21.01.54 หัวข้อ “คุณธรรมสำหรับทำการงาน” ธรรมะโดยองค์หลวงปู่
พุทธะอิสระ ณ. มหาวิทยาลัย ศิลปากร
...เพราะว่าที่จริงแล้วนิมนต์ชั้น ต้องบอกว่าไม่ได้ง่าย เพราะคนนิมนต์ชั้น ด้วยเหตุผลว่า
แต่ละวันชั้นจะมีงานมาก เดี๋ยววันนี้กลับไปต้องรีบไปประชุม เมื่อเช้าก็มีแสดงธรรมออก เอ
เอสทีวี เผอิญชั้นอาพาธ รู้สึกเจ็บตาก็เลยไม่ได้ไป เลื่อนเค้าไป ภาคบ่ายมีคนมา ก็เลยบอก
เค้าว่าต้องไปแสดงธรรม
เค้าให้มาพูดเรื่อง คุณธรรมสำหรับทำการงาน ถ้าชั้นเข้าใจไม่ผิดนะ เรื่องทำการงานเนี่ย
ต้องบอกว่า ปัญหาของพวกเราคือ ที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ ต้องเข้ามาเรียนมาศึกษา มา
สั่งสมอบรมความรู้ แล้วก็มาสั่งสมประสบการณ์ ทั้งหมดก็เพื่อเตรียมตัวที่จะเผชิญต่อปัญหา
สำหรับชั้นถือว่า งานก็คือตัวปัญหา อ้ายที่เราส่งลูกส่งหลานและพยายามสอนลูกสอนหลาน
ชาวบ้าน สอนลูกสอนหลานเราให้รู้มากมายเยอะแยะ เรียนหนังสือเยอะแยะมากมาย ถ้าจะ
สรุปรวมยอดก็ต้องบอกว่า เพื่อเตรียมตัวที่จะเผชิญกับปัญหา แล้วถ้าเราทำความเข้าใจว่า
งานมันคือ ตัวปัญหา งานคือ กระบวนการที่เราจะต้องไปเจอะเจอกับปัญหา แล้วมันก็คือ
กระบวนการแห่งการก่อกำเนิดปัญญา เราก็คงจะต้องรู้สึกสำนึกด้วยตัวเราเองว่า การเตรียม
การของเราพร้อมหรือยังที่จะเผชิญต่อปัญหา
เออ สำหรับชั้น ชั้นถือว่า งานทุกชนิดมันเป็นปัญหาทั้งนั้น เวลาที่วัดชั้นรับสมัครพนักงาน
บัญชี มีพนักงานคอมพิวเตอร์ ที่มูลนิธิฯ เค้าจะรับพนักงานบริหาร หรือว่าฝ่ายเภสัชฯ ฝ่าย
คณะวิทยาศาสตร์ ชั้นจะให้เค้าเขียนในใบสมัคร บอกไว้กับผู้มาสมัครว่า เรามีปัญหาเรื่อง
บัญชี เพราะงั้น ชั้นรับคุณมาเพื่อมาแก้ปัญหาเรื่องบัญชี ไม่ได้มาสร้างปัญหา งั้นถ้าเข้าใจว่า
งานคือตัวปัญหา แล้วเราเป็นผู้ที่จะเข้าไปแก้ปัญหา ต้องถามกลับไปว่า เราพร้อมไม๊ที่เราจะ
เผชิญต่อปัญหา
แต่เท่าที่สังเกตุดู ไม่ว่าจะเป็นบริษัทลูกศิษย์ หรือบริษัทใครๆ หรือแม้แต่คนที่อยู่ในวัดชั้น
คนรุ่นนี้ไม่ค่อยกร้านปัญหา กลัวปัญหา แล้วยังไม่อยากมีปัญหา แล้วคิดเสมอว่า อะไรตรง
ไหนมีปัญหา ก็จะปฏิเสธไม่เข้าใกล้ ไม่ยอมรับ และก็รู้สึกว่า เราขี้ขลาดต่อปัญหา ทั้งที่เราก็
ฝึกปรือมาทั้งชีวิตเพื่อเผชิญต่อปัญหา เราเรียนรู้ตั้งแต่ชั้นอนุบาลมายันปริญญา ก็เพื่อเผชิญ
ต่อปัญหา
ถ้าเราเข้าใจความหมายอย่างนี้ เราก็ต้องรู้ว่า เรามีชีวิตเพื่อเผชิญต่อปัญหา เรามีชีวิตเพื่อจะ
เข้าไปเรียนรู้ศึกษาปัญหา แล้วเรามีชีวิต เรามีการเตรียมการ เตรียมพร้อมเพื่อเข้าไปแก้
ปัญหา ถ้าทำความหมายในความเข้าใจให้มากขึ้นอย่างนี้เนี่ย ชั้นเชื่อว่า งานที่เป็นตัวปัญหา
มันก็จะไม่เกิดปัญหา แล้วมันก็จะได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง อย่างเข้าอกเข้าใจ
จริงจังแล้วก็ตั้งใจ แต่ถ้าไม่เข้าใจความหมายแบบนี้ มันก็กลายเป็นว่า เรารับผู้สร้างปัญหา
เข้ามาเพิ่มในงานนั้นๆ เราจะเอาบุคคลที่จะมาช่วยแก้ปัญหา กลับกลายเป็นมาเพิ่มปัญหา
ให้กับเรา
เหมือนกับที่ก่อนชั้นจะขึ้นรถมานี่ มีโยมพ่อของพระองค์หนึ่ง เค้ามาบอกว่า พระที่อยู่ใกล้
ชิดชั้นน่าจะเป็นพระอุปฐาก ปกติชั้นมีพระอุปฐาก 4 รูป เค้าก็จะผลัดเปลี่ยนกันมาทำ
กิจกรรม ทำกิจกรรมอะไรบ้าง ก็บางทีบางครั้งเวลามีคนมานิมนต์ เค้าก็จะติดต่อพระพวกนี้
เค้าจะทำหน้าที่รับนิมนต์บ้าง จัดคิวบ้างว่า วันนี้ชั้นจะต้องมีอะไร เค้าจะเขียนไว้ที่กระดาน
ดำว่า เช้ามีอะไร บ่ายมีอะไร เย็นมีอะไร แล้ว หรือไม่ก็ ชั้นก็จะใช้งานเล็กๆ น้อยๆ เช่น
ช่วยดูแลไปสั่งงานต่อที บอกเค้าให้ช่วยจดบันทึกข้อมูลที อะไรอย่างนี้
เมื่อวานนี้ เผอิญมีพระองค์หนึ่งที่เค้าทำหน้าที่อยู่ ต้องไปเชียงใหม่ ก็มีพระอีกองค์หนึ่ง เค้า
ก็มาทำหน้าที่แทน เพราะงั้นพระอีกองค์ก็จะทำหน้าที่ได้แตกต่างจากพระองค์ที่เดินทางไป
เชียงใหม่ แล้วเราก็บอกกับเค้าว่า ท่านรู้ไม๊ว่า สาเหตุใดทำไมผมถึงไม่ชอบใช้ท่าน เค้าบอก
ไม่ทราบครับ ก็เพราะท่านไม่สามารถแก้ปัญหาให้ผมได้ พูดอย่างนี้เข้าใจไม๊ เราพอจะหา
คำตอบได้ไม๊ว่า ทำไมเจ้านายไม่ค่อยใช้เรา เพราะเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับเจ้า
นายได้ แล้วถามต่อมาว่า ทำไมล่ะครับ ก็เพราะว่า ท่านนอกจากแก้ปัญหาให้ผมไม่ได้ ท่าน
ยังเป็นตัวปัญหาให้ผมอีก
แล้ววันนี้ก็จริง เช้าลุกขึ้นมา โยมเค้ามาบอกว่า พระโกเครียดมาก เราก็เลยบอกกับพระ ไป
บอกกับพ่อเค้าก่อนจะขึ้นรถว่า งานชั้นก็เยอะอยู่แล้ว ปัญหาชั้นก็มากอยู่แล้ว คนที่อยู่ใกล้ชั้น
ต้องการให้มาช่วยชั้นแก้ปัญหา ไม่ใช่มาช่วยเพิ่มปัญหา แล้วสร้างปัญหา แล้วก็ขึ้นรถไป
พูดอย่างนี้เข้าใจไม๊
เพราะงั้น ถ้าเราเข้าใจบทบาทภาระกรรมหน้าที่ของเราอย่างชัดแจ้ง ไม่มีธรรมะอะไรต้องคุย
อ้ายที่มันต้องมีธรรมะอะไรต้องคุย มีเรื่องอ้ายโน้นมีเรื่องอ้ายนี่ มันทฤษฎีนั้น มันทฤษฏีนี้
มีสูตรสำเร็จนั้น สูตรสำเร็จนี้ ก็เพราะว่าเราไม่สำนึกว่า ทั้งชีวิตเราเนี่ย เราเตรียมการและมี
ชีวิตเรียนรู้ฝึกหัดปฏิบัติศึกษามาเนี่ยเพื่ออะไร เราไม่สำนึก เราไม่เข้าใจบทบาทภาระ
กรรมและหน้าที่ของตน
งั้น เมื่อเราไม่เข้าใจบทบาทภาระกรรมและหน้าที่ของตัวเอง เราก็เลยกลายเป็น นอกจากไม่
ช่วยแก้ปัญหาแล้ว กลายเป็นผู้ช่วยสร้างปัญหา ไม่ช่วย ซ้ำให้เกิดปัญหา ไม่ว่าจะเข้าไปสู่
สังคมใด แทนที่จะไปแก้ไขปัญหา กลับกลายเป็นไปสร้างปัญหา แล้วเมื่อสังคมมีคน
ประเภทนี้ เผ่าพันธุ์นี้มากๆ เข้า มันก็กลายเป็นความอ่อนแอทางสังคม ถ้าหน่วยงานไหนมี
บุคคลากรที่สร้างแต่ปัญหา ไม่ช่วยแก้ไข มองเห็นปัญหาแล้ว หวาดกลัวสะดุ้งผวา แล้ว
คร้านที่จะเจอต่อปัญหา ขี้คร้านสันหลังยาวต่อการแก้ปัญหา และเรียนรู้ศึกษาปัญหา แล้ว
หวาดผวาต่อกระบวนการเกิดปัญหา ทั้งที่เค้ารับเรามาทำหน้าที่เพื่อช่วยแก้ปัญหา แต่เรา
ปฏิเสธในการรับรู้และศึกษาเรียนรู้และแก้ปัญหา เราก็คือ ตัวสร้างปัญหา เพราะปัญหามัน
มีอยู่ทุกวัน
ตัวอย่างเช่น ปัญหาทางบัญชี เค้าเรียกเรามาเพื่อทำหน้าที่แก้ปัญหาทางบัญชี พอมันมีคำว่า
ทำบัญชีมันก็ต้องมีทั้งเงินเข้าเงินออก มีตัวเลขเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน ทั้งรายได้และรายจ่าย แต่
วันหนึ่ง เราปฏิเสธในการแก้ปัญหาทางบัญชี เราคิดว่าวันพรุ่งนี้ปัญหาจะเพิ่มขึ้นไม๊ เพิ่มไม๊
เพิ่มสิ ก็ทุกวันมันมีตัวเลขชักเข้าชักออกทุกวัน แล้วมีอยู่วันเราปฏิเสธ แล้ววันต่อๆ มา เรา
ก็ทำมันอย่างไม่จริงจัง ไม่ตั้งใจ ไม่จดจ่อ ไม่เอาใจใส่ สุดท้ายมันก็กลายเป็นอะไร ดินพอก
หางหมู แล้วใครคือ ตัวปัญหา ปัญหาทางบัญชี มันก็มีปัญหาอยู่ดั้งเดิมอยู่แล้ว แต่คนที่
สร้างปัญหาทางบัญชี มันไม่ใช่คนดั้งเดิม มันเป็นคนใหม่ๆ ที่เข้ามาแล้วก็สร้างให้เกิดปัญหา
เพราะงั้น สถานะภาพของผู้แก้ปัญหาเนี่ย ต้องแข็งแรง ต้องพูดถึงคำว่าแข็งแรง ไม่ใช่
เพียงแค่เรียนรู้ศึกษาในตำราแล้วก็บอกว่า เราแข็งแรงแล้ว ไม่ใช่ว่าเราสั่งสมอบรม
ประสบการณ์จากวิชาครูบาอาจารย์ในห้องสี่เหลี่ยม แล้วบอกว่าเราแข็งแรง ก็ไม่ใช่ แต่ต้อง
ได้จากความหลากหลาย รวมทั้งประสบการณ์ตรงที่เราไม่คร้าน ไม่หวาดกลัว และไม่สะดุ้ง
ผวาต่อปัญหาที่เกิดขึ้น นั่นคือ เราต้องกล้า เราต้องเป็นผู้กล้า กล้าที่จะเผชิญต่อทุกปัญหา
ชั้นเขียนหนังสือเอาไว้ จริงๆ มันไม่ใช่หนังสือ เป็นคำกล่าวสอน ก่อนที่จะออกจากวัดเมื่อ
ประมาณสัก 20 ปีที่แล้ว คือสร้างวัดเสร็จแล้วชั้นก็หนีออกไปเที่ยวป่า แล้วก็เขียนบันทึก
ข้อมูลคำสอนไว้ในเทป เพื่อให้พระเค้าเปิดฟังว่า
ลูกรัก มีชีวิต มีลมหายใจ ได้พลัง ใช้พลัง สร้างสรรค์การงาน หมดชีวิต สิ้นลมหายใจ ไร้พลัง
แต่ยังดำรงผลงาน แล้วชั้นก็บอกกับพวกเค้าว่า งาน ถ้าทำมันด้วยหัวใจและด้วยความเข้าใจ
มันคือ กระบวนการในการสร้างประสบการณ์ทางวิญญาณให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ให้
มากขึ้น เพราะงานมันคือตัวปัญหา และเมื่อใดที่ไม่หนีการงาน ก็เท่ากับว่า เราไม่หนีปัญหา
เมื่อเราไม่หนีปัญหา ไม่หนีการงาน แล้วลงไม้ลงมือจะไปศึกษาเรียนรู้ และจับต้องสัมผัส
กับปัญหาและการงานนั้นๆ ก็เท่ากับว่า เป็นผู้รู้ในปัญหามากขึ้น เมื่อเราเรียนรู้ศึกษาใน
ปัญหาเยอะขึ้น เราก็มีวิถีทางในการแก้ปัญหาได้มากขึ้น เมื่อเราสามารถแก้ปัญหาได้เยอะ
ขึ้น เราก็จะกลายเป็นคนกล้าและแกร่ง แข็งแรงขึ้นมาในทันที
ทุกครั้งที่เจ้าเผชิญเจอะเจอต่อการงาน หรือปัญหา มันก็คือ การชุบตัวเจ้าให้เป็นผู้กล้าและ
แข็งแรง และนอกจากการงานจะทำให้เราแกร่งกล้าและแข็งแรงแล้ว ปัญหาจะทำให้เรา
เรียนรู้ศึกษา ประตูวิญญาณมันจะเปิดกว้างในการรับรู้สัมพันธ์สัมผัสถึงความยากลำบาก
ง่ายดาย สุขุม ละเอียดรอบคอบและคัมภีรภาพ มันจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเราปฏิเสธการงาน
และปัญหา
เพราะงั้น เมื่อใดที่เราจะเรียนรู้ศึกษามันในทุกเรื่องของการงานและหน้าที่ ด้วยหัวใจที่เต็ม
เปี่ยมอย่างผู้กล้า ไม่หวั่นหวาด ไม่สะดุ้งผวา เราก็เข้าถึงหัวใจแห่งปัญหา และเข้าถึงความ
สำเร็จของการงาน แล้วจงลงมือทำด้วยใจรัก ไม่ใช่เกียจคร้านสันหลังยาว แล้วมักจะบ่นว่า
งานกูทำไมเยอะจัง คนที่บ่นอย่างนี้ แสดงว่า จะไม่พัฒนาชีวิต อ้ายที่เราเรียนมาทั้งชีวิต มัน
เท่ากับว่า มันหมดลงตรงคำว่า ทำไมงานกูมันเยอะจัง ตกลงคุณเรียนมาตั้งแต่เล็กยันแก่
บางคนแก่แล้วยังไม่เลิกเรียน เพียงเพื่ออะไร ไม่ใช่มาแก้ปัญหาและทำการงานหรอกเหรอ
ฮือ
แล้วงานมันมีอยู่ 2 อย่าง งานภายในกับงานภายนอก อ้ายงานภายนอกก็คือ งานหาอยู่หา
กิน เลี้ยงชีวิต ทำหน้าที่ภาระกรรมที่ตัวเองมีกับคนรอบข้างและสังคม ส่วนงานภายในก็คือ
ดูแลบริหารจัดการอารมณ์ ดูแลบริหารจัดการชีวิต ดูแลบริหารจัดการความรู้สึกนึกคิด แล้ว
ก็หาวิธียกจิตของตนให้พ้นจากสภาวะแห่งปัญหานั้นด้วย นั่นคือการงานภายใน ทั้งหมดที่
เราทุ่มเทชีวิตในการศึกษาเรียนรู้ก็เพื่อทำการงานไม่ใช่เหรอ ถ้าเข้าใจบทบาทและภาระ
กรรมหน้าที่อย่างนี้อย่างแจ่มชัด เราจะเห็นว่า งานน่ะ มันเป็นเครื่องสร้างคุณค่าของชีวิต
ปัญหาก็คือ เป็นบททดสอบสมรรถนะและประสิทธิภาพของชีวิต เพราะเรามีคุณสมบัติพอ
ที่จะเผชิญเจอะเจอต่อทุกการงานและทุกปัญหา
แต่ปัญหาของเราทุกวันนี้ก็คือว่า เราหาคุณสมบัติได้น้อย ด้วยเหตุผลที่ว่า เรามักจะบ่นและ
จู้จี้จุกจิกต่อการงาน แล้วเลือกแต่เฉพาะงานที่ง่ายๆ งานที่ยากลำบากและไม่สบาย เราจะ
ปฏิเสธมันเสมอๆ แล้วเราจะรู้สึกรังเกียจต่อปัญหาและงานที่ยาก และเป็นอุปสรรคขวาก
หนาม หารู้ไม่ว่า นั่นคือกระบวนการที่ทำให้ตัวเองอ่อนแอทางจิตวิญญาณ อ่อนแอทาง
พฤติกรรม สามัญสำนึก แล้วก็อ่อนแอทางสติปัญญา เพราะทุกครั้งที่เราเผชิญเจอะเจอต่อ
การงานที่ยาก แล้วเราแก้ปัญหามันได้ หรือทุกครั้งที่เราเผชิญเจอะเจอต่อปัญหาที่ยุ่งยาก
แล้วสามารถกำจัดมันได้ เราจะกลายเป็นคนที่แกร่งและแข็งแรง ชาญฉลาด องอาจและสุขุม
รอบคอบและยิ่งใหญ่ในหัวใจเราเสมอ
เพราะงั้น ชั่วชีวิตหลวงปู่ไม่เคยกลัวปัญหา ไม่เคย แล้วก็ไม่เคยกลัวการงาน อ้ายที่กลัว ก็คือ
เราไม่มีลมหายใจจะทำต่างหาก หรือแก้ปัญหา นั่นแหละ น่ากลัว เราไม่มีเวลาพอที่จะทำ
การงานให้มันหมดไปในภาระกรรมและหน้าที่ตัวเองรับผิดชอบ
เพราะงั้น ท่านที่รักทั้งหลายที่ทำหน้าที่ ก็ถือว่า ท่านกำลังเป็นตัวลดปัญหา ไม่ใช่เพิ่มปัญหา
ท่านผู้อำนวยการ ท่านอธิการบดี ท่านรองอธิการบดี ท่าคณบดี นายจ้าง ลูกจ้าง ต้องเขียน
ป้ายติดเอาไว้ให้ชัดว่า งานในหน้าที่ใดๆ มันคือ ตัวปัญหา ชั้นรับคุณเข้าทำงาน แล้วคุณ
เข้ามาทำงาน คือ มาช่วยชั้นแก้ปัญหา มีวงเล็บหน่อยว่า ไม่ใช่มาเพิ่มปัญหา ต้องตรงไป
ตรงมาแบบนี้ แล้วเราจะกลายเป็นคนแกร่ง และชัดเจนในพฤติกรรมของตน
แต่ณ. วันนี้ เราไม่ค่อยชัดเจน เราไม่ค่อยตรงไปตรงมาต่อพฤติกรรมของตัวเราเอง เราก็
เลยมีปัญหาคาราคาซัง เหมือนกับที่บอกว่า บัญชี วันนี้ไม่ชัดเจนต่อภาระกรรมและหน้าที่
ของเรา วันนี้ไม่ทำบัญชีให้ชัดเจน พรุ่งนี้จะชัดเจนต่อไปไม๊ มะรืนนี้ มะเรื่องนี้ ปีหน้ามันจะ
ชัดเจนไม๊ จนตายก็ยังไม่ชัดเจน
งั้น ทั้งชีวิตเราก็จะมีชีวิตแบบคลุมครือ ลูกผีลูกคน หัวมงกุฏท้ายมังกร ไม่รู้ว่าอะไรถูก
อะไรผิด อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรใช่ ไม่ใช่ อะไรได้ อะไรเสีย แล้วเราก็ส่วนใหญ่จะเสีย ไม่
ค่อยจะได้
เพราะงั้น จะถามชั้นว่า ธรรมะข้อไหนที่เหมาะสมกับการงาน ชั้นว่า ธรรมะในการที่มีสำนึก
ในการรับผิดชอบในหน้าที่ สำนึกในความรู้สึก ทบทวนบทบาทสถานะภาพของตนว่า
ตลอดชีวิตที่เราผ่านมาเนี่ย เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เราฝึกหัดปฏิบัติศึกษามาตั้งแต่เล็กจน
อายุปูนนี้เนี่ย เพื่ออะไร เพื่อแก้ปัญหา หรือเพื่อสร้างปัญหา เพื่อทำการงาน หรือเป็นผู้สร้าง
ให้เกิดการงาน แล้วลองหลับตานึกดูว่า ถ้าสังคมเรา องค์กรเรามีแต่ผู้สร้างการงาน ผู้สร้าง
ปัญหา แล้วใครเป็นผู้รับปัญหา แล้วปัญหามันจะจบลงตรงไหน งั้นจงมองให้ชีวิตและการ
งาน คือ ตัวปัญหา แล้วเราจะหาคำตอบได้ชัดเจน สำหรับชั้น ชั้นมองอย่างนั้นนะ หลายคน
อาจจะคิดในใจ อู้ฮู้ มันเครียดตายเลย ไม่คิดจะผ่อนคลาย ปล่อยวาง ก็บอกแล้วว่า การงาน
มันมี 2 อย่าง งานภายนอก กับงานภายใน
ชั้นอยากจะเล่าให้พวกคุณฟังว่า ช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาเนี่ย ชั้นทำงานเยอะมาก แล้ว
ก็มีกิจกรรมเยอะมาก แล้วก็ไหนจะต้องเป็นทั้งหมอ เป็นผู้สอนศาสนา เป็นผู้ปฏิบัติธรรม
เป็นครูสอนวิปัสนา เป็นอาจารย์สอนวิชาแพทย์แผนไทย มีสารพัดมี แล้วชั้นมีช่วงนึงของ
ชีวิตสุดท้ายของปี ก็คือ ประมาณซักสัปดาห์นึงหรือ 2 สัปดาห์ ชั้นจะหนีเข้าไปอยู่ป่า แล้ว
ชั้นก็ได้เห็นว่า ทุกครั้งที่เรามีชีวิตอยู่กับหน้าที่ความเป็นครู หน้าที่ของผู้ที่ดูแลสิ่งแวดล้อม
หน้าที่ของผู้ที่ต้องใส่ใจ สนใจต่อลูกศิษย์ หน้าที่ของผู้ที่ตอบปัญหา หน้าที่ของผู้ที่แก้ปัญหา
หน้าที่ของผู้ที่เผยแพร่ธรรมะ หน้าที่ของผู้เป็นหมอ หน้าที่ของผู้บำบัดรักษาโรค สารพัด
สารพันหน้าที่เนี่ย คือชั้นอยู่กับมัน อยู่กับหน้าที่นั้นๆ เยอะมาก
พอสิ้นปี ชั้นมาอยู่กับตัวเอง ทำให้ชั้นรู้ว่า คุณค่าของสมณะ คือความสงบ นี่มันเป็นความ
สุขอย่างยิ่ง เราได้มีโอกาสอยู่กับตัวเองอย่างชัดแจ้ง โดยไม่อยู่กับภาระกรรมต่างๆ แล้วได้
อยู่กับตัวเองในป่าเนี่ย ทำให้เรารู้ว่า ชีวิตของความสงบและความเข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง ทำ
ให้เกิดความดับแล้วเย็น แล้วผ่อนคลาย โปร่งเบาสบาย แล้วทำให้มีพละกำลัง พร้อมที่จะ
เผชิญกับทุกปัญหาได้อย่างยิ่งใหญ่ และองอาจ สง่างามได้เสมอ ถามว่าท่านจะมีหน้าที่
อะไรมาก บ้านไม่เช่า ข้าวไม่ซื้อ ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบไปหมด รถราม้าช้างก็นั่งสบาย
คนซื้อถวายให้ใช้
ชั้นยกตัวอย่างง่ายๆ เมื่อปีที่ผ่านมา ชั้นใช้เงินไปประมาณซัก 102 ล้าน ทำกับภาระ
กรรมทั้งหลาย ทั้งสาธารณะสงเคราะห์ ทั้งอุปถัมภ์บำรุง นี่เมื่อวันเด็กที่เพิ่งจะจัดงานวันด็ก
มีเด็กจากที่ต่างๆ ชนบทที่ห่างไกล 5000 กว่าคนมาร่วมงาน เด็กมา 5000 คุณลอง
หลับตานึกดู พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย มาอีกเท่าไหร่ ชั้นทำเกี๋ยวเตี๋ยวพะโล้ ชั้นทำตั้งแต่ตี 3 ยัน
4 โมงเย็น 12000 ถ้วย ยืนจนขาแข็ง ทำเลี้ยงเด็กๆ ชั้นเรียกงานนี้ว่า เป็นงานวัน
ดอกไม้บานของแผ่นดิน เพราะได้เห็นเด็กๆ เล่นมีความสุข มีผู้ใหญ่ใจดีมามอบของขวัญ
ไม่ใช่ว่า ชั้นก็ให้ concept กับผู้ใหญ่ใจดีเหล่านั้นว่า ไม่ใช่เอาเด็กมาเมากับมันและอิ่ม
แต่ให้เค้ามีปัญญากลับไปด้วย ให้เค้าได้ฝึกเรียนรู้ศึกษาปฏิบัติ ได้เข้าใจชีวิตและปัญหาที่
เค้าจะเผชิญและหาทางแก้อย่างไร
นี่คือตัวอย่างง่ายๆ ชั้นใช้เงินไปประมาณ 102 ล้าน คุณรู้ไม๊ว่าชั้นหางินได้เท่าไหร่ 84
ล้าน ยังขาดทุนอีกเท่าไหร่ แล้วถ้าหากชั้นเป็นคนแบกปัญหา คือไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก วางแล้ว
ว่าง ดับแล้วเย็น ป่านนี้ชั้นผูกคอตายไปแล้วล่ะ แล้วทุกปีจะเป็นอย่างนี้ ที่วัดชั้นทุกปีจะเป็น
อย่างนี้ เดือนหนึ่งต้องมีรายจ่ายประมาณ 10 กว่าล้าน ชั้นไม่ได้มาพูดเพื่อเรี่ยไรพวก
คุณนะ แต่เล่าให้ฟังว่า นี่คืองานไง คือภาระกรรม เราจะอยู่กับมันอย่างไรอย่างมีความสุข
แบบชนิดที่มันไม่ทำเรา แต่เราเป็นผู้ทำมัน เมื่อ 30 ปีที่แล้ว ชั้นเขียนบทโศลกเอาไว้ ที่
จริงเขียนไว้เป็นพันบท แต่เห็นว่าเป็นบทที่น่าจะเป็นที่คิดของพวกคุณได้ก็คือ
ลูกรัก รู้จักสมมุติ ใช้สมมุติ ได้ประโยชน์จากสมมุติ ให้ประโยชน์กับสมมุติ และท้ายที่สุด
อย่ายึดติดในสิ่งที่เป็นสมมุติ เหมือนกัน การงานและปัญหา มันเป็นเพียงแค่สมมุติ แต่เรา
ทำหน้าที่ของสมมุติได้สมบูรณ์แล้วหรือยัง ถ้ายัง ก็แสดงว่า เราไม่ให้เกียรติในสมมุติ ไม่
ยอมรับในสมมุติ แล้ววันหนึ่งเราจะปฏิเสธสมมุติได้ไม๊ เราก็ตกเป็นทาสของสมมุติ เพราะ
อ้ายนี่ก็ยุ่ง อ้ายนั่นก็วุ่ยวาย อ้ายนั่นก็ยุ่งเหยิงพะรุงพะรัง เป็นดินพอกหางหมู เลยวางอะไร
ไม่ได้ ถึงวันตายก็กลัวไปหมด เพราะอ้ายนั่นก็ยังไม่เสร็จ อ้ายนี่ก็ยังไม่แล้ว อ้ายนั่นก็ยังคา
รังคาซัง อ้ายนี่ก็ยังค้างเต่อ เลยตายไม่สะดวก หลับไม่สนิท นอนดิ้นจนหนังกลับก็ไม่หลับ
เสียที
ชั้นถึงได้เขียนบทโศลกไว้อีกบทว่า ลูกรัก
พุทธแท้ๆ หิวก็กิน ง่วงก็นอน ร้อนก็อาบน้ำ ปวดท้องขี้ ก็ขี้ให้ออก
แต่ทุกวันนี้ มนุษย์ หิวก็กินไม่อิ่มนะ อาหารเต็มโต๊ะก็ยังกินไม่เข้า เพราะอะไร มันอึดอัด
มันขัดเคือง การงานภายในยังไม่ได้ชำระล้าง การงานภายนอกก็ยังคารังคาซัง ร้อนก็ไม่ได้
อาบน้ำ ขันน้ำคลายร้อนกาย แต่ใจมันยังทุรนทุราย นอนก็ไม่หลับ กระสับกระส่าย ดิ้นจน
หนังกลับอยู่นั่นแหละ ทั้งคืน ตี 1 ก็ยังไม่หลับ แกะเป็นร้อยฝูงกระโดดข้ามรั้ว ก็เฉย ต้อง
อาศัยยา เพราะเราทำการงานไม่สำเร็จไง ชีวิตเราไม่เคยประสบความสำเร็จกับการทำการ
งานที่มันสมบูรณ์แบบอย่างชนิดที่เราเข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง แล้วดับและเย็น
เพราะงั้น ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่ว่า เราทำการงานได้หรือไม่ แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า เราเข้าใจ
บทบาทภาระกรรมของหน้าที่ชีวิตและการงานแค่ไหน ปัญหามันอยู่ตรงนั้น ปัญหามันอยู่
ที่ว่า อ้ายทั้งชีวิตที่เรามีชีวิตอยู่และเรียนมาจนถึงทุกวันนี้เนี่ย เพื่ออะไร เราตอบคำถามตัว
เองได้หรือยัง เพื่อการงาน แล้วการงานมีกี่อย่าง มี 2 อย่าง คือ งานภายนอก กับงานภาย
ใน แล้วเราทำมันสมบูรณ์แล้วหรือยัง ทั้งภายนอกและภายใน
งานภายนอกเราก็ทำให้สำเร็จ งานภายใน เราก็ทำให้สะอาดด้วย เราเข้าใจ รู้จัก รู้จักคำว่า
วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็นได้มากน้อยแค่ไหน ชั้นไม่กลัวพวกคุณจะไม่ทำการงาน แต่ชั้น
กลัวพวกคุณจะทำงานไม่เป็น และโดนงานกระทำ เพราะถ้าคุณไม่ทำงาน เค้าก็ไล่คุณ
ออกอยู่แล้ว ชั้นไม่ต้องไปบอกอะไรเค้าหรอก แต่กลัวว่าทำไม่เป็น แล้วสุดท้ายโดน
งานกระทำ แล้วเมื่องานมันทำเรา เราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร เราก็ต้องมีชีวิตอยู่อย่างดินพอก
หางหมู สับสน วุ่นวาย อึดอัด ขัดเคือง ฟุ้งซ่าน หงุดหงิด รำคาญ ว้าวุ่น กลัดกลุ้ม ร้อนรุ่ม
และทุรนทุราย แล้วสุดท้ายเราจะเอาแรงที่ไหน เอาพลังที่ไหน เอา 2 ขา ยืนได้อย่างมั่น
คงกระนั้นหรือ เอา 2 มือไปทำอะไรอย่างเต็มที่ได้อย่างไร ยิ่ง 1 หัวจะคิดไม่ต้องบอก
คิดไม่ออกหรอก เพราะมีเรื่องวุ่นวายเยอะแยะมากมาย บางทีเราก็แยกไม่ได้ว่า อะไรก่อน
อะไรหลังด้วยซ้ำไป ได้หน้าลืมหลัง ได้หลังลืมหน้า สุดท้าย สับสนวุ่นวายแล้วชีวิตเราอยู่
ตรงไหน อยู่กับความวุ่นวายเหมือนด้ายกลุ่มหนึ่ง ที่มันยุ่งจนกระทั่งไม่รู้ว่าเงื่อนงำมันอยู่
ตรงไหน แล้วก็โยนทิ้งไป เสียดายชีวิต ชีวิตที่มันเหมือนด้ายกลุ่มหนึ่งที่มันยุ่งจนเงื่อนงำอยู่
ที่ไหนก็ไม่รู้แล้วโยนทิ้งไปเนี่ย เค้าเรียกว่า เสียดายชีวิต เพราะงั้น เราจะทำอย่างไรให้ชีวิต
เราไม่น่าเสียดาย
มีลมหายใจ มีชีวิต ได้พลัง ใช้พลังสร้างสรรค์การงาน หมดลมหายใจ ไร้ชีวิต สิ้นพลัง ยัง
ดำรงผลงาน นั่นปัญหามันอยู่ที่ว่า ต้องกลับมาทบทวนบทบาทภาระกรรมและหน้าที่ของ
งานของตนว่า เรามีชีวิตอยู่ทั้งชีวิตเพื่ออะไร แล้วให้ได้อะไร ทำอะไร และสิ่งที่ทำเป็น
ประโยชน์อย่างไรกับใคร แล้วตัวเราได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน อย่างนี้ต่างหากเล่า คือ
คำตอบของชีวิต มันแค่เป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเท่านั้นน่ะ
การงานเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ชีวิตยังมีองค์ประกอบอีกหลากหลายมากที่เป็นองค์
ประกอบของชีวิตที่ทำให้เรามีชีวิตและชีวา มีอิสระ มีเสรีภาพ มีความสดชื่นแจ่มใส แต่
ปัญหามันอยู่ที่ว่า เวลาเราเปลื้องพันธนาการทางอารมณ์ ทางความโง่งี่เง่า ทางความไร้สาระ
ทางความสับสนวุ่นวาย ทางความไม่รู้จักปะติดปะต่อ ไม่รู้เอก รู้โท รู้ตรี ไม่รู้ว่าอะไร 1,
2, 3, 4, 5 และสุดท้ายแม้ที่สุดไม่รู้บทบาทภาระกรรมละหน้าที่ของตนได้มาก
น้อยแค่ไหนอย่างไร
มันน่าคิดน่ะ ถ้าเรารู้จักนำมาคิด เราก็จะรู้ว่า เออ ทั้งชีวิตที่ผ่านมา หลายคนที่นั่งอยู่นี่ บาง
คนก็ 40, 50, 30, 20 ถ้าทบทวนบทบาทภาระกรรมและหน้าที่ ภาระชีวิตที่
มีอยู่เนี่ย เราจะรู้ว่า เรายังไม่สามารถตอบโจทก์ของชีวิตได้ทั้งหมดในทุกเรื่อง
เหมือนกับเมื่อครู่นี้ มีอดีตเณร คือเค้าไปบวชเณร คงจะนานแล้วล่ะ เพราะตอนนี้เค้าโตแล้ว
แล้วชั้นก็จำไม่ได้ว่า เค้าบวชตั้งแต่สมัยไหน ชั้นไม่รู้ เค้าบอกว่า หลวงปู่จำผมได้ไม๊ ถามว่า
คุณรู้จักชั้นเหรอ ผมเคยบวชเณร อ้าวเหรอ บวชก็บวชมาเป็นหลายร้อยรุ่น จำไม่ได้ คนที่
ชั้นเคยบวชเณร เดี๋ยวนี้ก็มีลูกมาให้บวชอีกรอบแล้วล่ะ ก็เลยจำไม่ได้ ถามว่า คุณมายังไง
เรียนรู้อะไร เค้าบอกว่า เค้าเรียนวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม แล้วทำอะไร ขายของ เรียน
วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมแล้วมาขายของ แล้วก็ช่วยงานโปรเจคอาจารย์
น่าคิดน่ะว่า เราอุตส่าห์ลงทุนเรียนมาตั้งหลายปี มีเยอะแยะมากที่เราเคยเรียนอะไรสารพัด
เรียน แล้วก็จบลงตรงคำว่า ไม่ทำในสิ่งที่เราขวนขวายศึกษาอบรมเรียนรู้ ทุ่มเทเวลาไปตั้ง 5
ปี 10 ปี บางคนเกือบทั้งชีวิต แต่ไปทำอีกเรื่องนึงกับคนละชนิดกับชีวิตที่เรียนรู้ศึกษา
สั่งสมอบรมมา อาจจะเป็นเพราะว่า นั่นเป็นความชอบ ความสุขใจ เป็นโฉลก เป็นโชค หรือ
เป็นประสบการณ์ อะไรพาไป อะไรก็ตามทีเถอะ แต่มันนก็ไม่ใช่สาระของชีวิตที่แท้จริง
หรอก เพราะเหตุผลว่า อะไรก็ได้ที่เราทำแล้ว เราประสบความสำเร็จก็ใช้ได้ทั้งนั้นแหละ
ปัญหามันอยู่ที่ว่า เราสับสนกับบทบาทและภาระกรรมของตัวเราเองในขณะที่มีชีวิตผ่านมา
และกำลังเป็นอยู่ และจะผ่านไปไม๊ เพราะว่า มดนี่ เวลามันจะขนของเมื่อมันเดินไปข้างหน้า
มันจะต้องแน่ใจว่า มันมีคำสั่งชัดเจนว่า มันต้องไปขนอาหารลงรู แต่เรานี่เป็นอะไร มันเป็น
เดินไปข้างหน้า แต่ก็สับสนว่า นี่กูมาทำไม เคยไม๊ ออกจากบ้านแล้วก็ถามว่า นี่กูมาทำไมว่ะ
มันเกิดอะไรขึ้น สัญชาตญาณมันเสื่อม หรือว่าปัญญามันเสื่อม ก็เพราะเราไม่มีการงานภาย
ใน เราไม่สั่งสมอบรมการงานภายใน มันก็เลยไม่เกื้อหนุนการงานภายนอกให้มี
ประสิทธิภาพ เราปฏิสธการงานภายในอยู่เนืองๆ เวลามีคนมาทำมาบอก มาสอนให้เราทำ
การงานภายใน เราก็จะบอกว่ายังไม่ถึงเวลา ยังไม่แก่ เอาไว้ถึงโอกาสไว้ข้างหน้า รอก่อน
แล้วกัน แล้วเราก็มีชีวิคแบบป้ำๆเป้อๆ ละเมอเพอพก ได้ๆ เสียๆ ขาดๆ เกินๆ แล้วก็สุดท้าย
สิ่งที่ได้กับสิ่งที่เสียมันชั่งกิโลแล้ว มันเหมือนเข็มกับภูเขา เสียดายเวลา เสียดายโอกาส
เสียดายพลังชีวิต และเสียดายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมที่มันสิ้นเปลืองไปกับกระบวนการ
สรรค์หาและสั่งสมอบรม เผาผลาญมันหมดไปโดยเราไม่ได้สาระอะไรกลับมา
ชีวิตหลวงปู่ไม่เป็นอย่างนั้น ถามว่าทำไมไม่เป็นอย่างนั้น ไม่รู้คนอื่นเป็นอย่างไร เพราะ
หลวงปู่ไม่รู้จักใคร หลวงปู่ก็ต้องยกตัวเองว่า พอเช้าขึ้นมา มันก็จะมีงานรอแล้ว คำว่า งาน
มารอ คือ หลวงปู่จะมองหางาน ไม่ใช่ให้งานมันมาหาเรา มองหาว่า เราจะเริ่มทำอะไรก่อน
อันดับต้น เราก็จะต้องเรียกหัวหน้างานมาสั่งก่อนว่า งานช่วงเช้า ก่อนจะช่วงเช้า สมมุติว่า
ชั้นกลับมาจากตรงนี้ เอ้า ชั้นแสดงธรรมตรงนี้ คืนนี้จะไปเจริญพระพุทธมนต์ถวายท่านเจ้า
คณะตำบลซึ่งเป็นเพื่อนสหธรรมิกกัน ท่านป่วย ชั้นก็ใช้วิธีรวมกลุ่มคณะพระวิปัสนาจารย์
เราก็ไปสวดมนต์ถวายพระผู้เฒ่า ให้ท่านมีอายุขัยยืนยาว มีพลานามัยแข็งแรง คนแก่พอ
เห็นลูกหลานเพื่อนฝูงมา เค้าก็จะดีใจ มีกำลังใจจะสู้โรค เพราะท่านเป็นมะเร็ง แล้วชั้นก็ทำ
อย่างนี้ทุกเดือน ก็จะไปหาอดีตเจ้าคณะจังหวัดบ้าง ไปหาพระผู้เฒ่าพระองค์นี้ที่คุ้นเคยสนิท
สนมกัน แล้วก็เจริญพระพุทธมนต์ เราก็ไปกันซัก 20-30 รูป อะไรอย่างนี้
ก่อนที่ชั้นจะเข้าห้อง ทรงน้ำ อันดับแรก คือลงจากรถปุ๊บเนี่ย ชั้นต้องเดินเข้าไปดูในโรงงาน
ก่อน เดินดูโรงงาน เดินดูงานแต่ละชิ้นๆ เพื่ออะไร เช้าๆ ชั้นจะได้ต่องานและสั่งต่อไปว่า ต่อ
ไปจะทำยังไง
นี่คือชีวิตชั้น พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปในห้อง ทรงน้ำทรงท่า ทำความสะอาดห้องเรียบ
ร้อย ปัดกวาดเช็ดถู เพราะว่าชีวิตชั้น ชั้นนอนแล้วไม่ทำความสะอาดห้อง ชั้นนอนไม่ได้ มัน
จะจาม เป็นคนแพ้ฝุ่น มันก็เลยเป็นการฝึกให้ตัวเองกระตือรือร้นต่อสิ่งแวดล้อม ต่อสังคม
รอบกายตัวเอง
พอเช้าตื่นขึ้นมา เราก็จะทำภาระกิจของเราตามเหตุตามปัจจัย ตี 4 ตี 3 ตื่น ก็ทำหน้าที่
ของตัวเองตามสมณะสารูป ออกจากห้องมาปุ๊บ อันดับต้นก็คือ ต่องานจากที่เมื่อคืนไปดูไว้
แล้วก็เรียกช่างแต่ละหน่วยสาขามาประชุม ฝ่ายบัญชี ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายคุมงาน ฝ่ายเกษตร
ฝ่ายดูแลสถานที่แต่ละฝ่าย แล้วถามว่า งานที่ผ่านมา มันดำเนินผ่านไปยังไง จะต้องต่อมัน
แบบไหน เสร็จเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปตามงานที่เราจัดไว้ ทั้งเมื่อเช้าและเมื่อคืน พอสาย
หน่อยก็ต้องไปตามงานหลังจากสั่งเช้าแล้ว เสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้ามีกิจกรรมต้องเดินทางไป
แสดงธรรม เรากลับมาจากแสดงธรรมก็ต้องกลับมาดูว่า อ้ายงานที่สั่งไป มันสำเร็จไปแค่
ไหน คือ ไม่ใช่เป็นคนสั่งเสีย สั่งแล้วได้
แล้วเมื่อว่างเสร็จจากการงานที่เราจะต้องมีภาระกรรมกับคนอื่น เราก็จะต้องทำการงานภาย
ในของเรา งานภายในของชั้นก็คือ ทำยา ประกอบยาบ้าง เพราะชั้นจะมีความสุขอยู่ 2
อย่าง ก็คือ สุขในการปฏิบัติธรรม กับสุขรักษาโรคคนอื่น เพราะถ้าเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้
ทั้งกายและใจ ชั้นจะมีความสบายใจ นั่นเป็นหน้าที่ของชั้น เพราะชั้นจะทำยา มีโรงงานผลิต
ยาสมุนไพร
ชั้นทำยารักษาโรคได้ตั้ง 81 พิกัด ก็ถือว่าเป็นยาที่จำนวนมากที่สุดในประเทศไทย
เพราะหมอยาส่วนใหญ่ เค้าจะทำได้ไม่มาก ยาดองก็ยาดอง ยาดมก็ยาดม ยาหอมก็ยาหอม
แต่ของชั้นนี่ทั้งยาดอง ยาดม ยาหอม ทำหมด สารพัดยา ตั้งแต่ยาโรคหัวใจ ยาสมอง ยา
ปลายประสาท จนกระทั่งยาแก้มะเร็ง เบาหวาน ความดัน
เพราะงั้น เมื่อทำแล้ว เราจะมีความสุข เมื่อเห็นคนกินแล้วหาย รักษาโรคได้ เค้าผ่อนคลาย
เค้าสบาย เราก็ถือว่า เป็นที่พึ่งทางกาย ที่พึ่งทางใจ ก็คือให้กำลังใจ ให้สติปัญญา ให้ความ
รู้สึกนึกคิดในวิถีทางที่เค้าเข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น อย่างมีชีวิตที่อยู่เหนือฝุ่น
ละอองและผงธุลี ไม่ปล่อยให้มันมาครอบงำจนกลายเป็นว่าเราต้องทุกข์ตามรูปที่ทุกข์ นั่นคือ
สิ่งที่ชั้นจะสอนและทำอยู่เนื่องๆ
นอกจากนี้ ก็ยังตอบปัญหาอินเตอร์เนท ชั้นเล่นอินเตอร์เนทไม่เป็น เค้าก็จะมาเขียน ถ้าว่าง
นั่งโต๊ะปุ๊บ ชั้นจะมีห้องทำงาน ก็จะเขียนปัญหาตอบ เค้าลอกมา เราาก็เขียนตอบปัญหาใส่
ไปให้เค้าพิมพ์ เขียนหนังสือธรรมะบ้าง แล้วก็จารพระ เขียนแบงค์ นี่ก็ใกล้จะถึงงานตรุษจีน
ต้องทำหน้าที่เขียนอั่งเปาอีก 20000 – 30000 ใบแจกชาวบ้าน นี่คืองานของชั้น
ชั้นจะมีความสุข
พอพ้นจากคน จัดงานอื่นๆ ทำเรื่องแล้ว ก็เข้าสวน ตัดต้นไม้ แต่งกิ่งบอนไซ นี่ชั้นมีเป็นพันๆ
ต้น นั่นคือ การงานของชั้น คือจะไม่ปล่อยชีวิตให้ว่าง เพราะชั้นถือว่า มีชีวิต มีลมหายใจ
ได้พลัง ใช้พลัง สร้างสรรค์การงาน คนที่ว่าง คือคนตาย ชั้นจะบอกตัวเองอย่างนั้น แล้วชั้น
จะไม่ว่าง ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็มี 2 อย่าง แสดงว่า เราตาย หรือไม่เราก็ต้องบรรลุล่ะ แต่คุณ
คิดว่าชั้นทำงานยุ่งขนาดนี้เนี่ย วันนึงมีแสดงธรรม 2 รอบ 3 รอบ เนี่ย ภาระกรรมชั้น
เยอะแยะมากมายเนี่ย ชั้นเอาอะไรแบก ไม่ ชั้นไม่แบกเลย ตรงนี้ต่างหากเล่า คือ คนที่ทำ
งานควรจะต้องมี ถ้าหากว่าคนทำงานไม่เรียนรู้ที่จะเข้าใจ รู้จัก วางแล้วงว่าง ดับแล้วเย็น
เราก็จะกลายเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในการทำงาน
ฝากเอาไว้อีกเรื่องก็คือ ชีวิตมนุษย์ไม่ควรปฏิเสธ 4 คุณ เพราะคุณธรรมทำให้เราทำคุณ
ประโยชน์ เมื่อทำคุณประโยชน์ คนทั้งหลายก็เห็นเรามีคุณค่า ชีวิตเราจึงกลายเป็นผู้มี
คุณภาพ ทั้งหมดมันมาจากคุณธรรม แล้วคุณธรรมอะไร คุณธรรมก็ความมีน้ำใจ รู้จักให้
อภัย ท้ายที่สุด ก็คือ อย่าเห็นแก่ตัว คุณหลายคนกำลังเริ่มเห็นแก่ตัวแล้ว เออ แอบงีบ ชั้นก็
ง่วงนะ เออ แอบคลื้ม แอบหลับ นี่ชั้นว่า เห็นแก่ตัวแล้ว เออ แสดงว่า เริ่มทำงานภายในแล้ว
เพราะงั้น ก็ต้องหาวิธีกระตุ้นตัวเองให้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความหลับใหล เพราะเรากำลัง
โดนงานแห่งซาตานครอบงำอยู่ เราไม่ถูกตรงต่อภาระกรรมและหน้าที่ที่กระทำ เราสับสน
กับภาระกรรมของตน งั้นเพราะ คุณธรรมทำให้เราทำคุณประโยชน์ เมื่อเรามีคุณประโยชน์
สังคมจะมีคุณภาพเพราะคุณค่า ทั้งหมดมาจากคุณธรรม จบ ทิ้งเวลาให้คุณถามปัญหา
ใครอยากถามอะไร เชิญ มีไม๊
ชั้นเป็นคนพูดสั้นๆ ตรงๆ ไม่อ้อมค้อม แล้วก็ไม่อยากยกแม่น้ำเยอะแยะ ให้มันตรงประเด็น
แล้วชั้นเข้าใจว่า ชั้นพูดนี่ คุณเข้าใจไม๊ เข้าใจหรือเปล่า มึนหรือเปล่า ไม่มึน หนักไปไม๊ ชั้น
คิดว่า มันน่าจะตรงกับปัญหามากกว่า ใครอยากถามอะไร เชิญ หรือจะเขียนมาถาม มี
พิธีกรหรือเปล่า ฮือ ไม่มีเหรอ ไม่มีก็เลิก 200 ทำไมเหลือเท่านี้ ไม่มีใครถามชั้น ชั้น
ถามคุณ มีใครถามอะไรไม๊
เราบวชมากี่ปีแล้ว อายุเท่าไหร่ 18 ปีแล้ว ชั้นยังหนุ่มหรือแก่ลง อ้อ ชั้นมียาดี 18 ปี
แล้วเหรอ เราบวชตอนสร้างวัดใหม่ๆ ใช่ไม๊ อ้อ 19 ปี เพราะวัดสร้างมา 20 ปีแล้ว
ตอนนั้นก็ยังเป็นทุ่งนาสิ ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว มีใครถามอะไรไม๊
น้องหนูนักศึกษามีอะไรถามไม๊ ลูก เคลิ้ม
อาจารย์ก็ไม่ถาม
ปุจฉา
วิสัชนา มันขึ้นอยู่กับว่า เราเป็นใคร ถ้าเป็นพระ ก็คือ ความวิมุตติ ความหลุดพ้น ถ้าเป็นผัว
มันก็ต้องมีครอบครัวใหญ่โต ลูกหลานเต็มบ้าน ภรรยาน่ารัก ฐานะการงานมั่นคง ฐานะ
สังคมดีงาม เพราะงั้นมันขึ้นอยู่กับว่า งานของใคร แต่ถ้าถามว่า งานสูงสุดในชีวิตของ
มนุษย์ที่ควรจะต้องกระทำ คือ ความพ้นทุกข์ แต่คนแต่ละคน ภาระกรรมหน้าที่หลายคน
ยังอยากที่จะไม่อยากพ้น เพราะเรารู้สึกอิ่มเอมกับความเมามันในอารมณ์อยู่ ขออยู่ก่อน
อะไรอย่างนี้ เพราะงั้น มันก็ขึ้นอยู่กับว่า ภาระกรรมแต่ละบทบาท แต่ละหน้าที่ของคนแต่
ละคน มีใครถามอะไรอีกไม๊ จบ
ไม่ก็เลิก เดี๋ยวจะได้ไปประชุม มีไม๊ เอ้าเชิญ
ปุจฉา
วิสัชนา เข้าใจ รู้จัก ต้องเข้าใจก่อน เข้าใจในอะไร ไม่ใช่ มันเริ่มต้นจาก เข้าใจก่อน เข้าใจ
ในบทบาทของตัวเอง เข้าใจในสังคมรอบข้าง เข้าใจในบุคคลรอบตัว แม้ที่สุดเข้าใจในตัวเอง
รู้จักอะไร รู้จักว่าทั้งหมดบทบาทภาระกรรมสังคมรอบข้างและตัวเอง มันมี 3 สิ่ง คือ เกิด
ขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่และแปรปรวนในท่ามกลาง สุดท้ายแตกสลายในที่สุด นั่นคือ ความรู้จัก
พอเข้าใจรู้จัก พอถึงคำว่า รู้จัก มันจะวางแล้วว่าง เข้าใจไม๊ ยังไม่เข้าใจ ต้องเข้าใจก่อน
แล้วทำความรู้จัก รู้จักอะไร รู้จักในความแป็นจริงของโลก ความเป็นจริงของชีวิต ความ
เป็นจริงของสรรพสิ่ง ความเป็นจริงของสรรพชีวิต ความเป็นจริงของสิ่งแวดล้อม และความ
เป็นจริงของชีวิตตัวเอง
พอรู้จักอย่างนี้แล้ว มันก็จะเกิดความรู้สึกว่า เออ สมมุติว่า เราบอกว่า อ้ายนั่นมันก็เป็นของ
เรา เป็นความยิ่งใหญ่เหลือเกิน มันเป็นอะไรที่วิเศษมาก มันเป็นอะไรที่หวงแหน มันเป็น
อะไรที่ต้องต่อสู่เพื่อให้ได้มันมา แต่ถ้าเราเข้าใจ รู้จักมันว่า แม้เราแย่งมันมา ที่สุดเสียชีวิต
เพื่อมัน แต่มันก็ไม่ใช่ของเราอยู่ดี เพราะเมื่อตายแล้วเอาไปไม่ได้
ทีนี้ พอเข้าใจอย่างนี้ รู้จักอย่างนี้ มันก็จะ เออ วางใจ ว่าง แล้วดับเย็น ทีนี้ก็ไม่ต้องไปเสีย
ชีวิตแย่งมันมา ฟังรู้เรื่องไม๊ ยัง อยู่ดี เอาไว้บวชแล้วกัน เดี๋ยวชั้นจะจัดบวชถวายพระราช
กุศลในหลวง แล้วไปอยู่ป่าซัก 15 วัน สนใจใครจะไปสมัครบวช ช่วงประมาณเดือน ธันวา
เชิญ เออ กำลังสอบเหรอ ก่อนหน้านั้นก็ได้ เค้าสอบกันประมาณวันไหน มีบวชภาคฤดูร้อน
ด้วย ต้นเดือนเมษา ทุกปี จะมีบวชสามเณรบวชพระ ประมาณสัก 300 รูป บวชปีนึง
ประมาณ 2-3 ครั้ง ที่วัด บวชเสร็จแล้วก็พาไปอยู่ป่า ไปปฏิบัติธรรม ใครอยากถามอะไร
เชิญ
วันอาทิตย์ต้นเดือน กับอาทิตย์กลางเดือน ที่วัดเค้ามีอบรมกรรมฐาน ถ้าอยากทำความ
หมายของคำว่า เข้าใจ รู้จัก วางแล้วง่าง ดับแล้วเย็น ให้ได้อย่างชัดแจ้ง ก็ลองไปฝึก ฝึกแล้ว
ศึกษาดูให้เข้าใจถึงชีวิตและการงานเพื่อความเบิกบานทั้งภายในและภายนอก ลองไปช่วง
วันอาทิตย์ต้นเดือนกับกลางเดือน ถ้าไปตอนเช้า ชั้นจะรักษาโรค ไปตอนบ่ายก็จะมีเวลาได้
ฝึกทั้งบ่าย ตั้งแต่บ่ายโมง – 4 โมงเย็น ไปที่วัด ใครอยากถามอะไร เชิญ
ปุจฉา อยากทราบกรรมเก่ามีจริงหรือไม่
วิสัชนา ก็เมื่อวานมีไม๊ล่ะ ถ้าเมื่อวานมี ก็ของเก่าหรือของใหม่ เมื่อวานมี ปีที่แล้วมี มันก็
ต้องมีชาติที่แล้วด้วย เพราะว่าทุกอย่างมีเหตุปัจจัย ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วโผล่ผุดลอยขึ้นมา ก็
เหมือนๆ กับมีคนถามชั้นว่า คุณรู้ได้อย่างไร ท่านรู้ได้ไงพระพุทธเจ้ามีจริง ชั้นก็หันไปถาม
เค้าว่า คุณรู้ได้ไงว่า โคตรเง้าคุณมีจริง มันก็เลยไม่ถามเลย เค้าก็ตอบไม่ได้ เคยเห็นโคตร
เง้าไม๊ บอกว่าไม่เคยเห็น ชั้นก็ไม่เคยเห็นหน้าพุทธเจ้า แต่ที่คุณรู้ว่าโคตรเง้าคุณมีจริง ก็
เพราะว่ามีตัวคุณทุกวันนี้ไง มันเป็นริ้วรอยของโคตรเง้าคุณ ชั้นก็เป็นริ้วรอยของพระ
พุทธเจ้า งั้น ชาติหน้า ชาตินู้น มันก็เป็นลักษณะ เป็นริ้วรอย ของกันและกัน
มันมีทฤษฎีที่ว่า ตายแล้วเกิดเป็นอย่างไร ก็เหมือนกับน้ำ อ้ายแยกคลองข้างๆ เนี่ย เค้าเรียก
คลองหรือบ่อเนี่ย หรือแอ่งน้ำ สระน้ำล่ะนะ มันโดนแดดเผาระเหยกลายเป็นอะไร แล้วมัน
ลอยขึ้นไปบนอากาศ รวมตัวเป็นอะไร แล้วเมื่อมันโดนความเย็นตกลงเป็นอะไร มันจำเป็น
จะต้องมาตกในสระนี้ไม๊ เออ มันอาจจะไปตกเอธิโอเปียก็ได้ นั่นคือ การเวียนว่ายตายเกิด
ง่ายๆ ไม่ต้องคิดมาก จบ มีใครถามอะไรอีก
ปุจฉา นักศึกษาต้องฆ่าสัตว์ เพราะศึกษาสรีรวิทยา งานในหน้าที่ครูในหลักสูตรจำเป็น
ต้องทำ ไม่ทราบว่าบาปหรือเปล่า
วิสัชนา ทุกชีวิตเค้ามีสิทธิ์ที่จะอยู่บนโลกใบนี้เท่ากับคุณ ไม่ว่าชีวิตเล็กหรือชีวิตใหญ่ ถ้ามี
อันทำให้เค้าต้องพินาศล้มหายตายจากไป แม้ด้วยเหตุอะไร ก็ถือว่าเป็นทั้งนั้น เออ ส่วน
อ้ายบาปที่แปลว่า ความชั่วหยาบ คือ มีเจตนา ถ้าฆ่าโดยไม่มีเจตนา ก็คงไม่ตาย แต่นี่มันตาย
ก็แสดงว่า มีเจตนา ผ่าเส้นนั้นหน่อย เดี๋ยวเส้นนั้นไม่เจอ ค้นหาผ่าอีกจุดนึง อะไรอย่างนี้ ผ่า
ไปเรื่อยๆ จนผ่าทั้งตัว จนมันตาย
เพราะงั้น ยังไงก็เป็น ถ้าไม่เต็มใจ แต่ฆ่า ก็คือบาปทั้งนั้นถ้ามีเจตนา แต่ถ้าเผอิญไม่มีเจตนา
ตัวอย่างเช่น เดินๆ ไป แล้วไปเหยียบมดตายอย่างนี้ เราไม่เห็นมด แล้วเราเหยียบมันตาย
ไม่มีเจตนา ไม่เป็น แต่เป็นกรรมที่คุณต้องทดแทน บาปแปลว่า ความชั่วหยาบ มันเป็น
ความชั่วหยาบในจิตใจ แต่เป็นกรรมที่ต้องทดแทน คือ อาจจะมีกรรมอันเบาบาง เช่นคุณ
อาจจะไปสะดุดโดนก้อนหินเจ็บห้อเลือด หรือไม่ก็เลือดไหล แต่มดตายอะไรประมาณนี้
คือมันเป็นกรรมที่ต้องใช้ ก็มีคำถามว่า พระบิณฑบาตรแล้วเหยียบสัตว์ตายแล้วเป็นบาปไม๊
ถ้าท่านเห็นแล้วตั้งใจเหยียบแมลงสาบ ล่อซักป๊อกนึง แล้วก็บี้อีกต่างหากเนี่ยนะ อย่างนี้เป็น
แต่ถ้าหากท่านไม่เห็น ไม่เป็น จบ
ปุจฉา ผ่ากบ วันรุ่งขึ้นปวดศีรษะทันตาเห็น
วิสัขนา กบมันคงบอกว่า เอาสมองกูคืนมา พูดซะน่ากลัวเลย จริงๆ แล้วมันเป็นอุปาทาน
หรือเปล่า คุณกลัวบาปเหรอ อาชีพอื่นเยอะแยะทำไมไม่เลือก ภารโรง ล้างส้วม ทำสวน ดัน
ไปเลือกอาชีพนี้ แล้วจะมาบ่นทำไม นั่นแหละเป็นกรรม ชั้นก็ไม่อยากแนะนำให้คุณทำบุญ
เยอะๆ แต่อยากบอกว่า ถ้าจะให้เปลี่ยนอาชีพก็คงไม่ใช่ ถ้าเปลี่ยนอาชีพ นักวิทยาศาสตร์ใน
เมืองไทยคงสูญพันธุ์
เอาเป็นว่า ส่วนที่เราทำก็คือทำ แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็พยายามอย่าทำ แล้วก็ทำดีให้มากที่สุดที่
จะทำได้ แล้วก็คิดว่า ทำแล้วเป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมาก ก็เหมือนกับเวลาชั้นรักษาโรค
บางอย่างมันมีเชื้อ มีคนถามว่า เราไม่ฆ่าเชื้อโรคเหรอ แล้วจะไม่บาปเหรอ มันเป็นสิ่งมีขีวิต
ก็ชั้นไม่เห็น ถ้าชั้นเห็น ชั้นก็ไม่ฆ่า คุณไม่เห็นมันเป็นตัวเป็นตน แล้วเราก็ไม่รู้ว่า มันอยู่
ตรงไหน จุดไหน เพราะงั้นจะมาปรับบาปชั้นคงไม่ได้ แต่ของคุณเห็น ใช่ไหม มันเป็นตัว
ใหญ่ มันโดดได้ด้วย เออ ทำต่อไปเฮอะ ไม่รู้จะตอบยังไง ไม่รู้จะช่วยยังไง
ปุจฉา
วิสัชนา เจริญมรณานุสติ ก็คือ กบ ดูกบ ดูหมูที่ฆ่าอะไรเนี่ย แล้วก็นึกว่า ความตายเป็นของ
คือ ชั้นเขียนหนังสือเอาไว้เล่มนึง เรียกว่า คัมภีร์มรณะ ความตายนี่ มันมี 3 อย่าง
1 ขณิกมรณะ
2 สมุจเฉทมรณะ
3 สัมมติมรณะ
ถ้าเจริญมรณานุสติ ก็ให้นึกถึง ความตาย 3 อย่าง
ขณิกมรณะ ก็คือ ทุกคนที่นั่งอยู่นี่ แม้แต่ชั้นด้วยเนี่ยตายไปแล้วจึงโต คุณเชื่อไม๊ ออกจาก
ท้องแม่โตขนาดนี้เหรอ อ้ายหนังเก่าที่อยู่ในท้องแม่แล้วออกจากท้องแม่มา ตายไปแล้ว
เส้นผมเส้นเก่าก็ตายไปแล้ว กระดูกข้อเก่ามันก็ตายไปแล้ว มันมีขยายให้เจริญเติบโตแบ่ง
สภาพ กลายเป็นหน้าตารูปร่างอย่างนี้ เซลล์ต่างๆ ในร่างกายเก่าตายใหม่เกิด มันตายไป
แล้วทั้งนั้น จึงเรียกว่า ขณิกะมรณะ ความตายเล็กๆ น้อยๆ แม้ปัจจุบัน เรายังหยุดตายไม๊
ไม่ จากผมดำก็กลายเป็นขาวโพลน จากสายตาที่มีประกายก็กลายเป็นฝ้าฟาง จากหน้าที่เต่ง
ตึง ก็กลายเป็นเหี่ยวหย่น เพราะอะไร เพราะเซลล์เก่าๆ มันตายไปไง อ้ายเซลล์ที่มันเกิดมา
ก่อนตาย เซลล์ใหม่ก็สร้างไม่ทัน ก็เลยได้สภาพที่เหี่ยวหย่น เพราะสภาพมันเสื่อมโทรมไป
เพราะงั้น เราเจริญขณิกมรณะ คือ ความตายเล็กๆ น้อยๆ อยู่เนืองๆ คิดอย่างนี้ เค้าเรียกว่า
เจริญมรณานุสติ ต่อมาก็คือ สัมมติมรณะ อ้ายนี่เค้าเรียกว่าอะไร ตรงไหนเป็นไม(โค
รโฟน) อ้ายที่จับนี่ก็ไม่ใช่ พอถึงคราวที่มันมีหลายสิ่ง รวมเป็นหนึ่งสิ่ง เรียกสิ่งนี้ว่าเป็นไม
แต่เมื่อถึงคราวมันจะตาย คือมันเสีย หลายสิ่งก็แยกออกเป็นสรรพสิ่ง แล้วมันก็ไม่เหลือซัก
สิ่ง เข้าใจไม๊ เอ้า ตัวอย่างง่ายๆ แก้ว ถ้ามันเป็นแก้ว แล้วมีอันตกแตก เค้าก็ไม่เรียกว่า แก้ว
แล้วใช่ไม๊ มันก็เป็นอย่างอื่นไปแล้ว เป็นอะไร ก็เป็นแร่ธาตุ หลายสิ่งรวมเป็นหนึ่งสิ่ง เรียก
ว่า แก้ว พอแก้วมันตกแตก หนึ่งสิ่งก็แตกออกเป็นสรรพสิ่ง เออ ใช่ อันนั้นก็ยกขึ้นมาได้
โดยเหตุปัจจัยว่า มันตายโดยการสืบเนื่อง แต่เราไม่สามารถรู้มันได้ก็เพราะว่า มีระบบสันตติ
คือ ความสืบเนื่องเข้ามาเชื่อมต่อ สมุเฉทมรณะ ก็คือ ความตายสูญ คือ ตายหายไปเลย
เช่นคนตาย สัตว์ตาย คือมันตายจากภพชาตินี้ไป ไปหาสู่ชาติใหม่ ว่างๆ คุณลองไปค้นหา
หนังสือ คัมภีร์มรณะที่ขั้นเขียนมาอ่าน นั่นคือ การเจริญมรณสติกรรมฐาน จบ
ใครถามอะไรอีก มีไม๊ ไม่มีก็เลิก
วันนี้ ชั้นทำให้พวกคุณเข้าใจไม๊ รู้จักไม๊ แต่ยังวางไม่ได้ ว่างไม่เป็น เข้าใจ รู้จัก วางแล้วว่าง
แล้วจะดับแล้วเย็น
ชั้นไม่กลัวคุณไม่ทำการงาน แต่ชั้นกลัวว่าคุณทำงานไม่เป็น
ชั้นไม่กลัวว่า คุณจะทำงานไม่ได้ แต่ชั้นกลัวว่า คุณจะไม่ได้อะไรจากงาน
แต่สำหรับชั้น มีคนมาถามชั้นเสมอว่า ชั้นมีงานเยอะขนาดนั้น เอาเวลาตรงไหนฝึกกรรมฐาน
เจริญสติ ทำสมาธิภาวนา เวลาชั้นทำงาน มันมำให้ชั้นมีปัญญา เจริญกรรมฐาน ฝึกสติ ทำ
สมาธิภาวนา เพราะเมื่อใดที่เราจดจ่อกับการงาน นั่นคือ ความสงบ เมื่อไรที่เราใคร่ครวญ
ต่อหน้าที่ของการงาน การงานในหน้าที่ นั่นคือ การใช้ปัญญา แล้วเมื่อไรที่เราทำมันจนสำเร็จ
นั่นคือ ความวางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น
เพราะงั้น ชีวิตและการงาน คือความเบิกบานทั้งกายและใจ ถ้าเราเข้าใจความหมายของ
งานอย่างถ่องแท้ เราก็จะรู้ว่า มันทำให้เราแกร่งกล้า องอาจและสง่างาม แล้วรอบรู้ แข็ง
แรงทั้งกายและใจได้
แต่ถ้าเราไม่เข้าใจความหมายของการงานอย่างถ่องแท้ เราจะกลายเป็นผู้โดนงานกระทำ ไม่
ใช่เราเป็นผู้ทำงาน สุดท้ายเรากลายเป็นคนอ่อนแอและน่าสงสาร เพราะแม้ที่สุด เราไม่มี
แรงจะทำงาน จบ
ให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรง อายุยืน มีสมองแจ่มใส ร่างกายสมบูรณ์ คิดหวังสิ่งใดสมความ
ปรารถนา เจริญธรรม พอ