ธรรมะก่อนเวียนเทียนของหลวงปู่พุทธะอิสระเนื่องในวัน
วิสาขะบูชา ๘ พ.ค.๕๒
ณ ศาลาปฏิบัติธรรม อารามธรรมะอิสระ


.... ธรรม และพระวินัยของพระผู้มีพระภาคมีคุณสมบัติบั่นทอนทุกข์ และทำให้ทุกข์หดหาย

ลดน้อย ถดถอยลงไปในระดับหนึ่ง และมีคุณสมบัติในการไม่เพิ่มทุกข์ ไม่ทำให้ทุกข์มีปัญหาที่ใจท่วมท้น

หัวใจของผู้คนที่ปฏิบัติ ผู้ที่เข้าใจในพระธรรมวินัย ก็จะเข้าใจในการจัดการบริหารชีวิตและจิตวิญญาณ

ด้วยความซื่อตรง ก็จะเข้ากับเป้าประสงค์ที่จะไม่เพิ่มทุกข์ และพ้นทุกข์สืบไป จะเป็นผู้เปล่า ผู้วาง ผู้ว่าง

ผู้ผ่อนคลาย ผู้ไม่มีพันธนาการอยู่ในกายและใจตน พระธรรมวินัยมีคุณสมบัติในการปลดเปลื้องพันธนาการ

ดังกล่าวนี้ พวกเราได้คุณูปการ คุณประโยชน์มหาศาลจากพระธรรมและวินัย ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้

แสดงไว้ในวันนี้ หรือแสดงไว้ดีแล้วเมื่อสองพันกว่าปีก่อน พวกเราควรได้มาระลึก น้อมถึง พระคุณของ

พระองค์ อันมีพระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระวิสุทธิคุณ พระคุณทั้งสามจะไม่เป็นผลดีกับเรา

เลย ถ้าเราไม่ปฏิบัติ ไม่เข้าถึงซึ่งพระธรรมและวินัย พระคุณทั้งสามจะอุบัติเกิดขึ้นกับทุกคนผู้เข้าถึงธรรม

และวินัย และพระคุณทั้งสามก็จะเป็นตัวแทนเป็นสัญญลักษณ์ของพระพุทธะอันยิ่งใหญ่ เหมือนดังมีคำดำรัส

ทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต เมื่อใดที่เราปรารถนาจะเข้าถึง พระบริสุทธิคุณ พระ

ปัญญาธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ เราก็ต้องเข้าถึงธรรม และพระวินัย ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจน

เจนจบ แจ่มชัด เข้าใจ รู้จัก และรู้แจ้ง ผู้นั้นจะเห็นตถาคต ผู้นั้นจะได้รู้จักหน้าตาที่แท้จริงของพระสุคตเจ้า

ผู้นั้นจะได้อยู่ใกล้พระสุคตเจ้า พระสุคตเจ้าอยู่ในทุกที่ที่มีพระธรรม พระสุคตเจ้าไม่ได้อยู่ในวัด ไม่ได้อยู่ใน

พระพุทธรูป พระสุคตเจ้าอยู่กับผู้ที่มีพระธรรม เพราะฉะนั้นพระธรรมอยู่ในจิตใจของเราก็ได้


พระสุคตเจ้าก็อยู่ในใจเรา พระธรรมอยู่ในคำพูด ในการกระทำของเรา พระสุคตเจ้าก็อยู่ในคำพูด ในการ

กระทำของเรา ถ้าเราอยากเป็นญาติกับพระผู้สุคตเจ้า อยากเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็จง

ฝึกหัด ปฏิบัติกาย วาจา ใจ ศึกษา เพียรพยายาม หมั่นปฏิบัติธรรมอยู่เป็นนิจ เหมือนดั่งที่หลวงปู่กล่าว

ไว้เมื่อกลางวันว่า ชั่วชีวิตหลวงปู่ไม่มีครูใดมาสอนสั่ง มีแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าหรือพระสุคตเจ้าที่พระองค์

ทรงสอน พระองค์เป็นครูผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์เป็นครูผู้วิเศษ และครูพระองค์นั้นก็ไม่ได้อยู่ไกล ไม่ได้อยู่ที่ไหน

เป็นครูที่อยู่ภายในจิตใจของเราที่ เหมือนดังที่หลวงปู่สอนไว้ว่า
เมื่อใดที่ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมปรากฏขึ้นกับเจ้า เมื่อนั้นเจ้าก็จะเห็นพระพุทธะที่นอนหลับสนิท

อยู่ในใจของเจ้า และเจ้าก็จะมีโอกาสได้ฟังคำสอนของพระพุทธะองค์นั้น เมื่อท่านตื่นขึ้นมาอยู่กับเราอย่าง

แท้จริง ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมก็คือความเข้าอกเข้าใจตัวเอง รู้จริงแจ่มแจ้ง รู้จักตัวเอง ศึกษาเรียนรู้ตัวเอง

เหล่านี้คือกระบวนการของการรู้สึกตัวทั่วพร้อม และเมื่อเรารู้สึกตัวทั่วพร้อม ทุกขณะยืน เดิน นั่ง นอน

พระพุทธะที่นอนอยู่ หลับอยู่ในใจเรา ในห้องหับแห่งหัวใจของพวกเรา พระองค์ก็จะตื่นขึ้นมา และสั่ง

สอนอบรมตัวเรา สั่งสอนอบรมพวกเรา เหมือนดังคำกล่าวบทโศลกบทหนึ่งที่หลวงปู่เขียน ที่ว่า ...... ลูกรัก

ครูผู้วิเศษไม่ได้อยู่ในโรงเรียน ไม่ได้อยู่ในตำรา ไม่ได้อยู่กับอาจารย์คนใดที่ไหน .... เพราะท่านเหล่านั้น

แม้จะวิเศษเพียงไร ก็จะมีเวลาสั่งสอนเจ้าเพียงบางเวลา แต่ครูผู้อยู่ยิ่งใหญ่และวิเศษจริง ๆ ที่จะสั่ง

สอนอบรมเจ้าได้ทุกเวลา ท่านคือครูผู้อยู่ในตัวเจ้า ครูผู้อยู่ในจิตใจของเจ้า หน้าที่ของเจ้าก็คือต้องเพียร

พยายามค้นหาครูผู้ผู้นี้ให้เจอ คราใด ที่เจ้าเจอครูผู้นี้แล้ว เจอท่านผู้นี้แล้ว เราก็จะเป็นผู้ที่เข้าใจ รู้จัก และ

รู้แจ้ง ตามกระบวนการของครูผู้วิเศษที่ถ่ายทอดความรู้มา



เพราะหลวงปู่ได้เห็นครูผู้วิเศษ กายจึงศักดิ์สิทธิ์ ธรรมะด้วยการศึกษาธรรมะจึงศักดิ์สิทธิ์

จิตวิญญาณจึงศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์แปลว่าสำเร็จประโยชน์ นั่นคือ ทุกเรื่องที่หลวงปู่ทำต้องสำเร็จประโยชน์

ไม่มีเรื่องไหนที่หลวงปู่ทำไม่สำเร็จ ทุกเรื่องที่คิดก็ต้องสำเร็จ ไม่มีเรื่องไหนที่คิดแล้วไม่สำเร็จ นั่นคือ

ความหมาย ของคำว่า กายศักดิ์สิทธิ์ จิตศักดิ์สิทธิ์ เพราะมีธรรมะอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ได้จากคำสอนของครูผู้

วิเศษ แต่ครูผู้วิเศษไม่ใช่มีอายุขัยเมื่อสองพันกว่าปี ครูผู้วิเศษมีอายุขัยในเวลาเดียวกับเรา พระ

พุทธเจ้าไม่ได้นิพพานที่ไหน พระองค์อยู่ในใจของคนผู้ศรัทธาเสมอ ลูกหลานจงรู้จัก ตระหนัก สำนึกและ

เดินทางเข้าไปสู่ความศรัทธาที่แท้จริง ท่านทั้งหลายก็จะได้เห็นพระพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่ศรัทธาที่ริมฝีปาก ไม่

ใช่ศรัทธาแค่ปลายลิ้น ไม่ใช่ศรัทธาแค่หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ไม่ใช่ศรัทธาแค่ดูเขาทำ แต่ต้องเป็นศรัทธา

ที่ลงมือทำด้วยตัวเอง อันความศรัทธาเมื่อปรากฏขึ้นอย่างเด่นชัด ทุกครั้งที่เราเห็นซึ่งพระธรรม เราก็จะ

เห็นพระผู้มีพระภาค ทุกครั้งที่เราปฏิบัติธรรม เราก็จะรู้จักหน้าตาที่แท้จริงของพระผู้มีพระภาค ทุกครั้งที่

เรากล่าวคาถาของพระผู้มีพระภาค เมื่อนั้นก็ถือว่าเราลงมือปฏิบัติธรรมอย่างเด่นชัด หรือแจ่มแจ้ง ธรรมะ

ของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ไกล อยู่ภายในจิตใจของเรา ลูกหลานก็ต้องขวนขวาย

อย่าละทิ้งซึ่งความขวนขวาย ที่เรียกว่าวิริเยน ทุกข มัจเจติ บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร จงหมั่น

ที่จะขวนขวายเพื่อแสวงหาพระธรรม ศึกษาในธรรม และธรรมะก็ไม่ได้อยู่ที่ใด อยู่ภายในจิตใจ ก็คือ เรียน

รู้ชีวิต ศึกษาวิชชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต ..
สำหรับหลวงปู่แล้ว ตัวปัญญาก็คือองค์พระพุทธะนั่นเอง เมื่อไรหลวงปู่อยู่กับปัญญา เมื่อนั้น

หลวงปู่ก็ได้อยู่กับพระพุทธะเสมอ ๆ แต่ถ้าเมื่อใดที่หลวงปู่อยู่กับสัญญา และความทรงจำ และสัญชาติ

ญาณ หลวงปู่ก็จะอยู่กับซาตานเสมอ ๆ ฉะนั้น ขอเราเพียงมีปัญญาและอยู่กับปัญญา เราก็อยู่ใกล้พระ

พุทธะ และเป็นเจ้าเข้าเจ้าของพระพุทธะได้ตลอดเวลา จึงเป็นคำกล่าว และเป็นที่มาของคำกล่าวว่า

พุทธะอยู่ที่ใจ พุทธะไม่ได้อยู่ในวัด ไม่ได้อยู่ในตำรา ไม่ได้อยู่ในคัมภีร์ ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎก ไม่ได้อยู่ใน

พระปฏิมา แต่อยู่ในหัวใจที่ยิ่งใหญ่ของพวกเรา ฉะนั้นต้องตระหนัก...สร้างวิหารให้พระองค์อยู่ในใจตลอด

เวลา
เหมือนดังคำกล่าวที่สอนว่า อย่าบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกบัวที่เกิดจาก.....ที่เจริญเติบโตจาก

โคลนตมเพียงอย่างเดียว แต่จงบูชาพระผู้มีพระภาค พระศาสดา ด้วยดอกบัวที่ประดับประดาตกแต่ง

ด้วยกลิ่นไอแห่งความรู้ตื่นเบิกบานในใจของพวกเรา เราตกแต่งกลีบบัวเหล่านั้นด้วยสติ ทำเกสรดอกบัว

ด้วยปัญญา ปลูกดอกบัวให้เจริญเติบโตด้วยปุ๋ยอันยิ่งใหญ่ ด้วยความรู้ตื่น เข้าอกเข้าใจ รู้จักตัวตนที่แท้

จริง เหล่านี้เป็นดั่งน้ำทิพย์ เหมือนดั่งปุ๋ยอันวิเศษ ที่ปลูกฝังดอกบัว แห่งแก้วสารพัดนึก ดอกบัวที่ยิ่งใหญ่

ที่แจ่มใสเบิกบานตลอดเวลาที่ ไม่มีวันร่วงโรย ที่งอกงามไพบูลย์เมื่อไร ก็ส่งกลิ่นหอมจรุงไปทั่วทั้งแผ่นดิน

ดอกบัวอย่างนี้ต่างหาก ที่มีแก่นอันศักดิ์สิทธิ์ มีคุณค่าควรยอมรับ ดอกบัวเหล่านี้ เป็นที่พึ่งแห่งแมลงภู่

และสรรพสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก
แต่ดอกบัวที่อยู่ในคลองและโคลนตม เมื่อถึงคราวก็เหี่ยวเฉา
ดอกบัวที่อยู่ในจิตใจของเรา นับวันก็จะรู้ตื่น เบิกบาน และจะยิ่งงอกงามไพบูลย์ตลอดเวลา ลูกหลานต้อง

พยายามสร้างดอกบัวชนิดนี้ให้ได้ ให้เกิดขึ้นทุกขณะทุกเวลา ถือว่าเราเข้าใจพระพุทธเจ้า เราได้บูชาพระ

พุทธเจ้าจริง ๆ ไม่ใช่ดอกบัวที่ขึ้นเป็นหย่อม ๆ เพียงอย่างเดียว เหมือนดังมีคำกล่าว ที่หลวงปู่จะนำพวก

เราเสมอ ๆ เมื่อวันบูชาพิเศษว่า

มือลูกสิบนิ้ว ยกเหนือหว่างคิ้ว ต่างธูปเทียนทอง
วงพักตร์โสภา ต่างมาลากอง
ดวงเนตรทั้งสอง ต่างประทีปถวาย
ผมเผ้าเกล้าเกศ ต่างปทุมเมศ บัวทองพรรรณาราย
วาจาเพราะผอง ต่างละอองจันทร์ฉาย
ดวงจิตขอถวาย ต่างรสสุคนธา

ข้อความเหล่านี้ต่างหากเล่า จึงเป็นข้อความที่ประดิดประดอยดอกบัวอันวิเศษ ซึ่งเกิดด้วยจิต

ศรัทธาอันสูงสุด ความศรัทธาสูงสุดจะไม่เกิด ถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรมอันสูงสุด ที่เราลูบคลำแตะต้องได้

ถ้าเมื่อใดที่เราสามารถอาศัยพระธรรมจนสามารถปลดเปลื้องพันธนาการจากใจเราได้ เราก็จะเข้าอกเข้า

ใจคำว่า ศรัทธาสูงสุด พอมีคำว่า ศรัทธาสูงสุด ก็จะรู้สึกว่า แม้ชีวิตก็ไม่มีค่าเท่ากับศรัทธาที่มีอยู่ พอมีคำ

ว่าศรัทธาสูงสุด แม้ทรัพย์สินศฤงคาร เรือกสวนไร่นา บ้านช่องมหาศาล ทรัพย์สมบัติกองพะเนินเป็นภูเขา

ก็ดูจะเป็นเรื่องเศร้า ถ้าเอามานั่งเฝ้าจับเจ่าดูมัน เพราะเหตุนี้แหละ พระผู้มีพระภาค พระโพธิสัตว์ พระ

อริยะเจ้าจึงละทิ้งสมบัติทั้งปวง เพื่อไปแสวงหาวิโมกขธรรม เพราะพระองค์สั่งสมศรัทธามาสี่อสงไขย กับ

แสนมหากัป พวกเราต่างหากที่ยังไม่ถึงขั้นนั้น ก็ไม่เป็นไร ก็ฝึกหัดปฏิบัติกาย ( ...หลวงปู่ … บ่น...ทั้ง

น้ำมูก น้ำตา กูรำคาญตัวกูเอง เพราะอย่างนี้.. กูจึงไม่อยากสวดมนต์..สวดมนต์แล้วเป็นอย่างนี้แหละ ..

พอได้เข้าถึงองค์ฌาน และหลุดออกมา ก็ยากที่จะระงับอารมณ์แห่งฌานที่ ..เวลาพูด คิด ทำ ที่เป็นกุศล

ก็จะน้ำมูก น้ำตาไหล มึงจะเห็นกูร้องไห้อย่างนี้ที่ไหน ..) ก็อยากจะบอกลูกหลานว่า เมื่อสองพันกว่าปี ได้

ก่อเกิดกำเนิดมหาบุรุษ และท่านก็ทรงมอบมรดกอันวิเศษสุดให้กับเรา นั่นคือธรรมวินัย และพระองค์ก็

จากเราไป แต่ทิ้งริ้วรอยอันงดงามไว้ในหัวใจของสรรพสัตว์ เปรต พรหม มาร อสุรกาย เดรัจฉาน ที่เกิด

ทันในยุคพระองค์ และก็ปฏิบัติดีตาม ให้เราดำเนินตามริ้วรอยสืบต่อ ๆ กัน ไป จนกระทั่งส่งมอบให้ลูก

หลานในชั้นหลัง ๆ ถ้าสามารถทำได้

ขออนุโมทนาในคุณงามความดี และกุศลศรัทธาที่ลูกหลานได้สั่งสมอบรม เจริญมาตลอดเวลาหนึ่งวัน และ

จะมีอีกต่อไปหลายวันข้างหน้า ขอให้ผลบุญและศรัทธาที่ได้สั่งสมอบรมมา จงกลายเป็นฉัตรแก้วปกป้อง

คุ้มครองภัย ให้ทุกท่านเจริญ ปลอดภัย ร่มเย็นเป็นสุข พ้นทุกข์ทั่ว ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ....