13 มี ค  2554 13.15 น. ถอดเทป ธรรมะอาทิตย์ที่ 2 ของเดือน โดยองค์

หลวงปู่พุทธะอิสระ
• โลกหน้าของพวกมึงมันต้องมั่นใจว่า มันต้องสุขไม่ใช่มีทุกข์ นั่นคือความ

ห่วง
• อารมณ์สุดท้ายใกล้ตายนี่ มันน่ากลัว ถ้าไม่มีสติตั้งมั่น ไม่มีปัญญารู้ชัด ไม่

มีสมาธิแก่กล้า มันก็จะหวาดกลัว สะดุ้งผวา
• แกล้งตาย ซ้อมตาย ในที่นี้ก็คือ ทำอารมณ์ใจ พร้อมที่จะเผชิญกับความตาย
• ซ้อมที่จะถึงอารมณ์แห่งความตายไว้บ้าง
• เป็นมนุษย์ ยังเข้าวัดอ้อน้อยได้
เจริญธรรม เจริญสุขท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน
กินไอติมกูหรือยังว่ะ หวาน เดี๋ยวไปทำใหม่ ไอ้ตั้มกับไอ้เขม ไปทำใหม่ นั่นน่ะเค้าทำด้วย

ดอกคำฝอย กับใบกอขู่  เดี๋ยวไปทำใหม่ ไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย ลดน้ำผึ้ง ใส่น้อยหน่อยโว้ย

เปลือง
กินแล้วมันจะลดความดัน ลดไขมันในเลือด โดยเฉพาะดอกคำฝอย มันก็ละลายไขมันใน

เลือด คอเลสเตอรอลอยู่แล้ว เออ แต่นี่มันหวานมากไป เพราะเห็นเค้าใส่น้ำผึ้งเยอะไปหน่อย

เฮ้ย เที่ยวนี้ใส่น้อยหน่อยโว้ย เปลือง
ฝึกให้ลูกหลานมันทำกิน เอายามาเป็นอาหาร ยามาเป็นขนม ไม่งั้น ไม่ค่อยมีใครอยากกินยา

โดยเฉพาะอ้ายเรื่องไม่ค่อยมีใครอยากกินยาเนี่ย
วันนี้เราต้องตาย ความตายเป็นมงคล เป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ตายเสียก่อนตาย

ถือว่ายังไม่ตาย แต่ถ้าไม่รู้จักตายและกลัวตาย ไม่กล้าตาย นั่นแหละ ตาย ต๊าย ตาย เออ

ตายจริงๆ
เมื่อวานโทรฯไปหาอ้ายจิโรจน์ เค้าเป็นประธานจัดหาที่สำหรับใส่...ที่โรงเจ บอกว่ากูได้

ลูกค้าคนหนึ่งแล้ว มันถามว่า ใครครับ มึงล่ะ มึงเป็นลูกค้ารายแรก
ความตายเป็นมงคล ระลึกถึงความตายเสียก่อนตาย แล้วมึงจะไม่กลัวตาย
มีชีวิตในโลกใบนี้ไม่ต้องห่วงแล้วว่า มันจะสุข มันจะทุกข์ มันจะร้อน มันจะหนาว มันจะยาว

มันจะสั้น มันจะทุกข์ยากแสนเข็ญอย่างไร ไม่ต้องห่วง
อ้ายที่กูห่วงลูกหลานก็คือ โลกหน้าของพวกมึงน่ะ โลกหน้าของพวกมึงมันต้องมั่นใจว่า มัน

ต้องสุขไม่ใช่มีทุกข์ นั่นคือความห่วง เพราะงั้น เวลากูไปเยี่ยมมัน กูก็จะบอกมันว่า มึง

เตรียมตัวนะ เตรียมตัวอะไรครับ เตรียมตัวตาย  เตรียมตัวเอาไว้ให้ตาย จะได้ยอมรับ

ความจริงที่เราปฏิเสธ ความจริงอันประเสริฐที่เราปฏิเสธมันไม่ได้ เมื่อเวลาถึงคราวเจอะ

เจอกับมัน จะได้ไม่หวาดผวา สะดุ้งกลัว
อารมณ์สุดท้ายใกล้ตายนี่ มันน่ากลัวนะลูก มึงไม่เคยเจอะเจอ มึงก็ไม่รู้ ถ้าไม่มีสติตั้งมั่น

ไม่มีปัญญารู้ชัด ไม่มีสมาธิแก่กล้า มันก็จะหวาดกลัว สะดุ้งผวาเมื่อถึงคราวที่จะต้องตาย

แต่ถ้าหากว่า มันมีสติตั้งมั่น มีปัญญารู้ชัด สมาธิแก่กล้า มันก็จะรู้ว่า อ๋อ นี่มันเป็นเพียงแค่

การเปลี่ยนร่างจากร่างหนึ่งไปสู่อีกร่างหนึ่ง เปลี่ยนชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่ง เปลี่ยนภพหนึ่ง

ไปสู่อีกภพหนึ่ง เท่านั้นเอง
มันเหมือนกับคนเปลี่ยนเสื้อผ้า ต้องทำความรู้สึกเหมือนดั่งบุรุษบุคคลสตรีผู้เปลี่ยนเสื้อผ้า

จากผ้าที่เก่า โทรมแล้ว สกปรกก็ไปเปลี่ยนผ้าใหม่ ส่วนผ้าใหม่มันจะสวยหรือไม่สวย มันก็

ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่สั่งสมอบรมเอาไว้ ถ้าเหตุปัจจัยสั่งสมอบรมไว้ไม่ดี แทนที่จะได้ผ้าดี

กว่าผ้าเก่า กลายเป็นเสื้อผ้าซกมกกว่าเก่าอีก กลายเป็นชุดขอทานไป ชุดเปรต ชุดอสุรกาย

ชุดสัตว์เดรัจฉานไป
เพราะงั้น ลูกเมียต้องมีหน้าที่กรอกหู พ่อ กรอกหูผัว เตรียมตายนะ เซ็นต์พินัยกรรมหรือยัง

เตรียมตัวนะ มีอะไรยกให้มัน อาม่าน่ะ อาม่าถามว่าอะไร อาม่าวันเกิดเมื่อไหร่ เฮอะ วัน

พฤหัส อาม่าตามทุกวันแหละ
ต้องคิดถึงความตายให้ได้ทุกวัน ลูก ทุกลมหายใจ ถ้าไม่คิดถึงความตายแล้ว มันจะกลาย

เป็นว่า ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนให้เราเจริญมรณานุสติกรรมฐาน คือ นึกถึง

ความตาย พร้อมที่จะเตรียมตัวตาย แม้ที่สุดก็ต้องแกล้งตาย ซ้อมตายไว้บ้าง
แกล้งตาย ซ้อมตาย แต่ไม่ใช่ตายจริงๆ หลวงปู่บอกให้ซ้อมตาย เดี๋ยวกลับไปลองกินยา

นอนหลับดูซักกำมือนึง  ไบกอนซักกระป๋องนึง ทำอะไรง่ะ ซ้อมตาย เออ อย่างนี้สมควรตาย
แกล้งตาย ซ้อมตาย ในที่นี้ก็คือ ทำอารมณ์ใจ พร้อมที่จะเผชิญกับความตาย
เหมือนๆ กับตอนที่หลวงปู่ไปอยู่กลางแม่น้ำแควน้อย ขามันแข็งหมดแล้ว ตะคิวมันกิน

แล้วน้ำมันดูดลงไปข้างล่าง อ้ายเราก็ชะเง้อมามองที่แพ พวกก็นั่งอ่านหนังสือ เผอิญอีกข้าง

นึง มันก็ง่วนทำงาน เฮอะ ไม่มีใครสนใจกู กูไปก็ได้วะ ไม่ได้กลัวตาย ไม่ได้ตกใจที่จะจม

น้ำตาย แล้วก็ไม่ได้สะดุ้งผวาต่อความตาย เพราะรู้ว่า ความตายมันเป็นเรื่องแค่เปลี่ยนเสื้อผ้า

มันแค่เป็นเรื่องเปลี่ยนร่าง
แต่ถ้าหากกลัวตาย ตกใจไม่มีสติ ก็จะต้องโวยวาย ตาเหลือกตาปลิ้น ตีน้ำ โพงน้ำ อ้าปาก น้ำ

เข้าปาก ตายอีก ตายแล้วตกใจตาย นี่มันไปไหน เออ มันขาดสติตายไง
งั้น สำคัญ ลูกหลานต้องซ้อมไว้บ้าง ซ้อมที่จะถึงอารมณ์แห่งความตายไว้บ้าง แล้วคนเจ็บ

คนป่วยนี่ ก็ต้องซ้อม ที่จริงแล้วก็ต้องโทษมันแหละ
วันนี้มีคนไข้คนนึงเค้ามาหา เค้าเป็นจุดที่ปอดแล้วก็ต่อมน้ำเหลือง เค้ากินยาหลวงปู่จน

กระทั่งมันเล็กลงๆ หมอยังถาม ตกใจว่า ไปทำอะไรมา เออ เลือดก็ดีขึ้น ผลเลือดนี่ดีมาก

เค้าบอกว่า ดีมาก ถ้ากินยาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดเนี่ย โรคมะเร็งมันจะพัฒนาอยู่ตลอดเวลา

เราไม่รู้จักกินยาที่จะกำหราบมัน คุมมันให้อยู่ บังคับมันให้ได้ วันนี้เค้ามาทั้งแม่ทั้งลูก เล็กลง

ผลเลือดก็ดีขึ้น เพราะฉะนั้น ก็ต้อง เวลาสั่งอะไร สอนอะไร บอกอะไร จงเชื่อ เชื่อ ให้ทำ

ตามหน่อย ยาถ้าไม่สั่งให้หยุด ก็จงอย่าหยุด กินต่อเนื่องยาวนาน อย่าไปเชื่อใคร แล้วมันจะ

อยู่ได้ โรคเนี่ยบางครั้งถ้าเรารู้เท่าไม่ถึงมัน รู้เท่าไม่ถึงการณ์เนี่ย มันหนีเราไปเยอะแล้ว

เพราะงั้นต้องคุมมัน ต้องกำกับดูแลมัน สำคัญก็คือ อารมณ์ใจ
หลวงปู่ก็โทรฯไป ก็คอยเตือนมัน กูก็คอยเตือนมัน ตายหรือยัง เตรียมตัวตายนะ แล้วก็สั่ง

เมียมัน มึงต้องบอกผัวมึงบ่อยๆ นะว่า ตายได้แล้ว ตายได้แล้ว ไม่ใช่ แต่เป็นการเตือนให้

ผัวให้เมีย ให้พ่อ ให้แม่ ให้ลูก ให้หลาน ให้มีสติรับรู้ แล้วจะได้เห็นความตายไม่ใช่เรื่องน่า

กลัว ไม่ใช่น่ารังเกียจ
เรื่องอะไรที่มันไม่น่ากลัว ไม่น่ารังเกียจเนี่ย มันกลายเป็นว่า เหมือนกับมิตรของเรา เหมือน

กับคนใกล้ชิดแห่งเรา แล้วสุดท้าย ที่เราอยากไป เราก็จะได้ไป  ที่ไม่อยากไป ก็จะไม่ไป

เรียกว่า ที่โบราณเค้าว่า ไปที่ชอบที่ชอบน่ะ ที่ไม่ชอบเราก็จะไม่ไป เพราะเราเป็นผู้กรุยทาง

แล้วก็เดินทาง
แต่ณ.วันนี้ เราไม่มีสติในเวลาตาย ไม่มีจิตคิดจะใกล้ตาย ยอมรับความตาย กลัวความตาย

ไม่กล้าที่จะตาย เห็นความตายหวาดผวา สะดุ้ง แล้วใครเป็นผู้เดินทาง เราเป็นผู้เดินทาง แล้ว

เดินทางด้วยความสะดุ้ง หวาดผวา เกรงกลัว หนามทิ่มก็หาว่างูกัด ตายอีกรอบนึง เค้าเรียกว่า

ตายซ้อนตาย แล้วคนเดินทางกลับกลัวที่จะเดินทาง อย่างนั้นมันไม่พร้อมที่จะเดินทาง ก็เท่า

กับทางที่เดิน มันทำให้เกิดความทุกข์
อ้ายคนเดินทางไม่กลัวที่จะเดินทาง แล้วพร้อมที่จะเดินทาง ทางทุกที่ผ่านไป มันมีความสุข

มีดอกไม้ มีแม่น้ำ มีภูเขา มีต้นไม้ ลำธาร นกร้อง ธรรมชาติรอบกายมันเจริญหู เจริญตา

เจริญใจ เดินชมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเป้าหมายและจุดหมาย นี่เค้าเรียกว่า ผู้เดินทาง

พร้อมที่จะเดินทาง สนุกที่จะเดินทาง เตรียมตัวที่จะเดินทาง กล้าที่จะเผชิญต่อหนทางที่อยู่

ข้างหน้า
งั้นความตายไม่ใช่เป็นเรื่องน่ากลัว ลูก พูดอย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่า สนับสนุนให้ไปฆ่าตัวตายหรือ

ว่าไปอยากตายเร็วๆ แต่คิดว่า การตายเป็นมิตรกับเราจริงๆ ไม่ต้องไปทำให้มันตาย แต่เมื่อ

ถึงคราวที่จะตาย ก็ต้องคิดให้ได้แบบนี้ ต้องระลึกให้ได้ เช่นนี้ ต้องหวังให้ได้
ทุกครั้งหลวงปู่ไปเยี่ยมคนไข้คนไหน ถ้าเห็นอาการมันแย่ๆ  บอกมึง เตรียมตัวตาย เตรียม

ที่จะเผชิญต่อความเป็นจริงของชีวิตอย่างเป็นผู้มีสติอันมั่นคง องอาจ สง่างาม นี่คือความ

จริงที่เราจะต้องสร้างความสุขให้เกิดในภพภูมิต่อไป
หลวงปู่ไม่ได้ห่วงลูกหลานว่าจะนอนแหมบแล้วเป็นทุกข์เดือดร้อน ไม่ห่วง เพราะยังไงชาตินี้

มันก็มีลูก มีผัว มีเมีย มีครอบครัวอันเป็นที่รักคอยดูแล เอาใจใส่ ใช่ไม๊ มีหมอ แล้วอ้าย

ชาติหน้าต่อไป มึงจะมีใคร ยังไม่รู้เลย ยังไม่รู้ว่าใครข้างหน้ารอเราอยู่ที่จะดูแลเรา แล้วเรา

ไปแบบชนิดที่ไม่พร้อม ไม่เตรียมตัว ไม่แข็งแรงพอ แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น มันก็เหมือน

กับคนเดินท่ามกลางทะเลทราย โหยหา หิวกระหาย ทุรนทุราย ทรมาน เดือดร้อน แร้นแค้น

อดอยาก ปากแห้ง อยู่อย่างนั้น อย่างนี้ เค้าเรียก ไม่พร้อม ไม่เตรียมตัว แล้วก็หวาดกลัวที่

จะเผชิญต่อความตาย
ชีวิตคือ การเดินทาง ลูก ถ้าเราเตรียมที่จะพร้อมและกล้าที่จะเดินทาง แล้วพร้อมที่จะยินยล

ชมหนทาง ระหว่างการเดินทางทุกครั้ง ไม่มีอะไรน่ากลัว มีแต่ความเพลิดเพลิน เจริญใจ

ด้วยซ้ำไป
ชีวิตมันก็ไม่ต่างอะไรกับการเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ใส่เก่าแล้วก็เปลี่ยนใหม่ซะ ชุดใหม่เอามาใส่

ก็ต้องดูดี ใส่พอดี อย่าให้คับเกินไป แล้วต้องให้แน่ใจว่า สวย ใส่แล้วดูดี ภูมิฐาน นั่นแสดงว่า

ภพใหม่ ชาติใหม่ เราเลือกสรรได้ด้วยใจเราปรารถนา เรามุ่งหวัง เราสร้างเสริม
แต่ถ้าเรายังไม่อยากจะไป ยังหวดกลัว สะดุ้งผวา ยังไม่แน่ใจว่า อ้ายร้านนี้มันจะตัดชุดให้

เราดีได้ไม๊ อ้ายชุดที่ใส่มันจะเล่เก๊ ใส่แล้วมันจะแย่ มันจะดูโทรมไม๊ ก็สุดท้ายก็ไหนๆ มันก็

ต้องถอดของเก่าทิ้งอยู่ดี ของเก่ามันใส่ไม่ได้แล้ว มันสกปรก มันซกมก มันโทรม มันเน่า

เหม็น มันขาดทั้งข้างหน้าข้างหลัง มันอยู่กับมันไม่ได้แล้ว มันต้องไปแล้ว
แม้ที่สุด ชีวิตมันก็เหมือนกับการสร้างบ้าน เหมือนการอยู่อาศัยในบ้าน อ้ายหลังนี้มันเก่า

เต็มทีแล้ว หลังคาก็รั่ว คานก็หัก เสาก็ทรุด พื้นก็ผุ ข้างฝาก็พัง ทุกอย่างมันเสื่อมโทรมหมด

แล้ว ประตูหน้าต่างก็หลุดลุ่ย อาศัยอยู่ก็ไม่มีความสุข ไม่สนุกผ่อนคลายโปร่งเบาสบาย

อย่างนั้นก็ย้ายบ้านใหม่ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
ความตายเป็นเรื่องที่ปกติ เป็นอาจินต์พร้อม คือ เป็น เค้าเรียกว่า เป็นเพื่อนสนิท เป็นอา

จินต์กับเรา พร้อมที่เราจะเผชิญต่อความจริง อยู่อย่างนี้เนืองๆ
เมื่อตอนที่หลวงปู่ไปอยู่ที่น้ำตกหลีผี อ้ายงูจงอางมันกัด หลวงปู่ไม่คิดถึงกลัวความตาย แต่

คิดว่า เออ หัวใจเรายังอยู่ดีไม๊ กระดูกเรายังแข็งแรงสะอาดไม๊ คุมพิษเอาไว้อยู่ในจุดที่มัน

กัดได้พอไม๊     เออ ชีพจรเต้นเบาลงไม๊
หาวิธีที่จะกำจัดพิษออกจากกายได้อย่างไร ทำให้หัวใจเต้นอ่อนลง ชีพจรเต้นเบาลง ความ

ดันในเลือดน้อยลง ปรับสมดุลในร่างกายให้เชื่องช้า ที่สุดแล้วไปหาน้ำ แหย่ตีนไปให้ปลิง

มันกัด อ้ายปลิงเข็มในน้ำตก โอ้โห พอจิ้มลงไปในน้ำ มาเป็นร้อยเลย มันช่วยดูดพิษ

หนุบหนับๆ แพล็บเดียวน่ะ ตัวเป้งๆ เออ สบาย ปลิงไม่ตายหรอก มันได้กินเลือดกูอีก ขอบ

ใจกูด้วย กูให้อาหารมัน แต่เผอิญมันก็ได้พิษกลับไปด้วย เออ พิษงูมันก็ดูดเอาไปเสียเกลี้ยง
นี่ถ้ากลัวตายขึ้นมา เอ้า งูกัด อู้ฮู้ อะไรเกิดขึ้น พิษแล่นเข้าหัวใจ ตกใจไง โวยวาย วุ่นวาย

ความดันขึ้น ชีพจรเต้นแรง หัวใจตุ๊บตั๊บๆ  พิษก็สูบฉีดเร็วขึ้น ขึ้นไปอวัยวะสำคัญๆ ในกาย

สุดท้ายไปไหนยังไม่ได้เลย ตายแล้ว
เพราะงั้น ต้องรู้จักปรับเตรียม มีสติ นี่สำคัญที่สุด หลวงปู่จึงบอก ชั่วชีวิตหลวงปู่ไม่เคยพก

พระ พระที่พกอยู่เนืองๆ และศักดิ์สิทธิ์วิเศษที่สุด ก็คือ พระสติ พระสตินี่สำคัญยิ่ง วิเศษยิ่ง

ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง มันป้องกันเราได้ทุกเรื่อง แม้ที่สุด ป้องกันคิดผิด ทำผิด แล้วก็พูดผิด
อ้ายพวกที่พกพระอยู่ ถ้าไม่มีสติ มันก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน เพราะงั้นพกพระแล้วต้องมีสติ

ด้วย ต้องรักษาสติ ต้องเจริญสติ ต้องสั่งสมอบรมให้สติรุ่งเรือง เป็นที่พึ่งพาอาศัยของเราได้

แล้วเมื่อเรามีสติแก่กล้า ก็จะเป็นที่พึ่งของคนอื่นๆ ได้ด้วย
เพราะงั้น เรื่องความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ใครที่ป่วยหนักๆ ต้องบอกเอาไว้ เตรียมตัวที่จะ

ตาย กล้าเผชิญความตาย แต่ไม่ใช่โหยหาความตาย ไม่ใช่ แสวงหาความตาย ไม่ใช่ต้อง

การที่จะตาย โอ๊ย เบื่อเหลือเกิน มันทรมานเหลือเกิน กูอยากต๊าย กูอยากตาย จับมันไปผูก

คอ ไม่เอา กูกลัวต๊าย กูกลัวตาย เอ้า มึงตายสิ ไม่เอา กูยังไม่ตาย ไม่ตายอีก
เพราะฉะนั้น อ้ายคนโหยหาความตายเนี่ย เป็นบาป  ลูก คนฆ่าตัวตายเนี่ย เค้าว่า ไม่ใช่เค้า

ว่าล่ะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ว่า อัตภาพนี้มันได้มายากไม๊ ลูก กว่าพ่อแม่จะเลี้ยงมาตัว

ขนาดนี้เนี่ย ทุ่มเทไปเท่าไหร่ ทรัพยากรเท่าไหร่ เงินทองเท่าไหร่ เวลาเท่าไหร่ สูญเสีย

ความสุขพ่อแม่ครอบครัวไปขนาดไหน
พอโตแล้ว แทนที่จะทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ทดแทนบุญคุณแผ่นดิน ทดแทนบุญคุณธรรม

ชาติสิ่งแวดล้อม ดันมาฆ่าตัวตาย แสดงว่า เราไม่ชอบอัตภาพนี้ แล้วชาติหน้าๆ ใครเค้าจะ

ให้มาเกิดในอัตภาพนี้ เพราะเราปฏิเสธมันมาเบื้องต้น เราไม่อยากได้ มึงไม่อยากได้เป็นคน

อย่างนั้นมึงไปเป็นหมา ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน
อุ๊ย พ่อคุณเอ๋ย พ่อทูลกระหม่อม พ่อหัวบาน เออ ติดกัณฑ์เทศน์ เทศน์ถูกใจ พวกนี้นั่งเฉย

ไม่ติดกัณฑ์เทศน์กูเลย ถูกใจ ดี ลูก ดี ขอให้รวยข้ามภพข้ามชาตินะ ลูก เออ ดูซิ กูเทศน์ถึง

ความตาย เด็กติดใจ วิ่งมาติดกัณฑ์เทศน์ อีพวกนี้ไม่มีอะไรเลย เออ
เพราะฉะนั้น การเจริญสติเพื่อเตรียมตัวตายนี่มันไม่ใช่เรื่องน่ากลัว อ้ายที่น่ากลัวก็คือ

อยากฆ่าตัวตาย อัตภาพนี้มันไม่ได้มาง่าย ถ้าฆ่าตัวตายแล้ว ไม่มีสิทธิ์เป็นมนุษย์แล้ว  มึง

นับไปเหอะ 500 ชาติ 500 ชาติยังน้อยไปด้วยซ้ำไป จะไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็น

เปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก ไปเรื่อยๆ ล่ะ มนุษย์น่ะไม่มีสิทธิ์  จนกว่าเราจะรู้สึกรัก
สมมุติว่าไปเป็นหมา โอ๊ย คนเค้าเลี้ยงดี มนุษย์นี่เค้าชั่งดีนะ ชั่งใจอารี มีน้ำใจ มีข้าว มี

อาหารสมบูรณ์ นอนที่นอนนุ่ม กินดี อยู่ดี อาบน้ำสะอาด นุ่งห่มผ้าสวย หมาตัวนั้นเกิดรัก

อัตภาพมนุษย์ รักสันดาน สัญชาติญาณมนุษย์เกิดขึ้นกับหมา แล้วจิตสุดท้ายของหมาตัวนั้น

ด้วย นึกถึงแต่เรื่องของมนุษย์ คุณของมนุษย์ สมบัติมนุษย์ หมาตัวนั้นจึงได้เป็นมนุษย์ เอ้า

เรื่องจริง สัตว์ทั้งหลายที่เราเลี้ยงๆ ไว้ถ้ามันคิดถึงอัตภาพมนุษย์ แล้วยินดีในคุณแห่งมนุษย์

ชาติต่อไปมันจะได้เกิดเป็นมนุษย์
แต่นี่ เราดันเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ชอบใจมนุษย์ ฆ่ามันทิ้งซะ ไม่เอา กูเบื่อเหลือเกิน ทุกข์เหลือ

เกิน ทรมานเหลือเกิน ไม่อยากเป็นมนุษย์ มีหรือชาติต่อไปจะได้เป็น ได้เป็นไม๊ ก็จิตสุดท้าย

มันเกลียดกลัวมนุษย์ไง ไม่อยากได้อัตภาพมนุษย์ มันฆ่าทิ้งซะ แล้วที่ไหนมันจะได้มาเกิด

เป็นมนุษย์ มันไม่ได้เป็น แล้วมันจะเป็นอะไร
อย่างดีที่สุดก็เป็นสัมภเวสี ล่องลอยไปเรื่อยๆ หาที่แดนเกิดไม่อยู่ หาที่เกิดไม่ได้ ก็เป็นพวก

เหมือนกับพวกถือถุงปุ๋ย แล้วก็นอนตรงนั้นที นอนตรงนี้ที แบบนี้เค้าเรียก สัมภเวสีข้างถนน

ตามมุมตึก ตามโคนต้นไม้ ตามศาลาพักร้อน ลักษณะอย่างนี้เค้าเรียกว่า พวกสัมภเวสี อัน

นั้นก็สัมภเวสีในอัตภาพร่างของคน
แต่สัมภเวสีในอัตภาพร่างของสัมภเวสี เนี่ย มันเห็นไม่ได้  มันมองไม่ได้ เจอญาติ อยากขอ

รู้จัก ไปทัก ก็ไม่รู้ ญาติก็ไม่รู้เรื่อง เพราะมองเราไม่เห็น หิวข้าว อยากกินข้าว หิวน้ำ อยาก

ขอน้ำ ก็ไม่ได้ทำไว้ ไม่ได้สร้างไว้ เห็นน้ำวิ่งเข้าไปหา น้ำดันเดือดเสียอีก อ้าว น้ำไม่ใช่บ่อ

ของกู เพราะกูไม่เคยสร้างไว้ ไม่เคยถวายทาน ไม่เคยทำบุญ เนี่ยพวกสัมภเวสี จะมีสภาพ

แบบนี้ ไม่ได้เป็นสัตว์นรก แต่เป็นสัมภเวสีล่องลอยไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไปเจอผลบุญของ

ญาติคนใด เค้าระลึกถึงเราได้ ก็จะได้กินบ้าง ได้เสพบ้าง ได้สัมพันสัมผัสบ้าง
เพราะงั้นการไม่เตรียมตัวเป็นเรื่องน่ากลัวมากๆ น่าห่วงจริงๆ อย่างที่หลวงปู่เห็น มันน่ากลัว

มากๆ
เพราะงั้น ลูกหลาน กูไม่ห่วงที่มึงจะอยู่อย่างสุขทุกข์ในปัจจุบันหรอก อย่างน้อยมึงก็ยังมี

รู้จักวัดอ้อน้อย เออ มึงยังมาขอข้าวกินได้ แต่มึงตายไปแล้วเนี่ย เฮอะ วัดอ้อน้อยก็ไม่ให้มึง

เข้า อ้าว เค้าไม่ให้มึงเข้าหรอก ยายทองห่อดุจะตายไป เออ อีนวลก็ไม่ให้เข้าใกล้กู พวก

เทวดา ท้าวจาตุมมหาราชิกา เดี๋ยวก็ตวาดมึงขี้แตก ไม่ใช่ง่ายนะลูก เสื้อเมือง ทรงวัดเค้ามี

เจ้าที่เจ้าทาง พระภูมิอากาศ อาภิสจารี เค้าคอยปกปักษ์รักษาสถานที่ ผีบ้านผีเรือน กว่าจะ

เข้าเค้าไปได้ โอ๊ย ต้องเซ่นวักตั๊กแตน บวงสรวง ถ้าไม่ใช่ญาติ ไม่รับสินบนด้วย ยิ่งแย่ใหญ่

ขนาดเจ้าตัวยังเอาไม่รอด แล้วจะเอาที่ไหนไปติดสินบนเค้า ไม่ใช่เรื่องสบาย ชีวิตหลังความ

ตาย น่ากลัวสำหรับคนที่ไม่พร้อมตาย
ต้องเตือนเอาไว้ พูดกรอกหูไว้มึง อัดเทปไว้หรือเปล่า ไปเปิดให้ผัวฟัง
เออ นี่หลวงปู่เทศน์ กัณฑ์ตาย เตรียมตัวตาย พร้อมที่จะเผชิญต่อความตาย และยินดีใน

ความตายที่จะมีข้างหน้าอย่างไม่หวาดผวา ไม่สะดุ้งกลัว  พอเราพร้อมที่จะตาย

ร่างกายจะหลั่งสารนึงเข้ามา
เค้าเรียกว่า สารต่อต้านพันธุกรรม พันธุกรรมที่ผิดรูปแบบ
การเจริญพันธุ์ของเชื้อโรคทั้งหลายในร่างกายมันจะหยุดโดยยุติด้วยสารต่อต้านพันธุกรรม

เพราะการสลดสังเวช ความเห็นและเกิดนิพิทาญาณ คือความเบื่อหน่าย สมองมันจะหลั่ง

สารพิเศษนี้ออกมา คือ สารต่อต้านพันธุกรรม และสารต่อต้านพันธุกรรมเนี่ย มันจะมี

ฤทธิ์กำจัดเชื้อโรคทั้งหลายในร่างกาย มันเท่ากับว่าเราเรียกว่า ซ้อมตาย พร้อมที่จะตาย

แล้วจะได้ไม่ต๊าย ตาย แต่ถ้าไม่พร้อมตาย ไม่กล้าที่จะเผชิญกับความตาย เราจะตายสนิท

ตายด้วยโรค ตายด้วยความกลัว ตายด้วยความหวาดผวา แม้ชีวิตสุดท้าย หลังความตายแล้ว

เราก็ยังตาย ต๊าย ตาย ตายแล้วกูมาเกิดได้ยังไงเนี่ย โอ๊ย กูไม่คิดว่าจะได้มาเกิด ดันมาอยู่

เกาะอะไรวะ เกาะที่โดนสึนามิ โอ๊ย นั่นน่ากลัวน่ะ
นั่นน่ะ เออ ไม่รู้ว่าเมืองไทยจะโดนเข้าอีกหรือเปล่า แต่ก็ต้องโดนแน่ๆ ล่ะ แต่ยังอีกนาน ยัง

อีกนาน
แต่อยากบอกลูกหลานว่า อย่าประมาท อย่าประมาท เพราะว่า ประเทศ สังคม สิ่งแวดล้อม

โลก มันเริ่มจะทวงคืนมนุษยชาติ โชคดีนะ เมื่อตอนต้นเดือน คนเค้าจองตั๋วเครื่องบินจะให้กู

ไปยูนาน เออ ไปยูนาน ถ้ากูไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ยังอยู่ยูนาน ทีนี้กูก็จะอยู่ไม่นาน เพราะ

เหตุที่จะต้องไป เพราะต้องไปหายาสมุนไพรตัวนึง ที่มันแก้โรคข้อเสื่อม เป็นยาเค้าเรียกหัว

ยา มันขึ้นอยู่ในถิ่นยูนานเท่านั้น ตอนไปซื้อที่หางโจว มันโลตั้ง 300 หยวน ขึ้นมาอีก 3

เท่า ถ้าซื้อที่ยูนาน น่าจะถูก ประมาณ 30 หยวน เออ กูรู้ไง ที่ไหนตาย กูไม่ไปหรอก

กูบอกยังไม่ไป ยังไม่ว่าง เออ ยังไม่ไป พอซักพักก็แผ่นดินไหว เออ ตึก โรงแรมถล่มหมด

ถล่มยูนานเสร็จ ก็ไปญี่ปุ่นเลย ก่อนยูนานก็ที่นิวซีแลนด์ มันจะมีเหมือนกับสะท้อนไปเรื่อย

วนไปเรื่อย
กลางคืนนอนก็ได้ยินเสียงเลื่อนลั่นๆ เหมือนกับกระเบื้องมันลั่นน่ะ มันโยก เราก็นอนฟังมัน

เออ มาอีกแล้วเหรอ ปล่อยมัน ก็ระวังๆ ไว้ ลูก ก็อย่าประมาท
งั้นดีที่สุด คือ ต้องรักษาสติเอาไว้เยอะๆ ทำความดีไว้ให้มากๆ แล้วเตรียมตัวที่จะเผชิญต่อ

ความเป็นจริง คือความตายอย่างไม่หวาดผวา ไม่สะดุ้งกลัว มีโอกาสเป็นคน ก็ทำดี เราเกิด

เป็นคน เค้าให้มาเป็นคนเพื่อทำดี ไม่ใช่ให้เป็นคนเพื่อทำอัปรีย์แล้วทำไม่ดี ถ้าทำไม่ดี ทำ

อัปรีย์ ไม่ต้องเป็นคน เดรัจฉานก็ทำได้ เป็นคนเนี่ย ต้องทำได้แต่ดีอย่างเดียว อัปรีย์ไม่ดีทำ

ไม่ได้ ขืนไปทำเข้า มันก็จะไม่เป็นคนแล้ว ทีนี้มันก็จะไปเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็น

อสุรกาย เป็นสัตว์นรกแล้ว
นี่คือ สิ่งที่อยากเตือนเอาไว้ และให้สติกับผู้ที่ยังไม่พร้อม และไม่กล้าที่จะเผชิญกับความ

เป็นจริงของชีวิต ซึ่งเป็นความจริงอันเป็นมงคลยิ่ง เป็นของจริงอันประสริฐ เหมือนๆ กับที่

เมื่อวาน วันศุกร์กลับมาจากสรงน้ำเจ้าประคุณสมเด็จหนกลาง สรงน้ำศพเสร็จก็กลับมา

ประชุมพระ บอกให้พระใช้อำนาจ มติคณะสงฆ์ เรียกตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดหนองปลาไหล

เอากลับคืน เพราะว่าให้บวชไปเป็นสมภารเพื่อไปเป็นที่พึ่งของสังคม ชาวบ้าน ไม่ได้ให้

เป็นสมภารเพื่อจะพึ่งตัวเอง อาศัยตำแหน่งไต่เต้า ยกฐานะตนเองเป็นผู้มีศักดิ์ มียศถา

บรรดาศักดิ์ แสวงหาประโยชน์ใส่ตน เพื่อยกสถานะตนเอง ปล่อยให้ชาวบ้านรอบๆโง่

เหมือนเดิม นี่กลับกลายเป็นว่า แทนที่จะอยู่วัด บริหารจัดการพัฒนาวัดให้ดูดี มีความสุข

เรียบร้อย เป็นต้นแบบของสังคมรอบวัด จ้องจะไปเรียนหนังสืออย่างเดียว คือพระนี่ไปคิด

เหมือนกับชาวบ้านคิด
พระคิดต้องไม่เหมือนชาวบ้านคิด ถามว่าทำไมถึงเรียกว่า พระคิดต้องไม่เหมือนชาวบ้าน ก็

เพราะว่าพระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า   มาเถิด ภิกษุ ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติ

พรหมจรรย์ เพื่อทำให้ถึงที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด
นี่คือ วิถีคิดของพระพุทธเจ้า มาเถิด ภิกษุ ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติ

พรหมจรรย์ เพื่อทำให้ถึงที่สุดทุกข์โดยชอบ ไม่ได้บอกว่า มาเถิด ภิกษุ ท่านจงไปเรียนเอา

ปริญญาตรี โท เอก เพื่อให้ธรรมถึงที่สุดทุกข์โดยชอบ ถ้าอย่างนั้น พระองค์คงไม่ต้องออก

จากวัง อยู่ที่วังก็ได้เรียนปริญญาตรี โท เอก เป็นศาสตราจารย์ เป็นดอกเตอร์ได้
นี่เข้ามาบวชก็เพื่อต้องการทำหน้าที่ ก็คือ ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำให้ถึงที่สุดทุกข์โดย

ชอบ ไม่ใช่มายกฐานะ สถานภาพของตนทางสังคมให้เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม แล้ว

อะไรเป็นที่พึ่งของตนเองได้ ปริญญากันตายได้ไม๊ มันกันนรกได้ไม๊ ปริญญานี่มันทำให้

บรรลุนิพพานไม๊ มันพ้นทุกข์ไม๊ แล้วมันเป็นที่พึ่งทางใจชาวบ้านได้ไม๊
ก็พระมันดันคิดเหมือนชาวบ้านคิดไง แล้วก็พระผู้ใหญ่ก็คิดแบบนี้ เกณฑ์หลวงตา หลวงพ่อ
หลวงปู่ไปแจกรูปในหลวงเนี่ย ไปทางอีสานน่ะ สมภารอายุปาเข้าไป 60 แล้ว ถามไปไหน

ไม่อยู่วัด ไปเรียน เรียนทำไม เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัดเค้าสั่งให้ไปเรียนหมดทุกวัด

แล้วปล่อยให้วัดร้างทั้งวัดอยู่อย่างนี้ ชาวบ้านแทนที่จะได้พึ่งพาอาศัยสมภารบ้าง ก็กลาย

เป็นว่า ไปแสวงหาประโยชน์ใส่ตน
ที่จริงเรียนไม่ใช่เป็นเรื่องเลวร้าย ถ้าเรียนแล้วมันทำประโยชน์แก่ศาสนา แก่สังคม แต่

เรียนแล้วมันไม่ได้ทำประโยชน์ให้ศาสนา ให้สังคม สำคัญที่สุด อ้ายคนเรียนกลับมีแนวคิด

ว่า ถ้าได้ปริญญามา มันจะยกฐานะความเชื่อมั่นของตนในฐานะภาพของสังคมนักบวช จะ

ได้เป็นเจ้าคุณ เป็นพระครู เป็นนักบวชผู้คงแก่เรียน ยกสถานะแล้วสังคมข้างวัดโง่เหมือน

เดิม ดักดานเหมือนเดิม ยังเข้าใจผิด ทำผิด พูดผิด ยังแยกไม่ออกระหว่างมงคลกับอัปมงคล

แยกไม่ออกระหว่างโลกธรรมกับอโลกธรรม ถ้าตัวเองยังเป็นผู้ขวนขวายแสวงหาโลกธรรม

มีลาภ เสื่อมลาภ มีสุข มีทุกข์ มีนินทา มีสรรเสริญ ยังแสวงหาอยู่แล้วไปสอนให้ชาวบ้าน

เค้าพ้นจากวิถีแห่งโลกธรรม การครอบงำของโลกธรรมได้อย่างไร
สมเด็จฯเอาปัจจัยมาถวาย 300,000 เห็นท่านบอกว่า ท่านนั่งรถไปแล้วเห็นกูอยู่บน

หลังคา อ้ายซุ้มประตู ถามว่า นั่นพระอะไรอยู่บนหลังคาซุ้มประตู คนใก้ชิดเค้าบอกว่า

หลวงปู่ โอ๊ย ท่านก็เลยรุ่งขึ้นอีกอาทิตย์ก็เอาปัจจัยมาถวาย 300,000 แล้วก็มาบอกว่า

อย่าขึ้นไปอีกนะ มันสูง เออ แล้วก็บอกอย่าไปไหนอีกนะ เพราะมาเที่ยวนั้นก็ไม่อยู่ทีนึงแล้ว

ให้อยู่เฝ้าวัด อยากไปป่าก็ให้ปลูกต้นไม้เยอะๆ เดี๋ยวมันเป็นป่า จะได้ไม่ต้องไป เออ

สมเด็จพระสังฆราช
พระที่เป็นสมภารได้ ไม่ใช่คุณสมบัติ แต่เพราะบารมีสมเด็จพระสังฆราช
เรียกพระกลับมา รู้ไม๊ว่าทำไม ก็เพราะท่านเป็นช้างก็เป็นช้างด่าง ไม่ใช้ช้างเผือกในฝูง ท่าน

ควรจะต้องเป็นช้างเผือก กลับกลายเป็นด่างเหมือนกับฝูงอื่นๆ หรือว่าตัวอื่นๆ แสดงว่า เวลา

ที่อยู่เนี่ย ไม่ได้ทำให้ท่านแก่กล้า หรือว่ามีคุณงามความดี มีราศีให้เป็นผู้นำของสังคมของฝูง

เลย กลายเป็นผู้ตามฝูง อยู่ในฝูงเฉยๆ เรียกว่า ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ อาศัยเค้าไป

เรื่อยๆ หายใจเข้าออกปื๊ดป๊าดๆ เฉยๆ อย่างนี้เค้าเรียกว่า ช้างไม่พัฒนา แก่ก็เรียกว่า แก่

มะละกอ แก่กล้วย  รู้ไม๊ แก่มะละกอ แก่กล้วย แก่อะไร แก่รอเน่าน่ะสิ มันไม่ได้แก่

มะพร้าว แก่ตาล แก่รอขึ้น แก่มันน่ะ
เอ้า นี่ไม่ได้ด่าคนแก่นะ เดี๋ยวคนแก่กระเทือน เออ
เพราะฉะนั้น ก็เลยวันศุกร์นี้หลังจากกลับจากศิริราช ก็ไปต่องานศพ จากงานศพก็เล่นงานซะ

สะสางซะ เพราะสิบปีแล้วไม่เคยสะสางโครงการคณะสงฆ์ ปล่อยให้ดูแลกันอย่างไม่ค่อยใส่

ใจ แล้วเราก็ต้องรับปัญหาอยู่รูปเดียว แล้วก็ไม่ยึดหลักกติกา
ที่นี่อนุญาตให้เรียนได้ 2 เรื่อง  1. ภาษา  2. บัญชี
ส่วนธรรมะวินัยก็ศึกษาทั้งชีวิตอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเวลาพิเศษ หรือว่าพิธีพิเศษ ศึกษา

แล้วนำมาพึ่งตัวเองได้ และเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ นั่นแหละก็หน้าที่ที่จะต้องทำ
เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่  ไปแสวงหาปริญญากันเลอะเทอะไม่ใช่เรื่องเลว ลูก  เรียนปริญญาน่ะ ถ้า

ไม่อาศัยชาวบ้านกิน  ถ้าอยากจะได้ปริญญา ก็อย่ามาอาศัยข้าว น้ำ ชาวบ้าน ไปอาศัยข้าว

น้ำ ตัวเองกิน เรียนเสียให้จบแล้วค่อยมาบวช เพราะเข้ามาบวช หน้าที่ของนักบวช ไม่ใช่

มาแสวงหาปริญญา มันแสวงอะไร เออ ท่านจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว

ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำให้ถึงที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด เค้าแสวงหานี่
ไม่ใช่แสวงหาปริญญา พระพุทธเจ้าสั่งอย่างนี้ สอนแบบนี้ ตั้งแต่เริ่มประกาศศาสนาจนสุด

ท้าย พระองค์ก็ยังทรงสอนว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน

ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
งั้น ไม่มีคำสอนใดที่บอกว่า เธอทั้งหลาย จงไปหาปริญญา มันไม่ซื่อตรงต่อพระธรรมคำสั่ง

สอนของพระพุทธเจ้า แล้วมันก็เป็นอย่างนี้กันทั้งแผ่นดิน เห็นไปที่ไหนก็ สมภารไปไหน

ไปเรียน คิดเหมือนชาวบ้านคิดไง จะแข่งกับชาวบ้าน และพวกนี้ มันจบแล้ว มันไปไหน รู้

ไม๊ เออ จบแล้วแทนที่มันจะมาเป็ยประโยชน์ต่อศาสนาบ้าง กลายเป็นผัวชาวบ้าน
วันที่หลวงปู่ไปสอนธรรมะที่โรงเรียนการศึกษาชั้นสูงกองทัพบก พูดถึงเรื่องงานตายกับงาน

แต่ง ถามอนุศาสนาจารย์ งานตายนี่เป็นงานมงคลหรืออวมงคล งานอวมงคล แล้วงานแต่ง

เป็นงานมงคลหรืออวมงคล งานมงคล อ้าว พระพุทธเจ้าสอนว่า เจริญมรณานุสติ กรรมฐาน

นี่เป็นมงคลหรืออวมงคล กรรมฐานเป็นมงคล แล้วมรณานุสติเป็นมงคลหรืออวมงคล เป็น

มงคล แล้วความตายเป็นมงคลหรืออวมงคล เงียบ เออ อนุศาสนาจารย์ก็ยังตอบไม่ได้ ตอบ

ไม่ได้ก็เพราะว่าตัวเองเข้าใจผิดมาทั้งชีวิต แล้วโดนสอนมาแบบผิดๆ ทั้งชีวิต
ของจริงอันประเสริฐกลับเป็นอัปมงคล แต่ของหลอกลวง ฉ้อฉล เอามันสะใจ ได้ผัว ได้เมีย

กลับเป็นมงคล สร้างเรือน สร้างลูก สร้างฐานะ สร้างภาระ สร้างทุกข์ กลับเป็นมงคล
แต่รู้ความจริงเพื่อให้ทุกข์มันสลด สงบ ระงับ กลับเป็นอัปมงคล มันทุเรศแค่ไหน เวลาเรา

ไปงานศพครั้งหนึ่ง เราก็จะเห็นสภาพคนตายแล้วก็ได้ปลงสมเพชเวทนา โอ้หนอ คนที่เค้า

แก่กว่าเราก็ตายไปแล้ว คนที่เค้าอายุเท่าเราก็ตายด้วย คนที่อ่อนกว่าเราก็ตายด้วย แล้วเรานี่

จะอยู่อีกนานแค่ไหน อะไรที่เรายังไม่ทำ ทำหรือยัง อ้ายความดีทั้งหลายที่ควรสั่งสม ได้ทำ

อบรมไม๊ อ้ายความชั่วที่ควรละ ได้ละไปแค่ไหน ชีวิตเราจะมีอะไรเป็นแก่นสาร สาระ
แม้ที่สุดสมเด็จฯ ยังตาย เราจะรอดอะไร พระที่นั่งๆ กันอยู่เนี่ย มองเห็นกันบ้างไม๊ แหม ไป

เที่ยวนี้ ดัง พอกูเข้าไปปุ๊บ อ้ายพิธีกร มาแล้ว หลวงปู่พุทธะอิสระ มาแล้ว องค์นี้ฤทธิ์มากนะ

เชี่ยวชาญ พระไตรปิฏกท่านจำได้ครบถ้วนกระบวนความ สอนธรรมได้แจ่มแจ้ง เอาล่ะกู

เริ่มหูร้อยล่ะ อ้ายคำอื่นก็พอฟังได้ พอคำสุดท้ายบอกว่า ดูซิ ท่านน่ะใจเด็ดขนาดไหน ขนาด

เป็นเจ้าคณะปกครอง เจ้าคณะตำบล พอคนว่าหน่อย สึก อ้ายคนว่าหน่อย ลาออก ลาออกยัง

ไม่พอ ยังสึกอีกต่างหาก หางานให้กูเข้าอีกแล้ว เออ กูอยู่ของกูดีๆ  กูก็มากราบสมเด็จฯ

เฉยๆ ทำไมต้องมายกอะไรเยอะแยะ เป็นเรื่อง
เพราะงั้นก็เลยอยากบอกลูกหลานว่า ดีแค่ไหนก็ตาย ใหญ่ขนาดไหนก็ไม่ทิ้งความตาย  สุข

ทุกข์ที่สุดก็ความตายมันชะล้างหมด คือ มันเอาไปกินหมด แต่มันไม่หมดจากวิญญาณ จาก

สันดานเรา ดีชั่วเนี่ย ความตายมันไม่สามารถจะเข้ามากล้ำกรายไปหมด
เราตายเฉพาะภพชาติ แต่ดีชั่วยังตามตัวติดไป
เพราะงั้น เราก็ต้องหากรรมวิธีที่จะต้องชำระตัวเองให้ขาวรอบ ผ่องแผ้ว ผ่องใสเหมือนคำ

สอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า  สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง  การไม่ทำบาปทั้งปวง   กุสะลัส

สูปะสัมปะทา  ก็คือ  ไม่ใช่ทำดีให้ถึงพร้อม ทำดีอย่างฉลาด  กุสะลัสสู แปลว่า ความฉลาด 

ทำดีด้วยกุสโลบายอันชาญฉลาด ไม่ใช่ทำดีแบบโง่ๆ อย่างที่เคยยกตัวอย่างให้ฟังว่า ใส่บาตร

คนหนึ่งใส่บาตร 7 โมงเช้า อีกคนใส่บาตร10 โมงเช้า อย่างนี้ใครทำดีโง่ ใครทำดีฉลาด

อ้ายคนใส่บาตร 10 โมงเช้าน่ะโง่ พระที่ไหนเค้าจะมาบิณฑบาตรกัน 10 โมงเช้า 11

โมง พระเก๊ อ้ายพระเดินบิณฑบาตร 7 โมงเช้าน่ะ พระจริง เออ ดีเหมือนกัน แต่มันดีโง่

กับดีฉลาด
เพราะงั้น ถ้ารู้จักฉลาด พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า นั่นดี แต่ถ้าโง่ ไม่ดี มันจะดีได้ไง ไปสนับ

สนุนให้โจรมันอ้วนน่ะ ปล้นชาวบ้านต่อไป หากินแบบนี้มีช่องทางง่าย ก็เลยหากินมันทั้งชีวิต

เท่ากับว่า ไปเหยียบย่ำวิญญาณมันให้มันตกต่ำมากกว่าเก่า
สรุป แช่งวิญญาณเค้าให้ชั่วหนักกว่าเก่า ไปเปิดช่องให้เค้าทำมาหากินชั่วๆ เพิ่มขึ้น เรามี

ส่วนสนับสนุนให้คนทำชั่ว แล้วจะเป็นบุญได้ไง มันก็เป็นบาปน่ะสิ เราเจอลูกเราทำชั่ว เรา

ยังห้าม อย่าขโมย อย่าลัก แต่เห็นชาวบ้านเค้ามาทำชั่ว กลับสนับสนุนให้เค้าทำ แล้วอ้างว่า

เราศรัทธา เออ ก็แสดงว่า ศรัทธาความชั่ว เราก็คงไม่พ้นความชั่ว
เพราะงั้น จงทำดีด้วยกุศล คือความชาญฉลาด เลือกทำในสิ่งที่งดงาม รุ่งเรือง เจริญ เหมือน

กับคนเที่ยวที่แล้ว ไป ศิริราช เค้าบอกว่า คณบดี คุณหมอ ศาสตราจารย์คนที่เข็นรถ

ในหลวงน่ะ เค้าก็มานั่งแถลงข่าวด้วย เค้าก็เล่าให้ฟังว่า ศิริราชเนี่ย มีแต่เงินเดือน ไม่มีโบนัส

ปีๆ นึงคนทำงานมากกว่า 10 ชั่วโมง แต่ละวัน เพราะว่าเวลากินก็ไม่ได้กิน เวลาพักก็ไม่

ได้พัก เพราะคนไข้มีมาก เดือนนึง ปีนึง 3 ล้านกว่า
เพราะงั้น คนที่ทำงานอยู่ศิริราชก็มีอุดมการณ์ มีความสียสละอย่างยิ่ง แล้วก็รัฐบาลมาสร้าง

ตึกให้ แต่รัฐบาลไม่ได้ซื้อเครื่องมือให้ เพราะงั้น เครื่องมือมันก็ขาด ตึกใหม่ไม่มีเครื่องมือ

ทุนทรัพย์ในการสงเคราะห์ผู้ป่วยอนาถาก็ไม่มี  แม้จะบอกว่ารัฐบาลสนับสนุน ส่งเสริมไป

ทั้งหมด แต่มันก็ไม่พอ
เค้าเล่าให้ฟัง เราก็เออ ครั้งหนึ่งในชีวิต เราก็เคยมีประสบการณ์ตรงจากศิริราช เพราะเคย

โดนต่อต่อยตาเกือบบอด ตอนไปเก็บสมุนไพร เค้าจะควักตาทิ้งด้วยซ้ำไป คุณหมอจากศิริ

ราชคนนึง ผู้หญิงน่ะ หมอใหญ่ เค้าเรียก อาจารย์หมอๆ หลวงปู่ก็ถือว่า นั่นเป็นนางฟ้าของ

เราที่ช่วยรักษาตาข้างขวาให้เราโดยไม่ต้องควักทิ้ง ก็นึกถึงคุณของศิริราช ก็เลยบอกว่าเดี๋ยว

ได้สตางค์จากไหว้ครูมา จะยกให้กับศิริราชมูลนิธิ แล้วเดี๋ยวไปแสดงธรรมที่อะไรนะ

ชมรมกัลยาณธรรม เค้าจะนิมนต์ ที่จริงปฏิเสธเค้ามาหลายรอบแล้ว เอ้า เที่ยวนี้เค้านิมนต์

เอาไปมอบให้กับมูลนิธิศิริราช เค้าจะได้ไปใช้ประโยชน์
ที่จริงกูโดนหลอกนะ ว่าจะไปเสวนาที่ศิริราช คิดว่าจะไปเสวนาให้แพทย์พยาบาลฟัง กลาย

เป็นไปร่วมแถลงข่าวพิธีเปิดโครงการฯ กลับมายังถูกต่อว่า คนแซวเชียว แหมรวยนะ เอา

เงินไปบริจาค ของตัวเองยังใช้ยังไม่มีพอเลย เออ ดูปากมันสิ รวย เออ จะใครว่า ก็ประธาน

มูลนิธิอโรคยาน่ะสิ มาหรือเปล่าก็ไม่รู้ เออ
อ้ายเราก็เลยบอกกับเค้าว่า  อ้ายของเราน่ะ มันก็จำเป็นต้องใช้ แต่มันใช้สร้าง โลหะวัตถุเนี่ย

นานหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่เค้าน่ะเอาไปใช้ช่วย เออ เรามันน่ะใช้สร้าง แต่เค้าน่ะเอาไปใช้ช่วย

คือช่วยชีวิตคน มันช้าก็ไม่ได้การ นานก็จะเสียชีวิตคน
เพราะฉะนั้น ทำบุญก็ต้องฉลาดทำ ไม่ใช่อวดรวย อีกส่วนหนึ่ง ก็คือ เค้ามีคุณ ศิริราชก็ต้อง

ถือว่า มีบุญคุณต่อหลวงปู่ อย่างน้อยตาข้างหนึ่งก็เป็นของศิริราช  เราก็ต้องตอบแทนบุญคุณ

เค้าบ้าง  แม้จะทุกปี เวลามีจัดไหว้ครู ก็จะเอาเงินไปให้เค้าทุกปี ใช่ไม๊ เออ ก็ปีนี้ก็จะเอาไป

ให้เค้าอีก แล้วเดี๋ยวได้สตางค์จากแสดงธรรมก็รวบรวมส่งไปให้
สังเกตไม๊ หลวงปู่ไม่พูด เพราะไม่ชอบ ของกู มึงเคยเห็นกูประกาศขายไม๊ กูไม่ชอบ
มีปัญญาที่จะหาอย่างอื่นได้ ไม่ใช่ต้องมานั่งขายพระ ขายอะไร สติปัญญามี เดี๋ยวกูก็ทำยา

ขายมั่ง ทำไอติมขายมั่ง ทำน้ำ ทำนม ทำอะไร ขายไปเรื่อย
เอ้า อย่างน้อยกูก็ไม่ไปรีดนาทาเร้นใคร ไม่ได้ไปหลอกลวงใคร ไม่ได้ไปเอาเปรียบใคร เอ้า

ใช่หรือเปล่า เออ ก็กูก็ขายของกูตรงๆ ว่ากันตรงๆ มึงซื้อกู กูก็เอาตังค์มาทำบุญ เมื่อวานซืนนี้

ขายต้นไม้คนเค้า อุ๊ย จะเอาตังค์ไปไว้ไหน นู้น เอาตังค์ไปสร้างนู้น สร้างนู้น ขายต้นไม้ อ้าว

เราก็บอกตรงๆ เอาไปเราก็ไม่ได้รบกวนอะไรใครมาก
เออ  พูดถึงเรื่องทำยา วันอาทิตย์นี้จะไม่ได้เข้าไปแสดงธรรมที่โรงพยาบาลทหารเรือ ไม่ใช่

ไม่เข้าเพราะว่าไม่อยากเข้า แต่ไม่เข้าเพราะมันจำเป็นต้องไม่เข้า ในโรงยา ยาหลายตัวมัน

หมด โดยเฉพาะขันทองพยาบาท มันต้องไปขุดเอาทั้งราก ทั้งโคน ทั้งเม็ด ทั้งใบ ทั้งเปลือก

ทั้งรากทั้งเง้ามัน
เออ ว่าจะไปซัก 2 อาทิตย์ จะเอารถ 6 ล้อไปไล่เก็บสมุนไพร เพราะว่าเดี๋ยวไม่มียาทำ

แจกวันไหว้ครู ไม่ใช่ได้มาแล้ว มาทำเลย มันต้องมาอบ มาตาก มาเข้ากรรมวิธี กว่าจะมา

เป็นยาได้ ใช้เวลาเป็นเดือน ถ้าไม่เตรียมเสียวันนี้ เดี๋ยวเดือนหน้า เดือนโน้น ก็ไม่มีวัตถุ

ดิบทำยา เพราะว่าขันทองพยาบาทก็เป็นยาสำคัญตัวหนึ่งที่ใช้สำหรับผสมกับยาฟอกเลือด

กับบำรุงเลือด แล้วยา 2 ตัวเนี่ย ทำเดือนหนึ่งเป็นหลายหมื่นเม็ด เป็นแสนเม็ด มันใช้มาก

ก็เลยต้องเข้าไปหา
งั้นก็ขอลา ให้คนอื่นไปก็ไม่รู้จัก ก็ต้องไปเอง ลูก ก็บอกให้ทราบไว้ตามนี้แล้วกัน เดี๋ยววัน

จันทร์นี้ก็จะไปล่ะ จะไปหายา หาวัตถุดิบ สัตว์วัตถุ โลหะวัตถุ แล้วก็พืชวัตถุ เอามาประกอบ

ยา
แล้วก็อีกเรื่องนึง เรื่องไหว้ครู ครั้งสุดท้ายแล้วนะ ไม่ต้องให้ใครงมาถามอีกนะ ว่าจะหา

อะไรมาบูชาครู เครื่องเซ่นวักตั๊กแตน สรุปแล้วใครไหว้ กูไหว้ครูหรือเปล่า หรือว่า มึงไหว้

ครู เออ เอ้า เมื่อมึงไหว้ครู แล้วทำไมต้องให้กูหาให้มึงด้วยเหรอ เฮอะ ใครไหว้ใครกันว่ะ

เหอะ อ้าว มึงก็หามาสิ ทำไมต้องให้กูมาหา มึงจะไหว้เพชรนิลจินดา แก้วแหวนเงินทอง

สากกะเบืออะไร หามา ไม่ต้องมาถามกู
มึงจะเอาอะไรมาบูชาครู อย่ามาถาม ก็บอกแล้วมีหน้าที่เพียงแค่กำหนดว่า จะจัดสถานที่

อย่างไร วันไหน เวลาไหน แล้วก็ประกอบยันต์พิธีเท่านั้น อ้ายเรื่องเครื่องประกอบ เครื่อง

ไหว้ มันเป็นเรื่องที่คนที่เป็นศิษย์จะต้องสำนึกว่า เราจะเอาอะไรมาไหว้ครู แล้วเค้าเปิดให้

จองกันหรือยังน่ะ ขันครู เออ ปัจจัยที่ได้มาส่วนหนึ่ง เค้าให้จองขันละเท่าไหร่ อืม 3

แสนกว่าก็ไปให้ศิริราช ไปถวายในหลวงสิ คราวที่แล้วไปถวายในหลวง
ปีนี้ก็เดี๋ยววันที่เท่าไหร่ ปลายเมษาฯ ไปเจริญพระพุทธมนต์พร้อมพระเณรใหม่ ถวายพระ

บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อีกเรื่องก็อดที่จะกล่าวชื่นชมเค้าไม่ได้ ขออนุโมทนาในกุศลและเจตนาของกระทรวง

วัฒนธรรมและความมั่นคง ฯที่ยิงกันตายเมื่อสองวันนี้ อ้ายนั่นอีกเรื่องนึงไม่เกี่ยวกับเรา

แต่อ้ายเรื่องที่ควรจะอนุโมทนา คือ เรื่องที่เค้ามีนโยบายสนับสนุนให้คนในชาติได้ปฏิบัติ

ธรรมวันศุกร์ วันพระวันนักขัตฤกษ์ โดยเฉพาะหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ตามโรงเรียน

สถานศึกษา ทำกันอย่างจริงๆ จังๆ อย่างนี้เป็นเรื่องที่ดี เข้าใจคิด
มันอยู่ในกรอบหนังสือพิมพ์เล็กๆ อยู่ข้างใน หลวงปู่ไปอ่านเจอเข้า ก็ไม่มีใครมาพูด เรา

อยากจะบอกว่า มันเป็นเรื่องดี ต้องพูดให้ฟัง ให้รู้ มันไม่ได้มาสนับสนุนรัฐบาล แต่สนับ

สนุนว่านโยบายอย่างนี้ มันควรจะต้องมีมานานแล้ว เพื่อช่วยปลดเปลื้องภาระกรรมและสิ่ง

ผิดปกติวิปราตของสังคม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ถ้ามันอยู่ใกล้น้ำสะอาดบ่อยๆ เข้า

เดี๋ยวตัวมันก็หอมเอง มันรู้จักล้าง รู้จักชำระบ้าง มันก็สะอาดไปเอง ธรรมะเป็นเครื่องชำระ

เครื่องฟอก เครื่องล้าง เจริญมนต์บ้าง นั่งสมาธิ ฟังธรรมบ้าง ทุกศุกร์ทุกสัปดาห์ ตามแต่

ศาสนาของตนๆ  เป็นเรื่องดี ลูก ทำได้ก็ต้องอนุโมทนา เพราะถือว่าเป็นบุญของแผ่นดิน

เป็นบุญของประเทศ
14.30 น. ปฏิบัติธรรม
15.45 น.  หลังปฏิบัติธรรม
ให้ภาวนาอยู่เนืองๆ  สัตว์ทั้งปวงจนเป็นสุข สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์ ..ทำจนเป็นนิสัย ขยัน

ฝึก อะไรเป็นเรื่องดี ฝึกเอาไว้
มนุษย์ได้ดีไม่ใช่ที่ยี่ห้อ ต้องฝึกเหมือนม้าดี ต้องฝึก ไม่อย่างนั้น ก็เป็นม้าแก่ รอทำลูกชิ้น
ถ้าหลวงปู่.....ป่านนี้ไม่ต้องกินข้าวแกง กินข้าวทิพย์แล้ว
พระพุทธเจ้าตรัสเองนะ อานิสงส์ 11 ประการของผู้เจริญเมตตา สัตว์ร้ายไม่ทำร้าย

...ตายแล้วก็ไปสู่สุขคติ ดีกว่านินทา แช่งชักหักกระดูกชาวบ้าน หรือนึกด่าชาวบ้านในใจ

แล้วมันไม่ได้อะไร เป็นบุญหรือเป็นบาป นั่นสิ แล้วทำทำไม  มาวัดมาใส่บาตร แล้วทำ

บาปทั้งวัน
พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เจริญเมตตา เรียกว่า กุศลวิตก หรือมั่นใจในเรื่องที่เกี่ยวกับเป็นบุญ

เป็นกุศล
นึกเรื่องอกุศล เรียกว่า อกุศลวิตก นรกชัดๆ
ตรึกในเรื่องกุศลบ้าง จิตใจจะได้แช่มชื่นเบิกบาน อยากทำแต่ความดีงาม อบรมสั่งสมความดี
หลวงปู่บอกเสมอว่า อยู่ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไร  ก็ทำจิตให้อยู่ในกุศล ตายแล้วก็ไม่เสียที ไม่

รู้สึกสะดุ้งกลัว เหมือนคนตัดเสื้อผ้า แน่ใจว่า เสื้อผ้าใหม่ สวยดีกว่าชุดเก่า
เจริญกุศลอยู่เนืองๆ เราจะรู้ว่าที่ไปคืออะไร แม้ไม่บรรลุมรรคผลนิพพาน ก็ไปสู่สุขคติ
เจริญเตโชวิมุตติ เป็นที่รักของเทพ พรหม มาร มีเสน่ห์ ลูก
สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์  แล้วสัตว์จะรู้ไม๊ว่า กูเป็นทุกข์ อันนี้ไม่ต้อง

เจริญ กูเจริญเอง
ต่อไปนี้ อย่าให้กูได้ยินอีกว่า ใครไปยืมตังค์ กลายเป็นเราที่ทวงหนี้
เพราะฉะนั้น ไม่ได้  ห้าม ถ้าคิดจะเป็นเพื่อนกัน มันยืมพัน ก็ให้มันไปเลย 1 บาท แล้วก็

ไม่เสียเพื่อน
จะติดประกาศ  ห้ามยืมเงิน ใครให้ยืม เจ็ง
ก็ให้เข้าใจไว้แล้วกัน รำคาญ เบื่อ ทนฟังมาสิบๆ ปีแล้ว
มึงได้กลิ่นอะไรไม๊ว่ะ  ไม่ใช่ ..กลิ่นจากโรงงานอาหารสัตว์หน้าวัด พวกมึงช่วยเขียน

หนังสือน้อยไปบอกมันว่า.... หลวงปู่แสบคอ เวลามันจะมาสร้าง มันไม่ได้มา

ทำ....ตอนเปิดมันมานิมนต์ กูไม่ไป ก็เลยว่ามันได้  เจ้าคณะตำบลรับนิมนต์ ถามว่า

รับปัจจัยหรือเปล่า รับครับ อ้าว ถ้าอย่างนั้น ก็ว่ามันไม่ได้สิ ช่วยกันหน่อย