poo-n-bart

วันนี้เป็นวันมหาสัมมาทิฐิ พระศาสดาทรงเปิดโลกธาตุไว้เป็นมรดกสืบทอดมาให้เราชั้นหลังถึง 2000 กว่าปี แล้วก็ยังต้องมีต่อไป วันนี้ไหนๆ ก็โลกทั้ง 3 สามารถรับรู้กันได้ แต่พวกเราคงรู้ไม่ได้ด้วยเหตุปัจจัยของญาณเราไม่วิสุทธิ คือไม่หมดจด แต่ญาณทัศนะของพวกสัตว์นรก ของพวกเทวดา พรหม เค้ามีญาณทัศนะอันหมดจด ถามว่าเพราะอะไร ถามว่าทำไมพวกนรกยังมีญาณดีกว่าเรา เค้ามีคนถาม สัตว์นรกทำไมมีญาณดีกว่าเรา ก็เพราะว่า สัตว์นรกมันเป็นกายละเอียด มันเป็นลักษณะของอาทิสมันกาย มีกายอันละเอียดระดับหนึ่ง ซึ่งเรานี้ละเอียดหรือหยาบ อู้ฮู้ บางคนหยาบขี้แล็บเลยหล่ะ หยาบเป็นที่สุดเลย เพราะงั้น มันเลยเป็นอะไรที่ยากในการที่จะสัมพันธ์สัมผัส.......

 

 

เพราะงั้นก็ไหนๆ วันนี้เป็นวันเปิดโลกแล้วก็ทำดีให้กับโลกทั้ง 3 ได้อนุโมทนา ได้รับรู้ ได้แบ่งบุญจากคุณงามความดีจากเราไปด้วย แล้วเป็นสักขีพยานในการทำคุณงามความดี อีกทั้งก็ยังให้หมู่ญาติและสัตว์ทั้งปวงที่เฝ้ารอคุณงามความดี เฝ้ารอผลบุญ ที่จริงมีพวกไม่กี่จำพวกหรอกที่สามารถได้รับผลบุญของเรา ก็คือ พวกสัมภเวสีเท่านั้น จึงจะมีส่วนได้ สัมภเวสีนี่เทวดาก็มี เทวดาที่เป็นสัมภเวสีก็มี สัตว์นรกที่เป็นสัมภเวสีก็มี หรือที่เค้าเรียกกันว่าเปรต 11 จำพวก มี 2-3 จำพวกสุดท้าย เค้ามีคำกล่าวว่า

กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ หมายถึง กลางคืนอาจจะได้เป็นเทวดา แต่กลางวันก็มาได้เป็นสัตว์นรก เพราะผลกรรมมันกำหนดอย่างนั้น เรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาแล้วแต่กาลเก่า เคยมีพระชาดก พระสุตตันปิฎก พระสูตร....พระ...เช้าขึ้นมาออกบิณฑบาต เห็นสัตว์นรกร้องเสียงโหยหวนตอนที่ลงมาจากเขาคิชกูฏ หลังจากเช้าแล้วท่านก็ไปเล่าให้เพื่อนภิกษุฟัง พอตกกลางคืน ท่านเดินจงกลม ก็เห็นสัตว์นรกตนนั้นเดิน แต่ผลปรากฏว่า กลายเป็นเทวดา มีร่างกายเป็นทิพย์ มีรูปร่างสวยงาม เลยถามว่า เอ้า เมื่อกลางวันนี้ท่านเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นผู้รับผลกรรมอันหนัก ยังร้องทุรนทุรายมีไฟเผามอดไหม้รอบตัว พอตกเย็นทำไมท่านถึงได้กลายเป็นเทวดา มีรูปงามหมดจด นี่คือผลกรรม

พวกเราเคยเป็นไม๊ เป็น ทำไมมึงไม่เป็น ใส่บาตรอยู่ บัดเดี๋ยวใจ ฮือ องค์นี้ไม่น่าให้เลย เสียดายของ เนี่ย ไอ้ตอนใส่ได้ไปแล้วเป็นเทวดา แต่ไม่น่าให้เสียดายของ เปรตเข้ามากินแล้ว เข้ามาสิงแล้ว เพราะงั้น จิตที่มันไม่เสมอต้นเสมอปลาย มันทำให้ได้อัตตาภาพอันไม่เสมอกัน  

 

ทีนี้เข้าใจหรือยังว่า ทำไมเมื่อวานนี้ กูถึงได้เคี่ยวเข็นพวกมึงให้รักษาจิตให้เสมอต้นเสมอปลาย เวลาอยู่กับกรรมฐาน ก็รักษากรรมฐานให้จิตนิ่งอยู่กับกรรมฐานเสมอต้นเสมอปลาย จะได้ไม่ต้องกลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ ไหนๆ มันจะเป็นควัน ก็ให้มันเป็นไปให้ครบทั้งกลางวันกลางคืน ควันในที่นี้ก็คือ มันลอยได้ มันมีอากาศ มันไม่เร้าร้อน ไม่ทรนทุราย อ้ายไฟมันเผาผลาญมอดไหม้ ก็คือทำให้ทุกก้าวย่างของเราขึ้นสวรรค์ทุกย่างก้าว เพราะว่าเมื่อใดที่จิตเป็นกุศล เดินก้าวนึง กุศลครั้งนึง

 จิตเป็นกุศล คือจิตอย่างไร จิตที่ไม่มีราคะกวน จิตที่ไม่มีโมหะครอบงำ จิตที่ไม่มีโทสะรบกวน จิตที่ไม่มีโลภะรัดรึง จิตที่มีแต่ตัวรู้ ตัวตื่น ตัวเบิกบาน จิตที่มีแต่ความสงบ

รู้ชัดตามความเป็นจริง จิตที่มีแต่ความะมัดระวัง เรียกว่า มีสติสัมปชัญญะ มันเป็นจิตของชาวสวรรค์ เดินก้าวนึงด้วยจิตที่มีสติสัมปชัญญะ ก็คือ ก้าวขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าก้าวนึงเต็มไปด้วยจิตที่มากไปด้วยราคะ ก้าวนึงด้วยจิตที่มากไปด้วยโทสะ ก้าวนึงด้วยจิตที่มากไปด้วยโลภะ ก้าวนึงด้วยจิตที่มากไปด้วยโมหะ มันก็เป็นก้าวตกนรก

 เพราะงั้นพวกชาวนรก วันนี้ก็จะต้องร้องว่า อย่าญาติ อย่าเพื่อน อย่ามา กูแน่นเต็มทีแล้ว มึงมาเพิ่มอีก กูก็จะแน่นมากขึ้นอีก เออ ก็จะลุ้น จะเสียวว่า อย่าให้ญาติของเค้า อย่าให้ญาติของตนเข้ามาใกล้ พวกเทวดาก็คอยลุ้นด้วยว่า ก้าวนี้ของใครหว่า ข้างล่างหรือข้างบน เออ ล่างมา 4 ข้างบนก็มา 4 อะไร อีห่านี่ กูพูดอะไร กูพูดเรื่องนรกสวรรค์

อะไร มึงหัวเราะอะไรกันเนี่ย นรกสวรรค์มีอะไรน่าหัวเราะ หา เอ้า ก็ข้างล่างเดินตกนรก 4 ก้าว ข้างบนขึ้นสวรรค์ 4 ก้าว มีอะไร หัวเราะอะไร มึงนึกไปถึงเรื่องอะไรเนี่ย หวย สันดาน ไม่พ้นหลุมเลย เพราะฉะนั้นมันต้องมีการลุ้นกัน พวกเทวดาเค้าก็มีญาติเป็นมนุษย์ ลูก แล้วมนุษย์ก็มีญาติเป็นเทวดา แล้วพวกเราทุกคนก็มีญาติทั้งเป็นสัตว์นรก มีญาติทั้งเป็นเทวดา แล้วก็มีญาติที่เป็นมนุษย์ซึ่งเราก็รู้ได้ด้วยตัวเรา แล้วมีญาติที่เป็นสัตว์เดรัจฉานไม๊ มี ญาติเราก็มีเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม แล้วญาติเหล่านั้นจะทำอย่างไร ญาติเหล่านั้นก็ต้องคอยลุ้นว่า ญาติกู อย่า อย่าลงที่ต่ำ จงขึ้นที่สูง ญาติที่อยู่ที่ต่ำก็จะรู้สึกเสียดาย เสียใจ ทุรนทุรายว่า ญาติเราอย่าตกต่ำ ต้องไปขึ้นสูงๆ เข้าไว้ เพราะเราต่ำเยอะแล้ว เราทรมานเหลือเกิน

เราทุกข์เหลือเกิน เราลำบากเหลือเกิน

 เพราะงั้นมันก็ต้องเข้าใจว่า ทำไมหลวงปู่ต้องมาเคี่ยวเข็น มาผลักดัน มาชี้นำ มาขย้ำขยี้ เพราะมันเป็นอะไรที่ถ้าพวกมึงเห็นอย่างที่กูเห็น มึงรู้อย่างที่กูรู้ มึงดูอย่างที่กูดู แล้วมึงเข้าใจอย่างที่กูเข้าใจ ก็จะรู้สึกกลัว กลัวว่าแต่ละย่างก้าวนั้น............มันมากไปด้วยความทุกข็ระทม...............สัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก ทรมานยิ่งกว่าเราอดข้าวตายอยู่บนพื้นโลกอีก ทรมานยิ่งกว่าเราไปตากแดด อดข้าวอดน้ำจนแห้งเหี่ยวตาย เราจะรู้สึกสงสารสมเพช............ เพราะงั้นก็เลยอยากเตือน อยากบอกลูกหลานว่า อย่าทำร้ายตัวเอง อย่าทำให้ตัวเองต้องตกต่ำ พยายามเคี่ยวเข็น ผลักดัน ชี้นำ บอกกล่าวพวกมึง ก็เพราะว่ากลัว...........กลัวพวกมึงจะไปอย่างที่กูเห็น อย่างที่กูรู้ อย่างที่กูเข้าใจ และกูก็ช่วยมึงไม่ได้

แม้พุทธเจ้าก็ช่วยมึงไม่ได้ ไม่มีใครช่วยมึงได้ เพราะต้องตัวมึงเองเท่านั้น

 เพราะงั้นก็ต้องพยายาม อย่าปล่อยให้ตัวเองต้องตกต่ำ หาวิธีที่จะดึงจิตของตัวเองให้อยู่ในที่ๆ มันเสมอต้นเสมอปลาย มั่นคง ยิ่งนรกเปิดให้เห็น ก็ยิ่งทำให้เห็นภาพของความทุกข์เวทนาแสนสาหัสของหมู่ญาติ บรรดาลูกหลานอดีตชาติ คนใกล้ชิด คนใกล้ คนไกล สัตว์น้อยใหญ่ต้องรับทุกขเวทนา

 เพราะงั้นความทุกข์ที่เราเห็นกันอยู่บนโลกมนุษย์นี้ มันน้อยนิด งั้นต้องระวังตัวเอง

อย่ามัวเมาประมาท อย่าปล่อยให้อะไรมันครอบงำ จนกลายเป็นเราสุขสนุกสบาย

มันสะใจอารมณ์ จนลืมไปว่า อ้ายที่เราเสพนั้น มันเป็นเหตุปัจจัยของความทุกข์เดือดร้อน ความทำร้ายทำลายตัวเอง แล้วก็ทำให้ญาติต้องหวาดกลัว เสียดาย เสียใจ ญาติทั้งหลายที่เป็นของเรา ไม่ว่าจะตายแล้วหรือมีชีวิตอยู่ ถ้าเค้ารู้ว่าเราตกต่ำ ตกทุข์ได้ยาก ไม่มีใครดีใจหรอก ลูก ไม่มีใครเค้าชื่นบาน สุขกายสำราญใจ ไม่มี เค้าก็ต้องรู้สึกเสียใจ

 

เพราะงั้นญาติแต่ละตน แต่ละพวก แต่ละเหล่า แต่ละหมู่ ก็จะคอยลุ้น ยิ่งเป็นวันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปิด 3 โลกให้เราได้รู้ ญาติทั้งปวงก็จะไปลุ้นว่า เออ วันนี้ญาติกูในปีนี้ ขึ้นสูงหรือว่าลงต่ำ เออ ถ้าญาติกูขึ้นสูง ก็พากันสาธุ อนุโมทนา ถ้าญาติกูลงต่ำ ก็พากันเศร้าเสียใจ ก็จะทุรนทุราย จะเสียดายว่า โอ้ เค้ามีโอกาส เค้าไม่ใช้โอกาส เค้ามีเวลา

เค้าไม่ใช้เวลา เค้ามีจังหวะ ไม่ใช้จังหวะ เค้ามีบุญ แต่ไม่รู้จักเสพบุญให้เป็นคุณ

กลับกลายเป็นสร้างโทษ เค้ามีวาสนากลับทำให้วาสนาตกต่ำ เค้ามีสติปัญญา

ก็ขวนขวายแสวงหาแต่ความทุกข์ เดือดร้อน ทำร้าย ทำลายตัวเอง ญาติก็จะพากัน

เศร้าเสียใจ ทุกข์ทรมาน เดือดร้อน แร้นแค้น เพราะงั้น เราก็ไม่ได้ทุกข์คนเดียว

ทุกคนมีญาติ มีเพื่อน มีที่รัก มีคนที่ห่วงใยเราอย่างยิ่ง แต่เค้าไม่มีโอกาสแสดงความรัก

ความห่วงใย

แต่เป็นเรื่องประหลาด เราไม่ค่อยชอบห่วงใยตัวเอง ไม่ห่วงใยตัวเอง ไม่อาทรตัวเอง

ไม่รักใคร่ตัวเอง ไม่หวงตัวเอง แต่ปล่อยตัวเองให้หล่นลงในที่ต่ำอยู่เนืองๆ ไม่พยายามพยุง ประคับประคองจิตให้สม่ำเสมอ เดี๋ยวมาทดลองที่จะพยุง ประคับประคองจิตของตนให้สม่ำเสมอ ให้สูงเข้าไว้ อย่าให้ต่ำลงไป อย่างน้อยก็เพื่อให้ญาติสาธุโมทนา อนุโมทนากับสิ่งที่เราทำ

 เรื่องของผู้รู้ บางอย่างทำแกล้งไม่เห็นเสียบ้าง ความทุกข์ก็จะไม่เกิด ถ้าเห็นหมดทุกเรื่อง เออ ทุกข์ไปหมดทุกอย่างที่เห็น

วันคืนกลืนกินสรรพสัตว์ กาลเวลากัดกินชีวิตสัตว์และตัวเรา

 อย่ากลัวที่จะลำบากในชาติปัจจุบัน แต่จงกลัวว่าชาติต่อๆ ไป เราจะไม่มีโอกาสร้องขอความช่วยเหลือจากใคร แล้วลำบากชาตินี้ ก็ยังพอบอกใครรับรู้ได้ แต่ลำบากชาติต่อๆ ไปนี่ ใครจะมารู้กับเราไม่ได้ แล้วเราก็กลายเป็นผู้ลำบากยั่งยืนถาวร แล้วก็ทุกข์ทรมานจนไม่มีใครจะช่วยเหลือเกื้อกูลอนุเคราะห์

วันที่ 24 ตุลาคม 2553