31.03.54  หลวงปู่แสดงธรรม ให้นักศึกษาทหารบก

เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนอาชีพทหารที่รักทุกท่าน
ต้องเรียกว่าเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติ เป็นอาชีพที่มีความรับผิดชอบสูง เป็นอาชีพที่เป็นความไว้วางใจของประชาชนคนในชาติ เพราะทหารคือ ผู้ปกป้องแผ่นดิน รักษาอธิปไตยของชาติ ให้คนเค้าปลอดภัย ผ่อนคลายและร่มเย็น
เมื่อเราได้รับความไว้วางใจ ได้รับความเชื่อมั่นจากคนทั้งแผ่นดิน หวังใจว่าจะได้พึ่งพาอาศัย เราก็ต้องมีคุณลักษณะ คุณสมบัติ คุณภาพ คุณวิเศษ ที่ก่อเกิดจากคุณธรรม แค่ข้อขาดคุณธรรม มันก็อาจจะไม่เหลือปัญหาที่เป็นคุณ คือไม่มีคุณลักษณะ เมื่อขาดคุณธรรม มันก็คงไม่มีคุณภาพ ถ้าขาดคุณธรรม ก็คงไม่มีคุณวิเศษ เพราะงั้น ตอนนี้เริ่มจะมีลักษณะอันไม่เป็นคุณปรากฏขึ้นแล้ว เมื่อหลายคนเริ่มคอหักขึ้นแล้ว พอรับศีลจบก็คอหักทันที แต่มันบอก เข้าใจครับ ๆ เฮอะ ตื่นได้แล้ว ชั้นก็ง่วงเป็นเหมือนกัน คุณก็ง่วง ชั้นก็ง่วง
อยากบอกว่า เมื่อครู่ คุณสวดมนต์เนี่ย ชั้นขอวิจารณ์หน่อย ตอนเดินมา ท่านอาจารย์เค้าบอกให้มาพูดเรื่อง กตัญญู คุณสมบัติของผู้นำ แต่ตอนนี้ที่ชั้นควรจะคุยกับคุณก่อนก็คือ เมื่อครู่นี้ ปรากฏพบเจอะเจอใหม่ๆ ซิงๆ เลยก็คือ การเจริญมนต์ของพวกคุณ ต้องบอกว่า พวกคุณนี่เป็นพวกสมถะ ถามว่าเพราะอะไร เพราะเจริญมนต์แบบสมถะเป็นอย่างนี้ อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ภควา 
แต่ถ้าเจริญมนต์แบบวิปัสนา เค้าจะเจริญมนต์แบบอีกอย่างหนึ่ง เค้าเจริญอย่างไร  อะ ระ หัง สัม มา สัม พุท โธ ภะ คะ วา นี่เค้าเรียกว่า เจริญมนต์แบบวิปัสนา เจริญมนต์แบบสมถะก็เพื่อให้มันจบไวๆ แต่เจริญแบบวิปัสนา คือใช้ปัญญา ก็ต้องรู้ว่า อะ ระ หัง แปลว่าอะไร เค้าซึมซับได้ถึงบทความของคำว่า อะระหัง ต้องโทษอนุศาสนาจารย์ ในฐานะที่ตนไปเรียนเปรียญ 9 ประโยค เป็นผู้นำที่ต้องนำทั้งปัญญาและความตั้งมั่น ไม่ใช่นำเฉพาะความตั้งมั่น คือ สมถะ ก็คือ พอคุณเจริญสมถะ สวดมนต์ปุ๊บ พอเลิก พอสมถะปุ๊บ เพราะสมถะเนี่ยมันอยู่ใกล้ชิดกับอะไรคุณรู้ไม๊ โกสัชชะ คนที่จะเจริญสมาธิ เจริญสมถะ จะต้องผ่านโกสัชชะ คือความง่วง พัดผ่านตรงนี้ได้ก็จะถึงสมาธิได้ แต่ถ้าผ่านไม่ได้ ก็เท่ากับง่วง อ้ายที่หมอจิตเวทให้เราท่องว่าแกะตัวที่ 1 กระโดดข้ามรั้ว แกะตัวที่ 2 กระโดดข้ามรั้ว มันเป็นวิปัสนาหรือสมถะ แกะตัวที่ 1 กระโดดข้ามรั้ว แกะตัวที่ 2 กระโดดข้ามรั้ว ให้ท่องเวลาก่อนจะหลับที่เราหลับไม่ค่อยได้ แล้วท่อง แกะตัวที่ 1, ตัวที่ 2, ตัวที่ 3 เนี่ย เป็นวิปัสนาหรือเป็นสมถะ เป็นสมถะ เป็นการเจริญให้จิตนี้สงบ มันไม่ได้เจริญปัญญา
เพราะถ้าเจริญปัญญา มันจะไม่หลับ มันต้องให้สงบ หรือเหมือนที่คุณท่องเมื่อครู่นี้ อรหัง สัมมา สัมพุทโธ เพื่อให้จิตนี้มันรวมตัว ให้รวมอยู่เฉยๆ แต่ไม่มีปัญญา รวมตัวแล้วก็นิ่งอยู่ ถ้าหากว่า นิ่งอยู่ซักพักนึง มันจะเคลิ้มล่ะ ทีนี้มันจะม่อยหลับ มันจะเผลอหลับ แต่ถ้านิ่งแล้วข้ามความเคลิ้มนั้นไปได้ มันจะเข้าไปสู่ความสงบล่ะก็เย็น แล้วก็ธรรมชาติของคนเจริญสมถะก็จะง่วงง่าย จะหลับง่าย แล้วหมอก็มักจะเตือนคนที่เป็นจิตเวท สอนพวกที่เห็นจิตเวทว่า ให้ท่องบทอะไรซักอย่างหนึ่งให้เหมือนๆ กับการสะกดจิตตัวเอง แล้วชั้นก็เจอทั้งบ้านทั้งเมือง ก็เจริญมนต์แบบสมถะแบบนี้ หายากมากที่จะเจริญมนต์แบบวิปัสนา คือ เจริญให้มันเกิดปัญญา
งั้นก็ไม่แปลกอะไรหรอกที่คนไทยยังไปไหว้ต้นกล้วยออกลูกกลางลำต้น หมูออกลูก 3 ขา 6 ขา อะไรอย่างนี้ ไม่แปลก แล้วไม่แปลกใจเลยที่คนไทยไม่ค่อยมี คือ สังคมเราไม่ค่อยมีกระบวนการที่พร้อมจะเผชิญเหตุ เวลามีเหตุอะไร เราจะโวยวาย ตีโพยตีพาย ตื่นเต้น ตกใจ ประหม่า ซึ่งดูจากภาพที่ง่ายๆ เมื่อไม่นานมานี้ 2-3 วัน มานี้ มีแผ่นดินไหวที่พม่า แล้วก็ภาพของคนที่ตื่นตระหนกที่ออกมาทางสื่อสารมวลชน ก็จะเห็นภาพว่า มีการขนสมบัติ ขนอะไรต่ออะไรออกมาพร้อมกับตัว อาการที่แสดงออก มันทำให้รู้ว่า ไม่ได้ใช้สติปัญญาในการเผชิญเหตุ แต่ใช้ความกลัว ความประหม่า แล้วก็ความประมาทในการเผชิญเหตุ ซึ่งในมุมกลับกัน เราลองไปดูที่ญี่ปุ่นสิ
เอ้า มาดูพี่ไทยอีกซักเรื่องนึง เผชิญเหตุในเรื่องน้ำมันขาดแคลน น้ำมันพืชขาดแคลน บ้านเรานี่แค่น้ำมันพืชขาดแคลน เข้าแถวเพื่อจะซื้อน้ำมันพืชถึงกับตบกัน ญี่ปุ่นเค้าทั้งสึนามิ ทั้งถล่ม ทั้งเตาปฏิกรปรมาณูระเบิด มีสารกัมมันตภาพรังสี รัฐบาลประกาศต้องแจกน้ำมันเฉลี่ยคันนึงเติมไม่เกิน 20 ลิตร ไม่มีใครไปยืนที่จะทะเลาะกัน หรือว่า ยืนออกันเป็นฝูงที่จะไปเติมน้ำมัน หรือแย่งซื้อกันเติมน้ำมัน แต่ไทยเราเนี่ย คุณลองไปดูคนขึ้นรถเมล์ก็ได้  มีใครเข้าแถวบ้าง ไปเป็นกลุ่มเป็นฝูงทั้งนั้น
นี่ไม่ได้ดูถูกคนไทย เพราะว่า สถานภาพทางจิตวิญญาณของพวกเราไม่พร้อมที่จะเผชิญเหตุ เราไม่ค่อยเจริญปัญญา ญี่ปุ่นเนี่ย แม้จะบอกว่าศาสนาพุทธเค้าอ่อนแอในสายตาของไทยเรา เพราะว่าพระญี่ปุ่นมีเมียได้ แต่โดยสำนึกของการเรียนรู้ศึกษาเนี่ย เค้าแทงตลอดไปที่หัวใจของคนนับถือพุทธ เค้าสอนอะไร เค้าสอนเซน เซนก็คืออะไร เซนก็คือ ญาณ หรือ ญาณะ ก็คือ ปัญญา สอนให้เจริญสติ
เพราะงั้น เวลาคนมีสติมากๆ เนี่ย เผชิญเหตุใดๆ เค้าจะไม่ประหม่า ไม่ตื่นตระหนก ไม่วิตกวิจารณ์ พร้อมที่จะเผชิญต่อทุกสถานการณ์ เพราะเหตุผลว่า เค้าใช้ปัญญาในการใคร่ครวญ วิจารณ์ และพินิจพิจารณาทุกขั้นตอน ทุกเรื่องราว เค้าจึงพร้อมที่จะเผชิญเหตุ เรียกว่าใช้ความสงบสยบความวุ่นวาย แต่ไทยเราใช้ความวุ่นวายตะกายทำลายความสงบ
นี่ไม่ได้ดูถูก นี่เป็นเรื่องจริง แล้วเห็นอย่างนี้มาตลอด เราไม่ค่อย อย่างในปัจจุบันนี้ มีเด็กมาบวชที่วัดชั้นประมาณ 300 กำลังมาเข้าถือศีลอยู่ ถือศีล 8 บวชภาคฤดูร้อน แล้วชั้นก็ไปยืนดูเค้า เค้าตักอาหารเนี่ยนะ ไปเป็นฝูง แล้วก็มาจากร้อยพ่อพันแม่ ก็มาจากหลายๆ ตระกูลวงศ์เลยนะ แต่เข้าแถวไม่เป็น เข้าแถวไม่เป็นจนกระทั่งต้องบอกว่า หนู เคยเห็นควายเข้าแถวไม๊ ลูก ไม่เคยครับ แล้วควายมันมากันยังไง มาเป็นฝูงครับ อ้าว หนูกำลังเป็นอะไร เป็นคน อ้าว เป็นคนแล้วทำไมไม่เป็นแถว แสดงว่า เลียนแบบควาย เพราะมาเป็นฝูง
งั้นคนที่พัฒนาที่สูงกว่าควาย เค้าเข้าแถว ไม่ใช่ไปเป็นฝูง นี่คือสถานภาพของสังคมไทยเราที่ไม่ค่อยใช้ปัญญา ไม่ค่อยใช้สติ แต่ใช้สัญญา ใช้ความทรงจำ แม้กระทั่งจะบูชาพระ ไหว้พระ ก็ใช้สัญญา ใช้ความทรงจำ แต่ไม่ใช้ปัญญา ในการสำเหนียก สำนึก รับรู้ เข้าใจ พิสูจน์ทราบว่า คำสั่งสอนนั้น มีความหมายลุ่มลึก เท็จจริงอย่างไร เราจะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน แม้กระทั่งการเจริญมนต์ สวดมนต์ อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ภควา พุทธัง ภควันตัง อภิวาเทมิ ได้อะไร ก็ได้ อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ภควา พุทธัง ภควันตัง อภิวาเทมิ
แต่ถ้าใช้คำใหม่ว่า อะ ระ หัง สัม มา สัม พุท โธ ภะ คะ วา พุท ธัง ภะ คะ วัน ตัง อะ ภิ วา เท มิ ได้อะไร  ได้สติ ได้สมาธิ ได้ปัญญา 
อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ภควา ได้อะไร ได้สัญญา ได้ความทรงจำ
อะ ระ หัง สัม มา สัม พุท โธ ภะ คะ วา  ได้สติ ได้ปัญญา ได้สมาธิ คือ ความตั้งมั่นพร้อมเสร็จ เพราะงั้น คุณต้องฝึก เริ่มต้นง่ายๆ ชั้นไม่มีอะไรพิเศษมาสอนพวกคุณมากกว่า ชีวิตที่พวกคุณจะต้องตั้งอยู่บนความถูกต้อง เรื่องง่ายๆ เหมือนอย่างที่ชั้นเคยบอกเมื่อคราวที่แล้วว่า คุณจะทำอะไร ต้องออกจากใจ ถ้าคุณอยากได้ความซื่อตรงจากคนอื่น คุณต้องให้ความซื่อตรงกับคนอื่น ถ้าคุณอยากได้ความรักจากคนอื่น คุณจะต้องให้ความรักกับคนอื่น ถ้าคุณอยากได้ความซื่อตรง แม้ที่สุด คุณไหว้พระ คุณก็ต้องซื่อตรงต่อพระ ถ้าคุณไหว้พระโดยไม่ซื่อตรง ปาก อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ภควา ใจก็ลอยไปเรื่อย เปรอะเปื้อน เลอะเทอะ เพื่อจะเร่งๆให้มันจบ แม้ไหว้พระยังไม่ซื่อตรง สาอะไรกับจะไปให้ความซื่อตรงกับชาวบ้าน
นี่คือ สิ่งที่อยากพูด ไม่ได้มาตำหนิ แต่อยากให้ข้อคิดว่า ทั้งหมดเนี่ยมันเป็น รหัสนัยแห่งกรรม คุณทำกรรมอย่างไร คุณจะได้กรรมอย่างนั้นกลับไป คุณซื่อตรงต่อใคร ใครก็ให้ความซื่อตรงต่อคุณ คุณจริงใจต่อใคร ใครก็ให้ความจริงใจต่อคุณ คุณเคารพเทิดทูนใครด้วยความบริสุทธิ์ใจและจริงใจ คนอื่นก็เคารพเทิดทูนคุณด้วยความบริสุทธิ์ใจและจริงใจ คุณไหว้ใครอย่างนบนอบ นอบน้อม อ่อนน้อมและถ่อมตน คนอื่นก็นบนอบ นอบน้อม ถ่อมตนต่อคุณ
เรื่องกรรมเป็นอะไรที่คุณหนีไม่ได้ คุณสังเกตุไม๊ว่า พี่น้องเรามี 4 คน นิสัยไม่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่พ่อแม่คนเดียวกัน พี่น้อง 4 คน พ่อแม่คนเดียวกัน อ้ายคนโตดำ อ้ายคนกลางขาว อ้ายคนเล็กเขียว แล้วถามว่าทำอะไร อ้ายคนโตผมละเอียด อ้ายคนกลางผมหยาบ อ้ายคนเล็กหัวล้าน ทั้งๆ ที่เกิดแต่พ่อแม่คนเดียวกัน แต่ทำไมมันเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนั้น ก็เพราะว่า กรรม
กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลวหยาบ กรรมจำแนกแม้กระทั่งนิสัย แม้กระทั่งสีผิว เส้นผม นี่คือ กฏของกรรม และอำนาจแห่งกรรมที่ดลบันดาลให้เป็น เรียกว่า เป็นผลจากอดีตกรรม ส่งผลมาถึงปัจจุบันกรรม แล้วก็จะส่งไปสู่อนาคตกรรม ต่อเมื่อปัจจุบันกรรม เรายังไม่สำเหนียก ยังไม่สำนึก ยังไม่รู้สึกว่า เราจะปรับปรุงพัฒนากรรมที่เป็นส่วนดีที่พระพุทธเจ้า เรียกว่า กุศล กุศลตัวนี้ แปลว่า ความฉลาดนะ เหมือนกับที่เค้าสอนกันในหลักโอวาทปาติโมก เมื่อไม่นานมานี้ วันมาฆบูชา ไม่ทำชั่ว ทำดี ทำใจนี้ให้ผ่องใส
จริงๆ แล้ว ชั้นอยากจะบอกพวกคุณชัดๆ ว่า
สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง   การไม่ทำบาปทั้งปวง พุทธเจ้าสอนอย่างนี้
กุสะลัสสูปะสัมปะทา   การทำกุศลให้ถึงพร้อม พุทธเจ้าสอนอย่างนี้  ไม่ใช่ว่า แค่ไม่ทำชั่ว แล้วทำดี ทำดีแต่ต้องฉลาด  คำว่า กุศล คือ ฉลาด ทำดีแต่ต้องฉลาด
เหมือนกับการใส่บาตร ใส่บาตรกับพระปลอมดีไม๊  ดี ก็ใส่บาตรไง แล้วใส่กับพระดี ดีไม๊ ดี ก็ใส่บาตรไง แต่มันดีต่างกันกับพระปลอมไม๊ ก็ต่างกันตรงที่ว่า เราฉลาดที่จะเลือกบริจาคกับคนที่ดี กับโง่ที่ไม่รู้จักเลือกบริจาคกับคนที่ดี แล้วสุดท้ายอะไรเกิดขึ้น ความโง่มันก็ทำให้ตัวแข็งแรงไง โจรมีกำลังที่จะไปปลอม หลอกคนอื่นต่อๆ ไป
เพราะวันนี้ เราใช้ปัญญาชาญฉลาดแก้ไขปัญหา และตัดสินว่า วิเคราะห์ว่า ใคร่ครวญว่า คำนวณว่า รู้ว่า อ้ายคนนี้มันไม่ใช่คนดี ไม่ควรสนับสนุน ไม่ควรส่งเสริม ไม่ควรให้ข้าวมันกิน ไม่ควรให้น้ำมันดื่ม สุดท้ายอ้ายความที่ไม่ดีในตัวเค้า มันจะย้อนกลับมา แล้วเค้าก็จะสำนึกว่า โอ้ ทำไมเราถึงไม่ได้รับการสนับสนุน ก็เพราะเราไม่ดี แต่เราไม่ได้ใช้ปัญญาวิเคราะห์ไง ทำดีแบบไม่มีปัญญาไง เรียกว่า ทำดีตามๆ เค้าไป สุดท้ายก็เลยทำให้โจรรู้ว่า ทำให้โจรมีกำลังและไปปล้นคนอื่นต่อไป เหมือนกับที่ปราชญ์จีนเค้าบอกว่า ท่านเหว่ยหลาน ใครที่เคยฟังโอวาท 4 ของเหว่นหลาน เค้าบอกว่า สมัยที่ท่านเป็นนายอำเภอเล็กๆ อยู่ในชนบท เห็นเด็กไปขโมยเค้า ขโมยปลาของชาวประมง ก็สงสาร พอเค้าจับมา ก็ถามไปถามมา ก็รู้ว่า คนขโมยปลานี้ ไม่มีข้าวกิน จะเอาปลาไปทำอาหาร ก็สงสาร ปล่อยไป แทนที่จะฆียนตีตามบทกฏหมาย ก็ไม่เฆียนตี ไม่ทำโทษ ต่อมาท่านไปเป็นนายอำเภอที่ใหญ่ขึ้น ในเมืองที่ใหญ่ขึ้น ก็จับโจรคนหนึ่งได้ อ้ายโจรคนนี้มันไม่ได้ขโมยปลาเหมือนก่อน ทีแรกท่านจำไม่ได้ มันไปปล้นสดมภ์เค้า ท่านเหว่ยหลานก็เลยถามว่า เอ้ย กูจำได้คลับคล้ายคลับคลา สมัยเด็กมึงไปขโมยปลาเค้าใช่ไม๊ ใช่ครับ เออ เจ้านายจำผมไม่ได้เหรอ ที่เจ้านายเมตตาปล่อยผมไป เที่ยวนี้ก็ขอให้เจ้านายปล่อยผมอีกครั้ง เหว่ยหลานว่ายังไง โทษของเจ้าครึ่งหนึ่งต้องเป็นของข้า เหตุผลก็เพราะว่า ถ้าสมัยเด็กๆ ข้าตีเจ้าด้วยความผิดแห่งการขโมย วันนี้เจ้าก็คงไม่เหิมเกริมที่จะไปปล้นสดมภ์เค้า แต่เด็กๆ ข้าเมตตาเจ้า วันนี้เจ้าจึงฮึกเหิมคิดว่า สิ่งที่ผิดเป็นเรื่องถูก ก็เลยไปปล้นสดมภ์
เพราะงั้นโทษของเจ้าต้องเป็นของข้าครึ่งหนึ่ง เหว่ยหลานยอมติดคุกครึ่งหนึ่ง นี่คือ ความรับผิดชอบของปราชญ์
เพราะงั้นวันนี้ ถ้าเราปล่อยให้เรายอมทำผิดพลาดบ่อยๆ เรื่อยๆ แล้วเห็นความผิดเป็นอาจินต์ เป็นปกติเรื่อยๆ ปล่อยให้โจรมีกำลังแข็งแรง  ปล่อยให้ความผิดพลาดและความเข้าใจผิดของเรา มันปล่อยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเติบใหญ่แล้วกลายเป็นนิสัย เป็นอาจินต์ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เป็นประเพณีนิยม เดี๋ยวนี้แม้กระทั่งกราบพระ โดยหลักท่านอนุศาสนาจารย์ต้องสอนให้พุทธบริษัทกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เดี๋ยวนี้มีเห็นบ้างไม๊ เบญจางคประดิษฐ์ ไม่มี เบญจางคประดิษฐ์ คือการแสดงความเคารพนอบน้อม อ่อนน้อมถ่อมตน ด้วยหลัก 5 ประการ ศอก 2  เข่า 2  หน้าผาก 1 
แล้วเดี๋ยวนี้เจอบ้างไม๊ แบบนี้วักมือ วักมือล้างหน้าอย่างนี้ แล้วเราเป็นต้นแบบของสังคม เป็นผู้ใหญ่ของบ้านของเมือง แล้วลูกหลานเหลนโหลนดูเรา อะไรจะเกิดขึ้นตามมา ความเป็นชาติมันจะอยู่ตรงไหน ความเป็นชาติ มันไม่ได้อยู่ที่แผ่นดิน แผ่นดินยาวใหญ่ กว้างขวาง ทรัพย์สมบัติ ทรัพยากรเยอะแยะ ประชากรมากมาย ร่ำรวย ความเป็นชาติมันอยู่ที่เอกลักษณ์ กับสัญญาลักษณ์ และอะไรคือ เอกลักษณ์ อะไรคือ สัญญาลักษณ์  แล้ววันนี้เราแทบจะไม่เหลือเอกลักษณ์ มีแค่สัญญาลักษณ์เฉยๆ สัญญาลักษณ์ของแผ่นดิน ธงไทย 3 สี เอกลักษณ์เราแทบจะไม่เหลือ แทบจะไม่มีเอกลักษณ์อะไร แค่วักล้างหน้าเฉยๆ แล้วก็เห็นอยู่อย่างนี้ทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วเราก็ยอมรับแบบนี้ทั้งบ้านทั้งเมือง
ท่านอนุศาสนาจารย์ต้องช่วยพระมากขึ้นหน่อย ในฐานะที่ผ่านกระบวนการเค้าเรียกว่า สังคมของบัณฑิต  สังคมของผู้รู้ แล้วถามว่า ทำไมชีวิตต้องวุ่นวายขนาดนี้ มันก็ปล่อยเป็นธรรมชาติ เอ้า เรากำลังจะถามว่า นี่เป็นคุณธรรมของผู้นำ ผู้บริหาร เป็นคุณลักษณะขององค์กร คุณลักษณะของบุคคล คุณลักษณะของผู้นำ คุณลักษณะของผู้บริหาร แล้วก็เป็นเอกลักษณ์ของบ้านของเมือง ถ้าเราไม่มีคุณลักษณะ ไม่รักษาคุณลักษณะ  ไม่มีเอกลักษณ์ ไม่รักษาเอกลักษณ์ เราก็คือ ฟรีสไตล์
เราไม่มีสัญญาลักษณ์อะไร เรามีแต่คำว่า คน กาม กิน เกียรติ์ โกรธ แสวงหาของที่โปรด จบ แล้วมันจะเหลืออะไร บ้านเมืองนี้มันก็ไม่เหลือไทย ไม่เหลือพม่า ไม่เหลือลาว เหลือแต่คนอาศัยแผ่นดินเท่านั้นเอง ไม่เหลือตะวันออก ไม่เหลือตะวันตก ไม่เหลือยุโรป ไม่เหลืออัฟริกา ไม่เหลือเอธิโอเปีย
เพราะงั้น ความงามของมนุษยชาติมันก็หายไป อย่างนั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับเดรัจฉาน ที่มันไม่มีอะไรเป็นนิมิตรหมาย นอกจาก กิน กาม เกียรติ โกรธ แสวงหาของที่โปรด แล้วก็จบ
งั้น เราจึงจำเป็นต้องรักษาเอกลักษณ์ เอกลักษณ์ซึ่งมันไม่ใช่เพียงแค่ดูแต่สัญญาลักษณ์เฉยๆ แล้วหน้าที่ของพวกคุณโดยสามัญสำนึก โดยภาระกรรม คุณต้องรักษา 2 อย่างนี้ให้ได้ ทั้งเอกลักษณ์แล้วก็สัญญาลักษณ์ เหมือนอย่างที่ท่านอาจารย์เค้าให้มาคุยเรื่องเกี่ยวกับ คุณธรรมของผู้นำ ก็คือ ต้องกตัญญูแล้วก็กตเวทิตา สำหรับชั้นแล้ว ชั้นถือว่า นี่เป็นคุณลักษณะของมนุษย์ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า นิธิตัง สาธารณูปานัง กตัญญู กตเวทิตา แปลเป็นใจความว่า เครื่องหมายของคนดี ต้องกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ
แม้คนที่เป็นมนุษย์ ต้องกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ แล้วถ้าสัตว์เดรัจฉานตนใด มีความกตัญญู กตเวทิตา พระพุทธเจ้าไม่เรียกว่า เดรัจฉานนะ พระพุทธเจ้าเรียกสัตว์ตนนั้นว่า โพธิสัตว์ คือสัตว์อันประสริฐ อันเป็นที่พึ่งของหมู่สัตว์ แม้จะเป็นเดรัจฉาน เป็นหมู เป็นหมา เป็นกา เป็นไก่ ถ้า หมู หมา กา ไก่ ตัวนั้น มันกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ ท่านไม่เรียกเดรัจฉาน ท่านเรียกโพธิสัตว์ แล้วถ้ายิ่งเกิดกับมนุษย์ เกิดกับคน ก็ต้องถือว่าเป็นมนุษย์วิเศษ เป็นคนดี ดีกว่ามนุษย์ทั้งปวง เลิศกว่ามนุษย์ทั้งปวง วิเศษกว่ามนุษย์ทั้งปวง ท่านกล่าวไว้ในอานิสงส์ของกตัญญู กตเวทิตา ว่า ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ โจรปล้นไม่ได้ น้ำท่วมไม่ตาย ไม่เกิดภัยพิบัติใดๆ เพราะเทวดาจะอภิบาลรักษาตลอดเวลา คนกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ
เพราะช่องนี้ ด้วยคำสอนนี้ด้วย มันก็เลยเป็นช่องทำให้เกิดระบบอุปถัมภ์ในวงการการเมือง เพราะความกตัญญูนี่แหละ มันก็เลยเป็นที่มาของการซื้อเสียงขายสิทธิ์ มันก็เลยอีกไม่กี่วัน เค้าก็จะยุบสภาแล้ว คนที่มีความกตัญญู มันเกลื่อนแผ่นดินอีกแล้ว เอาไป 500 เราก็ต้องกตัญญูต่อเค้า ไปลงคะแนนให้เค้า อะไรประมาณนี้
อันนี้ไม่ใช่กตัญญูนะ นี่เค้าไม่เรียกว่า กตัญญูนะ นี่เค้าเรียกว่า รับจ้าง เพราะกตัญญูที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ 500 ไม่ใช่  ให้โดยหวังสิ่งตอบแทน บุคคลที่จะกระทำกตเวทิตา ตอบแทนคุณนั้น ต้องสำนึกรู้ได้ว่า คนๆ นี้ทำคุณต่อเราโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ไม่ใช่ทำคุณแล้วหวังอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า กตัญญู เหมือนอย่างบิดามารดา ท่านหวังอะไรจากเรา ท่านไม่ได้หวังอะไรจากเรา ท่านหวังว่าให้เราอยู่ดีมีสุข พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านหวังอะไรจากเรา ท่านไม่ได้หวังอะไรจากเรา ท่านหวังให้เราผ่อนคลาย ปลอดภัย ร่มเย็นเป็นสุข
 พระพุทธเจ้าท่านหวังอะไรจากเรา ท่านไม่ได้หวังอะไรจากเรา ท่านหวังว่าให้เราพ้นทุกข์ อย่างนี้แหละคือ บุคคลที่ควรกตัญญู กตเวทิตา ครูบาอาจารย์ท่านหวังอะไรจากเรา ท่านหวังให้เรารู้วิชา ท่านไม่ได้อยากได้อะไร อย่างนี้ควรกตัญญู แต่นักการเมืองหิ้วสตางค์มาหวังอะไรจากเรา เฮอะ หวังคะแนนเสียงไง แล้วอย่างนี้ต้องกตัญญูด้วยไม๊ ไม่ใช่ นี่มันรับจ้าง
งั้น ท่านหัวหน้าหน่วยงานทั้งหลายต้องทำความเข้าใจ แล้วไปอธิบายให้ลูกน้องรับทราบว่า การได้รับอามิสสินจ้าง ไม่ใช่เรื่องกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ การกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ มันหมายถึงให้โดยไม่หวังสิ่งใด แล้วเราสำนึกคุณท่าน อย่างนี้ควรจะตอบแทนคุณได้ เหมือนบิดามารดา เหมือนพระพุทธเจ้า เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างนี้เป็นต้น นี่คือต้นแบบแห่งความกตัญญูที่ชัดเจน
งั้น รวมๆ สรุปก็คือ ชั้นอยากให้คุณได้ทำความเข้าใจ รู้จัก ถึงภาระกรรมและความจำเป็นที่คุณจะต้องทำ แล้วก็ต้องสำนึกและต้องคิดให้ได้ว่า เราจะต้องไม่มีแค่พฤติกรรมที่แค่สมถะ คือ จำแล้วนิ่ง จำแล้วนิ่ง เฉยๆ ไม่ได้ เพราะเป็นผู้บริหารที่ต้องมีปัญญา
ชั้นบอกคราวที่แล้วว่า ผู้บริหารที่ดีต้องรู้จักบริหาร 2 สิ่ง
1 บริหารชีวิต  2  บริหารเวลา
จำได้ไม๊ คราวที่แล้วเคยบอก เคยสอนไปแล้ว เป็นนักบริหารชั้นเลิศ ต้องบริหาร 2 สิ่งนี้ให้ได้กำไร ชีวิตกับเวลา ส่วนทรัพยากรและบุคคลนั้นเป็นเรื่องรอง แต่ถ้าชีวิต ชีวิตในที่นี้มันหมายถึง อารมณ์ด้วยนะ อารมณ์ของตัวเราด้วย อารมณ์ พฤติกรรม สิ่งที่ทำ คำที่พูด และสูตรที่คิด ที่รวมอยู่ในคำว่า ชีวิต เราต้องมีกำไร แล้วก็เวลา เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุด ไม่ใช่แก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา เพราะสิ่งนั้นมันหาย มันหาใหม่ได้ แต่เวลาที่สูญไปกับสิ่งไร้สาระ มันเรียกคืนมันมาไม่ได้
เราจะทำอย่างไรให้เวลาที่มีอยู่ 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่จะทำให้ 24 ชั่วโมงของเรามีคุณค่ามากกว่า ทำอย่างไร มีความรู้ มีสติปัญญา เพิ่มพูนทักษะ เสริมสร้างสมรรถนะ แล้วทำให้เรามีความช่ำชอง เขี่ยวชาญ ชำนาญ ในเรื่องราวที่เราต้อง คำที่พูด และสูตรที่คิด ให้ได้มาก นี่คือผู้บริหารที่ดี ต้องบริหารเวลา
เพราะงั้น การบริหารชีวิต รวมไปถึงการบริหารอารมณ์เนี่ย กระบวนการหนึ่งที่เราต้องทำความเข้าใจว่า เราจะมีชีวิตอยู่อย่างไรอย่างชนิดที่สอนลูกสอนหลานเรา สอนบริวารบริษัทของเราว่า เราจะทำชีวิตของเราให้รุ่งเรือง เจริญ และเติบโตได้ด้วยกระบวนการสร้างคุณลักษณะที่มาจากคุณธรรม เพื่อจะทำคุณประโยชน์ ชีวิตจะได้มีคุณภาพ สังคมและสิ่งแวดล้อมจะได้ทรงคุณค่า ทั้งหมดมันมาจากคุณธรรม
งั้นเริ่มคุณธรรมเบื้องต้นเลยก็คือ ตรงไปตรงมา พูดจากใจ ออกจากหัวใจ อย่าใส่หน้ากาก และเสแสร้ง แม้เรื่องเล็กน้อยนิดหน่อย ก็อย่าคิดว่า มันเป็นสิ่งที่ไร้สาระ
ปราชญ์และบัณฑิตและผู้รู้ ผู้วิเศษ เค้าไม่ละเลยที่จะทอดทิ้ง ที่จะเพิกเฉยต่อสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เพราะถือว่า นั่นคือความพลาด และความฉิบหายในการย่างก้าว
เพราะงั้น เรื่องเล็กๆ น้อยๆ รวมๆ สรุปคือ ชั้นอยากจะบอกอะไรคุณ บอกว่า ต้องละเอียดอ่อนในพฤติกรรม คำที่พูด และสูตรที่นำเสนอ ผู้บริหารที่ดี ต้องรู้จักละเอียดอ่อน สุขุม รู้จักที่จะวิเคราะห์ ใคร่ครวญ
อารมณ์มันไม่ใช่เป็นเรื่องการแก้ปัญหา แต่อารมณ์มันเป็นเครื่องกระตุ้นพฤติกรรมแห่งความสำเร็จได้รวดเร็ว แต่ความรวดเร็วก็มีข้อเสียตรงที่มันผิดพลาดง่าย
งั้นในฐานะที่เราเป็นแม่ทัพอยู่ด้านหลัง ก็ต้องกรอง ต้องเก็บ ต้องพยายามกรองและเก็บ เหมือนเป็นตะแกรงขั้นสุดท้ายที่จะเก็บมาก อย่าให้อะไรมันหลุดรอดและร่วงหล่นไปได้ นั่นคือหน้าที่ของผู้บริหาร
แล้วสำหรับคำที่ให้ชั้น หรือวลี หรือว่าประโยคที่ให้มาพูดถึงเรื่องความกตัญญู ชั้นอยากจะบอกว่า ได้พูดไปแล้วก็คือ ความกตัญญูที่ยิ่งใหญ่นั้น ไม่ใช่เค้าให้ตังค์มาก็ต้องกตัญญูต่อเค้า ไม่ใช่  ไม่ใช่เป็นความกตัญญู ความกตัญญูที่พระพุทธเจ้าหวังและสอนนั้นก็คือ กตัญญูต่อบุคคลผู้มีคุณโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจากเรา ถ้าอย่างนี้เราควรกตัญญู กตเวทิตา คือ รู้คุณแล้วตอบแทนบุญคุณ แต่ถ้าเค้าให้แล้วหวังสิ่งตอบแทนจากเรา ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า กตัญญู แล้วก็ไม่ควรใช้ด้วย จบ
ทิ้งเวลาให้คุณถามปัญหา ใครอยากถามอะไร เชิญ
วันนี้ เค้ามาอัดรายการไปออกช่อง 5 รายการวิถีธรรม วิถีไทย ใช่ไม๊
ปุจฉา   คราวที่แล้ว ท่านอาจารย์ได้บอกเกี่ยวกับความเจริญในอาชีพรับราชการว่า พวกผมสำเร็จได้ ไม่ใช่เพราะกรรม แต่เป็นเพราะการกระทำในปัจจุบัน แต่วันนี้ท่านอาจารย์บอกว่า สิ่งที่ติดตัวมานั้นก็คือกรรม ทำให้จำแนกคนแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน ตรงนี้อยากให้อาจารย์อธิบายว่า จริงๆ แล้ว สิ่งที่เราประสบมาถึงปัจจุบัน มันเป็นตัวกำหนดด้วยหรือไม่ หรือเป็นการกระทำของเราในชาติปัจจุบันอย่างแท้จริง
วิสัชนา   คุณต้องทำความเข้าใจเรื่อง กรรมกับการกระทำให้ชัดเจนว่า กรรมก็คือ การกระทำ การกระทำก็คือ กรรม ทีนี้กรรมนี่มันมี 3 นัย
นัยแรก คือ อดีตกรรม  นัยที่ 2  ก็คือ ปัจจุบันกรรม  นัยที่ 3 ก็คือ อนาคตกรรม
แน่นอนล่ะที่เมื่อครู่ชั้นพูดเป็นเรื่องของการส่งผลมาจากอดีตกรรมที่มันแยกแยะ จัดสรร รูป ลักษณะ นิสัย ใจคอ สีผิว กลิ่นตัว ทุกเรื่องในร่างกายเราเป็นผลพวงมาจากอดีตกรรม ที่เรารู้ว่า เราทำอะไรมา เราจึงได้รูปร่าง ลักษณะนิสัยใจคอ ส่วนที่บอกว่า คุณมีอาชีพรับราชการนั้น ที่ชั้นบอกคราวที่แล้วว่า ไม่ใช่เพราะกรรม นั่นไม่ใช่หมายถึงว่า ไม่ใช่เพราะอดีตกรรม แต่มันมีเหตุปัจจัยจากปัจจุบันกรรมด้วยความสามารถ ถามว่าเพราะอะไร ก็เพราะว่า หลายคนอยากเป็นทหาร ก็ไม่ได้เป็น ถ้าไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่ขวนขวาย ไม่ศึกษา ไม่สั่งสม ไม่มีความนิยมชมชอบ และขณะเดียวกัน องค์ประกอบรอบข้างก็เป็นเหตุปัจจัย
เพราะงั้น ยังไงๆ ชั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธตายตัวหรอกว่า ที่คุณเป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะกรรม เพราะยังไงๆ กรรม คือการกระทำ การกระทำ ก็คือกรรม ซึ่งมันแยกแยะออกได้ถึง 3 อย่าง ก็คือ อดีต ปัจจุบันแล้วก็อนาคต เข้าใจว่าคุณคงจะฟังผิดไปหน่อย ต้องไปรีวายเทปดู แต่ที่แน่ๆ ก็คือ อยากบอกว่า แม้ปัจจุบันที่คุณนั่งอยู่เนี่ย สำหรับชั้นแล้ว พระพุทธเจ้าสอนชั้นเสมอว่า แล้วเราก็จะท่องจำอยู่เนืองๆ อยู่ในหัวใจ ในสันดาน ในไขกระดูกว่า สิ้นอดีต ไร้อนาคต  ปรากฏแต่ปัจจุบัน แล้วเราก็จะคิดอยู่อย่างนี้อยู่เนืองๆ นั่นคือ จะต้องไม่เสียเวลาไปกับการคิดอยู่แต่เรื่องเก่า ต้องไม่หมดเปลืองไปกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง แต่ทั้งหมดต้องจมดิ่งอยู่ในสิ่งที่เป็นปัจจุบัน นั่นคือ หน้าที่ของชั้น เพราะชั้นเป็นผู้นำ ผู้บริหาร ชั้นไม่ควรจะทำต้นแบบที่เลวร้าย ที่เสียเวลากับเรื่องเก่า แล้วกำหนดเรื่องที่มาไม่ถึง แต่ปัจจุบันผิดพลาดและไม่ถูกต้อง
เพราะงั้นเวลาที่ชั้นมีอยู่ ต้องทำปัจจุบันให้เต็มที่และสมบูรณ์ที่สุด อดีตจะว่ายังไง นั่นมันเป็นเรื่องอดีต อนาคตจะเป็นยังไง ยังมาไม่ถึง แต่ปัจจุบันทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ได้ตามความคิด ทำ พูดของเราหรือไม่ นั่นแหละตรงนั้นแหละสำคัญกว่า จบ
ปุจฉา    รับเด็กกำพร้ามาเลี้ยงจนโต วันหนึ่งเด็กกำพร้าถูกวานให้ทำในสิ่งที่เด็กกำพร้าไม่อยากทำแล้วปฏิเสธ จะถือว่า เด็กอกตัญญูหรือไม่
วิสัชนา เป็นคำถามที่น่าคิดนะ แล้วก็เข้าใจคิดถาม แต่อยากจะบอกคุณว่า มันคงมีคนประเภทนี้ไม่มากนัก แต่ถ้าเผอิญมันมี ถ้าเด็กมีสำนึก พระพุทธเจ้าสอนไว้ในหลักของอภิชาตบุตร ถ้าเด็กเค้ามีสำนึก ก็ต้องคิดว่า สิ่งที่ท่านทำและท่านสอนเป็นเรื่องดีที่ต้องตระหนักและจดจำ แต่สิ่งท่านที่ให้เราใช้เราไปกระทำ เป็นผลเสียต่อสังคม สิ่งแวดล้อม แผ่นดินและมวลมนุษยชาติ อย่างนั้นเรายอมตายดีกว่าที่จะไปทำร้ายคนอื่น ถ้าเป็นชั้นนะ ถ้าเป็นอภิชาตบุตร แล้วมีสำนึก
แต่ชั้นเชื่อว่า คนที่อุตส่าห์ไปเก็บเด็กมาเลี้ยง เค้าคงไม่คิดจะใช้เด็กไปขายยาบ้ามั๊ง หรือ อี สังคมปัจจุบันเรามี แต่นั่นมันไม่ใช่เป็นการเก็บมาโดยไม่หวังสิ่งใดนี่ อย่างนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกตัญญู เพราะมีความหวังว่าจะเก็บมาเลี้ยงเพื่อไปขายยาบ้า อย่างนี้ไม่จำเป็นต้องกตัญญู เพราะชั้นบอกไปแล้วว่า ผู้ที่ควรจะกตัญญูก็ต่อเมื่อ กตัญญูต่อบุคคลที่ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน อ้ายลักษณะนี้มันเข้าข่ายหวังไม๊ หวัง หวังสิ่งใดตอบแทน งั้นไม่จำเป็นต้องกตัญญู แต่ถ้าเผอิญเค้าไม่เคยคิดจะหวังเลย แต่เพราะมันมีสถานการณ์บีบคั้นเค้า เออ มึงอยู่ในตำแหน่งนี้ มึงช่วยกูหน่อยว่ะ กูไม่รู้จะไปหาใคร เราก็ต้องคิดด้วยตัวเราว่า ถ้าสิ่งที่เราช่วยเค้า แล้วมันทำร้ายคนอื่น ทำร้ายสังคม ทำร้ายสิ่งแวดล้อม ทำลายตัวเรา ถ้าอย่างนั้นก็ยอมตัดแขนตัดขาให้เค้าไปเลยดีกว่า เพราะเราไม่สามารถทำได้  ใจหนึ่งก็บอกว่า ถ้าปฏิเสธ ก็อกตัญญู ถ้าทำ ก็คือว่า ผิดมโนธรรม อย่างนี้ก็ตายเฮอะ จบ
ปุจฉา   เอกสารเผยแพร่เป็นธรรมทาน แต่ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า แต่เอกสารเป็นการบ่อนทำลายความเชื่อในพระพุทธศาสนา  ก่อให้เกิดความหวั่นวิตกของประชาชน อยากปุจฉาว่า พระอาจารย์มีแนวทางอะไรในการที่จะชี้แจงให้กับประชาชน เมื่อมีโอกาส อย่างไร
วิสัชนา   ไม่  ชั้นไม่ชี้แจง แต่ชั้นจะสอนคุณว่า ให้คุณมีสติมากๆ มีปัญญาเยอะๆ ถ้าคุณมีสติมากๆ และมีปัญญาเยอะๆแล้วเนี่ย คุณก็จะรู้ว่า สิ่งเหล่านั้นมันเป็นของแท้หรือของเทียม ชั้นจะไม่ชี้แจง เพราะว่า ชั่วชีวิตชั้นก็ได้ยินเรื่องนี้มาตั้งชั่วชีวิต มีอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนปี 2529 คนมาถามว่า หลวงปู่ ไม่เก็บข้าวของเหรอ ถามทำไม ไม่เตรียมรถจักรยานเหรอ ไม่เตรียมไฟฉายเหรอ อ้าว เค้าทำนายว่า โลกจะแตก ชั้นถามกลับไปว่า ถ้าโลกแตกแล้วมึงจะขี่จักรยานที่ไหน แล้วมันก็เกาหัว แล้วดินไป
เพราะงั้นชั้นจะไม่ชี้แจง เพราะเมื่อใดที่เรายังต้องชี้แจงอยู่ แสดงว่าเรายอมรับเหตุปัจจัยนั้น สู้มาแก้ที่เหตุเลยก็คือ ทำให้คนในโลกใบนี้มันฉลาดขึ้น ทำให้คนในแผ่นดินนี้มันฉลาดขึ้น ฉลาดอย่างไร ก็มีสติ มีปัญญามากขึ้น เหมือนอย่างที่ญี่ปุ่นเนี่ย ไม่ใช่ว่าเค้าไม่รู้ตัวว่า เค้าอยู่ในวงแหวนแห่งไฟ ไม่ใช่ไม่รู้ตัวว่า เค้าจะต้องมีธรณีพิบัติ ไม่ใช่ไม่รู้ตัวว่า ภูเขาไฟมันจะต้องระเบิด แต่เค้าเตรียมตัวที่จะเผชิญเหตุอย่างไม่ตระหนก ไม่หวาดกลัว ไม่ประหม่า ขนาดที่เตรียมตัว ก็ไม่วายที่จะเพลี้ยงพล้ำ แต่เมื่อเจอแล้ว เพลี้ยงพล้ำแล้ว เค้าก็ตั้งตัวได้ทุกเวลา เค้าพร้อมที่จะเผชิญเหตุต่อไป และอยู่กับมันให้ได้ นั่นแหละ คือสิ่งที่ควรจะต้องสอน ต้องบอก แต่ไม่ชี้แจงเรื่องโกหก โกหกก็คือโกหก ไปชี้แจงทำไม
ปุจฉา   การกราบไหว้ สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจ กิริยาอาจประโหลก ๆ
วิสัชนา   คุณเนี่ยโกหกแล้วไม่เนียน โกหกเนียนก็คือ กายกับใจต้องพร้อมกัน อย่างนั้นเค้าเรียกว่า โกหกเนียน โกหกไม่เนียนเนี่ย กายอย่างใจอย่าง ใครๆ เค้าก็รู้ว่าโกหก คุณว่าจริงไม๊ เพราะใจเราคิดอย่างไร สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล การกระทำส่อความเป็นไพร่สถุน มันมีเหตุปัจจัย โบราณเค้าสอนเราไว้ดีนะ
กายอย่างไร ใจอย่างนั้น ใจอย่างไร กายอย่างนั้น 
กายอีกอย่าง ใจอีกอย่าง บอกว่า ไม่โกหกไม่ได้  มันเริ่มต้นจากการโกหก เวลาคุณบอกว่า คุณใจเรียบร้อย เมื่อใจเรียบร้อย กายมันก็ต้องเรียบร้อย ถ้าอย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ต้องกระโดดถกเขมร เพราะใจท่านดี เอาแต่ใจเป็นใหญ่ อย่างนั้นก็มีเมียได้ มีลูกได้ พระทั้งหลายก็มีเมียมีลูก ถามทำไมถึงมีเมีย อ้าว พระอยู่ที่ใจ อ้าว ได้ไม๊  เพราะฉะนั้น ไม่ได้ พฤติกรรมมันส่อความคิดอ่าน คนหยาบเค้าให้ดูที่ไหน ดูที่ใจหรือดูที่พฤติกรรม คนมีกิริยามารยาท มีจิตใจงาม ดูที่ไหน ดูที่ความหื่นกระหาย ความห่าม ความเลวร้าย หรือความโหดร้ายรุนแรง อย่างนั้นจะเรียกว่า จิตใจดี มีเมตตา ได้เหรอ ไม่ใช่
เพราะงั้น กายกับใจ คุณปฏิเสธกันไม่ได้ กายเกลียด ใจต้องรู้สึก ไม่ใช่ผู้วิเศษที่แยกกายกับใจออกเด็ดขาด ถ้าอย่างนั้นยอมรับถ้าคุณเป็นอรหันต์ชี่กง คุณมาคุยกับชั้น ถ้าไม่ใช่ อย่ามาบอกว่า กราบประโหลกๆ แต่ใจนับถือ ไม่ใช่ ชั้นไปทิเบตมา เค้ากราบอัษฎางคประดิษฐ์  3 ก้าว กราบครั้ง   3 ก้าว กราบครั้ง   ร้อยกิโล เค้าก็เดินกราบ คือใจคิดบูชา ก็บูชาจากกายและใจ ใจไม่คิดบูชา กายมันแสดงสัมพันธ์เหมือนกัน คือมนุษย์ไม่ใช่นักแสดงนะคุณ ไม่ใช่พระเอกรับจ้าง แสดงเป็นเจ้าอยู่ตลอดเวลา หน้าเป็นลิเกเจ้า ลับหลังขอทาน มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ มันต้องมีสักครั้งที่เราแสดงความจริงใจ ออกจากใจ แม้สักครั้งต่อหน้าพระ ทำไม่ได้เชียวหรือ หรือจะไปแสดงต่อหน้าคนอื่นอยู่อย่างเดียว งั้นไม่ใช่ ยังไงก็ยังไม่ได้ ถึงคุณจะพยายามบอกว่า เออ กราบประโหลกๆ ใจยึดถือบูชาเทิดทูน ยังไงก็ฟังไม่ขึ้น จบ
คนจีนเค้ามีธรรมเนียมไหว้ของเค้า เค้ามีลักษณะ เค้าไหว้คุกเข่า แล้วกราบลงไป แต่เค้าคว่ำมือหรือไม่ก็แบมือ ชั้นไปเมืองจีนมาหลายครั้ง ไปดูเค้ากราบ อ้ายจีนที่คุณดูน่ะ คุณดูตามหนัง ดูละครหรือเปล่า แต่ที่ชั้นไปดูวิถีชีวิตที่เค้ากราบพระกราบเจ้าเนี่ย เค้ากราบด้วยความรู้สึก 
เอ้าอย่างให้แน่ เอาแค่กินเจ คนจีนกินเจ ในที่นี้มีใครเคยกินเจไม๊ มีไม๊ เค้ากินเจนี่มันต่างจากไทยกินเจนะ เพราะเค้ากินด้วยความเคารพศรัทธาเทิดทูนไง ก่อนกินเค้าล้างท้องก่อน ถ้วยชามลามไหที่ใส่ชอ เค้าก็ไม่มาปนกับของเจ ทุกเรื่องของเค้าต้องเป็นเคร่งครัดปฏิบัติ นี่คือตัวอย่างของคนที่เคารพศรัทธา
เพราะงั้นธรรมเนียมประเทศไหน เราเอามาเปรียบกันไม่ได้ แต่ประเทศเราเป็นธรรมเนียมของเรา เบญจางคประดิษฐ์ ไปอินเดีย เค้าก็ไม่รู้จักเบญจางคประดิษฐ์  คนอินเดียเค้าใช้อะไร นั่งประหย่มพนมมือไหว้ ใช่ไม๊ มหาฯ นั่นอินเดีย เค้าไม่รู้จักเบญจางคประดิษฐ์  แต่ธรรมเนียมบ้านเรา  เบญจางคประดิษฐ์   ธรรมเนียมทิเบต จีน อัษฎางคประดิษฐ์ ญี่ปุ่นเค้าก็ใช้วิธีโค้งคำนับ มันเอามาใช้กันไม่ได้ จบ
ปุจฉา   ขอถามเรื่องหน้าที่กับความรับผิด ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม โดยเฉพาะทหารในสงคราม ถามว่าในเรื่องกฎแห่งกรรม เราต้องรับกฏแห่งกรรมในพุทธศาสนาหรือไม่
วิสัชนา  ต้องแยกกันให้ออกระหว่าง กรรมดีกับกรรมชั่ว ฆ่าสัตว์เป็นกรรมชั่ว  ช่วยชีวิตน่ะเป็นกรรมดี มันคนละเรื่องกันนะ อย่ามาปนกัน ชั้นไม่ตอบเอาใจพวกคุณ ฆ่าสัตว์ไม่ว่าสัตว์ชนิดไหนชาติไหน ถ้ามันเป็นสัตว์แล้วยังมีชีวิต แล้วคุณฆ่า เป็นบาปทั้งนั้น แล้วจำไว้ว่า พระอริยเจ้า พระอรหันต์ จะไม่มีชาติ เพราะพระอรหันต์เป็นผู้เข้าถึงสาธารณะธรรม เป็นสาธารณะนาม ไม่มีชาติ พวกที่มีชาติยังไม่ใช่อรหันต์ ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาๆ อย่างเช่นสมัยสงคราม พระฝาง สมัยอยุธยา ท่านก็เป็นพระ เป็นนักบวช แต่เห็นว่าแผ่นดินมันจะเดือดร้อนเพราะสงครามพม่า ก็เลยเอาผ้าเหลืองออก ถอดผ้าเหลืองไปบัญชาการทัพ ออกรบทัพจับศึก ฆ่าศัตรูจนตาย ถ้าเป็นพระศาสนาก็ต้องบอกว่าเป็นอาบัติปราชิก ขาดจากความเป็นพระ เพราะฆ่าสัตว์ แม้ว่าจะเข้าบวชมาอีก ก็ไม่ใช่เป็นพระ
เพราะงั้น พระพุทธศาสนาไม่ได้มีชนชั้น ไม่ได้มีเชื้อชาติ เพราะเป็นศาสนาแห่งสาธารณะชน เป็นสาธารณะธรรม เป็นสาธารณะนาม ยังไงคุณก็หนีกรรมในการฆ่าสัตว์ไม่พ้น
ส่วนคุณถามว่า แล้วอ้ายที่ไปทำหน้าที่รักษาแผ่นดิน ถ้าเป็นส่วนดี จากชั่วที่คุณทำ กับดีที่คุณมี เหมือนกับหมอที่ไปค้นคว้าเรื่องเชื้อโรค แล้วเอาเชื้อไปฉีดใส่หนู ถามว่า บาปไม๊ เวลาชั้นไปสอนหมอ ก็ต้องบอกหมอตรงๆ ว่า บาป เพราะหนูมันตายไม๊ล่ะ ถ้ามันตายก็บาป อ้าว ถ้าบาปแล้ว มันได้ประโยชน์จากการที่ได้สูตรสำเร็จของการปรุงยาเพื่อมารักษาโรคกับคน อันนั้นก็เป็นบุญ ถามว่า บาปกับบุญ อันไหนมากกว่า ก็ต้องดูว่า คุณฆ่าหนูกี่ตัว แล้วคุณช่วยคนกี่คน ฆ่าหนูตัวเดียว แล้วมาช่วยคนล้านคน อันไหนมากกว่าล่ะ ก็บุญมากกว่าบาป ก็มีเหมือนกับมีคำกล่าวที่ว่า ถ้าชั้นไม่ตกนรก แล้วจะรู้ได้ไงว่า สัตว์นรกเป็นทุกข์ เข้าใจคำนี้ไม๊ เออ คุณก็ตกนรกไปเถอะ จบ
ชั้นไม่ได้มาแกล้งคุณ แต่ให้รู้ว่านี่คืออาชีพ แต่มันเป็นความเสียสละ หมอมีความเสียสละไม๊ มี ทหารมีความเสียสละไม๊ มี ชั้นถึงได้บอกว่า เป็นอาชีพแห่งความหวังไง เป็นอาชีพแห่งความหวังที่ทุกคนหวังพึ่งพวกคุณ จบ
ใครถามอะไรอีก ไม่มีเหรอ ไม่มี เลิก
ท่านอนุศาสนาจารย์นิมนต์ชั้นมาบ่อยๆ คุณโดนประจำเลย คุณอย่านิมนต์ชั้นอีก
ปุจฉา  เหตุใดวัดต่างๆ จึงแข่งขันสร้างสิ่งปลูกสร้างใหญ่โต วิจิตรพิสดารต่างๆ มากมาย เพื่ออะไร และวัดก็ระดมทุนขอบริจาคเพื่อให้พอกับสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งไม่จำเป็นต้องใหญ่โต จนทำให้วัดและสงฆ์มีหนี้สินที่ต้องเป็นภาระมากมาย ค่าน้ำ ค่าไฟ ที่เพิ่มขึ้นเพราะเหตุที่ตามมา
วิสัชนา   คนที่ถามนี่ไม่ค่อยทำหรอก คนที่ทำเค้าไม่ค่อยถาม คุณลองหลับตานึกดู สมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงสุโขทัย ถ้าเค้าคิดอย่างคุณ วันนี้คุณไม่รู้จักกรุงศรีอยุธยาหรอก คุณรู้จักกรุงศรีอยุธยาได้เพราะอะไร เพราะเจดีย์ และซากที่ปรากฏ คุณรู้จักสุโขทัยได้เพราะอะไร เพราะฉะนั้น ถ้าคนสมัยก่อนเค้าคิดแบบคุณ คุณคงไม่รู้ว่า พระพุทธศาสนามีอยู่ แม้พระปฐมเจดีย์คุณก็ไม่รู้จัก ทำไมคุณไม่คิดบ้างว่า สิ่งเหล่านี้ คือการสืบสานอายุขัยพระพุทธศาสนาบ้าง คือคนที่ถามมักจะไม่ค่อยทำ อ้ายคนที่ทำมันไม่ค่อยถาม เพราะเค้ามีศรัทธาที่จะทำ
อ้ายเรื่องปัญหาที่คุณถาม ที่จริงมันก็เป็นข้อถกเถียงกันในหมู่สงฆ์นะ แล้วก็เป็นข้อคิดในหมู่ปราชญ์ทั้งหลายว่า เราจะทำอย่างไรให้พระและวัดต่างๆ ควบคุมกระบวนการสร้างให้มันเหมาะสมกับสมณะสารูป และวิถีชีวิตของผู้คนและสังคมรอบข้าง ก็เป็นข้อคิด แต่อยากจะบอกพวกคุณว่า ทั้งหมดมันเป็นความปรารถนา ความคิดอ่าน ความต้องการ แล้วก็สรุปลงตรงว่า มันเป็นกิเลสของคนผู้สร้าง แม้ที่สุดชั้นมานั่งอยู่ตรงนี้ก็มีกิเลส คุณมาฟังชั้นก็เพราะกิเลส กิเลสก็คือ ความอยาก แม้ต้องการปฏิบัติดีเป็นกิเลสไม๊ เป็น มันเป็นกิเลสของผู้สร้าง เป็นกิเลสของผู้อยากสร้าง เป็นกิเลสของผู้สมทบทุนการสร้าง คนร่วมสร้างนี่มีกิเลสไม๊ มี ก็อยากทำบุญไง คนไม่อยากสร้างมีกิเลสไม๊ มี ก็ไม่อยากทำบุญไง แม้ไม่อยากก็เป็นกิเลส อยากก็เป็นกิเลส พุทธเจ้าบอกไว้ อยากก็ทุกข์ยาก ไม่อยากอยากก็ลำบากอยู่ดี เพราะทั้งหมดมันยุ่งยาก
งั้นสรุปแล้ว เมื่อมีกิเลส เราจะทำยังไง ชั้นเขียนบทโศลกสอนลูกหลานไว้บทหนึ่งว่า
ลูกรัก มีชีวิต รู้จักสมมุติ ใช้สมมุติ เข้าใจสมมุติ ได้ประโยชน์จากสมมุติ ให้ประโยชน์กับสมมุติ แม้ที่สุด อย่ายึดติดในสิ่งที่เป็นสมมุติ
อีกบทหนึ่ง เขียนไว้ว่า
ลูกรัก คนฉลาดใช้กิเลส มีแต่คนโง่โดนกิเลสใช้
มันขึ้นอยู่กับว่า เราโง่หรือฉลาดล่ะ ตอนนี้พวกคุณฉลาดใช้ความอยากของคุณเป็นประโยชน์เพื่อให้เกิดปัญญา ก็นิมนต์พระมาสอน อย่างนี้ เรียกว่า ฉลาดใช้กิเลส แต่เมื่อไรที่คุณโง่ คุณก็ไม่ใช้กิเลส คุณไม่ใช้อยากตัวนี้มาฟังธรรม คุณไม่ใช้อยากตัวนี้มาฟังคำสอน คุณไม่ใช้อยากตัวนี้มาเรียนรู้ศึกษา คุณก็กลายเป็นคนโง่กับโง่แล้วบวกโง่ ก็โง่ต่อไป ถามว่ากิเลสที่ไม่อยากเรียนมีไม๊ กิเลสที่ไม่อยากเรียนก็กิเลสขี้เกียจไง กิเลสไม่อยากเรียน มันก็ทำให้เราไม่พัฒนาให้เจริญไง เรียกว่า โง่ แล้วโดนกิเลสใช้ เพราะงั้น คนฉลาดจึงใช้กิเลส บวชเป็นพระ เป็นกิเลสไม๊ อยากได้บุญ เป็นกิเลสไม๊ ปฏิบัติธรรม เป็นกิเลสไม๊ อยากบรรลุผล เป็นกิเลสไม๊ อยากได้ยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นกิเลสไม๊ เป็นทั้งนั้น แต่เราจะอยู่กับมันอย่างเป็นผู้ใช้มัน หรือมันใช้เรา ปัญหาสำคัญอยู่ตรงนั้น คุณโดนมันใช้ หรือคุณใช้มัน จบ
มีใครถามอะไรอีก เชิญ
ปุจฉา   การล่วงละเมิดศีลข้อที่ 2 เป็นการคอรัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวง ตายไปจะตกนรกอย่างที่พระไตรปิฎกกล่าวไว้ จริงหรือไม่
วิสัชนา   เพิ่งรับเมื่อกี้ หมดไปแล้วเหรอ หรือเป็นเพียงแค่คำถาม เออ ชั้นอยากจะบอกว่า คุณอาจจะยังไม่รู้ว่า นรกมีหรือไม่มี แต่ที่รู้ๆ ก็คือว่า คุณทำผิดแล้วคุณรู้สึกผิดในใจหรือเปล่า ถ้าเมื่อใดที่คุณทำผิดแล้วรู้สึกผิดในใจ นั่นแหละ คุณอาจจะแก้ไขพฤติกรรมตัวเองได้ อาจจะได้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ ถ้าเมื่อใดที่คุณทำผิดแล้ว ไม่รู้สึกผิดในใจ นั่นแหละคือ นรก แล้วถามว่า นรกมันจะเกิดอย่างไร เอาเป็นว่า ถ้าคุณยิ้มให้คนข้างๆ คนข้างๆ ยิ้มให้คุณ นั่นแหละสวรรค์ แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณตบคนข้างๆ ข้างๆ เค้าตบคุณ นั่นแหละคือ นรก
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นนรกทั้งนั้น อย่ารอตายแล้วตกนรก ทุกครั้งที่เราไปคดโกงเค้า เอารัดเอาเปรียบเค้า ยื้อแย่งแก่งชิงดีเค้า อิจฉา ริษยา ละโมบโลภมาก ทำร้ายทำลายคนอื่น ไม่มีคนรู้ ตัวคุณรู้แล้ว มันก็เป็นไฟสุมขอนเผาคุณอยู่ตลอด คุณเคยเข้าป่าแล้วเห็นไฟสุมขอนไม๊ มันไม่ใช่อาทิตย์หนึ่งดับนะ เป็นเดือนกว่าจะดับ มันไม่มีไฟ ควันมันก็น้อย แต่มันไหม้อยู่ตลอด หลับก็ไม่เป็นสุข ตื่นก็เป็นทุกข์ ทุรนทุราย ดิ้นจนหนังกลับ ก็ไม่หลับเสียที นั่นแหละ นรกแล้วล่ะ อย่าไปรอตกนรกตอนตาย เอาตอนเป็น ให้มันรอดนรกเถอะ จบ
มีใครถามอะไรอีกไม๊ เชิญ
ปุจฉา
วิสัชนา   เออ ชั้นขอขอบคุณที่อุตส่าห์ห่วงพระ นึกว่าคุณไปเสนอให้พระมีเมีย ที่จริงแล้วนี่ ถ้าบวชเข้ามาโดยสำนึก แล้วมีความรู้สึกตามภาระกรรมและหน้าที่ของตน ทุกภาระกรรมและหน้าที่เป็นกระบวนการกัด เซาะ ขัด เกลา กรอง เช่น พอบวชเข้ามาใหม่ๆ พุทธเจ้าไม่เรียกพระ ท่านเรียกภิกษุ ภิกษุนี่แปลว่า ผู้เห็นภัยในวัฏฏะ คนที่เห็นภัยในวัฏฏะ วัฏฏะก็คือ การเกิด แก่ เจ็บ และตาย พอเห็นภัยแล้วมันจะสลด สังเวช มันจะสำนึก รู้สึกสลด ไม่ว่าจะเจอกี่ร้อยเล่มเกวียน ก็จะสำนึกรู้สึกสลด ถ้าเห็นภัยจริงๆ เรียกว่า ภิกษุ อีกอย่างคำว่า ภิกษุ แปลว่า ผู้ขอ คนที่ขอเค้ากิน ต้องลดความยะโส เย่อหยิ่ง ทรนง จองหอง และอวดดี
นี่คือ กระบวนการคัดกรองตามความรู้สึก อารมณ์ และจิตวิญญาณเดิม แล้วจากภิกษุ หยุดไม๊ ก็ยังไม่หยุด พระองค์ก็บอกว่า พัฒนาขึ้นไปสู่ความเป็นนักบวช จากภิกษุไม่หยุด พัฒนาไปสู่ความเป็นนักบวช แปลว่า ละ วาง ปล่อย เว้น ความชั่ว ทาง กาย วาจา ใจ ก็มีหลักปฏิบัติ หลักคิด วิธีการดำรงชีวิตซึ่งจะต่างออกไปอีก ยกฐานะขึ้นไปแล้วจากนักบวช ละ ชั่ว ทาง กาย วาจา ใจ กฏพัฒนาไปสู่คำว่า สมณะ คือผู้สงบ สงบกาย สงบวาจา และสงบใจ ก็มีหลักปฏิบัติและวิธีคิด วิถีชีวิตที่แตกต่างเข้าไปอีกระดับหนึ่งอีก แล้วจึงจะไปสู่คำว่า พระ ซึ่งแปลว่า ประเสริฐ ดีเลิศ แล้วก็งามพร้อม
เค้ามีระดับขั้นในการปฏิบัติและศึกษา และกระบวนการปฏิบัติและศึกษา มันก็คือกระบวนการกรอง คัด กัด เซาะ แกะ แคะ สิ่งที่เป็นสนิมที่เกาะกินภายในจิตวิญญาณ ถ้านักบวช ภิกษุ สมณะ พระ ได้ทำตามหลักคิดเหล่านี้ได้อย่างสอดคล้อง กลมกลืน และถูกต้องชอบธรรม ไม่บกพร่องเลย ให้หมู่มารก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า นักบวชไม่ได้ทำตามหลักคิด และวิถีชีวิตตามพระธรรมวินัยและจารณะ 15 สังโยชน์ 10 ทั้งหมดนี่ไม่ได้ทำอะไรเลยเนี่ย มันก็เลยจะต้องโดนกัด โดนแกะ โดนแคะ โดนเกา โดนถอดสบงจีวรตามเหตุปัจจัย จบ
สำหรับข้อที่ 2 เรื่องจิตของพระพุทธเจ้าที่สอนมา มันจะต่างจากวิถีจิตที่คุณพูดมาให้ฟังนี่ เป็นหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วที่คุณบอกว่า ภาวนาธรรมะ แล้วจิตไม่สงบเนี่ย ไม่ถูก เพราะสภาพจิตของมนุษย์ที่เกิดกระบวนการ ที่จริงไม่มีเพียง 2 ลักษณะ อ้ายจิตใต้สำนึก กับจิตเหนือสำนึกน่ะ ไม่ทราบ ตามหลักวิถีคิดของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ ก็คือ จิตมีลักษณะอยู่ 4 อย่าง
จำอารมณ์ คิดอารมณ์ รู้อารมณ์ แล้วก็รับอารมณ์  จำ คิด รู้ รับ 4 อย่างเนี่ย อะไรบ้างที่เข้ามาทางตา ตานี่คือ กระบวนการแดนต่ออารมณ์  หูก็คือแดนต่ออารมณ์ จมูกก็คือแดนต่ออารมณ์ กายก็คือแดนสัมผัสอารมณ์ สัมผัสนุ่ม สัมผัสแข็ง สัมผัสเย็น สัมผัสหนาว ตาเห็นสวย ไม่สวย ถูก ผิด ดี ชั่ว ใช่ ขาว ดำ แดง ยาว สั้น ใหญ่ เล็ก ทั้งหมดเนี่ยมันมาจากกระบวนการที่เราเอาอารมณ์ไปจับตามที่เห็นที่สัมผัส ที่รู้ แล้วมันก็จะจับเก็บเอาไว้ เก็บเป็นข้อมูลเอาไว้ พอเก็บเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แทนที่จะเอามาคิดว่าถูก ผิด ไม่ สำหรับคนที่ไม่มีวิเสตจิต กูเก็บเอาไว้เฉยๆ  ดีก็เก็บ ชั่วก็เก็บ เพราะดูมาก็เก็บ ฟังมาก็เก็บ ดมมาก็ก็บ สัมผัสมาก็เก็บ รู้มาก็เก็บ รับมาก็เก็บ เก็บไว้บ่อยๆ มากๆ เข้า มากๆ เข้า
คุณลองหลับตานึกดู ถังขยะเอาอะไรมาก็สุมมันลงไป มันจะเกิดอะไรขึ้น งั้น อ้ายกระบวนการสะกดจิตของหมอก็คือ มาสะกดจิตกับถังขยะ ชั้นที่จริงแล้วไม่อยากไปขัดหมอ แต่ก็อยากจะบอกคุณหมอว่า อ้ายที่คุณสะกดน่ะ มันไม่ใช่ผิด แต่มันคือถังขยะที่มันเต็ม ถังขยะที่มันเต็มจากการเก็บขยะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ แล้วเก็บอารมณ์เอาไว้ แล้วไม่ใช่กดแค่ภพชาติเดียว จิตนี้ไม่ได้เกิดแค่ชาติเดียว มันเกิดมากี่ร้อยกี่พันกี่แสนชาติแล้วก็ไม่รู้ แล้วก็เก็บข้อมูลเหล่านี้เอาไว้มากมาย คุณแค่สะกดจิตปิ๊งเดียว แค่ครั้งเดียว แล้วคุณก็รู้เลยว่าคนๆ นี้กลัวเข็ม มันไม่ใช่ แค่อารมณ์ส่วนหนึ่งของถังขยะ ไม่รู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งได้หรือเปล่า แค่ปรมาณู 1 อะตอม โปรตอน 1 ก็ยังไม่ได้ เพราะกระบวนการผลิตตั้งแต่เกิดจนโตมาถึงอายุขัยขนาดนี้ คุณเก็บและจำอะไรมาบ้าง ตั้งเยอะแยะมากมาย
เพราะงั้น หมอมาบอกว่า สะกดจิตปิ๊งเดียว แค่ 15 นาที 5 นาที แล้วจะบอกว่า จิตใต้ลึกก้นบึ้งถึงถังขยะ ชั้นไม่เชื่อ ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อ แล้วที่พูดนี่เป็นความจริงที่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ตัวว่า ตั้งแต่โตถึงทุกวันนี้น่ะ จำได้แค่เข็มเล่มเดียวเหรอ มันไม่ใช่จำแค่เข็มเล่มเดียว มันไม่ใช่มีแค่เข็มเล่มเดียว เรื่องที่น่ากลัวที่ผ่านมาในชีวิตเราตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้มีเยอะแยะมากมายที่เราเก็บกดเอาไว้ แล้วเราก็จำมันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ถึงเวลาไม่มีอะไร ก็ปลดปล่อยออกมาบ้าง ออกมาทางอะไร ทางอารมณ์ฝันบ้าง เพราะลักษณะอาการฝัน มีอาการอยู่ 4 อย่าง จิตอาวรณ์ ลางสังหรณ์ เทพบันดาล ธาตุพิการ ที่ฝันขึ้นมา แล้วพวกนี้มันก็จะแสดงตนออกมา มีหวาดกลัว สะดุ้งผวา นอนๆ อยู่กระตุก สะดุ้ง ตกที่สูง วิ่งหนี หนีผีบ้าง อะไรอย่างนี้
เพราะงั้น หมอจิตเวท ไม่ใช่ไปดูถูก แต่เค้าเรียนแค่อารมณ์พื้นๆ เท่านั้น ยังไม่ถึงอาการของจิต ยังไม่สามารถบอกลักษณะที่แท้จริงของจิต ยังไม่เข้าซึ้งถึงจิต จิตที่แท้จริงที่เรามีอยู่ณ.วันนี้ มันมีหน้าที่ รู้ รับ จำ คิด แล้วอารมณ์อื่นๆ มันใส่เข้ามาในรู้ ในรับ ในจำ แต่อ้ายข้อ จิตคิด ไม่ค่อยมี เพราะจิตคิดมันเป็นกุศลจิต มันเป็นโสมนัสจิต เป็นเจตสิกธรรมที่มาปรุงจิตในส่วนที่เป็นกุศล คือความฉลาด เพราะงั้น คนเราเนี่ย โง่มากกว่าหรือฉลาดมากกว่า เอ้า ไม่ต้องอะไร ถามคนถาม ชั่วชีวิตคุณโง่มากกว่าหรือฉลาดมากกว่า คุณรู้มากกว่า หรือไม่รู้เสียมากกว่า เราส่วนใหญ่แม้แต่ชั้นเองก็ไม่รู้มากกว่ารู้ ก็แสดงว่า คำว่า คิดของจิต หรือจิตตัวคิดเนี่ย มันเกิดน้อยมาก มันมีแค่ รับ จำ รู้  รับ จำ รู้ เท่านั้น แต่อ้ายส่วนคิดน่ะ ไม่ค่อยมี นานๆ ซักทีถึงจะมาคิด ใช่ไม๊ เพราะฉะนั้น หมอที่ไหนจะวิเศษที่จะมารู้ไปถึงก้นบึ้ง ไม่มีหรอก
แล้วอ้ายที่บอกว่า เรียนรู้ธรรมะ แล้วทำให้จิตนี้ไม่สงบ ไม่ใช่ ยิ่งรู้ ยิ่งรู้จักละ รู้แล้วละ วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น ถ้าไม่รู้แล้ว คุณจะวางอะไร ถ้าคุณไม่รู้ว่าถังขยะคุณมีขยะ แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่า คุณจะล้างมันอย่างไร หมอไม่รู้ว่าถังขยะมีขยะ  อ้ายจิตนี้มีขยะอยู่ หมอรู้แต่เพียงว่า มีเข็มเล่มหนึ่งเท่านั้น แต่หมอไม่รู้ว่า อ้ายเบื้องหน้าตัวคนนี้ มันมากกว่าเข็มเล่มหนึ่งอีกเยอะแยะมากมาย คือรู้แค่อารมณ์เดียว แล้วบอกให้วางแค่อารมณ์เดียว แล้วคนๆ นั้นก็เลิกกลัวเข็มไปเลย แล้วจบหาย ชีวิตคนเราแค่ไม่กลัวเข็ม แล้วก็ไม่กลัวอะไรแล้วเหรอ ไม่ใช่ เค้าตอบแค่ประโยคเดียว คือคำถามคำเดียว เค้าไม่ได้ตอบได้ทุกคำถาม แต่พระพุทธเจ้าให้เรียนธรรมะเพื่อให้ตอบได้ทุกคำถามในปัญหาของจิต ไม่ใช่แค่คำถามแค่เข็มเล่มเดียว แล้วชั้นปฏิเสธเด็ดขาด ชั้นก็เป็นอาจารย์สอนหมอมาก็เยอะ อยากจะบอกคุณหมอที่เข้าใจผิดว่า ยิ่งเรียนธรรมะ ยิ่งทำให้จิตฟุ้งน่ะ ไม่ใช่ แสดงว่าหมอน่ะเพ้อแล้ว ไม่เข้าใจว่า ธรรมะ แปลว่า เครื่องชำระและเครื่องฟอก เครื่องล้าง เครื่องชะ ไม่ใช่เครื่องสะสม ชำระล้าง ขัด เกลา ซักฟอกให้สะอาด ยิ่งล้าง ยิ่งเรียน ยิ่งสะดวก ยิ่งเรียน ยิ่งรู้ ไม่ใช่ยิ่งเรียนแล้วยิ่งฟุ้ง ไม่ใช่ จบ
เฮอะ มีใครถามอะไรอีก นี่เค้าเลิกกี่โมงเนี่ย
ปุจฉา
วิสัชนา   พูดเรื่องนี้ ชั้นก็อยากจะบอกว่า เมื่อครู่นี้ ชั้นเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลพระมงกุฏ ไปเยี่ยมคนป่วยที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ที่จริงเมื่อวานไปทีแล้ว ไปแล้วก็เห็นเมียเค้า ลูกเค้าว่า คนไข้ทุรนทุราย นอนไม่ได้ ต้องให้มอร์ฟีนอยู่ตลอดเวลาเพราะปวด ชั้นก็เลยเมื่อวานนี้ไป ไปสอนวิธีเดินลม สอนให้เดินลมแล้วชั้นก็ใช้วิชาปราณโอสถรักษาเค้า แล้วให้ดื่มน้ำเยอะๆ แล้วก็ให้เดินลม 2 อย่าง
วิธีเดินลมก็คือ หายใจให้เหมือนดั่งช้าง เวลาหายใจเข้า ช้างมันตัวใหญ่ มันจะหายใจเท่าลำตัวมัน เวลาหายใจออกก็ให้เหมือนดั่งงู คือ งูตัวมันยาวขนาดไหน ก็ให้หายใจเท่ากับลำตัวมัน เค้าก็บอกว่า เค้าเป็นมะเร็งที่ปอด หายใจแบบนี้บ่อยๆ จะเหนื่อย ถ้าอย่างนั้นก็จับลมหายใจ แค่รู้ว่า ลมหายใจเข้า รู้อยู่ ลมหายใจออก รู้อยู่ แล้วก็มาสลับหายใจเข้าอย่างช้าง ออกอย่างงู ชั้นเรียกมันว่า เดินลมแบบอักษรสวรรค์ แล้วก็สอนเค้าให้เดินลมไปตามจุดต่างๆ เมื่อเช้าไปดู ไปเยี่ยม ลูกชายเค้ารายงานว่า พ่อหลับตั้งแต่ 4 ทุ่มยันเช้า ปกติจะตื่นทุกชั่วโมง เพราะมันทุรนทุราย ต้องมาฉีดมอร์ฟีน แต่เมื่อคืนนี้หลับยันเช้า แล้วเช้าขึ้นมาก็หน้าตาสดชื่น ไม่ฝันร้าย ทุรนทุราย ไม่เจ็บปวด
เพราะงั้น กระบวนการหายใจ ชั้นบอกเค้าว่า ถ้าคุณไม่อยากเจ็บปวดและทุรนทุราย ต้องหายใจให้เป็น เพราะว่าจิตที่มีสมาธิ และเป็นพลานุภาพ คือเป็นอานุภาพของจิตระดับหนึ่ง มันสามารถจะสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่กาย และต้านโรคภัยไข้เจ็บได้ แล้วมันก็เป็นจริง ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อคืนเค้าหลับสนิท ไม่ได้กินยาอะไร แล้วเช้าตื่นขึ้นมาก็ถ่าย ปกติเค้า 2 อาทิตย์ถึงจะถ่าย ชั้นก็สอนวิธีเดินลม วิธีเคลื่อนกระเพาะลำใส้ วิธีดึงลำใส้ แล้วก็ถ่าย 2 ครั้ง ถ่ายออกมาก็มีกลิ่นเน่าเหม็น คนเค้าก็บ่น ลูกหลานเค้าก็เล่าให้ฟัง เมื่อเช้าไปดู ก็ดีขึ้น งั้นก็อยากบอกว่า การหายใจที่ดีนั้น มี 2 ลักษณะ
ลักษณะแรก ก็คือ หายใจตามคัมภีร์วิสุทธิมรรค ก็คือ หายใจเข้าเหมือนช้าง หายใจออกเหมือนงู
หายใจเข้าเหมือนช้าง ก็คือ มีหลักว่า เข้า กว้าง ลึก เต็ม   กว้าง ลึก เต็ม 
เวลาหายใจเข้า ต้องกว้าง ต้องลึก ต้องเต็ม   รู้ว่า กว้าง รู้ว่า ลึก รู้ว่า เต็ม 
นี่คือลักษณะ กว้าง ลึก เต็ม
แล้วรู้ว่า เวลาหายใจออก ก็ เบา ยาว หมด รู้ว่า เบา รู้ว่า ยาว แล้วรู้ว่า หมดแล้ว
แล้วจึงเข้าใหม่ แต่คนปัจจุบันหายใจไม่เป็น บางทีหายใจออกยังไม่สุด ก็รีบเข้า กลัวว่าจะหายใจไม่ทัน เข้ายังไม่ทันเต็ม ก็รีบออก เพราะกลัวว่า จะหายใจไม่ออก มันก็เลยเป็นหายใจเหมือนดั่งสุนัขหายใจเหมือนดั่งกระต่าย ซึ่งมีอยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคว่า เป็นลักษณะการหายใจที่เป็นโทษ เพราะลักษณะที่หายใจเหมือนสุนัข กระต่าย ออกซิเยนมันไปเลี้ยงสมองไม่พอ ความเสื่อมของสมองก็เพิ่มพูนมากขึ้น เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ สมองก็อายุสั้น ความทรงจำก็แย่ลง สติปัญญา ไหวพริบ ความกระฉับกระเฉง ว่องไว ก็จะขาดสูญไป
คุณสังเกตไม๊ว่า เวลาคุณถามปัญหา ชั้นต้องเสียเวลาคิดไม๊ เสียเวลาคิดไม๊  นี่คือประโยชน์ของการหายใจให้เป็น งั้น คุณต้องฝึกหายใจให้เหมือนดั่งช้าง เวลาเข้า เข้าเหมือนช้าง กว้าง ลึก เต็ม รู้ว่ากว้าง รู้ว่าลึก รู้ว่าเต็ม เวลาหายใจออก ก็เบาๆ ยาว หมด ไม่ใช่ออกพรวดออกมา ค่อยๆ รินลมออกเบาๆ ยาว อาทิตย์ต้นเดือนเนี่ยเค้ามีวันหยุด คุณลองไปฝึกดูที่วัด ชั้นสอนทุกอาทิตย์ต้นเดือนกับอาทิตย์กลางเดือน ลองไปศึกษาดู จบ
มีใครถามอะไรอีกไม๊ ไม่มีก็เลิก เฮอะ เหนื่อยแล้ว ถามเอาๆ โอ้ รุม เฮอะ มีไม๊ อาจารย์มีอะไรถามไม๊ ไม่มีเหรอ ข้างหลังมีไม๊ อนุศาฯ ล่ะ
วิทยาลัยบอกว่า บ่าย 3  นี่บ่าย 2 ครึ่ง
ไม่ต้องเกรงใจ
ถ้าจะเลิก ก็แล้วแต่ความกรุณาของหลวงปู่ครับ
เฮอะ คุณรู้ไม๊ว่า พูดเนี่ย มันเสียพลัง มีอาทิตย์ที่ผ่านมาเนี่ย อากาศมันหนาวมาก ที่วัดประมาณ 15 องศา แล้วชั้นก็ไม่ได้ห่มผ้าไป ชั้นไปแสดงธรรม คนก็เต็มศาลา พูดไป ๆ แล้วมันไอ มันจาม เผอิญมีคนถวายผ้าห่ม ชั้นก็เลยสั่งเค้าต้มน้ำขิง แล้วเอาผ้าห่มมา ก็หยุดไอ หยุดจาม เพราะว่า พอพูดไปแล้ว ร่างกายมันเสียพลัง เสียสมดุลย์ แล้วมันก็จะอ่อนแอ ชั้นก็ไม่ค่อยปกติ เมื่อวานก็ไปรักษาเค้า กว่าจะกลับถึงวัด ไปงานศพเจ้าประคุณสมเด็จหนกลาง เป็นเจ้าภาพสวดศพ กว่าจะถึงวัดก็ 4 ทุ่ม เมื่อเช้าก็ออกแต่เช้า เดี๋ยวเย็นนี้ก็กลับเย็นอีกล่ะ พอเฮอะ จะใช้อะไรมากมายนักหนา กินแต่น้ำ ฉันแต่น้ำ
ก็หลวงปู่เมตตา นักศึกษาเค้าก็ชอบ
จ้ะ นักศึกษาน่ะชอบ แต่ไม่เคยถามชั้นเลยว่า ชั้นชอบไม๊ นี่กี่คนเนี่ย เห็นเค้าบอกร้อย ชั้นมา 2 เที่ยว นับไปนับมาก็ยังไม่ถึงร้อย นับโต๊ะด้วยเหรอ
เห็นอาจารย์เค้าบอก ร้อยเท่าไหร่นะ ร้อยหก นับโต๊ะเหรอ คราวที่แล้ว ใครได้หนังสือไปบ้าง ยกมือซิ อ่านไม๊ ยังไม่อ่านเลย
จะถามว่า เค้าเขียนว่ายังไงบ้าง ชั้นก็ไม่ได้อ่าน ลูกศิษย์เป็นคนเขียน เออ มันหนาๆ อยู่ แบ่งๆ กันอ่านก็แล้วกัน
ไม่มีอะไรก็คงแค่นี้มั๊ง ท่าน จะถามอะไรไม๊
สำคัญที่สุด ก็คือ สิ่งที่ชั้นอยากขอพวกคุณก็คือว่า สังคมมนุษย์เนี่ย เราไม่ควรใส่หน้ากากเข้าหากัน เพราะเมื่อใดที่เราใส่หน้ากากเข้าหากัน เราก็จะไม่จริงใจต่อกัน เมื่อใดที่เราไม่จริงใจต่อกัน เราก็จะไม่มีมิตร เราจะมีแต่ศัตรู ถ้าเป็นเพื่อนก็เพื่อนกิน ไม่ใช่เพื่อนตาย เพราะงั้น ลักษณะที่ไม่พึงปรารถนาก็จะเกิดขึ้นในสังคม ทีนี้เมื่อเราเป็นผู้นำหน่วย ผู้บริหาร เราเป็นเสียอย่างนี้ แล้วเราได้รับแบบนี้ อย่าไปหวังว่าเราจะได้อย่างอื่นจากลูกหลาน หรือว่า บริษัท บริวารเราที่เป็นเรื่องดี เพราะว่ากรรมมันมีผลจริงๆ คุณไหว้ใคร ใครก็ไหว้คุณ  คุณยิ้มให้ใคร ใครก็ยิ้มให้คุณ คุณใส่หน้ากากเข้าหาใคร ใครก็ใส่หน้ากากเข้าหาคุณ คุณจริงใจต่อใคร ใครก็จริงใจต่อคุณ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง
งั้น ชีวิตชั้น สิ่งที่ชั้นพูด คือสิ่งที่ชั้นคิด  สิ่งที่ชั้นคิด คือสิ่งที่ชั้นทำ ชั่วชีวิต พูด ทำ คิด เรื่องเดียวกัน ชั้นไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองชั้นว่าไม่ดี แต่ชั้นกลัวว่า ชั้นจะทำให้คนอื่นฉลาดไม่มี หรือว่าไม่มีปัญญา นั่นคือ สิ่งที่ชั้นกลัว เพราะว่าชั้นไม่กลัวว่า คนอื่นจะเข้าใจชั้นผิด แต่ชั้นกลัวว่า คนอื่นจะไม่รู้จริง นั่นคือสิ่งที่ชั้นกลัว เพราะฉะนั้น เราจะทำยังไงให้ตัวเรากลายเป็นคนที่ทำอย่างไร พูดอย่างนั้น พูดอย่างไร คิดอย่างนั้น แล้วเป็นผู้ซึ่อตรงต่อตนแล้วก็คนอื่นๆ ก็ต้องเริ่มต้นจากพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ไหว้พระ สวดมนต์ กิริยาอาการ พฤติกรรมประจำวัน ตรงไปตรงมา ไม่ต้องมีเสแสร้ง ไม่ต้องมีเหตุปัจจัยอะไรเยอะแยะ ไม่ต้องมีมารยาสาไถ ไม่ต้องมีลักษณะพิธีการอะไรใดๆ เอามันง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่ใช่ตรงไปโกงมา ตรงไปตรงมา ใจคิดอย่างไร สมองระลึกรู้ตาม คิดตาม มือทำ ปากพูดเช่นนั้น แต่ทุกอย่างต้องผ่านกระบวนการกรอง ด้วยหลักสติปัญญาที่เรียกว่า สัมมาทิฐิ ไม่ใช่ใจคิดยังไง คิดจะชกก็ชก คิดจะกัดก็กัด คิดจะด่าก็ด่า ไม่ใช่ ก็บอกแล้ว ต้องมีคุณธรรม มีมโนธรรมอยู่ในใจไง ทีนี้เราก็ไม่กลัวที่จะแสดง ไม่กลัวที่จะพูด ไม่กลัวที่จะคิด เรากล้าที่จะแสดง กล้าที่จะพูด กล้าที่จะคิด เพราะเรามาจากมโนธรรม มันออกมาจากก้นบึ้งแห่งมโนธรรม และคุณธรรม แต่ถ้าเมื่อใดที่เราปฏิเสธมโนธรรมและคุณธรรม แม้เราอยากคิด สิ่งที่คิดก็อาจจะเป็นอันตราย ยิ่งพูดออกไป ก็ยิ่งเป็นอันตรายต่อตนและคนรอบข้าง เพราะมันไม่ได้ออกมาจากมโนธรรมและคุณธรรม ชั้นถึงได้บอกพวกคุณไง มนุษย์ไม่ควรปฏิเสธ 4 คุณ เพราะคุณธรรม ทำให้เราทำคุณประโยชน์แล้วก็ ทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่า สังคมก็เกิดคุณภาพ
คุณ 4 คุณเนี่ยเป็นคุณสมบัติของมนุษย์ เรียกว่า เป็นคุณลักษณะ ลักษณะอันเป็นคุณ นั่นคือ คุณธรรม แล้วคุณธรรมข้อไหนบ้าง สำหรับในที่นี้ ชั้นอยากบอกคุณว่า ความซื่อตรง ความมีน้ำใจ ความรู้จักให้อภัย แล้วก็ความไม่เห็นแก่ตัว ซื่อตรง มีน้ำใจ รู้จักให้อภัย แล้วก็ไม่เห็นแก่ตัว เป็นคุณธรรมและมโนธรรมของเรา แล้วพวกคุณควรจะต้องมี และสั่งสมเอาไว้ เพื่อจะทำให้ชีวิตของคุณประสบแต่ความสำเร็จและรุ่งเรือง เจริญ เจริญธรรม
พิธีกร นำแผ่เมตตา
หลวงปู่   อยากแถมอีกนิด ใจคุณระลึกถึงผู้ประสบภัย อุทกภัย วาตะภัย ธรณีภัย และอัคคีภัยที่เค้าสูญเสีย ล้มประดาตายไปเยอะแยะมากมาย คุณลองนึกถึงเค้า ระลึกถึงเค้าแล้วส่งความปรารถนาดีในใจคุณให้แก่เค้า ดูซิ ออกจากใจแท้ๆ ของคุณ แล้วภาวนาในใจว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข   ขอสัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์  ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข   ขอสัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
หายใจเข้า ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข  
หายใจออก ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
ลองทำตามดูซิ อย่าบังคับลมหายใจ ปล่อยให้ลมหายใจเป็นธรรมชาติ ใหม่ ๆ บังคับแล้วจะเหนื่อย เข้า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข   ออก สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
ยกมือไหว้พระกรรมฐาน
กราบลาพระ คุณจะนำ หรือชั้นจะนำ
ให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรง รุ่งเรือง เจริญ คิดหวังสิ่งใดสมความปรารถนา ลูก
ปัจจัยที่พวกคุณถวาย ชั้นรับแล้ว ยกให้เป็นสมบัติของวัดและมูลนิธิ เพื่อใช้เลี้ยงพระเณรใหม่ที่บวชถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 300 รูป ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา เค้าจะบวชกันวันเสาร์นี้ ( 2 เม ย  54 )