26 มิ ย 2554 13.00 น. ธรรมะอาทิตย์ที่ 4 โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน
วันนี้ประมาณ 4 โมงเย็น จะเดินทางไปวัดมกุฏฯ
ไปเผาศพลูกสาวผู้เฒ่า เค้าเสียชีวิต เป็นนักปฏิบัตธรรม
ไปให้กำลังใจผู้เฒ่า ไม่มีอะไรทุกข์เท่าพ่อแม่เผาลูก
ลูกเผาพ่อแม่ ไปตามลำดับ พ่อแม่เผาลูกนี่ข้ามลำดับขั้น
พูดถึงเรื่องอาลัยอาวรณ์ ถ้าจำไม่ผิด ตรงกับคืนแผ่นดินไหว
เจตภูตของอ้ายจิโรจน์ เค้ามาเยี่ยม มาหา
มา ก็เอางานมาฝาก
ถามว่า มาทำไม
คิดถึงหลวงปู่
จะมาถามปัญหา บทโศลกที่หลวงปู่เคยเขียน แล้วผมก็ตรึกในอารมณ์
ไม่ทำอารมณ์ให้เป็นอะไร จะได้ไม่มีอาลัยในอารมณ์
ผมยังห่วงลูกชาย จะแต่งงาน
เราก็เลยว่า เพราะมึงยังห่วง มึงยังไม่ได้ดีกว่านี้
อย่างนี้ก็ตั้งใจฟัง
....ลูกรัก อย่าทำอารมณ์ให้เป็นอะไร จะได้ไม่มีอาลัยในอารมณ์
ความหมายของคำว่า อาลัย เราคงเคยได้ยินคำว่า
หมดอาลัยตายอยาก มันพูดสำหรับคนอายุมากๆ แล้วสิ้นหวัง สิ้นโอกาส
อาลัยอาวรณ์ ใช้กับคนที่ต้องจาก
ห่วงหวง แล้วก็อาลัยอาวรณ์ที่จะต้องพลัดพราก
อาลัยในที่นี้ คือ เครื่องอยู่ของจิต
จิตจำเป็นต้องมีเครื่องอยู่
เครื่องอยู่ มี 2 ลักษณะ
เครื่องอยู่ภายนอก เช่น ปลาอาศัยน้ำ นกอาศัยฟ้า มนุษย์อาศัยบ้านช่อง
เครื่องอยู่ภายใน จิตนี้ต้องอาศัยอารมณ์ ดีก็มี ชั่วก็มี
เพราะฉะนั้น อย่าทำอารมณ์ให้เป็นอะไร แล้วจะได้ไม่มีอาลัยในอารมณ์
ทำอย่างไรให้จิตไม่ต้องอาศัยเครื่องอาศัย
ทำได้ไม๊
ปัญญาเป็นอารมณ์ไม๊ ไม่ใช่
ปัญญา เป็นสภาวะธรรม
สติ เป็นสภาวะธรรม
สมาธิ เป็นสภาวะธรรม ที่จริงมันไม่ใช่อารมณ์
คนชอบใช้คำพูดว่า อารมณ์สมาธิ
เป็นสภาวะธรรมที่เราต้องระลึกถึง ลุถึง เข้าถึง
องค์ปฐมฌาณ ต้องมีอารมณ์ 5 อย่าง ยังไม่ถึงสมาธิจริงๆ
สมาธิจริงๆ เหมือนภูเขาลูกหนึ่ง...
ที่เรากำลังพูดว่า อารมณ์สมาธิ เป็นแค่เบื้องต้นของการเข้าสู่สมาธิ
อยู่ขั้นอนุบาล ต่อไปประถม มัธยม ปริญญาตรี ปริญญาเอก
จบแล้วต้องจำเป็นใช้ไม๊ ไม่จำเป็นต้องใช้ตามลำดับขั้น
เหมือนนายสิบ นายร้อย นายพล เป็นนายพลต้องมาใส่ใจข้อปฏิบัติของจ่าสิบไม๊
สมาธิแท้จริง ไม่ต้องมีอารมณ์
ปัญญาเป็นสภาวะธรรมที่จะประกอบกับจิต
เครื่องปรุงจิต เป็นเครื่องที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ทุรนทุราย
แม้คำว่า กุศล ก็เป็นเจตสิกอย่างหนึ่ง
แต่ด้วยสภาวะตัวเราแล้ว เราก็ไม่เรียกเจตสิก ว่า ปัญญา
เหมือนกับความสว่างที่ไม่มีความมืด
พระอาทิตย์สว่างกลางวัน พระจันทร์สว่างกลางคืน
ผู้มีปัญญา สว่างทั้งกลางวันและกลางคืน
เจตภูตจิโรจน์ บอกว่า หลังจากสั่งสนทนาแล้ว
ผมไม่ห่วงแล้วล่ะ มันสบายขึ้นแล้ว
มันไม่ห่วงลูกมันแต่งงาน
วางเครื่องอาศัยของจิตทั้งปวงได้
หลวงปู่สอนเรื่องนี้ไม๊
สอนเกี่ยวกับสุญญตสมาธิ หรือ อุปสมาธิกรรมฐาน
หรือไม่มีอะไรในอารมณ์
อาลัย คือเครื่องอาศัย เกิดขึ้นกับจิตทุกดวง คนทุกคน
ถ้าเราสามารถตัดอาลัยได้ เราจะตัด หมดอาลัยตายอยากได้
คำว่า หมดอาลัยตายอยาก อยากเนี่ยมันหมดไปแล้ว
ที่จริง หมดอาลัยตายอยาก เป็นวิมุตติธรรมนะ
แต่คนมาพูดเล่นสนุกๆ
ความอยากมันตายไปแล้ว
เครื่องอาศัยของจิตมันไม่มีแล้ว
ดี หรือ ไม่ดี
แต่เรามาใช้กับคนสิ้นหวัง
หรือใช้พูดกับคนที่แก่ ทำอะไรไม่ได้แล้ว
เพราะฉะนั้น คำว่า หมดอาลัยตายอยาก เป็นวิมุตติธรรม เป็นโลกุตตระธรรม
ความอยากเราตายแล้ว
พอตอบปัญหามันจบ ตัวมันก็สว่างขึ้น
ไปแล้วนะ วันหน้าจะมาใหม่
มันเห็นเราเป็นผู้รับใช้บริการ
ในฐานะที่เอาสรีระมาเป็นอาจารย์สอน...
เดี๋ยวมันก็มาอีก ไปไม่ไกลหรอก
แต่มันไปสบายกว่าพวกมึงล่ะ
สภาพจิต มันไม่ไปอาศัยสิ่งดี ก็ไปอาศัยสิ่งเลว
แต่เวลานี้ อะไรเป็นกุศล อกุศล ปัญญา ความโง่เขลา ยังแยกไม่ได้
สรุป รวมๆ มนุษย์มักจะอาศัย ตัณหา อุปาทาน ความยึดถือ
อาลัยอาวรณ์ เรียกอีกอย่างว่า คิดถึง
คิดถึง กับเครื่องอาศัย อุปาทาน
วัฏฏะปรากฏ
แค่อาลัยอาวรณ์ ไม่แยกแยะ ไม่ฉลาด แยกแยะดีชั่ว
ก็เลยหาเครื่องอาศัยของจิตไม่ถูกต้อง
หลวงปู่พูดบ่อยๆ ว่า บางคนชอบตรึก และวิตก ในเรื่องความทะยานอยาก
แต่ไม่ตรึก และวิตก ต่อวิถี..
ไม่ตรึกและวิตกในกุศล คุณงามความดี
มัวแต่คิดแต่เรื่องเศร้าๆ เรื่องงี่เหง้าของชีวิต
เหมือนสำลีปลิวไปเกาะกองถ่าน มันก็จะสีดำ ไม่มีทางขาว
เราเป็นพวกสำลีที่ชอบอาศัยกองถ่าน
สุดท้าย ชีวิตเราก็มีแต่ความผิดพลาด
ที่จริงบทโศลกหลวงปู่เป็นวิมุตติธรรม
ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง
เราไม่ต้องตายซ้ำซาก
ต้องหยุดอาการตายได้แล้ว
ไม่รู้ทำไมเดือนนี้ คนตายเยอะแยะ
คนโน้นก็ตาย คนนี้ก็ตาย
กูยังไม่ตาย
เออ กูเฝ้าย่า กูจะ เย็นๆ ชอบฟังแกคุย
แกอยากไปไหว้พระธาตุเจดีย์ชเวดากอง
พวกมึงไปกับเค้าไม๊ ก็อุ้มแกไป
เออ ไว้สบายดีๆ รถเข็นคนละคันกับอาม่า แข่งกัน
คราวที่แล้ว ให้แยกจิต ยังติดค้างไว้
วันนี้สอนต่อ
ให้ถามปัญหา
ปุจฉา เวลาปฏิบัติ........เหมือนภูเขาไฟระเบิด
วิสัชนา ที่จริงก็อยากจะตอบ อีกอย่างก็ไม่อยากตอบ
เพราะเป็นปัญหาของปัจเจกบุคคล...
อาการอย่างนั้น เป็นอาการของอุปาทาน
ยึดถือสมาบัติ สมาธิ ที่จริงแล้ว มัน...
เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว กูเคยเกิดมาก่อน
ถ้ารู้จักวาง มันจะว่าง แล้วดับแล้วเย็น
กรรมฐานที่สอน รู้จักเอามาใช้
มันแก้ได้ทุกปัญหา
รู้จัก เข้าใจ วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น
ไม่ใช่ให้ท่องเฉยๆ แต่ให้ใช้สำหรับเวลาแก้
ตอบแล้วล่ะ อย่าไปยึดถือ
หนังสือที่เขียน กูไม่ได้จำขี้ปากใครมา
ได้จากประสบการณ์ตรงของผู้ชายคนหนึ่ง..
หลวงปู่เคยอ่านหนังสือที่อาจารย์มั่นให้กรรมฐานอาจารย์ชา อ่านแล้วเฉยๆ
กับหนังสืออีกเล่ม ของเซน ของอาจารย์โป
อ่ายแล้วทำให้จิตเราสว่างขึ้นๆ
คำสอนของอาจารย์มั่น ดีไม๊ ดี
ของอาจารย์ชา ดีไม๊ ดี
แต่มันไม่ถูกจริตเรา
บางคนต้องเล่นไม้หน้าสาม
ถ้าไม่ใช้ปัญญา มันมีอุปาทานทั้งหมด
หนังสือของหลวงปู่ ถ้าศึกษา และค้นคว้า
แสวงหาคำตอบด้วยตัวเอง พิสูจน์ได้ทุกเรื่อง
ทั้งชีวิตก็ศึกษาไม่หมด
อ่านต่อไปก็แล้วกัน
อย่าอ่านบทเดียว ครั้งเดียว
บทเดียวกัน อ่าน 10 เที่ยว ก็ได้ไม่เหมือนกัน
ปุจฉา รักษาศีล 8 กับศีลอุโบสถ
วิสัชนา รักษาศีลอุโสถ ต้องมีเวลากำหนด 3 วัน กับ 2 คืน
รักษาศีล 8 ไม่มีเวลากำหนด รักษาได้ทั้งชีวิต หรือ ครึ่งวัน ผลุบๆ โผล่ๆ ยืดได้
แต่ศีลอุโบสถ ยืดไม่ได้ ส่วนใหญ่นิยมทำที่วัด
เพราะว่า ที่บ้านไม่เหมาะที่จะรักษาพรหมจรรย์
คนเอาไอสครีมมาถวายกู
กูมองมันตาออกจากเบ้าเลย
ไม่ได้มองไอสครีม มองมัน
ปุจฉา จะเข้าถึงพระรัตนได้อย่างไร
วิสัชนา ที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ ยังไม่เข้าถึงพระรัตนะ
ไม่จำเป็นต้องมีศีล
ต้องเข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้า โดยจริยา ประพฤติ ปฏิบัติ
ห้องสมุดธรรมอิสระ
แสดงธรรมอาทิตย์ที่ ๔ ว้ดอ้อน้อย วันที่ ๒๖ มิ.ย.๕๔
- Details
- Written by พระธนุส กิตฺติญาโณ (พระจูเนียร์)
- Hits: 2495