ธุดงค์ลำอีซู 72 พรรษา
# 4 นาทีที่ 30:54
.....ผมจึงพยายามเตือนท่าน อย่างน้อยช่วยคนอื่นไม่ได้ ก็ช่วยตัวเองได้ ท่านไม่รู้หรอกว่า อนาคตของโลกในกาลข้างหน้าจะร้อนเป็นกลียุค เป็นไฟกรดเผา แล้วถ้าทุกคนยังขาดสติ ยังปฏิเสธการศึกษาสติ
สติปัฏฐานไม่ใช่ของพุทธศาสนา
สติปัฏฐานไม่ใช่ของคริสต์
สติปัฏฐานไม่ใช่ของอิสลาม ไม่ใช่ของขงจื้อ ไม่ใช่ของชินโต ไม่ใช่ของเซน หรือไม่ใช่ของใคร ของเรา ของเขาที่ไหน แต่มันเป็นของโลก ของจักรวาล แล้วก็ของสรรพสัตว์มนุษยชาติ ทุกคนมีสิทธิ์จะเรียนรู้มัน
ต่างกันตรงที่ว่า พระศาสดา พระองค์ทรงเป็นผู้มีปัญญาอันเลิศ ทรงเห็นถึงขุมทรัพย์อันประเสริฐอันนี้ก่อนใคร เมื่อ 2000 กว่าปีก่อน พระองค์ก็ทรงยกเอามาใช้สอนต่อๆ กันมา ถ้าเข้าใจตามความหมายอย่างนี้ พวกท่านจะรู้ดีว่า ท่านกำลังเรียนความรู้ของจักรวาล ไม่ใช่ความรู้ของพระศาสนา
ผมพูดเสมอว่า ผมอาจจะเป็นพระสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้าไม่ได้ แต่ผมอาจจะเป็นพระพุทธเจ้าที่ดีในอนาคตได้ เพราะผมทำตัวเองให้เป็นพระสาวกที่ซื่อสัตย์ สอนอะไรเหมือนอย่างที่คนอื่นสอนไม่ได้ แต่ผมรู้ว่า สิ่งที่ผมเรียน สิ่งที่ผมศึกษา และสิ่งที่ผมปฏิบัติมัน มันเป็นการเรียน การศึกษาและปฏิบัติเพื่อให้สรรพสัตว์พ้นจากทุกข์ภัย ไม่ใช่เพื่อตามสรรพสัตว์
เพราะฉะนั้น ฝึกเอาไว้บ่อยๆ อย่าปล่อยให้เวลามันเสียไปกับสิ่งไร้ค่า ถ้าผมเป็นอย่างพวกท่าน ป่านนี้ผมไปไหนแล้ว ไม่ต้องมานั่งทรมานเดินเคาะกระป๋อง ตีปี๊บเป็งๆ อยู่อย่างนี้ ทำให้อ้วนคอแหบคอแห้งไปอีก
เริ่มต้นจากตัวท่านเอง ท่านต้องมีสติก่อนในขณะที่มีเหตุการณ์ใดๆบีบคั้น ท่านต้องตั้งมั่น และยืนหยัดได้อย่างไม่หวั่นหวาด หวั่นไหว ผมทำตัวอย่างให้ท่านดูแล้วเยอะแยะ
ตัวอย่างเช่น ตอนที่ผมอบรมพระวิปัสสนาจารย์ ท่านก็เห็นว่า รอบๆ กายผมมีแต่คนจ้องด้วยความรู้สึกอยากจับผิด แต่ผมก็ไม่ได้สะดุ้ง ผวา หวั่นหวาด และหวั่นไหว ในขณะเดียวกัน ผมก็ทำให้คนทั้งหลายยอมรับในสิ่งที่เราแสดง ชี้นำ ถ่ายทอด อบรมสั่งสอนได้ อย่างนี้ไม่เรียกว่า เป็นการช่วยแล้วจะเรียกว่าอะไร แล้วถ้าทุกคนมีสติอันยืนหยัด ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่สั่นคลอน เหมือนดั่งขุนเขาที่ยืนตระหง่าน ต้านทานลมพายุร้ายได้อย่างไม่โยกโคลน มีหรือใครจะไม่ยอมรับ คงไม่มี สำคัญ คือ เราเป็นผู้นำในทางที่ไม่ค่อยจะดี หรือไม่ค่อยจะซื่อตรง โยกเยก โอนเอนไปตามกระบวนการฉุดกระชากลากถูทั้งหลาย ช่วยใครก็ไม่ได้ ช่วยตัวเองยิ่งแย่ใหญ่
เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มต้นที่ตัวท่านเองก่อน ถ้าตัวเองทำได้ ถึงวันที่สุดแล้วท่านจะรู้ว่า เราเป็นผู้ชนะ เราจะภาคภูมิในสิ่งที่เราทำ เริ่มต้นตั้งแต่ตัวเอง ครอบครัว สังคมรอบข้าง ขยายวงกว้างไปถึงสังคมอื่น แค่นี้ก็สามารถจะช่วยเหลือสังคมและโลกได้ ขอเพียงโลกและสังคมอยู่รวมกันโดยมีสติ ไม่เบียดเบียน ไม่เบียดบัง ไม่เอารัดเอาเปรียบ ไม่เห็นแก่ตัวมากเกินไป โลกมันก็จะถึงสันติสุข ร่มเย็นขึ้นมาเอง
สำคัญว่า ทุกวันนี้โลกมันสับสน แม้กระทั่งสังคมของนักบวช มันก็เป็นสังคมของความจอมปลอมและเละเทะ อย่างที่ท่านเห็นกันอยู่ ที่ผ่านมามันเป็นเสียอย่างนั้นเสียส่วนใหญ่ ที่เค้าดี เค้าก็ไม่อยากแสดง เพราะเค้ากลัวเจ็บ ขืนแสดงออกมาต้องโดนตีหัว ต้องเจ็บตัว
อ้ายผมนี่เป็นคนอย่างหนา กาช้าง ทนได้ใส่กันน๊อค มันก็เลยไม่ต้องกลัวเจ็บตัว เพราะแสดงออกมาทีไร ก็ต้องมีคนจับผิด มองว่าอ้ายนี่อยากเด่น อยากดัง อยากได้ หารู้ไม่ว่าความอยากอันนั้น บางครั้งบางขณะ เราไม่รู้ใจเขา เราจะเอาใจเรามาเปรียบเทียบไม่ได้ มาประมาณการ มาตีค่าราคาของคนด้วยความรู้ของตัวเองก็ไม่ได้ ตราบใดที่เรากับเขายังไม่รู้จักกัน ยังไม่เข้าใจซึ่งหน้ากัน จะเอาความรู้สึกของเรามาตีราคาของคนอื่นคงไม่ได้
สิ่งเหล่านี้ได้มาจากการเจริญสติ รู้จริงๆ ซะทุกอย่าง มันจะจบ
พระโสดาบัน เป็นพระอริยะเบื้องต้น เป็นกระแสของพระนิพพาน เมื่อถึงขั้นพระโสดาบัน ก็ถือว่า เดินไปสู่หนทางแห่งพระนิพพาน เพราะงั้น ผู้เป็นพระโสดาบัน ถ้าถึงกระแสพระนิพพานแล้ว คือเป็นพระอริยะบุคคลเบื้องต้นแล้ว ก็ต้องเกิดอีก 7 ชาติก็ได้เป็นอรหันต์ แล้วพระโพธิสัตว์เกิดแค่ 7 ชาติที่ไหน เกิดเป็นพันๆ ชาติ พระพุทธเจ้าเกิดแล้วที่นับถ้วนได้ ก็500 ชาติ แต่พระโสดาบันเกิดแค่ 7 ชาติ ก็บรรลุอรหหันต์ แล้วจะถึงพระโพธิสัตว์ได้ไงล่ะ เรื่องง่ายๆ
พระอริยะโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์ชั้นสูงกว่าปกติโพธิสัตว์ มีที่อยู่ก็คือ เหนือจากสามัญคนธรรมดา คือพระราชวงศ์ชั้นสูง เรียกว่าพระอริยโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์ก็ต้องมีวิปัสนา ถ้าพระโพธิสัตว์ไม่มีวิปัสนา ศีลพระโพธิสัตว์ก็รักษาไม่ได้ เพราะพระโพธิสัตว์ต้องมีคุณสมบัติรักษาศีล ศีลต้องรักษาให้ได้ แล้วก็ต้องมีสมาธิจิตอันเลิศ เรียกว่ามีฌาณสมาบัติ เพื่อจะใช้เป็นเครื่องปลดปล่อยสรรพสัตว์
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในขณะที่เจริญสติ มันจะทำลายทำร้ายมหาสติ เพราะฉะนั้นต้องเพิกถอน หรืออย่าใส่ใจมัน รักษาความรู้เนื้อรู้ตัวไว้ตลอดเวลา แค่นั้นพอ
เหมือนขณะเจริญอานาปานสติ แล้วเห็นอ้ายโน่นอ้ายนี่
จำไว้ว่า สติ จิต สมาธิ ปราณ ต้องมีสติก่อน เมื่อมีสติแล้ว จิตตั้งมั่น
สมาธิปรากฏ ปราณกับจิต สมาธิจะผสมผสานกัน เพราะปราณเป็นพลังที่เกิดจากจิต จากสติ จากสมาธิ ปราณเป็นกระแสความอบอุ่นในเลือด เป็นสารอาหารที่อยู่ในกาย และเป็นสารอาหารที่ดูดซึมได้จากอาหารที่เรากินเข้าไป รวมทั้งเป็นความสมดุลย์ของจิตวิญญาณ และอารมณ์ เหล่านี้เป็นปราณ
ถ้าไม่มีสติ ไม่มีสมดุลย์ ไม่มีสมาธิ ก็ไม่มีพลัง แล้วจิตไม่ตั้งมั่น สัดส่าย โยกโคลน ปราณก็ไม่ปรากฏอีก ก่อนจะถึงคำว่าปราณ ต้องมีสติ จิตมีสมาธิ มีความตั้งมั่นก่อน
ผมอยากพูดเรื่องลาสิกขาเพศ อยากบอกว่า ชั่วชีวิตของพวกท่านในขณะที่อายุประมาณ 25 – 30 ท่านจะเห็นกลียุคของโลก ถ้าวันนี้ท่านไม่รู้จักเตรียมตัวที่จะฝึกความมีสติ ถึงวันกลียุคของโลกแล้วท่านจะช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วก็เป็นภาระแก่สังคมด้วย งั้นต้องรู้จักฝึกเพื่อไปช่วยโลกและสังคมได้บ้าง ลำพังผมคนเดียว คงทำอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่ ผมไม่อยากเห็นกลียุคของโลกเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วิธีเดียวที่จะช่วยโลกได้ คือความร่มเย็นเป็นสุขจากจิตวิญญาณที่ใสสะอาดและสงบ ผมไม่ได้หวังพวกท่านไปเกิดในยุคทองของพระศรีอริยเมตไตร ที่มีแต่ความสุขสมบูรณ์ เอายุคปัจจุบันให้มันอย่าเป็นทองเก๊ก็แล้วกัน ให้มันเป็นทองแท้ ผมว่ามันก็น่าจะดี
แผ่เมตตา ทำไม่ได้ แต่ช่วยกันทำดี ทำได้ นั่งแผ่ นอนแผ่ ก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก ต้องช่วยกันทำ นอนแผ่อย่างเดียวก็มีแต่ตายกับตาย
ผมถึงได้บอกว่า ผมเป็นพระสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะถ้าเมื่อใดที่ผมเป็นพระสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า สัตว์อีกเป็นหมื่นเป็นแสนชีวิต เป็นหลายๆร้อย หลายๆ ล้านพันปีแสงที่รอพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปจะมาโปรด ก็จะต้องทนทุกข์ทรมานจนถึงยุคกาลกลียุค จนกว่าจะเกิดพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปอีก สัตว์เหล่านั้นก็ต้องทนทุกข์ต่อไปนานแสนนาน
ถ้าผมเป็นพระสาวกที่ดีของพระพุทธเจ้า เหมือนอย่างที่พระมหากัจจายนะ
จริงๆ แล้วพระมหากัจจายนะ จะต้องเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต แต่เพราะพระมหากัจจายนะเบื่อต่อการที่จะต้องเกิดอีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เลยต้องลาพุทธภูมิไปเป็นอรหันต์ภูมิ
เพราะฉะนั้น สัตว์ก็ต้องทนทุกข์ทรมานต่อไปอีกในยุคของพระมหากัจจายนะจะไปเกิด ก็ต้องรอต่อไป รอว่าใครจะต้องมาเกิด ก็ต้องใช้เวลาเป็นกัลป์ เป็นพันปีแสง
ฟังดูแล้วเหมือนเป็นการเห็นแก่ตัว แต่มันก็เป็นกรรมของสัตว์ ถือว่าสัตว์ยุคนั้นที่เกิดในยุคของพระมหากัจจายนะ ก็จะอยู่ในยุคมืด จะไม่มีโอกาสได้พบพระพุทธเจ้า ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรม เพราะพระพุทธเจ้าไปลาพุทธภูมิเสียแล้ว
ก็เหมือนกับพระเจ้าแผ่นดินจะขึ้นครองราช ก็ไม่ยอมขึ้นครองราชย์ ลาออกจากการครองราชย์ ไปเป็นสามัญชน ข้าราชบริพาร ข้าราชสำนัก ก็ต้องทุกข์ทรมาน ต้องเอาโจร เอาใครมาเป็นนาย
เค้าก็มีคิวของเค้า แต่ก็ยุคใครยุคมัน ถ้าท่านไปศึกษาไตรภูมิพระร่วง หรือพระเจ้าห้าร้อยชาติ ท่านจะรู้ว่า พระสาวกทุกองค์ของพระพุทธเจ้า ทำบุญร่วมกันมาต่อพระองค์ คนที่ทำบารมีร่วมกับพระมหากัจจายนะ จึงจะไปเกิดเป็นสัตว์ผู้ร่วมรับฟังคำสอนของพระมหากัจจายนะ พระศาสดา ทีนี้เมื่อพระศาสดาองค์นั้นละเสียแล้ว สัตว์ผู้ร่วมบารมีนั้นก็ต้องรอไปอีก จนกว่าคนที่อยู่ร่วมบารมีนั้นจะมีพระโพธิญาณ แล้วพัฒนาตัวเองให้เป็นพุทธเจ้า หมายถึงว่า พระมหากัจจายนะในยุคนั้น ปฏิบัติธรรมเพื่อบำเพ็ญโพธิญาณ แล้วมีลูกหลาน คิดจะบำเพ็ญต่อด้วย เมื่อหัวหน้าลาออก ลูกน้องก็ต้องไปเป็น เมื่อลูกน้องจะขยับ มีอำนาจถึงหัวหน้า ก็ต้องใช้เวลาอีกยาวไกล แล้วสัตว์ที่ร่วมเกิดยุคนั้น ก็ต้องทุกข์ทรมานจนกว่าลูกน้องนี้จะมีอินทรีย์แก่กล้าพอที่จะเป็นหัวหน้าเค้าได้ รอไปอีกกี่ภพกี่ชาติ ก็เลยทำให้สัตว์ทุกข์ทรมานต่อไปอีก
ผมถึงได้บอกไว้ในวันอบรมพระวิปัสสนาจารย์ว่า พวกท่านต้องเกิดร่วมกับผม เกลียดผมอย่างไร ก็ต้องเกิดร่วมกับผม รักผมยังไง ก็ต้องเกิดร่วมกับผม เพราะท่านอยู่กับผม ฟังธรรมที่ผมสอน ถึงจะเกลียดจะรักก็ต้องเกิดร่วมกับผม เพราะมันเป็นกรรมที่ผูกพันกันมา เว้นแต่ท่านหูหนวก ตาบอด ฟังผมไม่รู้เรื่อง
นั่นแหละถือว่า ท่านไม่ได้เกิดร่วมกับผม
เกิดร่วมโดยมิตร ก็ถือว่า เกิดร่วม
เกิดร่วมโดยศัตรู เช่นพระเทวทัต ก็ถือว่าเกิดร่วม หนีกันไม่ขาด ตัดกันไม่ตาย ขายกันไม่ออก เพราะมันเป็นสภาวะธรรม เป็นกฏแห่งกรรม
อยากบอกว่า พยายามขยันทำดีหน่อย อะไรก็ได้ที่ดีเล็กๆ น้อยๆ พยายามฝึกส่วนที่ดี ส่วนไม่ดี ก็พยายามทิ้งมัน