
เพราะฉะนั้น โลกเราไม่มีอะไรคงที่
แล้วถามว่า เมื่อรู้เรื่องนี้แล้ว จะทำให้เราขี้เกียจทำอะไรไม๊
นอนรอวันตายอยู่อย่างเดียว
แล้วรอรับความเปลี่ยนแปลงเฉยๆ  ไม่ได้
ยิ่งรู้ว่า ความเปลี่ยนแปลงมันมี ก็ยิ่งต้องขวนขงายแสวงหา
หรือว่า ทำในสิ่งที่มีคุณค่า
เมื่อเรารู้ว่า ชีวิตมันต้องเปลี่ยนอยู่
เวลานี้เราแข็งแรง เราก็ต้องรีบขวนขวาย
ที่จะทำสาระประโยชน์ทั้งภายในและภายนอก
เป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน
ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
นี่คือ คำสอนสุดท้ายของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถามว่า พระองค์ทรงรู้ความเปลี่ยนแปลงไม๊   รู้
อ้าว รู้แล้วทำไมให้เราทำประโยชน์
ก็เพราะรู้ว่า เมื่อความเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้น
แล้วเรามีชีวิตอยู่ แล้วไม่ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์
เรียกว่า มีชีวิต มีลมหายใจ ได้พลัง ไม่ใช้พลังสร้างสรรค์สาระ
คราใดที่หมดลมหายใจ ไร้ชีวิต สิ้นพลัง ก็ไร้สาระ
แล้วจะมีชีวิตอยู่ทำไม
เพราะงั้น เมื่อรู้ว่า ความเปลี่ยนแปลง มันเกิดขึ้นตลอดเวลา
เราก็ต้องยิ่งสร้างสาระให้มากขึ้น
เพื่ออย่างน้อย ก็คือ กำไรของความเปลี่ยนแปลง
กำไรที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลง
แต่ถ้าทั้งชีวิต มีแต่ความเปลี่ยนแปลง แล้วก็มีแต่ความไร้สาระ
แสดงว่า เราบริหารจัดการความเปลี่ยนแปลง
อย่างเป็นผู้ขาดทุน ไม่ได้กำไร
อย่างนั้น ก็ต้องฟังไก่ขันตอนเช้า
คุณเคยได้ยินไก่ขันตอนเช้าไม๊ รู้ไม๊ มันขันว่าอะไร
อยู่ไปก็รกโลก โอ๊กอิโอ๊กโอก อยู่ไปก็รกโลก
เพราะเลี่ยนแปลงแล้ว รอความเปลี่ยนแปลงเฉยๆ
รอวันตายเฉยๆ
เค้าเรียกว่า อยู่ไปก็รกโลก
เสียดายออกซิเจน เสียดายอากาศ เสียดายทรัพยากร
เสียดายเวลา และเสียดายสิ่งมีค่าที่คุณได้ใช้ไปโดยไม่สร้างสาระ
มีใครถามอะไรอีกไม๊
หมดแล้วเหรอ
นมัสการพระคุณเจ้า   ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในโลกเรา
ในเรื่องภัยพิบัติที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น เฮติ
ประชาชนได้รับความเดือดร้อนมาก
ในฐานะที่เราเป็นชาวโลก มีการเปลี่ยนแปลงระดับโลกเช่นนี้
เราจะมีส่วนช่วยประเทศเหล่านั้นในฐานะชาวโลกได้อย่างไรบ้างครับ
หลวงปู่   เอาตัวให้รอดก่อนเถอะ
อย่าเพิ่งไปคิดที่จะทำให้โลกทั้งโลกมันอยู่รอด
ถ้าทุกคนในโลกคิดว่า เอาตัวให้รอด
แล้วทำชีวิตของเรารอบข้างให้รอด
มันก็เท่ากับช่วยโลกวงกว้างแล้วล่ะ
แต่ถ้าทุกคนคิดจ้องจะไปช่วยคนอื่น
แล้วในบ้านตัวเองยังซกมก สกปรก รกรุงรัง เลอะเทอะ
มีต้นไม้ ตัด มีหญ้า ฉีดยาฆ่า สารพัดอย่าง
ทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติ
แล้วจ้องที่จะไปช่วยเหลือคนอื่น 
อย่า
งั้น ให้ทุกคนเริ่มมาจากตัวเราเอง เรามีบ้าน มีคอนโด มีที่พัก มีที่อาศัย
เรารู้ว่าโลกมันร้อนขึ้น มันเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดภัยพิบัติ
ภัยทางธรรมชาติมากขึ้น ก็อย่าทำร้ายธรรมชาติ
อย่าทำให้ธรรมชาติเดือดร้อนเพราะเรา
แล้วเราก็อยู่แบบอิงอาศัยธรรมชาติ
ไม่ใช่ธรรมชาติมาคอยอิงอาศัยเรา
ทุกวันนี้ มนุษย์มักจะเข้าใจผิด คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของโลก
แล้วเวลามนุษย์ไปอยู่ที่ไหน
สัตว์อื่นจะอยู่ร่วมกับมนุษย์ไม่ได้
มันต้องตายกันไปข้างหนึ่ง
มนุษย์เท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์อยู่ในโลกใบนี้ได้
นี่คือ ความคิดของมนุษย์
มนุษย์ทำให้โลกเปลี่ยนแปลง
มนุษย์ทำให้ธรรมชาติเปลี่ยนแปลง
มนุษย์ทำให้สมดุลแห่งธรรมชาติหายไป
เพราะมนุษย์คิดว่าเป็นเจ้าของโลกไง
ถ้ามนุษย์เปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่ว่า
มนุษย์ไม่ใช่เจ้าของโลก
มนุษย์เป็นเพียงแค่จุลภาคที่อาศัยโลก
แล้วมนุษย์เป็นบุคคลเหมือนกับสัตว์อื่นๆ
ที่มีสิทธิ์เท่าเทียมกันที่จะอยู่บนโลกใบนี้
มนุษย์ก็จะรู้ว่า มนุษย์จะต้องทำตัวอย่างไร
ในการที่อิงแอบอาศัยและพึ่งพิงธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
และโลกใบนี้อย่างเท่าเทียมและเสมอกันกับสัตว์อื่นๆ
แต่วันนี้ มันไม่ใช่ เหมือนกับมีข่าว เวลาน้ำท่วมมี
เจอจระเข้  เจองู ก็ถูกคนเค้าไล่ฆ่าจระเข้ ไล่ยิงงู ตีงู
ถ้างูมันถามได้ มันก็คงจะหันมาถามว่า
โลกใบนี้ เค้ามีให้มึงอยู่อย่างเดียวเหรอ
กูไม่มีสิทธิ์อยู่ในโลกใบนี้กับมึงบ้างเลยหรือไง
จะเห็นข่าวอย่างนี้บ่อยไม๊
บ่อยมาก แล้วเป็นประจำ
เอ้า มนุษย์ก็บอกว่า จะกลัวอันตราย
อ้าว แล้วจระเข้มันไม่มีสิทธิ์กลัวอันตรายกับมนุษย์บ้างเหรอ
มีไม๊
มนุษย์นี่มันตัวอันตรายล่ะ
มนุษย์มันอาจจะกินมนุษย์ปีหนึ่งซักคนหนึ่ง
แต่มนุษย์กินจระเข้ปีหนึ่งกี่ตัว
กินอย่างเดียว ไม่พอ
แถมยังเอาหนังมันมาทำรองเท้า ทำกระเป๋า ทำเข็มขัด ทำสารพัด
แล้วเกิดจระเข้เอาหนังมนุษย์มาทำกระเป๋าบ้าง
ทำไง คิดเป็นบ้างไม๊
นี่ไง เพราะมนุษย์ชอบทำตัวเป็นเจ้าโลกไง
มนุษย์ก็เลยต้องโดนธรรมชาติลงโทษแบบนี้ไง
มนุษย์มีใจคับแคบ แล้วคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่
แล้วเป็นเจ้าของโลกใบนี้เสมอๆ ไง
แล้วมนุษย์นั่นแหละ คือผู้ทำร้ายโลก
เพราะงั้น คุณต้องเปลี่ยนความคิด
เริ่มต้นจาก เราไม่ใช่เป็นเจ้าของโลก
เราเป็นผู้อาศัยโลก แล้วโลกเป็นผู้มีคุณต่อเรา
แล้วเราควรทำปฏิกิริยาอย่างไรต่อท่านผู้มีคุณ
ชั้นคิดว่า คุณควรจะมีสำนึกและคิดเป็นเอง
เจริญธรรม
มีใครถามอะไรไม๊
กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับผม   ....จากสำนักงาน
เนื่องด้วยโครงการเชิงปฏิบัติ ขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงการคลัง
ไปสู่นวตกรรม...มีอยู่คำหนึ่งซึ่งตั้งแต่ผมจำความได้ มีคำหนึ่งว่า
ข้าราชการส่วนมาก ทำงานแบบ เช้าชาม เย็นชาม
วันนี้พวกเราชาวกระทรวงการคลัง เป็นผู้ปฏิบัติทั้งสิ้น
ดังนั้น การปฏิบัติการหรือต้านการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ผมว่าน่าจะเกิดจากจิตวิญญาณที่อยู่ข้างใน
ให้การบริการประชาชน
โครงการอะไรที่กระทรวงการคลังกำหนดมานั้น
พวกเราหลายส่วนที่นั่งอยู่ในนี้ เป็นผู้ที่คัดเลือกนำสู่การปฏิบัติ
อยากให้พระคุณเจ้า ..ข้าราชการที่เป็นข้าของแผ่นดิน จะนำนวตกรรมใหม่ๆ
หลวงปู่    ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่า
พวกคุณทำงานหรือไม่ทำงาน
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า คุณเข้าใจในงานที่คุณทำแค่ไหน
เพราะถ้าเมื่อใดที่คุณไม่ทำงาน
เค้าก็ไล่คุณออก มีอยู่แค่นั้น
แต่ถ้าคุณทำงานแล้ว คุณเข้าใจงานของคุณได้มากน้อยแค่ไหน
นั่นแหละคือ ปัญหา มันติดตรงนั้น
และชั้นเชื่อว่า การมาประชุมสัมนาครั้งนี้
เค้าต้องการสร้างความเข้าใจในงานที่คุณจะไปทำ
ไม่ใช่ว่า กลัวว่าคุณจะไม่ทำงาน หรือเช้าชาม เย็นชาม
เพราะถ้าคุณไม่มีผลงาน เค้าก็คงไม่เลี้ยงคุณล่ะ
ราชการเค้าคงไม่จ่ายเงินให้คุณแน่
นี่ ชั้นพูดตรงแบบชนิดที่ไม่ต้องรักษาหน้าใคร
แต่รักษาความถูกต้องว่า
จริงๆ แล้วมันอยู่ที่ว่า คุณเข้าใจในเนื้องาน หน้าที่การงาน
และวิธีทำงานมากน้อยแค่ไหนต่างหากเล่า
แล้วชั้นอยากจะฝากบอกว่า
คุณอย่าคิดเอาตัวเองเข้าไปเทียบกับคนอื่น
จงคิดเอาคนอื่นมาเทียบกับตัวเองบ้าง
เพราะเมื่อใดที่เราคิดเอาตัวเองไปเทียบแล้ว
ไปเปรียบกับคนอื่นแล้ว
เราจะเห็นคนอื่นมีมาตรฐานต่ำหรือไม่ก็สูงกว่า
จนเราทำอะไรไม่ได้เลย
แต่ถ้าคิดเอาคนอื่นมาเทียบกับตัวเราเองบ้าง
เราจะมีพัฒนาการของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่ง
แล้วในขณะเดียวกัน จงจำไว้อย่างว่า
เปลี่ยนคนอื่นน่ะยาก เปลี่ยนตัวเองน่ะไม่ลำบาก
เพราะงั้น ถ้าไม่อยากลำบาก
ก็พยายามจะปรับเปลี่ยนตัวเองอยู่ตลอดเวลา อยู่เนืองๆ
แล้วอยากจะฝากอีกเรื่องหนึ่งว่า
คุณเข้าไปทำงานตามชนบท ตามหมู่บ้าน
ตามสถานที่ราชการ หรืตามจังหวัดต่างๆ ตามภูมิภาคต่างๆ
อยากจะขอร้องว่า
อย่าคิดเอาวิถีของคนเมือง ยัดใส่ให้คนชนบท
เพราะทำให้เค้าลืมรากเหง้าของตัวเค้าเอง
เดี๋ยวนี้ คนไทยไม่มีราก ขาดเหง้า
คนไทย วัยรุ่น เยาวชน คนใจกล้า มีแต่โครงไทย ใจเกาหลี
โครงไทย ใจยุโรป โครงไทย ใจญี่ปุ่น
อ้ายโครงไทย ใจไทย ไม่ค่อยมี
เพราะฉะนั้น คุณก็ต้องรู้ว่า
คุณมีส่วนที่จะขับเคลื่อนวัฒนธรรมของสังคม
วัฒนธรรมของสังคมเราจะทำอย่างไร
ที่จะให้นวตกรรมเหล่านี้มันไปด้วยความรู้สึกอย่างมั่นคง
สังคมเรายืนหยัดด้วยลำแข้งแห่งความเป็นไทย
และรักษาความเป็นไทย
ความหมายของคำว่า ชาติ มันมีอยู่ 2 ลักษณะ
คือ เอกลักษณ์ กับสัญญลักษณ์
เอกลักษณ์ของความเป็นไทย ก็คือ ศิลปวัฒนธรรม
นั่นคือ เครื่องบ่งบอกว่า ความเป็นชาติ
ส่วนสัญญลักษณ์ ก็คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
2 สิ่งนี้ ต้องเจริญเติบโตและไปให้คู่ด้วยกันได้
แต่ณ. วันนี้ เวลานักวิชาการจากส่วนกลางไปพัฒนาชนบท
นักวิชาการจะคิดแทนเค้าอยู่เสมอว่า
ต้องการอ้ายนั่น ต้องการอ้ายนี่ สารพัดต้องการ
แต่ไม่เคยไปถามเค้าว่า สิ่งที่เค้าต้องการจริงๆ คืออะไร
บางทีบางครั้ง ขออภัย ชั้นเคยไปน่าน
แล้วก็ไปช่วยเด็กๆ ที่เค้าขาดทุนเล่าเรียน
ก็ไปหาทุนให้เค้า
วัดในจังหวัดน่าน จำไม่ได้ ก็รู้สึกว่าจะเป็นวัดใหญ่
จังหวัดน่านที่สมเด็จพระเทพฯ ท่านทรงให้ทุนไปทำกิน
แล้วเราก็ไปเทศน์หาสตางค์ให้เค้า
มีเด็กอยู่ประมาณซักพันกว่าคน
แล้วก็ถือโอกาสเอาของไปเยี่ยมพวกชนเผ่ากลุ่มน้อย พวกผีตองเหลือง
สมัยก่อน ผีตองเหลืองเนี่ย เราจะไม่ค่อยเคยเห็น
สมัยชั้นธุดงค์ในป่า ถ้าเมื่อใดที่พระธุดงค์เห็นผีตองเหลือง
ก็ถือว่า เป็นโชค
เพราะเค้าถือว่า เค้าจะไม่คบค้าสมาคมกับใคร
พวกผีตองเหลืองนี่ก็ไม่อาบน้ำ
เพราะเหตุที่เค้าไม่อาบน้ำ เค้าจึงจะมีชีวิตอยู่รอดได้ ในป่าได้ ในป่าดงพงพี
ถามว่า ทำไมต้องเรียกว่า ผีตองเหลือง
ก็เพราะว่า วิถีชีวิตของเค้า เค้าไม่ได้อยู่เป็นหลักแหล่ง
เค้าก็ปลูกกระต๊อบไปเรื่อยๆ เอาใบตองมามุงหลังคา
เอาใบไม้มาพันกาย ไม่มีเสื้อผ้า อะไรมากมาย
แล้วถ้าหากว่า มันเหลือง เค้าก็เปลี่ยน ย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ
แล้วเวลาเค้าล่าสัตว์ได้ เค้าก็จะเอาเลือดของสัตว์มาทาตัว
นี่คือวิธี ผมเผ้าของเค้าไม่ต้องไปตัด
เค้าอยู่ของเค้าอย่างนั้นได้
แล้วก็อยู่กันมาเป็นร้อยๆ หลายร้อยปีแล้ว ก็ดำรงชนเผ่าได้
แต่นักวิชาการภาครัฐเห็นผีตองเหลืองเร่ร่อน
ก็เลยไปจับมาเป็นหมู่บ้านตองเหลือง
พอจับมารวมกันเป็นหมู่บ้านตองเหลือง
ผีตองเหลือง ชั่วชีวิตไม่เคยเพาะปลูกกิน แล้วทำไง
ก็คอยจ้องแต่เวลานักท่องเที่ยวมา
ก็แต่งตัวเป็นผีตองเหลือง ให้มันถ่ายรูป
แล้วถ้าวันไหน นักท่องเที่ยวไม่มา
ก็ยืนชะเง้อมองตาหลอม รอไปเรื่อย
แล้วสอนให้เพาะปลูก ก็ทำไม่ได้
จะไปล่าสัตว์ ก็ตัวเองก็เริ่มอาบน้ำเสียแล้ว
เริ่มอาบน้ำ ราชการเอาสังกะสีไป
ประชาชนคนในเมืองเอาที่อยู่ไปให้
ปลูกบ้าน มุงสังกะสี ผีตองเหลืองไม่เคยอยู่บ้านถาวร
พอไปอยู่มุงสังกะสี ชักร้อน
ผีตองเหลืองจะทำยังไง
ราชการ คนในเมือง ก็เอาพัดลมไปให้
เอาตู้เย็นไปให้ เอาไฟฟ้าไปให้
แต่ผีตองเหลืองไม่มีอาชีพ ทำไงล่ะ
ผีตองเหลืองไม่ได้เพาะปลูก แค่ได้เงินจากนักท่องเที่ยว
ล่าสัตว์ก็ไม่ได้แล้ว เพราะตัวเองไปหาสัตว์
ก็กลิ่นของมนุษย์ที่โดนสบู่ล้าง โดนฟอก พอเข้าใกล้สัตว์แล้ว
ชั้นเคยไปดูผีตองเหลืองฆ่าเก้ง ยิงเก้งเนี่ยนะ
ปักกลดอยู่ใกล้ๆ เค้าเดินไปแค่นี้ แค่โต๊ะเนี่ย
เก้งยังไม่รู้สึกตัวเลย
เพราะกลิ่นตัวของเค้าเหมือนกับกลิ่นตัวสัตว์
เก้งแยกไม่ออก ระหว่างสัตว์กับคนต่างกันอย่างไร
แล้วเค้าก็สามารถจับสัตว์ได้
แต่เดี๋ยวนี้ ผีตองเหลืองเข้าป่า สัตว์วิ่งหนี
นี่คือ วิธีคิดของมนุษย์ไง
เมื่อก่อนชาวเขาแถวอมก๋อย แถวอะไรเนี่ย
เค้าอยู่กันอย่างมีความสุข
แต่เราคิดแบบคนเมือง ต้องเอาไฟฟ้าไปให้
เอาน้ำประปาไปให้ เอาถนนไปให้
แล้วสุดท้ายสิ่งที่เค้าได้กลับมาคือ
เอาสตางค์ที่ไหนจ่ายค่าไฟ
อ้าว ทีนี้ ไม่มีตังค์
ก็ต้องเดือดร้อน หาวิธีการแล้ว
ต้องไปทำอะไร ตัดไม้ รับจ้างไง ปลูกฝิ่น ทำสารพัด
นี่คือ วิธีคิดของคนเมือง ที่คิดว่า เค้าอยู่ไม่ได้
เห็นเค้ามุงกระต๊อบ ไม่มีข้างฝา ก็เอาสังกะสี เอาฝาไปให้
แต่ลืมไปว่า นั่นคือ วิถีชีวิตของเค้า
ที่เค้าอยู่รอด อยู่ได้ บนภูเขาและที่สูง
ที่อับทึบ เพราะมันจะได้มีลมระบาย
แต่กลัวว่า เค้าอยู่ไม่ดี ไม่ปลอดภัย
เอาข้างฝาไปยัดใส่ให้เค้า
พอเค้าอยู่แล้ว มันร้อน
สุดท้ายก็ต้องเอาไฟเข้า เอาพัดลมเข้า
เหมือนกับข้าราชการ หรือนักพัฒนา
จะสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
ในการมีชีวิตอยู่
ถ้าขาดช่วงอุตสาหกรรมเมื่อไหร่
ชีวิตคุณจะอยู่ไม่ได้ประมาณนั้นน่ะ
คือ ขาดไฟฟ้าเมื่อไหร่ ขาดพัดลม ขาดตู้เย็น
ขาดหม้อหุงข้าวเมื่อไหร่ อยู่ไม่ได้
ต้องพยายามสนับสนุนให้มี
เพราะฉะนั้น จะคิดอะไร ก็อย่าคิดแบบชาวเมืองแทนชนบท
จงคิดแบบชาวชนบท เพื่อชนบท
และให้ชนบทอยู่ได้ด้วยลำแข้งของชนบท
เมื่อนั้นแหละ คุณถือว่า ทำบุญแก่ชาติแล้วล่ะ จบ
คำถาม   พูดถึงภาคใหญ่ของประเทศชาติ
ทุกคนพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง อยากเปลี่ยนแปลง
แต่ปรากฏว่า กรณีการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
เราก็อยากจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
แต่มันเหมือนมี...ที่มันยังไม่เกิด
แล้วพวกเราจะยังไงที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงนั้นได้
หลวงปู่   อืม ชั้นว่าจะไม่มาพูดการเมืองแล้ว
คุณก็พยายามจะเขกลูกให้ชั้นเขี่ยอยู่ตลอดเวลา
เมื่อวานชั้นอัดรายการวิถีธรรม วิถีไทย พิธีกรช่อง 5 เค้าบอกว่า
โปรดิวเซอร์บอกว่า อย่าพูดการเมืองนะ
เค้าสั่งไว้ให้เสร็จ แล้วไม่วาย พิธีกรก็ดันถามชั้นอีก
ชั้นก็เลยอยากบอกพวกคุณว่า จะให้พูดยังไง ในความรู้สึกของชั้น
ชั้นไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่ากับสถาบันหลักของชาติ
ชาติต้องมีคุณลักษณ์อยู่ 2 อย่าง คือ มีเอกลักษณ์ กับสัญญลักษณ์
เอาเป็นว่า ถ้าคุณจะไปเลือกใคร
ก็เลือกตั้งบุคคลหรือพรรคที่เค้ารักษาเอกลักษณ์กับสัญญลักษณ์
ของความเป็นชาติเอาไว้ก็แล้วกัน ถ้าถามชั้นนะ
แล้วถามว่า จะอยู่กับความเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ถ้ามันจะเอาใครเข้ามาแล้ว จะมาทำลายเอกลักษณ์และสัญญาลักษณ์
ก็อย่าไปเอา อย่าไปยอมรับ
ใครก็ตามทีที่บังอาจจะเข้ามาทำลายเอกลักษณ์กับสัญญลักษณ์
เอกลักษณ์กับสัญญลักษณ์ของความเป็นชาติ ก็คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
เอกลักษณ์ ก็คือ ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม จารีตและประเพณี
เหมือนกับมีอยู่ครั้งหนึ่ง ชั้นไปที่นราธิวาส
ก่อนหน้านั้นรัฐบาลยุคเก่าๆ นั้น
ก็พยายามจะทำให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นไฮเทคโนโลยี่
เป็นยุคทองของด่านการค้าชายแดน
พยายามจะเอาโรงงานไปลง เอาการพัฒนายิ่งใหญ่ไปลง
เอาบาร์ เอาเทค เอาดิสโก้ไปใส่
คนมุสลิมเค้าไม่กินเหล้า คนมุสลิมเค้าไม่ชอบบาร์ ไม่ชอบเทค ไม่ชอบดีสโก้
อย่างดีเย็นลง เค้าก็มาประชุมรวมกัน กินน้ำชา
เพราะฉะนั้น เค้าไม่ชอบวิธีคิดของรัฐบาล
เค้าไม่ชอบวิธีคิดที่จะไปเปลี่ยนวิถีชีวิตของเค้า
ขอเพียงว่า คุณอย่ามาขัดขวางวิถีชีวิตของชั้น
ชั้นยังมีเพื่อนเป็นโต๊ะอิหม่าม เป็นโต๊ะครู เป็นครูใหญ่
ของ 3 จังหวัดชายแดน
ชั้นเคยประชุมนักบวช 3 จังหวัดชายแดน โต๊ะอิหม่าม โต๊ะครู
ที่โรงแรมทวินโลตัสที่นครศรีธรรมราช ก่อนที่จะเกิดเรื่องราวใหญ่โต
1,570 กว่าคนมารวมกัน นอนกัน วันกับคืนหนึ่ง อยู่ในโรงแรม
แล้วก็มานั่งคุยปัญหาว่า เราศาสนาไม่ต้องทะเลาะกัน
ถ้าจะทะเลาะกัน ให้เป็นเรื่องของชาวบ้าน
มาทำความตกลงกันว่า อย่าไปรังแกกันและกัน ระหว่างศาสนา
เพราะต่างคนก็ต่างสอน ต่างคนต่างทำ
แต่ทุกอย่าง เป็นเรื่องดีงามของแต่ละศาสนา
เรามาทำข้อตกลงกัน โต๊ะครู โต๊ะอิหม่าม ก็ยอมรับเรื่องนี้ว่า เป็นเรื่องถูกต้อง
เรื่องจริงที่เราต้องมาทำข้อตกลงกัน
เค้าไม่ยอมรับต่อวิธีคิดของข้าราชการ นักการเมือง
นักบริหารจัดการ นักพัฒนา ว่าจะมาเปลี่ยนวิธีคิด
และวิถีชีวิต วิถีธรรมแห่งลูกหลานในคำสอนของศาสนาอิสลามก็จะเปลี่ยนไป
เลยเป็นที่มา ต้องหาวิธีการ ต้องปลดเปลื้องจากพันธนาการของรัฐส่วนกลาง
เพื่อจะได้ไม่มาเปลี่ยนวิถีคิด วิถีชีวิตของเค้า
เพราะฉะนั้น เราจะทำยังไงให้ทุกหย่อมหญ้าในวงสังคมมีส่วนสำคัญ
เราอย่าคิดว่า สังคมเมืองสำคัญที่สุด
วัฒนธรรมคนเมืองก็สำคัญเฉพาะคนเมือง
แต่ไม่ได้หมายถึงว่า ได้รับการยอมรับจากวัฒนธรรมชนบท
ชาวเขา ชาวเผ่ากะเหรี่ยง อีก้อ มูเซอ หรืออะไร
อย่าไปเปลี่ยนเค้า
เพีงแต่ว่า เราจะทำยังไง
ที่จะช่วยเค้าให้รักษาความมั่งคั่ง และมั่นคงกับศิลปะและวัฒนธรรม
และดำรงรากเหง้าของเค้าเอาไว้ให้ตราบนานเท่านานและยั่งยืน
แล้วคุณรู้ไม๊ว่า อ้ายสิ่งเหล่านี้ มันขายได้ในทางโลก
มันขายได้ทั่วโลก
ชั้นไปจีนเนี่ยนะ ทุกหย่อมหญ้า มีแต่ตึกสูงๆ
มันมีอยู่หมู่บ้านเล็กอยู่หมู่บ้านเดียว ที่เค้าพยายามอนุรักษ์เอาไว้
เพราะเค้าถือว่า อ้ายตึกน่ะ มันขายไม่ได้
แล้วทุกคนจากทั่วโลก ทุกมุมโลก เค้าก็ไปอ้ายหมู่บ้านโบราณเนี่ย
ลี่เจียง ไปดูหมู่บ้านโบราณ
ซึ่งสมัยก่อน 30 กว่าปีที่แล้ว ชั้นไปธุดงค์ทางเหนือ
ยังมีหม้อน้ำ เค้าเรียกว่า เรือนน้ำต้น วางไว้ตามหน้าบ้านให้กิน
เดี๋ยวนี้ อย่าว่าแต่หม้อน้ำเลย
ไม่เหลืออะไรเป็นซากของวัฒนธรรมชาวเหนือแล้ว
มันมีแต่ตึกรามบ้านช่อง อ้ายบ้านไม้เก่าๆ ก็ดันมีคนมาประมูลขาย
มีคนมารับซื้อ แล้วชาวบ้านก็ขาย
อ้ายแป้นเจ็ดที่ใช้มุงหลังคา ก็กลายเป็นกระเบื้องลอนคู่
ลอนเดี่ยว สารพัดลอน
จากกาแล ก็กลายเป็นตึกสูงๆ
แล้วทีนี้เราขายอะไรล่ะ
จนเวลานี้ ทางอีสานต้องไปเอาในหมู่บ้าน
ตกใจนึกว่า ฝรั่งมายึด ขายอะไร ไม่อยากพูดว่า ขายอะไร
แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
เพราะเราขายรากเหง้า เราลืมรากเหง้า วัฒนธรรมชนเผ่าเราไง
เราไม่เข้าใจ และไม่ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมของบรรพบุรุษ
และรากเหง้าของเรา และชาติพันธ์แห่งเรา
เราภูมิใจแห่งชาติพันธ์คนอื่น
แล้วเราก็เอาความคิดของคนอื่นมายัดใส่ให้กับเค้า ใส่ให้กับตัวเรา
แล้วเราก็บอกว่า นี่คือ ชาติ
นี่คือวัฒนธรรมแห่งความเจริญ ซึ่งไม่รู้ว่า เจริญอย่างไร
แต่อยากจะบอกคุณว่า ชาวต่างชาติ เค้าไม่ได้มาอยากดูตึก
ไม่ได้มาอยากดูห้างหรอก
เค้ามาเที่ยวเมืองไทย เค้าอยากมาดูชีวิต
วิถีทำ วิถีคิด แบบไทยๆ อยู่กันแบบไหน ศิลปวัฒนธรรมอยู่อย่างไร
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไปพัฒนาอะไร
ให้นึกถึงรากเหง้า และชาติพันธ์ของท้องถิ่นนั้นๆ
และให้ความสำคัญ และให้เกียรติเค้า
นั่นแหละ คือความยั่งยืนของชาติพันธ์ และชาตินี้ จบ
มีใครถามอะไรอีกไม๊
จบแล้วเหรอ
ขอกราบพระคุณเจ้าครับ
เคยได้ยินคำว่า ความเปลี่ยนแปลง คือการไม่เปลี่ยนแปลง
หมายความว่ายังไงครับ
หลวงปู่   อย่าเวอร์ เอาปรัชญาเต๋ามาคิดเลย
ปรัชญาพุทธก็แค่คิดให้ได้ก่อนเถอะ
เดี๋ยวหัวแม่โป้งตีนจะปวด
อย่าไปอะไรมากมาย
อ้ายนี่เป็นคำพูด สวยๆ วลีสวยๆ ของปรัชญาเต๋า
เอาเป็นแค่ว่า คุณรู้ไม๊ว่า คุณกำลังแก่ลง กำลังเสื่อมลง
ผมกำลังหงอกมากขึ้น หน้าย่นมากขึ้น หนังเหี่ยวเยอะขึ้น
เกล็ดเริ่มขึ้นเยอะขึ้น กลากเริ่มมากขึ้น
คุณรู้ไม๊  ถ้ารู้แค่นี้เนี่ย นั่นแหละๆ เปลี่ยน
อย่าไปคิดสูงสุด ถึงขนาดเปลี่ยนแล้วไม่เปลี่ยน
เปลี่ยนแล้วไม่เปลี่ยนอะไรอย่างนี้
คิดมากเดี๋ยวก็ปวดหัวตาย จบ
กราบนมัสการพระอาจารย์ครับ
ศาสนาพุทธสอนว่า ให้เรารู้จักพอ
ในขณะเดียวกันก็คนที่มีร้อย แล้วก็มีล้าน มีร้อยล้าน
ก็ถือว่า เค้ามีความสามารถประสบความสำเร็จ
อย่างเดียวกันกับงบประมาณของประเทศที่เพิ่มขึ้นทุกปี
ซึ่งเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการคลังต้องรับภาระ
เหมือนกับบอกว่า แบกไว้บนบ่า
กราบนมัสการถามว่า
งบประมาณที่ว่า เปรียบได้กับการแบกเพิ่มปีละเรื่องๆ ไว้บนบ่าหรือเปล่าครับ
หลวงปู่   มันจะไม่เพิ่มยังไงล่ะคุณ
เส้นทางสายนครปฐม บางเลน มาลาดหลุมแก้ว ปทุมฯ
เพิ่งทำปีที่แล้ว ปีนี้ซ่อมแล้ว แล้วจะไม่เพิ่มได้ยังไง
เพราะฉะนั้น ชั้นไม่แปลกใจหรอก
ถ้าคุณไม่แบกปุยนุ่น จะแบกถนน แบกเหล็ก แบกสะพานก็ไม่ว่า
แต่สุดท้ายมันก็เปรียบเหมือนกับปุยนุ่นอยู่ดี
เพราะคนกินเหล็ก กินถนน กินหิน หินทราย กินสะพานน่ะ
ตาย มันก็ไม่ได้แบกใส่โลงไปได้
มันก็คือ นุ่นของมันอยู่ดีนั่นแหละ
มันก็คงอยู่ไม่รอดหรอก
เพราะฉะนั้น อยากจะบอกว่า ทั้งหมดนี่ มันเป็นแค่สมมุติ
มันเป็นของกลางที่มือยาวก็หยิบมาใช้
พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักพอ ก็เพื่อให้เรารู้จักที่จะอยู่กับธรรมชาติ
สิ่งแวดล้อม สังคม และโลกใบนี้อย่างเป็นผู้พึ่งพิงอิงแอบอาศัย
ถ้อยทีถ้อยอาศัย มันจะได้มีส่วนเหลือเพื่อพอสำหรับลูกหลานชั้นหลังๆ
แต่ ณ. วันนี้ เราไม่รู้จักพอไง
เราไม่เคยรู้เรื่องทฤษฎีแห่งความพอเพียง
หรือไม่ยอมรับทฤษฎีแห่งความพอเพียง
แล้วเราก็มีความรู้สึกต่อต้านทฤษฎีนี้ว่า มันไม่พัฒนา
เราก็เลยตะกุมตะกามตะกละ
จนอ้ายส่วนที่มันจะเหลือไว้ถึงมรดกชั้นลูก หลาน เหลน โหลน
เราก็ผลาญมันหมดไปภายในตัวเรา ชีวิตเรา ครอบครัวเรา
ทรัพยากรป่าไม้ จาดสมัยเมื่อ 20-30 ปี ยังมีป่าประมาณสัก 30 % ของประเทศ
เดี๋ยวนี้เหลือประมาณ 15 % ของประเทศ
มันไปไหนหมดล่ะ คนมันมากขึ้นเหรอ
มันก็ไม่ได้มากขึ้นมากกว่าเก่าสักเท่าไหร่ แต่ว่าทำไมล่ะ
คน บางที นายทุนบางคนมีที่เป็นพันไร่ หมื่นไร่
ทั้งๆ ที่มันกินจริงๆ นอนจริงๆ ซักกี่ไร่
กว้างศอก ยาววา หนาคืบ นั่นแหละที่นอน แค่นั้นแหละ
แต่มีบานเบอะเลย
แล้วอ้ายคนจนก็อยู่ตามตีนสะพานลอย ตามใต้สะพาน
ตามสลัมเสื่อมโทรม ก็เพราะไม่รู้จักพอไง
อ้ายคนที่มีโอกาสก็เลยฉกฉวยเต็มที่
อ้ายคนไร้โอกาส ด้อยโอกาสก็ต้องเป็นขี้ข้าต่อไป
ต้องหมดโอกาสต่อไปเรื่อยๆ
เพราะไม่รู้จักเพียงพอไง ไม่รู้จักแบ่งปันไง
ชั้นไม่เคยเห็นเศรษฐีคนไทยที่ตั้งมูลนิธิ
ให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศและบ้านเมืองนี้
แต่เศรษฐีเมืองนอก เค้ารวยแล้ว เค้ารู้จักพอนะ
บิล เกท เค้าให้ ช่วยไปทั่วโลก
เคยเห็นเศรษฐีเมืองไทยช่วยใครได้บ้าง
โอ้ย ขนาดแจกผ้าห่ม ยังออกโทรทัศน์ทุกช่องเลย
แจกผ้าห่มไม่กี่ผืน ออกโทรทัศน์ทุกช่อง
บิล เกท เค้าให้เป็นพันๆ ล้าน เป็นหมื่นๆล้าน
เค้าต้องไปออกโทรทัศน์อะไรเยอะแยะ
ไม่เห็นเค้าต้องโพนทะนา ประชาสัมพันธ์อะไรเยอะแยะ
นั่นเค้านับถือ ไม่ใช่พุทธด้วยนะ
เพราะฉะนั้น สำนึกในความรับผิดชอบสังคมและโลกมนุษย์ของเรา
มันน้อยนิดเหลือเกิน
แล้วอ้ายการเรียนรู้และการศึกษา
มันสอนให้เราลืมรากเหง้าในชาติพันธ์ของเรา
ชั้นไปแสดงธรรมที่มหาวิทยาลัยฟูกูโอกะ ของญี่ปุ่น นักศึกษาปริญญาโท
ขณะนั่งรถไป ชั้นเห็นเด็กๆ  เด็กอนุบาลนะ เค้าเกณฑ์เด็กอนุบาลลงนา
ลงขี้เลน ชั้นถามคนนำทางว่า ทำไมจึงเอาเด็กมาเล่นขี้เลน
ไม่ใช่ เด็กพวกนี้ รากเหง้าของเค้าเป็นชาวนา
เพราะฉะนั้น ก่อนจะไปเรียนรู้เรื่องอื่น
ต้องมาเรียนรู้วิชาของรากเหง้าตัวเองก่อน
แล้วก็มีอยู่ช่วงหนึ่ง เค้าพาชั้นไปดูโรงตีเหล็ก
ก็เห็นเด็กเล็กๆ มานั่งตีเหล็ก
ถามว่า เด็กพวกนี้มาจากไหน
พ่อแม่เค้าตีซามูไรขาย เค้าก็ต้องให้ลูกหลานมาเรียนรู้เรื่องพวกนี้
เป็นศิลปะ เป็นวัฒนธรรมของรากเหง้าตระกูลวงศ์
แต่บ้านเราล่ะ อายที่จะบอกว่า พ่อแม่ตัวเองเป็นชาวนา
นอกจากอายแล้วยังไม่พอใจ
เรียนจบแล้ว ก็ยังไปให้พ่อแม่ขายวัว ขายควาย ขายนา มาซื้อรถ ซื้อคอนโด
นี่มันทำลายรากเหง้าไม๊
แล้วชาวนาญี่ปุ่น พอ 60 ปี รัฐบาลให้บำนาญเหมือนข้าราชการ
เพราะเค้าถือว่า มีคุณค่ากับแผ่นดิน
ชาวนาไทยตายคานา ไม่ได้อะไร
มีควายก็ขายควาย
ควายไถนาจนแก่ ก็ยังไปเป็นลูกชิ้น ไม่ได้อะไร
เพราะฉะนั้น จึงอยากจะบอกว่า
อ้ายกระบวนการพัฒนาบริหารจัดการและเรียนรู้ของประเทศไทยเราเนี่ยนะ
มันเป็นกระบวนการของอะไรก็ไม่รู้
แต่มันไม่ได้ทำให้คนไทยแข็งแรงอย่างยั่งยืนจริงๆ หรอก
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โรงเรียนสวนกุหลาบกาญจนาภิเษก
สวนกุหลาบน้อย เค้าพานักเรียน ม. 6 ไปเข้าค่าย
ชั้นบอก ครูจะสอนวิชาอะไรก็สอนเถอะ
แต่อย่าลืมสอนรากเหง้าของเด็ก
รากเหง้าและกำพืดของลูกหลานคุณ
อย่ามัวแต่ผลิตบุคคลากรเอาไปเป็นขี้ข้านายทุนในโรงงาน
จงผลิตบุคคลากรและลูกหลานของคุณ
ให้กลับไปชดใช้แรงงานแก่บรรพบุรุษ รากเหง้าของคุณบ้าง
ให้เค้าสำนึกถึงคุณแห่งบรรพบุรุษบ้าง
อย่าเอาแต่ผลิตลูกหลานคุณ ลูกศิษย์คุณ
ไปใช้แรงงานในโรงงาน แล้วเค้าก็กอบโกย
ถึงเวลามันก็เอาเงินกลับ แล้วก็ทิ้งให้ลูกหลานคุณติดโรค
คนอีสานทำไมพูดไม่รู้จักเลิกว่า อีสานแล้งๆ
ทั้งๆ ที่คนอีสานเป็นดอกเตอร์ก็บาน
เป็นศาสตราจารย์ก็มาก เป็นนักวิชาการก็เยอะ
ทำไมไม่รู้จักกลับไปทำอีสานมันไม่แล้งเสียที
ทำไมไม่รู้จักหาวิธี
ชั้นไปแสดงธรรมที่มหาวิทยาลัยอุบลฯ
ถามว่า ทั้งหมดนี่คนอุบลฯ คนอีสานเหรอ
ใช่ ยกมือทั้งหมด 3,000 กว่าคน ในห้องประชุม
แล้วทำไมไม่คิดว่า มหาวิทยาลัยอุบลฯ ตั้งมากี่สิบปีแล้ว
ทำไมไม่ทำให้อีสานมันหยุดแล้งเสียที
คิดกันไม่เป็นบ้างหรือไง
เพราะการศึกษาไม่ได้สอนเราให้เรียนไป เพื่อชดเชยบุญคุณบรรพบุรุษ
เพื่อตอบแทนบุญคุณบรรพบุรุษ
การศึกษาบ้านเราสอนเรา เพื่อให้เราไปเป็นขี้ข้านักลงทุน
ขี้ข้าของเถ้าแก่  ขี้ข้าของโรงงาน
เราก็ภาคภูมิใจมาก แล้วสุดท้ายโรงงานก็ปล่อยน้ำเสีย ปล่อยมลพิษ
ปล่อยควันพิษ สารพัดควัน แล้วก็ถามว่า มันดีไม๊
ก็ดี มันดีแบบวิธีคิดของพวกคุณๆ ทั้งหลายที่พัฒนาแล้วไง
แล้วบรรพบุรุษก็ล่มสลาย รากเหง้าก็ไม่เหลืออะไร
แล้วพอถึงคราว เห็นไม๊
อ้ายช่วงที่ฟองสบู่แตกน่ะ เจ้าของโรงงานมันไปไหน
มันทิ้งซากโรงงานและเศษโลหะเก่าๆ ไว้
แล้วมันก็ขนเงินกลับประเทศมันเหมือนกัน
แล้วเราก็เจ็บไม่เลิกไง เจ็บไม่จำ แล้วเราก็เป็นอย่างนี้
ในฐานะที่พวกคุณเป็นการคลัง คุณต้องคิดให้เยอะว่า
คุณจะสนับสนุนอย่างไร ที่จะทำให้ความพัฒนาของเมืองไทย
และคนไทยในชนบทมันยั่งยืน แข็งแรง
แล้วก็ไม่ต้องเป็นเครื่องมือของนักการเมืองใด ใครพรรคไหน
ที่จะเอามาเป็นเครื่องต่อรองและหาเสียงว่า
จะทำให้พี่น้องร่ำรวย เจริญรุ่งเรือง น้ำไหล ไฟสว่าง ทางสะดวก
เหมือนกับว่า เราโดนกดไม่ให้เจริญ
เพื่อจะได้เป็นเครื่องมือว่า 4 ปี หาเสียงที ประมาณนี้หรือเปล่า
แล้วพวกคุณก็กลายเป็นเครื่องไม้เครื่องมือของพวกเค้าด้วยหรือเปล่าก็เลยไม่รู้
เพราะงั้น ชั้นสงสารในหลวง สงสารในหลวงว่า
ท่านทำงานไม่รู้จักเลิก ท่นก็คงจะคิดว่า
เมื่อไหร่คนไทยจะแข็งแรงอย่างยั่งยืนเสียที
งั้น พวกคุณในฐานะข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คุณต้องทำงานรับใช้สนองต่างพระเนตรพระกรรณ
เฉลิมฉลองพระบาทให้ได้ทรงงานน้อยลง
ทำให้ท่านได้ผ่อนคลาย โปร่งเบา สบายใจบ้าง
คือ คิดแบบในหลวง คิดแบบพึ่งพาตัวเอง
แต่ถ้าคิดแบบนักลงทุน ก็คือ ต้องกู้เค้า แล้วก็เอามาลงทุน
แล้วก็ไม่คิดพึ่งตัวเอง
คิดแบบในหลวง คือ คิดแบบมีต้นทุนเดิม
แล้วก็ทำต้นทุนเดิมให้พัฒนามากขึ้น
คิดแบบนักลงทุน ก็คือ คิดแบบไม่ต้องมีทุน
แค่มีสมอง มีไอเดีย ก็ไปขอทุนคนอื่นมาลง
ส่วนจะกำไร เจ็ง ขาดทุน ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถ
หรือความฟลุ๊ค หรือฟุบ ก็ว่ากันไป
มันไม่ใช่วิถีแห่งความยั่งยืนของชาตินี้หรอก
จบ
เอ้า คุณยังหายใจอยู่หรือเปล่า เนี่ย ทำไมเงียบเหลือเกิน
กรานมัสการพระคุณเจ้าครับ
ผมมี 2 คำถาม อยากกราบเรียนถาม
คำถามแรก  ตอนเล็กๆ ได้รับการสอนว่า จิตของมนุษย์มี 4 ส่วน
คือ รับ รู้ คิด และจำ ทำยังไงเราจะเลือกคิดในส่วนที่คิดว่า จำเรื่องที่น่าจะจำ
เรื่องที่เราอยากจะลืม แต่มันก็จำอยู่นั่นแหละ
เรื่องที่อยากจะจำ ก็จำไม่ได้เสียที
ทำยังไง เราจะทำในส่วนนี้ได้ คือ จำได้ในส่วนที่ควรจำ
และก็ลืมในเรื่องที่ไม่ควรจำ
อีกคำถาม ไม่ทราบว่า ทางรัฐบาลหรือผู้ใหญ่
มีนโยบายที่จะจัดการอบรมหรือสัมนา
เกี่ยวกับจะทำยังไงกับนักการเมืองของประเทศไทยของเราบ้างหรือเปล่า
หลวงปู่  อุ้ย มันไม่ฟังหรอกคุณ ขนาดเลขาฯ รัฐสภา
นิมนต์ชั้นไปแสดงธรรมในรัฐสภา ไม่มีนักการเมืองซักคน
มีแต่พวกลิ่วล้อทั้งหลาย
ไม่ฟัง เพราะฉะนั้นอยากจะบอกว่า
อ้ายจิต คิด รู้ แล้วจึงจะ รับ แล้ว จำ เนี่ย
มันต้องฝึก อย่างนี้ เค้าจึงเรียกว่า สามัญจิต
ถ้าหากว่าฝึกจนกระทั่งมี ตัวรู้ แล้ว จึงจะ รับ  คิด แล้ว จึงจะ จำ
แสดงว่า ท่านผู้นั้นเรียกอีกอย่างว่า เป็นผู้มี วิเสสะจิต คือ จิตอันวิเศษ
งั้น สามัญจิตจะพัฒนาได้ไม๊ 
พัฒนาได้
แล้ววิธีพัฒนา ก็คือ อาทิตย์ต้นเดือน อาทิตย์กลางเดือนกับอาทิตย์ปลายเดือน
อาทิตย์หน้าเนี่ย ชั้นจะสอนเรื่องสติ สมาธิ ปัญญา
ใครมีเวลาว่าง ก็ลองไปดูที่วัด สอนเดือนละ 3 ครั้ง ก็คือ
อาทิตย์ต้นเดือน อาทิตย์ที่ 2 กับอาทิตย์สุดท้ายของเดือน
ก็จะมีคนไปฝึกประมาณ พันกว่า คน ทุกสัปดาห์
สนใจก็ลองไปฝึกดู แต่ต้องใช้เวลาในการฝึกเยอะมาก
ฝึกเพื่อจะแยกจิต รู้ กับจิต คิด
ฝึกจิต รับ กับ จิต จำ ให้ชัดเจน แล้วเราจะได้รู้ว่า
จังหวะนี้ จะต้องใช้จิตดวงไหน
เช่น ในขณะที่คุณฟัง จิต รับ ก็ใช้จิต คิด
คิด ก็คือ วิเคราะห์ ตรึก ตามสิ่งที่ฟัง
เออ อะไรควรฟัง นี้เป็นประโยชน์  จำ รับเอามา
แต่หากว่าไม่เป็นประโยชน์ ก็อย่า จำ  อย่า รับเอามา เท่านั้น
งั้น ต้องใช้เวลาฝึก ไม่ใช่อยู่ดีๆ มันเกิดขึ้นเองได้ง่าย
แต่ต้องฝึกและศึกษา อบรมอยู่บ่อยๆ เนืองๆ
แล้วก็อยากจะบอกว่า จริยธรรม ศีลธรรมของนักการเมือง
คนมีศีลธรรมสูงๆ จริยธรรมมากๆ
เค้าจะไม่ยอมเป็นนักการเมือง
เพราะว่า เป็นนักการเมือง ก็คือ ต้องโกหกเป็นอาชีพ
นักการเมือง ถ้าไม่โกหก ก็ไม่ได้เป็นนักการเมือง
ต้องโกหกให้เป็น ให้ได้เป็นอาชีพ
นายแทนคุณ จิตอิสระ เป็นผู้ดำเนินรายการ
ในรายการของชั้นมาตั้งหลายปีแล้วสมัยก่อนนี้
เค้าเรียนจบใหม่ๆ ก็ยังไม่เป็นพิธีกร
ชั้นก็เอามาฝึกเป็นพิธีกรธรรมะ
จนกระทั่งได้รับโล่ห์ ได้รับรางวัลเกียรติยศ เกียรติคุณ
เวลานี้ เค้าหันไปเล่นการเมือง
ชั้นเรียกเค้ามาคุย ถามว่า คิดดีแล้วเหรอ
คิดดีแล้วเหรอว่า จะทำให้การเมืองสะอาดได้
แล้วเค้าก็เล่าให้ฟังว่า อุดมการณ์ก็คือ อยากจะเปลี่ยนแปลงระบบ
มันเป็นไปไม่ได้ เพราะคุณเกิดจากระบบเน่า
แล้วมันจะไปเปลี่ยนให้ระบบมันดี ก็คงเป็นไปไม่ได้
เค้าก็เล่าให้ฟังว่า ถ้าไปบ้านไหน ไม่มีของแจก เค้าก็ไม่ฟังเรา
เอ้า มันเป็นเรื่องจริงๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้
ถ้าเดินไปที่ไหน ไปเผยแผ่ ไปคุย ไปพูด
ถ้าไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไป เค้าก็ไม่มาฟัง
พรรคอื่นเค้าแจกเยอะกว่า เราก็ต้องแจกให้ได้มากกว่า
มันก็แข่งกันแจก
เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่า คนไทยเป็นประชาธิปไตยไม๊ 
ไม่ 
มีแต่อัตตาธิปไตย คือ เอาตัวเองเป็นใหญ่
ประชาธิปไตย ก็คือ ต้องเห็นส่วนรวมเป็นใหญ่
ไม่ใช่
คนไทยไม่ได้เห็นส่วนรวมเป็นใหญ่
การเลือกตั้ง จึงไม่ใช่เป็นคำตอบเดียวที่สามารถจะแก้ปัญหาของชาติได้ทั้งหมด
แต่ชั้นก็ยังสนับสนุนให้ไปเลือกตั้ง
ไม่ใช่โหวตโน อะไร ไม่ใช่
ยังสนุบสนุนให้ไปเลือกตั้ง
เพราะถ้าคุณไม่ไปเลือกตั้ง ไม่ใช้สิทธิ์
คนอื่นก็จะมาใช้แทนคุณ
ทีนี้ คนชั่วก็จะมีอำนาจบาทใหญ่เต็มบ้านเต็มเมือง
คนไม่ดีก็จะมีอำนาจ
ทำอย่างไรจะให้คุณไปใช้สิทธิ์ แล้วใช้สิทธิ์ให้ถูกต้อง
ก็ต้องใช้ปัญญาให้มากขึ้น ก็แล้วกัน จบ
ใครถามอะไรอีก  มีไม๊
ชั้นไม่รู้นะเมื่อเช้า เมื่อวันศุกร์ ชั้นจัดรายการวิทยุ
ตอนนี้ แถวๆ วัดชั้น ข้าวมันหาซื้อยาก
เพราะว่า มันเกิดกระบวนการตุนข้าวสาร ตุนข้าวเปลือก
พอข้าวเปลือกหาซื้อยาก คุณน่ะ กลับไป
ไม่แน่ใจว่า จะซื้อข้าวสารได้ราคาเหมือนเดิมไม๊
กลับบ้านเที่ยวนี้ เพราะข้าวเปลือกมันเริ่มหาซื้อยาก
ถามว่า ทำไมข้าวเปลือกหาซื้อยาก
ก็เพราะว่า เค้าเชื่อในนโยบายของบางพรรคว่า
จะต้องประกันราคาเกวียนละหมื่นกว่าบาท
ก็เลยมีกระบวนการคนไปกว้านซื้อข้าวเปลือกตาม
เพราะวัดชั้นอยู่กำแพงแสน รอบๆ วัดก็มีนาเต็มไปหมด
กว้านซื้อข้าวเปลือก ไม่ซื้อก่อน
กำลังอยู่ในนา ยังไม่ทันเกี่ยว ก็ตกเขียวไว้ก่อน เอาตกเขียวไว้ก่อน
เพราะว่าตุนไว้ เพื่อรอเวลาว่า
พอพรรคนี้ได้เป็นรัฐบาล ก็จะขายข้าวเปลือกตัวเอง เกวียนละ 1 หมื่นกว่าบาท
แล้วชั้นก็ไม่แน่ใจว่า พอซื้อของแพงไป มันจะออกไปขายข้างนอกได้ไม๊
เพราะว่า เวียดนาม เค้าก็ไม่ถึง จีนก็ขายข้าวไม่ถึง
อินโด ก็ขายข้าวไม่ถึง อินเดียเค้าก็ขายไม่ถึง
แต่อ้ายเราปาเข้าไป เกวียนละ หมื่นกว่าบาท
ไม่รู้ว่า จะไปขรยใครได้
มันจะเก็บไว้เน่าในคลังเหมือนเก่าไม๊
เพราะชั้นคุยกับท่านผู้อำนวยการคลังสินค้าของประเทศ
เค้าเล่าให้ฟังว่า คราวที่แล้ว ก็ข้าวเสียหายไปเป็นหมื่นตัน
แล้วก็ลำใยที่คุณลงข่าว เห็นไม๊ ลงข่าวไปเผาทิ้ง
ไปทุบทำลาย ไปถมที่ เป็นกี่หมื่นตัน
ก็ซื้อแพงไง ซื้อแพงแล้วก็มาเก็บตุนไว้ ขายไม่ได้
พอขายไม่ได้ ก็ต้องเน่า
เน่าก็ต้องอีก เงินพวกคุณกับเงินใคร เงินพวกเราทั้งนั้น
เพราะงั้น จะทำอะไรก็คิด ในฐานะที่คุณเป็นนักการคลัง
ต้องคิดเยอะๆ เพราะคุณไม่ได้ค้าขายอยู่ในบ้านคุณคนเดียว
คุณซื้อของในประเทศแพง แล้วไปขายข้างนอกถูก มีใครเค้าทำ
มีประเทศไทยทำอยู่ประเทศเดียว
ประเทศอื่นเค้าทำไม่ได้ จบ
จบแล้วเหรอ หมดเวลาแล้ว ใช่ไม๊
เค้าบอกให้ชั้นเลิกได้แล้ว
พิธีกร  มีคำถามอีกไม๊ครับ เข้าใจว่า เวลามีจำกัด
หลวงปู่  อยากฝากคุณว่า สำนึกรับผิดชอบในหน้าที่
เป็นวิธีทำบุญอย่างหนึ่ง
ถ้าคุณอยากเป็นคนมีบุญ และต้องการทำบุญ
คุณไม่จำเป็นต้องเข้าวัด ฟังธรรม รักษาศีล อะไรเยอะแยะ
แค่คุณทำหน้าที่ของข้าราชการที่คุณมีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ถือว่า คุณก็ได้บุญและทำบุญให้แก่แผ่นดินล่ะ
สำนึกรับผิดชอบในหน้าที่อย่างซื่อตรง ก็เป็นบุญอย่างหนึ่ง
หนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง
ให้ทุกท่านรุ่งเรือง เจรญ สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว
และคิดหวังสิ่งใดสมความปรารถนา
แล้วมีจิตวิญญาณที่จะยืนอยู่บนความเปลี่ยนแปลง
ได้อย่างเป็นผู้ฉลาด องอาจ สง่างาม และไม่โดนมันใช้ แต่เราเป็นผู้ใช้มัน
เจริญธรรม