ปัจฉิมโอวาท
20 กรกฏาคม 2551
วันนี้เป็นวันปัจฉิมโอวาทในฐานะที่พวกเราบวชกันมา 4วัน 3 คืน บางคนก็ได้ 2 คืน บางคนก็ได้คืนหนึ่ง วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่พวกเราได้ถือเนกขัมมะปฏิบัติ ได้ปฏิบัติธรรมถวายพุทธบูชาเป็นเวลาหลายวัน หลายคืน เชื่อว่าสิ่งที่ได้นี้มันน่าจะเป็นอุปการคุณ เป็นประโยชน์ต่อชีวิตตน โดยเฉพาะน่าจะเป็นจะโยชน์ต่อจิตวิญญาณตนได้ในระดับหนึ่ง ถ้าเราทำมันจริงๆจังๆ ทำมันอย่างเด็ดเดี่ยวและมั่นคง เว้นเสียแต่ว่าเราไม่สนใจที่จะทำ ไม่ใส่ใจที่จะทำ แค่สักแต่ว่ารู้ รู้แล้วก็เอาไปลืมทิ้งไว้เฉยๆไม่ปฏิบัติ หลวงปู่เชื่อว่าสิ่งที่สอนออกไปนั้นมันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของตัวเอง เมื่อมันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตตัวเองก็เชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตคนอื่นถ้าคนอื่นทำได้ และก็เชื่อต่อมาว่า สิ่งที่สอนมาไม่ได้ผิดธรรม ไม่ได้ผิดวินัย ไม่ได้อยู่นอกครูนอกตำรา ไม่ได้อยู่นอกกฏเกณฑ์กติกาของธรรมชาติ และความเป็นจริงของสรรพสิ่งและชีวิต ตนและเชื่อต่อไปอีกว่ามันเป็นวิชาสรรพวิทยาที่ได้ผ่องถ่ายสืบทอดกันมา ตั้งแต่คนรุ่นหนึ่งสู่คนรุ่นหนึ่งตลอดระยะเวลายาวนานเป็นพันๆปี ถ้ามันไม่มีดีไม่ได้ประโยชน์เขาคงจะไม่ถ่ายทอดกันมาใช้เวลายาวนานถึงขนาดนี้ แต่สำคัญว่าเราจะมีคนรุ่นต่อไปหรือรุ่นของพวกเราจะมีโอกาสได้เรียนรู้ศึกษาและนำไปถ่ายถอดให้กับอนุชนคนชั้นหลังๆอีกพันปีข้างหน้าหรือไม่ ร้อยปีข้างหน้าหรือไม่ ก็สำคัญอยู่ว่าคนปัจจุบันทำได้หรือไม่ ถ้าทำไม่ได้มันก็ไม่ได้ คนรุ่นหลังของเราก็จะไม่ได้เรียนรู้ศึกษาสรรพวิทยาเหล่านี้การได้เข้ามาบวชถือเนกขัมปฏิบัติ ที่สำคัญที่สุดก็คือเราได้สั่งสมอบรมบารมีธรรม บารมีธรรมที่ทำให้เราได้กลายเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เป็นพระราชาก็ได้ เป็นพระมหากษัตริย์ก็ได้ เป็นเสนาบดี คหบดีเศรษฐีผู้มั่งมีมากมายเสียตั้งเยอะแยะก็ได้ บารมีธรรมดังกล่าวนั้นก็คือทศบารมีหรือบารมีทั้ง 10 ประการ เริ่มต้นจากเราได้ทำทานบารมี เมจากการบริจาค มีน้ำใจ รู้จักให้อภัย ไม่เห็นแก่ตัว สุดท้ายก็จบลงตรงคำว่าอภัยทานสูงสุด มีทานแล้วก็รักษาศีล เราก็พยายามจะรักษาศีลและปฏิบัติเนกขัม เนกขัมนี่มันทำให้เรารักษาศีลบริจาคทานได้อย่างซื่อตรง ตามเป้าประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า อีกทั้งยังได้มีโอกาสทำเรื่องงดงาม ทำให้สติปัญญาเราตั้งมั่นมั่นคงรุ่งเรืองเจริญสืบมาเรียกว่าเป็นปัญญาบารมี สิ่งที่ไม่เคยได้ฟังก็ได้ฟัง สิ่งที่ไม่เคยได้ยินก็ได้ยิน สิ่งที่ไม่เคยได้เรียนก็ได้เรียน สิ่งที่ไม่เคยได้รู้ก็ได้รู้ สิ่งที่ไม่เคยได้ดูก็ได้ดู สิ่งที่ไม่เคยสัมผัสก็ได้สัมผัส มันก็เป็นการอบรมสั่งสมประสบการณ์ทางวิญญาณ และความรู้สรรพวิทยาให้เพิ่มพูนงอกงามไพบูรณ์ในจิตวิญญาณของตนมากขึ้น ยิ่งรู้มากเท่าไหร่เราก็จะกลายเป็นปราชญ์เป็นบัณฑิตเป็นผู้รู้ ทำพูดคิดก็จะผิดน้อยลง เพราะอำนาจของปัญญาบารมีที่เราสั่งสมอบรมเจริญกันมา นอกจากนี้แล้วเรายัง
ได้มีโอกาสได้เจริญวิริยะความเพียร เป็นบารมีธรรมที่จะสามารถยังให้เกิดประโยชน์ สำเร็จประโยชน์ในการสั่งสม สนับสนุนส่งเสริม กระตือรือร้นทำตนให้เป็นคนมีความเพียรตั้งมั่น เพราะความเพียรนี่แหละมันทำให้เราไม่ย่อท้อ เพราะความเพียรมันทำให้เราประสบความสำเร็จ และเพราะความเพียรอีกนั่นแหละที่พระพุทธเจ้าบอก เราจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ฉะนั้นการมีความเพียรอย่างต่อเนื่อง สืบต่อตลอดระยะเวลายาวนานอย่างไม่ย่นย่อไม่หยุดยั้งมันย่อมทำให้สำเร็จประโยชน์ ตัวอย่างความเพียรมีให้เราเห็นเยอะแยะ บุคคลที่สำเร็จประโยชน์แต่อายุน้อยๆได้ ประสบความสำเร็จในการครองเรือน ในการมีชีวิต ในการประพฤติปฏิบัติธรรม ในการศึกษาเล่าเรียน ในการทำพูดคิดถูกต้อง เหล่านี้เป็นผลสำเร็จมาจากความเพียรทั้งนั้น ก็ที่พวกเราพยายามทำกันมาตลอดระยะเวลายาวนาน 4 วัน 3คืน ก็แล้วแต่ อีกทั้งนอกจากเราจะมีความเพียรแล้วเราก็มีขันติ ความอดทนอดกลั้นต่อปัญหาที่เราต้องฝ่าฟันต่ออุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความง่วงเหงาหาวนอน อากาศ น้ำ อาหาร ที่อยู่อาศัยเครื่องใช้ไม้สอย ผ้าผ่อนท่อนสไบ และสิ่งรอบกายสังคมรอบข้าง รวมทั้งอุปสรรคในจิตใจตัวเองก็คืออารมณ์ อารมณ์ที่ง่วงเหงาเกียจคร้านสันหลังยาว งี่เหง้าไม่เอาถ่านเราก็สามารถที่จะอดทนอดกลั้นมันได้ พยายามจะใช้ขันติข่มมัน หาวิธีเอาชนะมัน นั่นก็เป็นเพราะว่าเรามีสัจจะคือความจริงใจ และมีอธิษฐานธรรมตั้งไว้ในใจ อธิษฐานธรรมที่ตั้งไว้ว่าเราจะสำเร็จประโยชน์และพบกับพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เรียนรู้ศึกษาพระพุทธศาสนาได้ขวนขวายแสวงหาสรรพวิทยาจนลุถึงสติปัญญาอันบริสุทธิ์ จนทำให้เราสามารถเอาชนะทุกข์พ้นทุกข์ และเป็นผู้อยู่เหนือโลกเหนือทุกข์ได้ในที่สุด และเราก็ยังมีเมตตาธรรมต่อคนทั้งหลายอยู่ร่วมกันด้วยการถ้อยทีถ้อยอาศัย เอื้ออาทรเห็นอกเห็นใจให้อภัย เรียกว่าเป็นผู้เจริญเมตตา เพราะเมตตามันทำให้เราสร้างมิตร เพราะเมตามันทำให้โลกสดใสและงดงาม เพราะเมตตามันทำให้สังคมอบอวนไปด้วยกลิ่นอายของชีวิตชีวา และเพราะเมตตามันทำให้ดอกไม้หอม ข้าวอร่อย อากาศสดชื่น สิ่งแวดล้อมเป็นสภาวะไม่ใช่มลภาวะ เพราะเมตตามันทำให้เราจิตใจกว้างขวาง มีญาติมาก มีที่รักมาก มีคนรักมาก มีมิตรมาก มีศัตรูน้อย และเพราะเมตตามันทำให้เราเป็นที่รักของมนุษย์ มาร พรหม และเทวดา รวมทั้งสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายได้ ในขณะเดียวกันในขณะที่เราทำพูดคิดมันอาจจะต้องเจอะเจอปัญหาและอุปสรรคที่ไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ ไม่ตรงใจ ไม่ได้ดั่งใจ ไม่สบอารมณ์ไม่สมหัวใจ ก็ต้องรู้จักวางเฉยมันเสียบ้าง ไม่งั้นมันจะกลายเป็นคนที่แบกโลกไว้ทั้งโลกแล้วกลายเป็นคนที่ต้องเดินแบกโลกไป แบกโลกมา แบกโลกยืนอยู่ แบกโลกนั่งอยู่ แล้วก็แบกโลกนอนอยู่ ปล่อยให้โลกทับตัวเราจนกระทั่งเราอึดอัดอยู่ไม่ได้จนตายในมี่สุด เพราะไม่รู้จักวางอุเบกขาคือวางเฉยต่ออิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ ทั้งชอบและไม่ชอบ ได้และไม่ได้ใช่และไม่ใช่ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้แหละมันมาจากคำว่าเราได้มาปฏิบัติเนกขัมมะ เราได้มาจริงจังตั้งใจที่จะปฏิบัติประพฤติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระบรมศาสดา และด้วยความจริงจังตั้งใจที่เราปฏิบัตินี่แหละทำให้เรากลายเป็นผู้รู้เข้าใจรู้จัก เมื่อใดที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่รู้จักเราก็จะต้องเหมือนตาบอดคลำช้างไปส่งเดช คือเขาว่าอย่างไรก็ทำไปเห็นผล ไม่เห็นผลก็เชื่อตามเขา สุดท้ายเราก็เป็นคนโดนจูงจมูกไปตลอดเวลาไม่เป็นตัวของตัวเอง วิถีของปัญญาคือวิถีที่ต้องเป็นตัวของตัวเอง รู้จักใช้สติปัญญากลั่นกรองใคร่ครวญวิจารณ์พิจารณาสภาพและสภาวธรรมที่ปรากฏ เรียนรู้สัมผัสศึกษา ว่ามันใช่ไหม มันได้ไหม มันเสียหรือเปล่า มัน
เป็นประโยชน์สูงสุดแก่เราไหม เราได้สัมพันธ์สัมผัสถึงไออุ่นและกลิ่นอายแห่งประโยชน์นั้นได้จริงหรือไม่ตามคำสอนนั้นๆ วิถีของปัญญามันเหมือนวิทยาศาสตร์ที่ต้องทดสอบได้ตลอดเวลา ซึ่งมันจะต่างจากวิถีอื่นๆ ซึ่งมันไม่มีกระบานการทดสอบแต่เอาความเชื่อไว้เป็นหลักก่อน ฉะนั้นเมื่อเราเข้ามาสู่วิถีของปัญญา เราศึกษาเรื่องราวของวุฒิปัญญาแล้ว ก็ต้องถือว่าแม้นิดหน่อยไม่มากหรือน้อยมันก็ให้ประโยชน์ได้ เหมือนดั่งไม้ขีดก้านเดียวมันก็สามารถทำให้ป่าทั้งป่าลุกเป็นกองไฟใหญ่เป็นภูเขาเลากาได้ เสียงเทียนแม้น้อยนิดก็ทำให้โลกทั้งโลกสว่างได้ มันก็สามารถทำลายความมืดบอดได้ ฉันใดก็ฉันนั้นวิถีแห่งปัญญาแม้จุดประกายแว๊บเดียวมันก็อาจจะทำให้จิตใจของผู้มืดบอดกลายเป็นผู้สว่างไสว รู้จักสังเกตสังกาวิเคราะห์ใคร่ครวญวิจารณ์พิจารณาในสิ่งที่เข้ามาและออกไปได้อย่างละเอียด มีส่วนรู้จักและเข้าใจได้อย่างชัดเจน ฉะนั้นเมื่อใดที่มีโอกาสได้สั่งสมอบรมวิถีของปัญญาก็อย่าละทิ้งโอกาส เพราะว่าคนเรามันมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่มันหาได้น้อยมากหนึ่งใน 24 ชั่วโมง ที่จะปลีกเวลามาสำหรับศึกษาวิถีของปัญญา ถ้ามันมีมากๆคนประเทศไทยมีตั้งหกสิบกว่าล้านคนวัดนี้มันคงไม่มีที่นั่ง และวัดทุกวัดที่สอนวิถีของปัญญา หรือทุกสำนักก็คงมีคนที่นับถือศาสนาพุทธหรือว่าเชื่อในพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เข้าไปประพฤติปฏิบัติและศึกษาสั่งสมอบรมวิถีของปัญญากันล้นหลามแล้ว แต่เราก็จะได้เห็นด้วยตัวเองแล้วว่ามันหาได้น้อย หาได้น้อยและหาได้ยากกับคนที่จะเดินในวิถีของปัญญาส่วนใหญ่ก็จะเดินในวิถีของอวิชา แล้วเขาก็เชื่อกันว่าในวิถีนั้นมันเป็นวิถีของความชอบใจ ซึ่งเราก็กำลังจะบอกต่อไปว่าวิถีของปัญญานี่แรกๆมันอาจจะไม่ชอบใจ แต่มันถูกต้องตามทำนองครองธรรม และมันเป็นประโยชน์ต่อจิตใจ เหมือนกับที่เราพยายามจะรักษาสิ่งที่งดงามไว้ ที่ได้สั่งสมอบรมมา และได้เก็บสะสมอบรมประสบการณ์ความรู้และสรรพวิทยาทั้งปวง เพราะเราได้เห็นถึงประโยชน์ของมันถูกต้องตามทำนองครองธรรม และตรงใจ แม้จะไม่ถูกใจในบางเรื่องก็ตามที แต่อยากจะบอกท่านที่รักทั้งหลายว่า ไม่ว่าพวกท่านทั้งหลายจะรักษาอะไรก็แล้วแต่ รักษาทรัพย์ รักษาสมบัติ รักษาอวัยวะ รักษาชีวิต รักษาสิ่งแวดล้อม รักษาตัวเองก็ยังไม่ชื่อว่ารักษา แม้ที่สุดเราว่ารักษาศีลเป็นสุดยอดของการรักษาก็ยังไม่ได้ชื่อว่ารักษา ถ้าจะรักษาได้จริงๆก็คือต้องรักษาใจ เข้าพรรษาสามเดือนต่อไปนี้ขอให้ท่านได้ตั้งอธิษฐานธรรมไว้ในจิตใจว่าเราจะเพียรพยายามรักษาใจไว้ไม่ให้กระเพื่อม ตามตาเห็น หูฟัง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัส และอารมณ์ที่ปรากฏ ทำใจให้มันดิ่งนิ่งอยู่เป็นกลางๆเป็นกุศลส้องเสพแต่อารมณ์ที่บุญเป็นคุณงามความดี อย่าทำใจให้หมกมุ่นว้าวุ่นร้อนลุ่มแล้วฝักใฝ่อยู่ในเรื่องไร้สาระ อยู่ในอำนาจแล้วตกเป็นทาสของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เราเสพสิ่งเหล่านั้นมาชั่วชีวิตแล้วมันก็ไม่เห็นพัฒนาขึ้นมันก็ไม่ได้ดีอะไรขึ้นมา เราเปลี่ยนเรื่องเสพกันบ้างก็น่าจะดี ถ้าจำไม่ผิดทุกพรรษาหลวงปู่ก็จะพูดอย่างนี้ พรรษานี้ถ้าอยากจะรักษาศีล แล้วให้มันได้อานิสงส์ยิ่งกว่าการรักษาศีลเป็นสุดยอดแห่งการรักษาก็ช่วยรักษาใจ รักษาใจให้มันสะอาด ให้มันผ่อนคลายโปร่งเบาสบาย ปลอดโปร่งอย่าปล่อยให้ใจมันตกต่ำ ไปส้องเสพสิ่งที่มันเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน รัก โลภ โกรธ หลงมากนัก เพราะเสพมาตั้งแต่เกิดยันแก่จนมาถึงวันนี้ก็ไม่เห็นมันได้ดีอะไร อย่างดีก็ดีกว่าเก่าตรงที่มีเสื้อผ้าใส่ แต่มันก็ยังทุกข์เหมือนเดิม ไม่เห็นมีสุขเพิ่มขึ้นอะไรอย่างนี้ ฉะนั้นควรจะรักษาใจกันบ้าง มันน่าจะช่วยให้ผ่อนคลาย ปลอดภัย ร่มเย็นขึ้นมา ในพรรษานี้ก็ขอให้พวกเราได้ช่วยกันรักษาใจตัวเอง ไม่ต้องไปรักษาใจคนอื่น รักษาใจตัวเองไม่ให้กระเพื่อม ตามอาการเครื่องชัก เครื่องล่อ เครื่องจูง เครื่องฉุดกระชากลากถูทั้งหลาย ทำใจให้มันสงบนิ่งเย็นผ่อนคลายโปร่งเบาสบาย จนกลายเป็นอิสระและเสรีภาพของจิตใจเรา ก็ถือว่าเราได้เป็นเจ้าของชีวิตอย่างแท้จริง เป็นเจ้าของจิตใจ และเป็นเจ้าของคุณวิเศษ เพราะเราได้เข้าถึงคุณธรรม จนสำเร็จคุณประโยชน์ แล้วคนทั้งหลายเขาก็จะมองเราเป็นคนมีคุณค่า ชีวิตเราก็จะเกิดคุณภาพมากขึ้น ฉะนั้น กระบวนการรักษาใจเป็นยอดแห่งการรักษาทั้งปวง แม้เราจะเกียจคร้านลำบากลำบนจากการรักษาศีล แต่หลวงปู่เชื่อว่าการรักษาใจไม่น่าจะเกียจคร้านลำบากลำบนเกินไปนัก เพราะว่าการรักษาใจไม่ใช่เป็นเรื่องเป็นราวของคนอื่น สิ่งอื่น วัตถุอื่น เรื่องอื่นนอกชีวิต แต่มันเป็นเรื่องของชีวิตตัวเองล้วนๆ ถ้าเรารักษาได้เราก็ได้ รักษาไม่ให้มันกระเพื่อมเราก็เป็นสุขสงบ เย็น รักษาไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจการครอบงำเราก็มีเสรีภาพและอิสระ รักษาให้มันเกิดความสงบเย็นมันก็จะกลายเป็นผู้ที่มีทุกข์น้อยลงอย่างนี้เป็นต้น ก็ฝากท่านที่รักเอาไว้ ขออนุโมทนาในกิจกรรมและกุศลบารมีธรรมที่ท่านได้กระทำมา บุญกุศลที่ท่านได้อบรมมาจงย้อนกลับไปเป็นหมื่นเท่าพันทวีที่บำบัดรักษาดูแลใจของท่านให้สงบเย็นเป็นสุขวัฒนาถาวรและได้ดั่งใจหวัง สมปรารถนาทุกคนทุกท่านเทอญ