5 มิ ย 2554 13.25 น. ธรรมะต้นเดือน โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ


• มีชีวิต มีลมหายใจ ก็ทำบุญให้ได้ทุกลมหายใจ
• อยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำบุญ ก็ได้บาป
• วางเสียบ้าง ว่างให้เป็น
• จิตสงบ มีสติ ปัญญารุ่งเรือง
• จะพ้นวัฏฏะได้ ต้องคิดแต่เรื่องใหม่ๆ
• คิด รู้  คิด รู้ ให้มาก
• ชีวิตหลังความตายที่ไร้สติ มันน่ากลัว
• ต้องรู้ให้ได้ว่า ชีวิตคือ การเรียนรู้ ศึกษา สั่งสม อบรม
• หน้าที่ของเรา ต้องให้ รู้ ก่อน ต้องรู้ให้แจ่มชัด
• ถ้ามีตัวรู้ชัดแจ้ง ความคิดจะเป็นไปเองอย่างชัดแจ้ง
• วันนี้ฝึกตัวรู้ ในวิชาปราณโอสถ
• จิต เหมือนดั่งสายไฟ
• ปราณ เหมือนดั่งกระแสไฟ
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน
ใครไปเอาน้ำมาเลี้ยงกันหน่อยซิ มันอบๆ อ้าวๆ
ไปดูซิ มีน้ำอะไรบ้าง
กินข้าวแกงกูหรือยัง
วันอังคารจะไปคลองเตย  70 ไร่
ใครว่างๆ ไปช่วยเค้าตักแล้วกัน
วันนี้ใส่ห่อหรือใส่จาน
ไปขายข้างนอกใส่ห่อ ใส่จานล้างไม่ไหว
จะกำไรไม๊
บอกพวกที่ขายว่า มีชีวิต มีลมหายใจ ก็ทำบุญให้ได้ทุกลมหายใจ
อยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำบุญ ก็ได้บาป
เพราะว่า บาป เกิดจาก ทำ พูด คิด
การมีโอกาสได้ทำบุญทุกลมหายใจ ก็จะไม่เกิดบาป
ถือว่าไม่ขาดทุนชีวิต
จิตใจที่หยาบกระด้าง ยากต่อการขัดเกลา
ดูแลเอาใจใส่ ยิ่งยากใหญ่
เพราะว่า มันจะมีโลภะ โทสะ โมหะ อุปาทาน มาครอบงำ
ทำให้ไม่เห็นหน้าตาแท้ๆ ของจิต
เพราะจิตนั้น แม้ที่สุด วันสุดท้าย ก็ไม่ต้องการที่อยู่
เมื่อวานขอลาย่า บอกย่าว่า วันเสาร์ไม่มาเยี่ยมนะ จะทำกับข้าว
ย่านอนโรงพยาบาล
ถามย่ามีตังค์เท่าไหร่
ย่าบอกมี 2000
ซื้อฟืนยังไม่พอเผาเลย อยู่ไปก่อนเถอะ
บ่นตาย
แกไปกินยาหมอตี๋ ถ่ายเป็นเลือด
ระวัง พวกชอบซื้อยาหมอตี๋
ปกติ คนถ่ายเป็นเลือดนี่ ต้องปวดท้องก่อน
ถาม แกไม่ปวด
จะปวดได้ไง เพราะกินยาแก้ปวดเป็นอาชีพ
หลวงปู่ให้กินน้ำผึ้งที่ดองโสมไว้ปีกว่า ผสมกับน้ำนมเปรี้ยว
เห็นว่า 4 วัน แล้ว ยังไม่ถ่าย
เช้าๆ หลวงปู่ทำกับข้าวไปส่ง เช้าๆ ทำข้าวต้ม
ถามว่าอยากกินอะไร
อะไรก็ได้
จับฉ่ายไม๊
เหมือนเดิม
เราไม่ใช่คนร่ำรวย
กินข้าวเยอะเข้า 4 วันไม่ถ่าย
วันศุกร์ก็เลยเอาน้ำผึ้งที่หมักด้วยโสมไทย + จีน ผสมโยเกิต ใส่แห้วหมู
น้ำผึ้งดองข้ามปี ให้แกกิน
ทำแล้วไม่ได้กินเสียที
เป็นใหม่ๆ หมอก็ไม่ให้แกกิน แกก็หิว
หลวงปู่ไม่อยู่ ไปเมืองจีน ไปซื้อยา
โทรสั่งพระ
ซื้อยามาได้ 60 โล ตังค์มีแค่นั้น
ถามว่าทำไมไปซื้อเมืองจีน
ยาเมืองไทย ส่วนใหญ่ เป็นยาร้อน
ยาเมืองจีน ส่วนใหญ่ เป็นยาเย็น ต้องเอามาสกัด ฆ่าฤทธิ์ พิษ ความร้อน
ไป ก็ไม่ได้ไปเที่ยว ไปหาคนงาน กับซื้อยา
ไป ได้เรื่องทุกที หมาตาย ตัวหนึ่ง ย่าป่วย
เทวดาไม่ได้อยู่เฝ้าวัด
ตอนนี้ ดีแล้ว
หมอไม่กล้าให้ยาถ่าย กลัวว่าจะกระทบกระเทือน
หลวงปู่ให้โยเกิตกับน้ำผึ้ง
ท้อ เป็นผลไม้เย็น ลดอาการอักเสบในกระเพาะ
แกคงไม่เป็นอะไร อยู่ได้อีกนาน
กลับมาทำกับข้าว
ทุกอย่างทำค้างคืน แล้วก็นึ่ง ไม่เสีย
ถ้าอุ่นแล้ว ตั้งเตาเลย ปลาจะเละ
เอาน้ำอุ่นวางข้างล่าง เอาความร้อนจากไอมาอุ่นอาหาร
พรุ่งนี้ทำ อังคารเช้าไปแถว 70 ไร่
คนขายถาม ไข่ให้ตั้งลูก ไม่เอาซีกเดียว
เค้าก็ด่าแม่กูสิ ให้ไปเฮอะ เค้าอิ่ม เราก็อิ่ม
อย่างดีก็แสบจมูก แสบตา
ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ
กูทำแล้วมีความสุข
อะไรทำแล้ว มีความทุกข์ หลวงปู่ไม่บรรทุก ไม่แบกทุกข์
นั่นเป็นเรื่องคนไม่มีสติปัญญา
ถ้าจะมี ก็แว๊บ เดี๋ยวก็หาย
แต่ไม่ข้ามปี ข้ามวัน ข้ามชั่วโมง
ย่านี่ คุยไปคุยมา จะกลับซอยแสนสุข
ทำให้หลวงปู่รู้สึกว่า ย่าป่วยไม่ได้เป็นทุกข์
ที่ทุกข์เพราะหลง แกขาดสติ
แกจะจำบ้านเก่า
ถามว่าเพราะอะไร
สัญญา  คนแก่ชอบพูดเรื่องเก่า
อายุมากเข้า คิด รู้ ไม่ค่อยทำ
เหลือแต่ รู้กับ จำ
ถามว่าทำไมทุกขคติจึงมีมากมาย
เพราะว่า ยิ่งอายุมาก ก็ยิ่งนึกถึงบ้านเก่า สิ่งแวดล้อมเก่า
ตายแล้วก็ไปเกิดที่เก่า
เพราะฉะนั้น ต้องมีสติ
ถามว่า ทำไปหลวงปู่เล่าเรื่องย่า
น่าห่วง
ตอนไปเยี่ยมอ้ายจิโรจน์ รู้ไม๊มันพูดเรื่องอะไร
มันพูดเรื่องตอนหลวงปู่สึก
วางเสียบ้าง ว่างให้เป็น
เดี๋ยวเรื่องเก่าตามเรา
ตายแล้วไปไหน ก็ไปหาที่เก่า
มีคนถามว่า ทำไมหลวงปู่สอนกรรมฐานหลายชนิด
สรุป ว่า จิตสงบ มีสติไม๊ ปัญญารุ่งเรืองไม๊
แม้ ร้อยล้านพันชนิด ก็ได้ผล
มิฉะนั้น สุดท้าย เราจะกลับบ้านเก่า
เกิดที่เก่า คิดแต่เรื่องเก่า
สุดท้ายไปเกิดที่เก่า
จะพ้นวัฏฏะได้ ต้องคิดแต่เรื่องใหม่ๆ
มีปัญญาคิดทะลุทะลวงไปข้างหน้าให้ได้
คิด รู้  คิด รู้ ให้มาก
มันก็จะไม่เศร้า
หลวงปู่ไปเยี่ยมย่า เกาะเตียง ฟังแกคุยเป็นชั่วโมง
คนที่แกพูด ตายหมดแล้ว
ซอยแสนสุข แสนสบาย มันไม่มีทางเข้าแล้ว
ออกมาจากห้อง ไม่สบายใจ
ปล่อยให้แกพูด แล้วก็ชักกลับมา
สังเกตดู คนไม่ป่วยยังพูดเรื่องเก่า เค้าเรียก เพ้อ
ตายแล้ว ไปที่เก่า
ถามว่า ทำไมไม่ก้าวไปหาของใหม่
เพราะเราชอบความคุ้นเคย  เคยชิน
มันเป็นบริวารของมาร ซาตาน  สัญญา ความทรงจำ
แล้วเราก็จะวนรอบ ไม่หลุดจากวงจรวัฏฏะ
ไม่ได้
มีปัญญาต้องก้าวไปข้างหน้า
สติต้องรู้ ดี ชั่ว ได้ เสีย
ถามว่า ทำไม ต้องมีหลากหลายวิธี
ปวดหัว ทายาแดง ปวดท้อง ทายาแดง ใช้ได้เหรอ
เพราะฉะนั้น หลวงปู่ไม่สอนกรรมฐานอยู่กับที่
สอนเพื่อเอาไปใช้ได้ในชีวิต
จิตสงบ
สติตั้งมั่น
ปัญญารุ่งเรือง
อะไรก็ใช้ได้ อะไรก็สอนทั้งนั้น
สงสัยว่า ทำไมวัดนี้ มีกรรมฐานหลายกอง
สุดท้ายเอากองไหน
เอาทุกกอง
บางครั้งเจอโมหะ ต้องใช้ปัญญา
บางครั้งเจอโทสะ ต้องใช้เมตตา
วันนี้ได้เปราะหนึ่ง พรุ่งนี้ได้อีกเปราะหนึ่ง
มันไม่สูญไปนะ
ไม่ได้หายไปไหน ถ้ากระปุกไม่รั่ว
เหมือนพระจุลบัญฑก
ด้วยอานิสงส์สัจจะ ทำให้ได้พบพระพุทธเจ้า
วันนี้ได้หน่อย พรุ่งนี้ได้หน่อย
จะมีพัฒนาการทางอารมณ์ ทางชีวิต ในทางรู้เนื้อรู้ตัว
เราจะเข้าใจปัญหา ตรึกต่อปัญหาที่เข้ามา
ไม่ใช่คิดไม่ออก บอกไม่ได้
มันไม่ใช่ได้ปุ๊บได้ปั๊บ  แต่มันค่อยๆสะสม
คนที่ไม่ฝึก ไม่อบรม มีไม๊
มี แต่ไม่ใช่ยุคนี้
คนยุคเกิดทันพระพุทธเจ้า เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
บรรลุธรรมด้วยตัวเอง
จะไม่เกิดท้ายๆ พุทธภูมิ
จะเกิดต้นๆ พุทธภูมิ
เพราะต้องเอาความรู้ตัวเองไปเทียบ แล้วรู้ว่า ความรู้เราบริสุทธิ์
คนที่เกิดในยุคนี้ เป็นอะไร เป็นอะไร
พวกมึงคิดไปถึงไหน
ใครว่าลูกหลานกูเป็นควาย
ไม่ใช่
คนที่เกิดในยุคนี้ เป็น ปุถุชน
ปุถุชนพัฒนาได้ แต่ต้องใช้ความเพียรอย่างยิ่ง
ถ้าเรามองโลกให้เป็นของว่างในบางขณะบางช่วง
เราจะพัฒนาตัวเราได้ในระดับสูงสุดแค่ไหน
เราจะกำจัด ขัดเขลาได้เสมอ
เพราะมันไม่ใช่ตัวเราไง
แต่ถ้าเป็นตัวเรา เราจะไม่กล้า
ลูกหลานทุกคน จงจำไว้ว่า ถ้าไม่ฝึกปรือ เวทนาจะมาทำลายสติ ละเมอ
เรียกว่า ฝันเป็นตุเป็นตะ
เลี้ยงพ่อแม่ อย่าเลี้ยงแค่ก้อนข้าว หยดน้ำ
จะเลี้ยงแม้กระทั่งจิตสุดท้าย ไปสู่สุขคติให้ได้
หลวงปู่ยังจำได้ กำนัน ไก่ชน
ลูกหลานให้นึกถึงพระอรหันต์ แกก็บอกว่า หันซ้าย ก็กรงไก่ หันขวาก็คอกวัว
ข้างหน้าก็กระทะ
ชีวิตหลังความตายที่ไร้สติ มันน่ากลัว
ลูกฟังแล้ว แทนที่จะเข็ดหลาบ
ก็เดินรอยตามพ่อ เป็นกงกรรม กงเกวียน
จีน กินสารพัดกิน
หลวงปู่เล่าเรื่อง ส้วมเมืองจีน
ไปหาคนงาน ไปในหมู่บ้าน
สรุปแล้ว ทำอะไร อย่าให้เสียสติ อย่าทำให้สติขาด หลุด
วันสุดท้าย หลวงปู่ก็ช่วยไม่ได้ ใครก็ช่วยไม่ได้
วันนี้ มีคนมาพบ หลวงปู่ถามว่าคนไข้เป็นยังไงบ้าง
บอกเสียแล้ว หลวงปู่เตือนแล้วว่า อย่าไปทำการรักษาอย่างอื่น
เค้าไปรักษาแล้วช๊อคตายระหว่างการรักษา
บอกแล้วไม่เชื่อ
พวกชอบหาของแปลก ระวังให้ดี
พวกถ้วยดูดเยอะเลย
ตอนหลวงปู่เก็บศาลา มีถ้วยดูดเยอะเลย
ปุจฉา  เรื่องการสอบ
วิสัชนา  สอบเป็นรายหัว  5 วัน ไม่นับวันไป และกลับ
สอบเสร็จ
ไม่ใช่สอบส่งเดช
ไม่อย่างนั้น เสียเวลาสอนไปตั้งหลายปี ไม่ได้อะไร
ไปลงโหวตมาใหม่ ยกเว้นเดือน ธันวา ไม่มีสอบ
เพราะเป็นเดือนที่มีบวชถวายในหลวง และมีการปฏิบัติ
การสอบเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่ส่วนรวม
ต้องไม่ต่ำกว่า 5 วัน
และคนที่ลงชื่อจะสอบ ต้องอย่างน้อย ครึ่งหนึ่งของคนที่ลงชื่อไว้ 700 กว่าคน
ปุจฉา  เวลาเอาจิตไว้ตามจุดต่างๆ ไม่รู้สึกร้อน เย็น ถือว่าถูกหรือไม่
วิสัชนา  ไม่น่าจะมี
ถ้าร่างกายไม่มีอะไรปรากฏขึ้นเลย แสดงว่า หลับ หรือขาดสติ
ถ้าเอาจิตตั้งไว้กลางกระหม่อม ต้องมีตัวรู้
ปุจฉา  ว่าง โล่ง เฉย หรือ ปิติ อย่างไหนดีกว่ากัน
วิสัชนา  มันมีอารมณ์ 2 ชนิด ปิติ รอยยิ้ม ยังเป็นสมถะ
ว่าง ผ่อนคลาย เป็นขั้นวิปัสสนา ปัญญา
ปุจฉา  ต้องฝึกอย่างไรให้จิตแกร่งกล้า ดุจแผ่นดิน
วิสัชนา  มันไม่ใช่ใช้เวลาแค่แว๊บเดียว นั่ง 2 วัน ต่อ 1 สัปดาห์
ต้องฝึกทั้งชีวิต ฝึกอย่างเป็นผู้รู้ว่า เรากำลังฝึก
เราจะแยกได้ว่า นี่คือ ชีวิต นี่คือปัญหา นี่คือ ปัญญา เป็นเวทนา เป็นจิต เป็นธรรม
พอเราแยกได้ว่า ไม่ใช่ของเรา เราก็ฝึกไปเรื่อยๆ
ถ้ายังบอกตัวเองอย่างกัดฟันว่า ช่างมันๆ แสดงว่า ยังมีตัวตน
ต้องรู้ให้ได้ว่า ชีวิตคือ การเรียนรู้ ศึกษา สั่งสม อบรม
ไม่ใช่ชีวิต คือ การเสพ การแสวงหา
ชีวิตเราอยู่เพื่อ ศึกษา อบรม เรียนรู้ สั่งสม
ต้องรู้ให้ได้ว่า โลกนี้ไม่ใช่ที่อยู่ของเราจริงๆ
ต้องใช้เวลาสั่งสม
เหมือนที่หลวงปู่เขียนไว้ว่า
ลูกรัก ถ้าให้พ่อเลือกระหว่างอยู่กับมิตรหรือศัตรู...
ขี้มันสกปรกน้อยกว่าน้ำลาย กูผ่านขี้มาแล้ว จะมากลัวอะไรกับน้ำลาย
ขี้กับน้ำลาย อะไรมันสกปรกกว่ากัน
ทำได้ แต่ไม่ง่าย ถ้าไม่พยายามศึกษา สั่งสม
ถ้าพยายามศึกษา สั่งสม ทำได้
แต่ทุกคนอยู่เพื่อเสพ
เราแยกแยะไม่ได้
ชีวิตเราก็เหมือนกองขยะที่เดินไปข้างหน้า
เพราะฉะนั้น หลวงปู่จึงว่า ทุกลมหายใจให้เป็นบุญ ดีกว่าปล่อยให้เป็นบาป
เพราะฉะนั้น ต้องทำบุญเอาไว้
ไม่ต้องรู้สึกว่า ต้องมีตังค์
พระพุทธเจ้าบอกไว้ มีตั้ง 10 อย่าง
แม้อภัยทาน เป็นทานสุดยอด
ให้อภัย ให้น้ำใจ รักษาศีล เจริญภาวนา แผ่เมตตา เป็นบุญ
ทำหน้าที่ถูกต้องต่อคนรอบข้าง
ให้คนเค้าอิ่มอกอิ่มใจ ก็เป็นบุญ
ให้ทำบุญให้ได้ทุกลมหายใจ แล้วบาปจะไม่เกิด
เวลาเราทำอะไร  เราก็จะสามารถแยกแยะได้
สุดท้าย เราไม่ได้อยู่เพื่อเสพ แต่อยู่เพื่อศึกษา อบรม เรียนรู้
ปุจฉา   สติ กับ สัญญา ต่างกันอย่างไร
วิสัชนา   สัญญา คือ ความทรงจำ ไม่แยกแยะ ดี ชั่ว จำทุกเรื่อง
แต่สติที่สัมปยุตด้วยปัญญา หรือที่เรียกว่า สัมมาสติ
จะเลือกจำแต่สิ่งที่ดี ส่วนไม่ดี ไม่จำ
ปุจฉา  ลุงเส้นเลือดสมองตีบ อายุ 54 ปี น้ำหนัก 100 กว่า กก เป็นอัมพฤกษ์
วิสัชนา  อดอาหารก่อน ต้องลดน้ำหนักให้ได้
แล้วเอามาตรวจว่า เป็นเบาหวาน ความดัน
14.55 น.  หลวงปู่สอนผู้เฒ่าในศาลา ปฏิบัติกรรมฐานด้วยนิ้วมือ ขั้นที่ 1 และ 2
ปฏิบัติฏรรมฐานขั้นที่ 2 และ 3

16.10 น. หลังปฏิบัติธรรม
เมื่อกี้ เราฝึกจิตรู้ หรือ ฝึกจิตคิด
หลายคน ไม่ใช่หลายคน ทุกคนเลย
ที่จริงโทษไม่ได้ เพราะว่า ตัวรู้ จะเกิดตามด้วย คิด
นี่คือ จิตของผู้ไม่พัฒนา
ไม่รู้ว่า อะไรควร ไม่ควร
พอรู้ ก็คิดทันที
ไม่ใช่เพิ่งเกิด
เกิดเป็นอสงขัย
เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา ต้องให้รู้ก่อน ต้องรู้ให้แจ่มชัด
แต่ที่ผ่านมา ไม่ใช่
เราแทบไม่ต้องฝึกจิต รับ
แต่ก็จำเป็น วันข้างหน้า ต้องฝึก
เหมือนสำลีซึมซับทุกอย่าง
เป็นความทรงจำไม๊
แต่ก็ต้องฝึกจิต รู้
แต่ก็ต้องฝึกจิต รับ
แต่ก็ต้องฝึกจิต คิด
แต่ก็ต้องฝึกจิต จำ   จำในสิ่งที่ควรจำ
ต้องฝึกทุกตัว รู้ รับ จำ คิด
แต่ฝึกตัวรู้ก่อน
ถึงเวลาสอบ จะได้สอบไม่ผิด
วิชาปราณโอสถฝึกไม่ยาก
แต่ที่ยากคือ ฝึกตัวรู้
กูล่ะเบื่อเตือนแล้ว
เพราะคิดว่า ตัวเองแข็งแรง
แต่ที่จริง ตำหนิไม่ได้ มันมีเป็นอสงขัย เป็นกัป เป็นสันดาน
พอรู้หน่อย คิดเป็นตุเป็นตะ
แบบกูไปจีน เห็นรูปปั๊บ ของเก่า
บอกอ้ายตั้ม นี่ญาติกูนะเนี่ย เมื่อก่อนซี้เลย
คนโทรฯ มาบอกว่า ย่าป่วย
บอกอ้ายตั้ม คืนนี้ กูจะขี่หงส์ไปเยี่ยมย่า
ตอนเช้าอ้ายตั้มถาม เป็นไงครับ เมื่อคืน
กูขี่ไปแล้ว ทีแรกนั่งขี่หงส์ เฉี่ยวไป โฉบมา
จับคอหงส์แน่นไปหมด บินสูงน่ะ
ติด ไปพันสายไฟแรงสูง กูลงมายืน
หงส์มันหันมาบอกกูว่า มันประมาทไปหน่อย
จิตกูไปไกลนะ
ถ้ามีตัวรู้ชัดแจ้ง ความคิดจะเป็นไปเองชัดแจ้ง
ญาณทั้ง 4 ต้องมีตัวรู้ชัดแจ้ง
พอคิดปุ๊บ สิ่งที่คิดจะถูกทั้งหมด ไม่พลาด ไม่ผิด
เพราะมันกลั่นกรองจากท่านผู้รู้อย่างแจ่มชัดแล้ว
แต่ถ้ารู้ไม่ชัด ต้องอาศัย เทพบันดาล ลางสังหรณ์ อาจจะถากๆ บ้าง
ฝึกตัวรู้ให้แจ่มชัด
รับรู้ กับ รู้สึก ต่างกัน
รับรู้ เป็นอาการทางจิต
รู้สึก เป็นอาการทางกาย
ขึ้นอยู่กับว่า เรากำลังทำอะไร
วันนี้ฝึกตัวรู้ ในวิชาปราณโอสถ
จะสัมฤทธิ์ได้ ตัวรู้ต้องแจ่มชัด และแข็งแรง
ทรงตัวรู้ยาวนาน เราจะรู้ไม่จบสิ้น
ปราณจะเดินตลอดรอดฝั่งได้อย่างไร
จิต เหมือนดั่งสายไฟ
ปราณ เหมือนดั่งกระแสไฟ
สายไฟขาด กระแสไฟเดินไม่ได้
ต้องให้ 2 สิ่ง แข็งแรง
สัปดาห์หน้า ต้องมาฝึกต่อ ตัวรู้ ท่านผู้รู้
ต้องแยกให้ได้
ทุกคนเลย เวลารู้แล้ว เผลอคิดทันที
ไม่ใช่ความเลวร้าย แต่เป็นความเคยชิน
เพราะฉะนั้น ต้องแยกท่านผู้รู้ออกมาให้ได้
พระพุทธะไม่มีความคิด มีแต่ตัวรู้ ตื่น แล้วก็เบิกบาน
เพราะฉะนั้น ธรรมะของพระพุทธะ ได้จากความรู้ ไม่ใช่ความคิด
เมื่อครู่แยกได้ไม๊ ระหว่างความรู้ กับความคิด
พระพุทธะ เกิดจากท่านผู้รู้
เราจะทำอย่างไรจึงจะสั่งสมท่านผู้รู้
ทำอย่างที่สอน
แล้วไม่มีอะไรที่คิดไม่ได้ ไม่มี
หลวงปู่ตอบปัญหาได้ทุกเรื่อง เพราะฝึกตัวรู้
แม้กระทั่งการรับ และ จำ
จิตมีลักษณะ 4 อย่าง
เมื่อใดที่รู้เกิด รับไม่มี
หลวงปู่กำลังสอนให้สร้างเหตุปัจจัยที่ control ได้
ให้มีอำนาจเหนือจิต เหนืออารมณ์การรับรู้
จึงจะเป็นเอกในโลก
เพราะฉะนั้น ต้องขยันที่จะฝึก
ฝึกแล้ว จะรู้ว่า จะแยก ต้องแยกให้ได้
คนมาสอบ มาเช้ากลับเย็นไม่ได้
ต้อง 5 วัน 5 คืนอย่างน้อย
ไม่อย่างนั้น มึงแยกจิตไม่ได้
แยกจิต สอนมานานแล้ว
แต่ พอรู้ปั๊บ คิดทันที
นั่งปั๊บ หลับทันที
16.25 น. 
พอแล้ว เดี๋ยวจะต้มข้าวต้ม ไปเยี่ยมย่า
วันอังคาร ใครว่าง ไปช่วยตักนะ กูส่งแต่ทหารขับรถไป
เอาซีดีธรรมะไปเปิด กินทั้งปาก ทั้งหู
ที่จริง กูก็ได้บุญอยู่แล้ว
70 ไร่ ใครว่าง ก็ไป ลูก
ขายตั้งแต่ 9 โมง – เที่ยง
กล่องละ 10 บาท
 วันนี้ได้ตังเท่าไหร่
ลงทุนไป 15,000 ได้ 9,000
เออ รวยแล้ว
ใครมีมะพร้าวแห้งๆ เอามาบริจาคกันบ้าง

5 มิ ย 2554 13.25 น. ถอดเทป (1) ระหว่างปฏิบัติธรรม ฝึก “ตัวรู้” 

เดินขั้นที่ 2 และ3 (70 นาที)
โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
• ความคิด จะทำให้เราพลาดจากตัวรู้
• รู้แล้วละ รู้แล้วละ รู้แล้ววาง มันจึงจะรู้แล้วสงบ
• รู้สึก กับ รับรู้ คนละเรื่องกัน
• เราต้องการฝึก ตัวรู้ ไม่ต้องการฝึก ตัวคิด
• ความคิดน่ะ จะทำให้เราพลาดจากตัวรู้
• รู้แล้วละ รู้แล้วละ รู้แล้ววาง มันจึงจะรู้แล้วสงบ
• ขั้นที่ 3  ขั้นนี้จะฝึกตัวรู้ได้แนบแน่นมากขึ้น
เดินขั้นที่ 2
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น ให้รุ้นพี่เข้าไปแนะนำ
ขั้นที่ 2 ภาคที่ 2
จิตอยู่ที่ฝ่าเท้า ที่ก้าวไปข้างหน้า
ทุกครั้งที่เท้าก้าวไปข้างหน้า กระทบพื้นต้องรู้สึก
ความรู้สึกอยู่ที่ไหน จิตอยู่ที่นั่น
รักษาจิตเอาไว้ทุกก้าว
คือ ให้รู้สึกทุกก้าว
จิตอยู่กับการก้าว
ทุกก้าวต้องมีจิต
จิต คือตัวรู้
ตัวรู้อยู่กับทุกก้าว
อย่ารู้แบบผิวเผิน
รู้แบบแจ่มชัด
รู้สึก กับ รับรู้ คนละเรื่องกัน
สิ่งที่ต้องการเวลานี้ ไม่ใช่รู้สึก
แต่ให้รับรู้อย่างแจ่มชัด
ทุกย่างก้าว รู้ที่ฝ่าเท้าที่กระทบพื้นอย่างแจ่มชัด
รู้สึกประมาณว่า น่าสงสารหนังฝ่าเท้าที่มันโดนกระแทกกระทืบกับพื้นที่แข็ง
ช่างน่าสงสารเสียจริงๆ ที่มันโดนเหยียบย่ำและทิ้งน้ำหนักถ่ายเทใส่มัน
อย่างนี้ เค้าเรียกว่า รู้สึกอย่างแจ่มชัด
รับรู้อย่างแจ่มชัด
แล้วรู้อย่างตั้งมั่นทุกย่างก้าว
ไม่ใช่รู้แค่ก้าวนึง แล้วอีกก้าวไม่รู้
เฝ้ารู้อยู่ที่ฝ่าเท้า
เมื่อรู้อยู่ที่ฝ่าเท้า มันจะไม่มีอารมณ์อื่นเข้าแทรก
จิตจะรวมตัว อกุศลไม่เกิด สติจะตั้งมั่น
ฝ่าเท้ากระทบพื้น รู้สึก รับรู้
รู้สึกก่อน แล้วจึงมารับรู้
อย่าลืมว่า จิตดวงหนึ่งที่รู้และฝึกได้ มันจะไม่ตายเปล่า
มันจะสะสมไปเรื่อยๆ จนทวีคูณ
แล้วนี่คือ กรรม
ถ้าเราเชื่อว่า ทำกรรมอย่างไร รับผลอย่างนั้น
นี่คือ กรรมชนิดหนึ่ง แต่เป็นส่วนกุศลกรรม
เราสะสมกรรมชั่ว กรรมไม่ดีได้
กรรมที่เป็นกุศล กรรมดี ก็สะสมได้เช่นกัน
กรรมชั่วให้ผลอย่างใด กรรมดีก็ให้ผลเหมือนกัน
จะแตกต่างกันก็ เราทำดีหรือชั่ว
ให้ผลที่มันจะแตกต่างตรงที่มันเผ็ดร้อน หรือเย็นสบาย
สรุปรวมก็คือ ไม่ว่า ความดีความชั่ว ให้ผลเหมือนกัน
แต่ต่างกันที่รสชาติ
กรรมชั่วให้ผลเผ็ดร้อน
กรรมดี ให้ผลเย็นสบาย
แต่ยังไง มันก็ยังให้ผล
สิ่งที่เราทำนี่ ก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง
ทุกย่างก้าวเป็นกรรม
เท้าขวาก้าวไป รับรู้ ก็เป็นกรรม
เท้าซ้ายก้าวไป ไม่รับรู้ ก็เป็นกรรม แต่เป็นอกุศล
เท้าขวาก้าวไป ไม่รับรู้ ก็เป็นอกุศล
เท้าซ้ายรับรู้ ก็เป็นกุศล
รวมแล้ว ทุกย่างก้าว เรากำลังสะสมกรรม
ส่วนจะเป็นกุศล อกุศล ก็อยู่ที่เราล่ะ
ใช้จิตอะไร ผิดหรือเปล่า
ไม่ได้เดินให้คิด เดินให้แค่รู้
จิตมีหน้าที่ 4 อย่าง รับ จำ คิด รู้
เราต้องการฝึก ตัวรู้ ไม่ต้องการฝึก ตัวคิด
ใครที่เดินไป คิดไปน่ะ น่าจะไม่ใช่
ไม่ใช่เดินให้ฝึกหัว คิด
แต่เดินให้ฝึกตัวรู้ รักษาตัวรู้  ถนอมตัวรู้ คงตัวรู้
อ้ายที่เราผิดๆ พลาดๆ ไม่ถูกต้อง บกพร่อง อยู่เนืองนิจ ก็เพราะเราไม่รู้
เรากำลังจะฝึกตัวรู้ ไม่ใช่ฝึกตัวคิด
งั้น อ้ายพวกที่เดินแล้วคิด เดินแล้วฟุ้งน่ะไม่น่าจะถูก
เดินแล้วต้องรู้ รู้ทุกย่างก้าวที่เดิน
รู้ที่ฝ่าเท้า
ไม่ง่ายเลยกับการที่จะรักษาตัวรู้ให้ทุกก้าว ทั้งซ้ายและขวาอย่างต่อเนื่องยาวนานและยั่งยืน
เพราะอย่างนี้ไง พระพุทธะจึงเกิดยาก แต่ก็ไม่ใช่เกิดไม่ได้
พระพุทธะ คือ ผู้รู้
ก้าวขวา ก็พระพุทธะ
ก้าวซ้าย ก็พระพุทธะ
คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น
ทุกย่างก้าวเป็นพุทธะ
ไม่มีอวิชชา ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทาน ไม่มีบาป ไม่มีอกุศล ไม่มีความชั่วหยาบ
มีแต่ตัวรู้
บุคคลที่สามารถรักษาตัวรู้ทุกย่างก้าวอย่างต่อเนื่องยาวนาน
คือพระพุทธะองค์หนึ่งได้อุบัติแล้ว
คนที่รู้บ้าง ผิดบ้าง พลาดบ้าง ซ้ำซาก
ก็แสดงว่า เรายังยืนอยู่ในเหว ปากเหว อาจจะก้าวพลาด และร่วงหล่นเหว
ต้องหาวิธีรักษาตัวรู้ให้ทุกย่างก้าว
บางคนพอรู้แล้ว เบื่อ รู้แล้วเหมือนกับมันตัน มันตื้อ
เลยไม่รู้ดีกว่า กลับมาคิด
แต่หารู้ไม่ว่า ความคิดน่ะ จะทำให้เราพลาดจากตัวรู้
เพราะในที่นี้ รู้แล้วละ รู้แล้วละ รู้แล้ววาง มันจึงจะรู้แล้วสงบ
งั้นการรู้แล้วเฉยๆ นั่นน่ะ รู้ละ รู้วาง แล้วสงบ
ไม่ใช่รู้คิด เพราะเราไม่ได้ฝึกตัวคิด
ขยับเดินขึ้นขั้นที่ 3
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ
ขั้นนี้จะฝึกตัวรู้ได้แนบแน่นมากขึ้น
ความรู้จะชัดเยอะขึ้น
เรารู้จักจะก้าวจังหวะ รู้จักวิธีถ่ายน้ำหนัก
การรับรู้จะชัดเจนขึ้น
ตัวรู้จะอยู่กับเราได้นานขึ้นทุกย่างก้าว
มันจะตั้งมั่นได้เยอะขึ้น
ทั้งหมดต้องใส่ใจ
อย่าเผลอไปฝึกตัวคิด
มีแต่ตัวรู้เฉยๆ
บอกแล้วว่า ไม่ได้ให้เดินให้คิด
ให้เดินให้รู้
รู้ว่า ก้าวจังหวะ เว้นจังหวะ
รู้ว่า ถ่ายน้ำหนัก
รู้ว่า ฝ่าเท้าแนบพื้น
รู้ทุกเรื่อง แต่ไม่ต้องคิด
คิดอะไรอยู่
บอกให้รู้ไง ไม่ต้องคิด
รู้อย่างเดียว
มันไม่ง่าย สำหรับคนที่คิดจนเฝือ
คิดจนกลายเป็นนิสัย
แต่อย่าลืมว่า นั่นคือ ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการในเวลานี้
มันไม่ยากเกินไปกับการที่จะปฏิเสธความคิด
แล้วกลับมามีแต่เป็นผู้รู้
แล้วเราจะรู้ว่า ความรู้หรือเป็นผู้รู้นั้น มันจะไม่พลาด
ก้าวก็ไม่ผิดจังหวะ ไม่คร่อมจังหวะ
แต่ถ้าคิดแล้วไม่รู้เนี่ย มันจะผิด มันจะก้าวพลาด
แล้วเราก็ไม่ใช่กำลังจะฝึกคิดคิด เรากำลังฝึกคิดรู้
ฝึกท่านผู้รู้  ฝึกตัวรู้
เราคิดมาทั้งชีวิตแล้ว ไม่เห็นได้ดีอะไร ก็ได้เหมือนเดิม
ลองเปลี่ยนวิธีดูบ้าง
ไม่ต้องคิด มีแต่ตัวรู้
แยกกันให้ได้ระหว่างความคิดกับความรู้
เผลอไปบ้างก็ไม่เป็นไร แต่รู้ตัวแล้วต้องรีบกลับมา
เพราะตัวรู้ทำให้เป็นพุทธะ
เพราะตัวรู้ทำให้พระพุทธเจ้าเกิด และมีชีวิต
คุณศัพท์ของพระพุทธะ รู้ ตื่น และเบิกบาน ไม่มีตัวคิด
อย่าคิด
ลงไปเดินในขั้นที่ 2 ภาคที่ 1 ผ่อนคลาย
ยืนอยู่กับที่
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก เบา ยาว หมด
เข้าใหม่
หายใจเข้า ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
หายใจออก ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก ยกมือไหว้พระกรรมฐาน ลืมตา แล้วเข้าที่ ลูก
5 มิ ย 2554 13.25 น. ถอดเทป (2) หลังปฏิบัติธรรม ฝึก “ตัวรู้” 

เดินขั้นที่ 2 และ3 ( 20 นาที)
โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
• พอรู้แล้ว เราไม่รู้สึกซึ้ง เราก็คิด เผลอคิด
• จิตของผู้ไม่พัฒนา ไม่ฝึกฝน ไม่รู้ที่หนักที่เบา ที่ยาวที่สั้น
• วิชาปราณโอสถ ง่ายมาก
• แต่ที่ยาก ก็คือ ฝึกตัวรู้
• คืนนี้ เดี๋ยวกูจะขี่หงส์ไฟไปเยี่ยมย่า
• ถ้ามีตัวรู้ชัดแจ้ง ความคิดมันจะถูกต้องทั้งหมด
• เพราะว่า มันผ่านกระบวนการกลั่นกรองจากท่านผู้รู้อย่างแจ่มชัดแล้ว
• จิต เหมือนดั่งสายไฟ 
• ปราณ  เหมือนดั่งกระแสไฟ
• ธรรมะของพระพุทธะ คือ ธรรมะที่ได้จากความรู้ ไม่ใช่ความคิด
• ฝึกต่อไป ฝึกจนกระทั่งให้ท่านผู้รู้ เติบโต ตัวรู้ยิ่งใหญ่
• ทีนี้ จะคิดเรื่องอะไร ไม่มีอะไรที่คิดไม่ได้ คิดไม่ออก ไม่มี
• แต่หลวงปู่กำลังสอนพวกเราให้สร้างเหตุปัจจัยที่ควบคุมได้
• ที่เรามีอำนาจเหนือจิต เหนืออารมณ์ เหนือวิญญาณการรับรู้
• ต้องขยันที่จะฝึก
เมื่อกี้ เราฝึกจิตรู้ หรือฝึกจิตคิด
เราฝึกจิตรู้ หรือฝึกจิตคิด
หลายคนก็ยังเผลอคิด
ไม่ใช่หลายคน ทุกคนเลย
ที่จริงโทษไม่ได้ เพราะความคิดมันจะเกิดหลังตัวรู้
พอรู้แล้ว เราไม่รู้สึกซึ้ง เราก็คิด เผลอคิด
คิดเป็นนิสัย ธรรมชาติของจิต
จิตของผู้ไม่พัฒนา ไม่ฝึกฝน ไม่รู้ที่หนักที่เบา ที่ยาวที่สั้น
เรียกว่า ไม่รู้กาละเทศะ
ไม่รู้อะไรควร ไม่ควร
พอ รู้ เกิดขึ้น เราก็จะ คิด ทันที
ก็คิดว่า เราแข็งแรงพอแล้ว
มันเป็นนิสัย ไม่ใช่เพิ่งเกิด
มันเกิดมาเป็นอสงไขย เป็นกัปป์ เป็นกัลป์ เป็นภพ เป็นชาติ
งั้น หน้าที่ของเรา ต้องแยกออก
แยกให้ได้ระหว่าง รู้ กับ คิด
ต้อง รู้ ให้ชัดแจ้งก่อน
เวลา คิด จะได้ไม่ผิดพลาด
ที่ผ่านมา เรา รู้ ไม่แจ่มชัด แค่ รู้ นิดหน่อย ก็เก็บไป คิด
แล้วสุดท้าย ก็ คิด ผิดพลาด
นอกจากฝึกจิต รู้ แล้ว
จิต รับ ฝึกไม๊
เราแทบไม่ต้องฝึกจิต รับ
เพราะหน้าที่ของธรรมชาติแห่งจิต
มัน รับ อยู่แล้ว
ถูกไม๊
แต่ก็จำเป็นต้องฝึก
วันข้างหน้า ต้องฝึกจิต รับ
จำ ต้องฝึกไม๊
แทบจะไม่ต้องฝึก
โดยธรรมชาติของจิต เหมือนดั่งสำลีที่จะซึมซับทุกอย่างที่อยู่ใกล้
การซึมซับ ถือว่า เป็นความทรงจำไม๊
เออ แต่เราก็ต้องฝึก
ถ้าต้องการที่จะเป็นผู้ให้มัจจุราชไม่เห็น
ต้องฝึกจิต รู้  ฝึกจิต คิด  ฝึกจิต รับ และฝึกจิต จำ
จำใ นสิ่งที่ควรจำ
อะไรที่ไม่ควรจำ อย่าจำ
รวมแล้ว รู้ รับ จำ คิด ต้องฝึกไม๊
แล้วต้องฝึกตัวไหนก่อน
ต้องฝึก ตัวรู้ ก่อน
ที่ผ่านมา วิชาปราณโอสถ
ไม่ได้ผล หรือ ไม่ปะติดปะต่อ ไม่ต่อเนื่อง
เพราะ ตัวรู้ อ่อนแอ
บอก เอาจิตไปตั้งอยู่กลางกระหม่อม
บอกว่าตั้ง แต่ไม่รู้อะไร กลางกระหม่อมไหนก็ไม่รู้
กระหม่อมควาย หรือ กระหม่อมหมาก็ไม่รู้
เพราะถ้ากระหม่อมเราจริงๆ เราต้อง รู้
รู้ว่า มันเกิดอะไรขึ้น
จึงให้กลับมาฝึก ตัวรู้ ไง
เดี๋ยวถึงเวลาสอบ จะได้สอบไม่ผิด
วิชาปราณโอสถน่ะ ง่ายมาก
แต่ที่ยาก ก็คือ ฝึก ตัวรู้
เพราะสังเกตุดูทุกคน พอมี ตัวรู้ แล้ว
โอ้โห แข็งแรงมาก
กูจะไปคิดโน่น คิดนี่ คิดนั่น สารพัดคิด
มันน่าจะเบิร์ดกระโหลก
กูล่ะเบื่อ เตือนนัก
เดินไป เดินมา เอาอีกล่ะ ต้องกลับมาเตือนใหม่
เดินไป เดินมา เอาอีกล่ะ กลับมาเตือนใหม่
เพราะคิดว่า ตัวเองแข็งแรง
จริงๆ ก็ตำหนิไม่ได้ ลูก
เพราะนี่ไม่ใช่เพิ่งมี
เราฝึกนิสัยเป็นคนคิดแบบนี้
แบบไม่รู้จริงแล้วนำไปคิด
แบบนี้ไม่ใช่เพิ่งมี
มันมีมาเป็นอสงไขย เป็นกัปป์ เป็นกัลป์แล้ว ลูก
มันกลายเป็นสันดานไปแล้ว ลูก
พอนิดหน่อย รู้นิดนึง
เอาล่ะ เอามาคิดล่ะ คิด เป็นตุป็นตะเลย
วาดวิมานในอากาศ ไปโน่นเลย
แบบเดียวกับกูไป อะไรวะที่เมืองจีน
ก็เผอิญไปเจอญาติเก่า
ถามว่าปู๊นโน่นแน่ะ
เจอญาติเก่า แล้วก็เลยไปเห็นรูปปั้นหงส์ไฟ
กูก็เลยชี้ให้อ้ายตั้มดู
อ้ายตั้ม เพราะมันพูดภาษาจีนได้ กูพูดไม่ได้ ต้องอาศัยมัน
เฮ้ย นึกญาติกูนะเนี่ย
โอ้โห เมื่อก่อนซี้กะกูเลย มันเป็นญาติ ยังมาไกล
เสร็จแล้ว คนเค้าก็โทรฯ มาบอกว่า ย่าป่วย
เอาละวะ ย่าป่วย แล้วกูจะไปยังไงวะ
เออ อ้ายตั้ม คืนนี้ เดี๋ยวกูจะขี่หงส์ไฟไปเยี่ยมย่าเว้ย
แล้วก็บังเอิญเดินไปซักพัก ก็เจอรูปพระโพธิสัตว์
ญาติกูอีกล่ะ
พอเช้าขึ้นมา
อ้ายพวกนั้น  อ้ายตั้มมันถาม หลวงปู่เป็นไง เมื่อคืนไปเยี่ยมย่าหรือยัง
เสร็จแล้ว
ทีแรก พอขึ้นนั่งหลัง โอ้โห บินถลา หลบไปหลบมา
เฉี่ยวโฉบวูบวาบๆ  กูเลยจับคอหงส์แน่น เสียวไปหมด
เออ ยังนึกในใจว่า บินสูงนะเนี่ย
พอเผลอแผล็บเดียว ขึ้นสูงๆ ไปติดแหมะ
เสือกไปพันสายไฟแรงสูง
เสร็จแล้ว กูทำไง กูก็กระโดดลงมา มายืน
อ้ายตั้มเค้าถามว่า หงส์เป็นไง
หงส์มันก็หันมาบอกกูว่า ประมาทไปหน่อย
สายไฟแรงสูง กูก็เลยนั่งนึก
จิตกูนี่ก็ไปได้ตั้งไกลนะ อ้ายห่า ขี่หงส์ไปติดสายๆ ไฟก็เอา
นี่แสดงว่า รู้ไม่จริง รู้ไม่ลึก รู้ไม่ชัดแจ้ง
แต่หงส์ไฟเป็นสัตว์ในตำนาน กูตระกูลไหน เกิดหลายตระกูล
แต่รวมๆ สรุปแล้วก็คือ
ถ้ามี ตัวรู้ ชัดแจ้ง ความคิด มันจะถูกต้องทั้งหมด
มันจะคิดเอง ถ้ามี ตัวรู้ ชัดแจ้ง
สิ่งที่คิด จะถูกต้อง
แต่ถ้ามี ตัวรู้ ไม่แจ่มชัด
งั้น คนที่ฝึกปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อตีตังสญาณ
อนาคตาสญาณ ปัจจุบันณังสญาณ
ญาณทั้ง 4 จะต้องมีตัวรู้ชัดแจ้ง
การที่จะรู้อดีตคน รู้อนาคตคน การรู้เหล่านั้น
มันจะเกิดจาก ตัวรู้ ชัดแจ้ง
แล้วทีนี้พอคิดปุ๊บ จิตที่คิดจะถูกทั้งหมด ไม่พลาด ไม่ผิด
เพราะว่า มันผ่านกระบวนการกลั่นกรองจากท่านผู้รู้อย่างแจ่มชัดแล้ว
แต่ถ้าไม่มี ตัวรู้ มันก็จะต้องใช้ เทพบันดาล ลางสังหรณ์ จิตอาวรณ์
ซึ่งที่คิด อาจจะพลาดบ้าง อาจจะถูกถากๆ ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง
คนที่มีสัจจะวจา วาจาเป็นเอก วาจาเป็นเลิศ
วาจาที่พูดอย่างใด เป็นอย่างนั้น
มันมาจาก รู้ ชัดแจ้ง
ฝึก ตัวรู้ ให้แจ่มชัด
รับรู้ กับรู้สึก ต่างกันไม๊
รู้สึก เป็นอาการทางกาย
แต่รับรู้ เป็นอาการทางจิต
เพราะงั้น ต้อง รับรู้ ก่อน จึงจะ รู้สึก
หรือ รู้สึก ก่อน จึงจะ รับรู้
ก็ขึ้นอยู่กับว่า เรากำลังใช้อะไร
ถ้าใช้จิต ก็ต้อง รับรู้ ก่อน
ถ้าใช้กาย ต้อง รู้สึก ก่อน
เข้าใจไม๊
เพราะงั้น วันนี้ฝึกอะไร
ฝึก ตัวรู้ ยังอยู่ในวิชาปราณโอสถ
แต่ทำไมต้องมาพูดถึงเรื่อง ตัวรู้
ก็เพราะว่า ปราณโอสถจะสัมฤทธิ์ผลได้
ก็ต่อเมื่อต้องมีท่านผู้รู้แข็งแรง
ตัวรู้ ต้องแจ่มชัด และแข็งแรง
เราสามารถทรง ตัวรู้ ได้อย่างยั่งยืน ยาวนาน
ทีนี้เราจะทะลุทะลวงจุดต่อมหมวกไตต่างๆ ในร่างกายได้อย่างจบสิ้น
แต่ถ้า ตัวรู้ ไม่ยืนหยัด รู้แว๊บๆ
ขวารู้ ซ้ายหายไปแล้ว
ซ้ายรู้ ขวาหายไปแล้ว
อย่างนี้ มันจะไปยืนอยู่ได้ยังไง
ปราณมันจะเดินได้ตลอดฝั่งได้อย่างไร
มันก็เดินไม่ทะลุทะลวง ไม่ตลอดรอดฝั่ง เพราะมันไม่มีสื่อนำไง
จิต เหมือนดั่งสายไฟ
ปราณ เหมือนดั่งกระแสไฟ
ให้เข้าใจไว้
ถ้าสายไฟขาด กระแสไฟยังเดินได้ไม๊
ไม่ได้ กระแสไฟจะเดินไปไม่ได้
งั้น ต้องทำให้ 2 สิ่ง ตั้งมั่น และแข็งแรง
จึงจะนำพาเอาปราณไปใช้ประโยชน์ในการรักษาบำบัด และดูแลสุขภาพในกายได้
สัปดาห์หน้า ต้องมาฝึกต่อเรื่อง ตัวรู้ ท่านผู้รู้
แล้วต้องแยกให้ได้ระหว่าง ความคิด กับ ความรู้
แล้วก็ต้องกำจัดความเคยชิน ความคุ้นเคย ที่เรียกว่า อุปาทานในความคิด
ทุกคนเลย ไม่ใช่หลายคน ทุกคนในที่นี้
เวลา รู้ แล้ว กลับมา คิด ทันที
รู้ แล้ว เผลอไป คิด ทันที
รู้ นิดๆ หน่อยๆ ก็กลับไป คิด แล้ว
มันไม่ใช่เป็นความเลวร้าย ลูก
แต่มันเป็นความเคยชิน
เป็นความเคยชิน ที่เราสั่งสมมาเป็นอสงไขย เป็นกัปป์ เป็นกัลป์
งั้น เราต้องแยกมันออกให้ได้
แยกท่านผู้รู้ออกมาให้ได้
แล้วเราก็จะรู้ว่า อะไรคือ วันหนึ่ง นามหนึ่ง
พระพุทธะ เมื่อกี้เพิ่งพูด มีแต่ตัวรู้  รู้ ตื่น แล้วก็เบิกบาน
นี่คือ คุณลักษณะของพระพุทธะ
รู้ ตื่น แล้วก็ เบิกบาน
ธรรมะของพระพุทธะ คือ ธรรมะที่ได้จาก ความรู้ ไม่ใช่ ความคิด
เมื่อครู่นี้ แยกออกห่างชัดเจนแล้วว่า ระหว่าง คิด กับ รู้ ต่างกันไม๊
แตกต่างไม๊
เออ  เราก็จะได้รู้จักหน้าตาพระพุทธะได้มากกว่านี้ ว่า
พระพุทธะไม่ใช่ คิด พระพุทธะไม่ได้เกิดจาก ความคิด
แต่เกิดจาก ความรู้ เกิดจากท่านผู้รู้ และตัวรู้
เมื่อเข้าใจความหมายอย่างนี้ เราก็จะได้รู้ว่า
ทำอย่างไร เราจึงจะสะสมท่านผู้รู้ และตัวรู้ให้ได้
ทำอย่างที่สอน
ทำต่อไป
ฝึกจนกระทั่งให้ท่านผู้รู้ เติบโต ตัวรู้ยิ่งใหญ่
ทีนี้ จะคิดเรื่องอะไร ไม่มีอะไรที่คิดไม่ได้ คิดไม่ออก ไม่มี
จากที่หลวงปู่สามารถตอบปัญหาได้ทุกเรื่อง เพราะว่า ฝึก ตัวรู้
ไม่ใช่ฝึก ตัวคิด
แยกเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ระหว่าง ตัวรู้ กับ ตัวคิด
แม้กระทั่ง การรับ และการจำ
จิตมีลักษณะอยู่ 4 อย่าง
รับ อารมณ์
จำ อารมณ์
รู้ อารมณ์
และคิด ในอารมณ์
เมื่อใดที่ รู้ มันเกิด   รับ มันจะไม่ทำงาน
เมื่อใดที่ คิด มันเกิด   รู้ มันจะไม่ทำงาน
จำ กับ รับ ก็จะไม่ปรากฏ
เพราะจิตหนึ่ง มันจะมีเจตสิกหนึ่ง
เจตสิก ก็คือ เครื่องปรุงจิตหนึ่งๆ เท่านั้น   1 อย่าง  1 ชนิด เท่านั้น
เมื่อจิตนั้นมันตาย จิต ตัวรู้ตาย
จิต ตัวรับ หรือ ตัวจำ อาจจะเกิดขึ้น ก็ได้
ขึ้นอยู่กับว่า กระบวนการเหตุปัจจัย
ปัจจัย คือ ภายนอกแล้วก็ภายใน
ซึ่งจะปรุงแต่งให้ตัวรู้ หรือ ตัวรับ เกิด หรือ ตัวจำ เกิด หรือ ตัวคิด เกิด
แต่นั่นเป็นเหตุปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้
แต่หลวงปู่กำลังสอนพวกเราให้สร้างเหตุปัจจัยที่ควบคุมได้
ที่เรามีอำนาจเหนือจิต เหนืออารมณ์ เหนือวิญญาณการรับรู้
เพราะบุคคลที่มีอำนาจเหนือสภาวะธรรมทั้งปวงเท่านั้น
จึงจะเป็นเอกในโลก หรือ สามารถจะอยู่ในโลกได้อย่างเป็นผู้ชนะ
งั้นต้องขยันที่จะฝึก
สัปดาห์หน้า รักษาไข้ไม๊วะ
นึกว่าสัปดาห์หน้า จะให้มาแต่เช้า
ฝึกแล้ว จะรู้ว่า มันจะต้องแยก แล้วแยกให้ได้
คนที่จะมาสอบกรรมฐานเนี่ย
มาเช้า กลับเย็นเนี่ย ไม่ได้
ต้อง 5 วัน 5 คืน อย่างน้อย
ไม่งั้น มึงแยกจิตไม่ได้
ที่จริง อาการแยกจิตนี่ สอนมานานไม๊
สอนมานานแล้ว แต่ก็ได้แค่สอน
ก็ไม่ได้เอามาทำ  เอามาแยก
แล้วก็ปล่อยให้มันหัวโยก  ป๊อก
พอรู้ปั๊บ หลับทันที
เอ้า พอสมควรแก่เวลา
กล่าวคำถวายทาน