การปฏิบัติธรรมภาคบ่าย
19 กรกฎาคม 2551
ชำระไขกระดูกต่อ

สมัยหลวงปู่เรียนธรรมมะอบรมกรรมฐาน  ไม่ได้มีครูบาอาจารย์มาอบรมสั่งสอน  ศึกษาตามพระไตรปิฎกศึกษาตามพระคัมภีร์  แม้ที่สุดเรียนนักธรรมตรี โท เอก ก็อ่านหนังสือเอาแล้วนำไปสอบ  อาศัยรู้ตัวเราว่าโง่  เรารู้ตัวเราว่าโง่ก็ศึกษาบ่อยๆ   ศึกษาถี่ๆเวลาเราจะศึกษาอ่านอะไรแต่ละบทก็อย่าให้มันผ่านไปง่ายๆ  ต้องเอามาขบคิด เอามาวิเคราะห์  ในธิเบตเขาเรียนเรื่องสติตัวเดียวเขาใช้เวลาหนึ่งปี  ครูบาอาจารย์ของเขาก็สอนลูกศิษย์ไม่ได้สอนเยอะ  ของเรามันเรียนเยอะ ปีเดียวมันเรียน พระไตรปิฎกจบสามบท  เรียนหมด  ของเขาเรียนธรรมมะปีละตัว  เรียนมาพอถึงปีเดินขึ้นภูเขาไปสอบกับอาจารย์  อาจารย์ถามว่าบันไดขั้นที่สองร้อยมีอะไรวางอยู่  ถ้าตอบไม่ได้ก็ไล่ลงมา   ไปเริ่มปีหน้ามาสอบใหม่  แค่สติตัวเดียว  สมัยก่อนหลวงปู่เรียนก็ต้องฝึก  เราก็ไม่ได้เข้มข้นเหมือนกับที่ธิเบตเขาเรียน แต่ก็พยายามให้ละเอียดอ่อน  เวลาอ่านหนังสือธรรมวิภาค  สติความระลึกได้  สัมปชัญญะความรู้ตัว  ธรรมเป็นเครื่องอุปการะมากสองอย่าง  เราก็จะสอบถามตัวเองตั้งเป็นโจทย์  อุปการะอย่างไรจึงเรียกอุปการะมาก   ท่านเปรียบไว้ว่า  สติเปรียบดังมารดายังให้บุตรเกิด สัมปชัญญะเปรียบเหมือนดั่งบิดาที่คอยเลี้ยงดูบุตร คนมีสติมีสัมปชัญญะก็คือมีทั้งพ่อทั้งแม่  โตอย่างปลอดภัย  โตอย่างภูมิฐาน  โตอย่างคุ้มค่า  โตอย่างมีความสุขสมบูรณ์  โตอย่างมีคุณภาพ  ค้นหาศัพท์ที่มาของสติ ค้นหาศัพท์ที่มาของสัมปชัญญะ  ตำรากี่เล่ม  คัมภีร์กี่ผูกเอามาเปิดดูว่ามีอะไรที่มันเกี่ยวข้องกับสติสัมปชัญญะ  สมัยก่อนฝึกอย่างนี้  เรียนรู้อย่างนี้  เพราะว่าเราเป็นพระเป็นเณรไม่ได้มีอาชีพไปทำมาหากินอะไร   วันๆกินแล้วก็มีเวลาว่าง  ต้องใช้เวลาให้เป็นประโยชน์  แต่ที่นี่ก็ต้องยอมรับว่างานเขาเยอะจัด  งานเยอะก็เลยไม่มีเวลาจะได้ศึกษาหรือเปล่าก็ไม่ค่อยจะแน่ใจ  เมื่อต้นปีก็แยกคณะ  มีคณะศีล  พวกคณะศีลนี่ไม่ต้องทำอะไร มีหน้าที่บิณฑบาทฉันเช้า  เสร็จแล้วก็ศึกษาวิเคราะห์ ที่ผ่านมาก็ลองแอบๆฟังดูร่มปียังไม่ได้อะไรเลย   อาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่เข้าใจบทบาทฐานะตัวเอง  คนนี่มันเหมือนกัน ไม่ว่าจะแก่ไม่ว่าจะหนุ่มไม่ว่าจะอายุมากน้อยปรานกลาง  การเรียนรู้ศึกษานี่มันอยู่ที่หัวใจ ถ้าเราจริงจัง ตั้งใจ จดจ่อ จับจ้อง  เรียนรู้ศึกษาอย่างระมัดระวัง  ไม่ว่าอายุปานไหนมีประสบการณ์มามากน้อยเพียงไหน  เหมือนวิชาความรู้ที่หลวงปู่สอนพวกเราเยอะแยะมากมาย  สอนหลายอย่าง  ถาม.....แล้วเป็นหลายอย่างไหม  ตอบเอง...โง่หลายอย่าง  ยิ่งสอนมากยิ่งโง่มาก  เลยพลอยให้กูโง่ไปด้วย  เพราะว่าพอสอนปฏิจสมุปบาท  เข็นแล้วเข็นอีก  ต้องมานั่งอธิบายเยอะมาก  กูก็มานึกว่าทำไมกูต้องมานั่งอธิบายเยอะแยะมากมายทำไมพวกมึงไม่รู้จักที่จะรู้เองบ้าง  ถาม.....ทำไมวะ  ตอบ.....โง่เจ้าค่ะ  หลวงปู่หัวเราะร้องเอ้อ.....ชื่นใจหน่อย  ให้มันรู้บ้าง  เอ้า  ลองลดลงมาสอนให้มันน้อยลง  มาไล่อาการ12 วนรอบ  ขนาดรอบเดียวกูยังแย่เลยหืดขึ้นคอ  ถ้ากูสอนหมดทุกรอบวน 12 รอบกูแย่   กว่ามึงจะบรรลุอรหันต์กูเป็นอรหอยไปแล้วเผาไปแล้ว  ลดลงมาอีกสอนให้มันน้อยลงไปอีก  เอาแค่ความไม่รู้ อวิชชา  ก็ยังใช้คำอธิบายเยอะอีก  คนเรานี่ถ้ามันไม่รู้ซะแล้วมันก็จะไม่รู้ทุกเรื่อง   ไม่รู้แม้กระทั่งสิ่งที่เป็นอยู่มันเป็นมลทินเป็นโทษ  ไม่รู้แม้กระทั่งกิริยาที่นั่งอยู่   กิริยาที่ยืนอยู่  เดินอยู่  ทำอยู่  มันเป็นมลทินเป็นโทษไม่ใช่เป็นความสว่าง  เป็นความมืด  ไม่รู้แม้กระทั่งอารมณ์ที่รักอยู่ผูกอยู่ พันอยู่มันเป็นมลทินเป็นโทษ  มันเป็นรากเหง้าของความไม่รู้  มันเป็นเหตุปัจจัยแห่งความไม่รู้เหมือนเชื้อเพลิงของความไม่รู้  ซึ่งมันเป็นเพลิงที่ไม่มีแสงไฟ  มีแต่ควันกรุ่นๆ  ยิ่งผูกพันอารมณ์เหล่านั้นไปก็เท่ากับยิ่งเติมเชื้อไฟ  มีแต่ควันกรุ่นแล้วขี้เถ้าฟุ้งแต่ไม่เห็นแสงไฟ  ไม่รู้ก็พยายามจะบอกให้รู้  บอกไปบอกมากูสำลักควันตาย  ไอ้คนเจ้าของควันมันไม่รู้อะไรหรอก  แต่กูสำลักควันตาย  เอ้าเปลี่ยนใหม่  หาวิธีที่จะทำให้มันเข้าถึงเป้าหมายที่แท้จริง  กลับมาสอนสมถะให้เยอะหน่อยแล้วเอา สมถะเป็นฐานของวิปัสสนาก็คือพร้อมปัญญา  พยายามที่จะให้เห็นว่าทั้งสมถะทั้งปัญญาและทั้งวิปัสสนานี่มันสามารถอยู่รวมกันได้ถ้าเราเป็นผู้ชาญฉลาดรู้จักบูรณาการประยุกต์  ขีดลมหายใจหนึ่งครั้งการขีดลมกว่ามันจะหมดมันใช้ระยะเวลาในการเดินทางยาวมาก  และทางยาวมากจิตมันเกิดดับเป็นกี่ดวงๆ  รู้ครั้งก็เกิดครั้ง    รู้ครั้งก็เกิดครั้ง  บางคนมันขีดปืดเดียว  มารู้เอาตอนสุดท้าย  แล้วที่เหลือเกิดดับแต่ไม่รู้ เกิดดับแล้วตายเลย  ในขณะที่ไม่รู้กับรู้ จิตมันเกิดดับเท่ากันหมด ขีดหนึ่งขีดจิตเกิดดับเท่ากัน แต่ถ้าขีดหนึ่งขีด เรารู้ตั้งแต่เบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดก็มีตัวรู้ยาวเท่ากับหนึ่งขีด  แต่ถ้าขีดหนึ่งขีดแล้วรู้แค่หัว ท้ายจบเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้  เกิดดับก็เท่ากัน จิตก็เกิดดับเท่ากันแต่ตัวรู้มันตายไม่ยอมโต  ก็พยายามหาวิธีเพิ่มให้ดูลม  ตามดูลมมันสุดที่ไหน ถ้าไม่รู้ขีดก็ให้รู้ลม  รู้ลมแล้วก็บังคับลมได้  บังคับลมได้ก็คือบังคับจิตรู้ได้  เพราะการจะบังคับลมได้ ถ้าจิตไม่รู้จะบังคับไม่ได้  การบังคับคือการขีด  ถ้าไม่มีตัวรู้จะขีดรู้เรื่องไหม เมื่อวานกูสอนกรรมฐานรู้สึกแผ่นดินสะเทือน วันนี้ฟังข่าวญี่ปุ่นเขาแผ่นดินไหว เรด้าหลวงปู่ไปไกลถึงญี่ปุ่น มันรู้อย่างนี้ได้มันรู้ได้ทุกคนสำคัญมันจะทำตัวรู้ให้ปรากฏแค่ไหน เล่าให้ฟังไม่ได้อวดความรู้แต่อยากให้เห็นว่าถ้ามันมีตัวรู้แล้วอย่าว่าแต่เรื่องเล็กๆน้อยๆเลยเรื่องใหญ่ๆก็รู้ได้  แต่เรื่องบางเรื่องเมื่อรู้แล้วมันเป็นกรรมมันเป็นเหตุปัจจัยมันเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องเผชิญเจอะเจอ ไม่ใช่พอรู้แล้วหนี้เก่าไม่ยอมใช้ก็ผลัดไปวันๆ  ผลสุดท้ายหนี้เก่าก็ทบต้นทบดอก ดอกขึ้นเลยกลายเป็นหนี้เบิกบาน  จำเป็นต้องใช้อีกที  ทีนี้ไม่มีผุดมีเกิดแล้วอะไรอย่างนี้   พระพุทธเจ้ายังต้องใช้หนี้พระเทวะทัต  การเรียนรู้พระธรรมวินัย  พระศาสนาการเรียนรู้วิถีแห่งจิต  วิถีปฏิบัติ มันไม่ได้อยู่ที่คน มันอยู่ที่ใจ ถ้าใจเราตั้งมั่น ใจเราศึกษา ใจเราค้นคว้า ใจเราปฏิบัติ ใจเราซื่อตรง จะสังเกตดูลูกหลาน เวลาเขาปล่อยให้กลับก็ไปจ้อกันแจ๊ดๆ  นินทาคนนั้น นินทาคนนี้คุยกันเรื่องอะไรไม่รู้น้ำลายฟูมปากเลยไม่หลับ  แต่พอให้มาเรียนเสือกนั่งหลับ  ต้องเหนื่อยกูอีกแล้วต้องให้ลุกขึ้นยืนบิดซ้าย บิดขวา   โยกหน้า โยกหลัง  ( บ่น )ตาย....อย่างนี้  เออ...ถ้าเรียนไปแล้วมีเวลากลับไปปีกวิเวกไปหามุมทำจิตภาวนา  ไอ้นี่ไปนั่งจับกลุ่มแจ๊ดๆอะไรไม่รู้  มันก็แสดงว่าใจ ความรัก ความศรัทธา ความเชื่อมั่น ความต้องการผลแห่งความสำเร็จ  ความขวนขวายในผลแห่งการปฏิบัติเรายังไม่มั่นคง  เรายังไม่ซื่อตรง ไม่จริงจังไม่จริงใจ  แล้วก็รอเฝ้าวันนี้หลวงปู่จะสอนอะไรกู  โอ้โห...กูจะไปสอนอะไรมึง  กูจะหมดพุงอยู่แล้ว  
พยายามตะล่อม  ต้อนอยู่นั่นแหละ  ที่จริงชีวิตหลวงปู่มันเป็นครู ทำดีให้เขาดู  เป็นครูให้เขาเห็น  แค่จะมองชีวิตในวิถีทำ พูดคิด  ถ้าได้ซึมซับก็จะรู้ว่านี่คือวิถีของผู้เข้าใจ รู้  รู้จัก เข้าใจ ทุกเรื่อง เวลาจะเข้าโรงครัว เข้าที่ประกอบยา รดน้ำต้นไม้ ปลูกสมุนไพร ตัดหญ้า เก็บขยะ  หลวงปู่ต้องเป็นคนบอก แล้วก็ทำให้เขาเห็นวิธีทำที่สุดยอด วิธีทำที่เลิศ วิถีทำที่มีผลสูงสุด คุ้มค่าที่สุด ประหยัดสุดต้องทำอย่างไร  ถ้าได้เรียนรู้ ได้ศึกษา ได้สั่งสม ได้คอยเฝ้าสังเกต ก็จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่มันหยาบ มันกระด้าง มันไม่เห็นคุณค่า มันไร้ราคา   มันไม่มีสติปัญญามันก็จะปรับไปเปลี่ยนไป  ไม่จำเป็นต้องมานั่งอบรมสั่งสอนอะไรเยอะแยะ  อาจจะเป็นเพราะว่ากระบวนการเรียนรู้ยังไม่ตื่นพร้อม  จำได้ไหมว่าเคยสอนให้ฝึกตัวรู้เคยสอนไปแล้วยัง
คำสั่ง    ลุกขึ้นยืน ฝึกให้มันจริงจังเด็ดขาด ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวอย่าปล่อยให้ตัวเองหลงอยู่ในภวังคจิต  นิวรณ์ธรรม ความง่วงเหงา ความพยาบาท  ยืนให้คงที่ปรับสมดุล พร้อมหลับตา ปรับขยับขับไล่ให้โปร่งเบาสบาย  ปรับตัวรู้ให้ปรากฏออกมา จนสามารถที่จะเปล่งรัศมีออกมาทางกายได้ เขาเรียกเราได้ว่าท่านผู้รู้แล้ว  ลักษณะของปราชญ์ ของบัณฑิตมันมีอยู่ ไม่ใช่หลวงปู่พูดเองเออเอง  พระพุทธเจ้าสอนด้วยนา  ปราชญ์บัณฑิตมันมีลักษณะแตกต่างจากพวกที่ไม่ใช่ปราชญ์บัณฑิต  มองปร๊าดเดียวคนมีปัญญาก็จะรู้ได้ว่าท่านผู้นี้เป็นปราชญ์เป็นบัณฑิต  แม้จะเสแสร้งแกล้งทำอย่างไรก็เห็นได้ต่อแววปราชญ์บัณฑิต ผู้มีตัวรู้ปรากฏชัด  แม้สีหน้าแววตา ผิวหนัง รัศมีรอบกาย  สัมพันธ์สัมผัสได้ นั่นคือขับตัวรู้ให้ออกมา ทำตัวรู้ให้ตื่น  ไม่ต้องไปรับรู้เรื่องอื่น เอาแค่รู้ภายใน รู้โครงสร้างภายใน รู้ภายในกายตน  รู้ว่ากำลังยืนอยู่ ยืนอยู่ท่าไหน น้ำหนักตัวทิ้งไปทางซ้ายห้าสิบ ขวาห้าสิบ อาการยืนเหมาะสมมั่นคงไหม ยืนแล้วผ่อนคลายไหม  เรากำลังจะทำร้ายตัวเองหรือเปล่า การทำร้ายตัวเองไม่ใช่คนอื่นมาทำร้ายเรา  คนอื่นทำร้ายเรา24ชั่วโมงมันทำได้ที่ไหน  แต่เป็นเรื่องโง่เอามากๆที่ตัวเราเองทำร้ายตัวเองได้ตลอด24ชั่วโมงเพราะเราไม่รู้  บางทีบางครั้งก็นั่งผิดพลาดจนทำให้กระดูกเบี้ยว แล้วก็มาเจ็บมาปวดทั้งชาติ คนอื่นทำร้ายเราที่ไหน  เพราะตัวรู้มันไม่ปรากฏไง  บางทีก็ยืนผิดพลาดเบี้ยวไปข้าง จนขาสั้นไปข้าง  อย่างนี้เขาเรียกว่าทำร้ายตัวเอง  เกิดมาท้องแม่มันก็เท่าๆกัน  แต่พอโตแล้วไม่รู้จักใช้มัน มันก็เอียงไปข้าง ยืนเป็นนิสัย นอนเป็นนิสัยนอนผิดรูปแบบชอบนอนแบบนี้ก็นอนมันไป นอนจนกระทั่งเส้นฝ่อ เส้นบิดเบี้ยว  กระดูกเบี้ยวคด  เลือดลมไปเลี้ยงไม่พอทีนี้ก็กลายเป็นคนอัมพฤกษ์อัมพาต  เราทำร้ายตัวเองด้วยความไม่รู้ตลอด  แม้อาหาร  อากาศที่สูดเข้าไป การดำรงชีวิตอยู่  อารมณ์สำคัญส่วนใหญ่  อารมณ์ที่เป็นมลทินมลภาวะ  เป็นปฏิปักษ์กับชีวิตก็เอามันเข้ามา  ดูซิเวลานี้เราอยากให้อารมณ์มันสงบๆมันยังไม่อยากจะสงบเลย  ก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย  บางคนนี่เคลิ้มเลยกูบ่นขนาดนี้มันยังเคลิ้มเลย  เราทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดจะเรียกว่าเป็นผู้รู้ได้ยังไง มันไม่ใช่ลักษณะบัณฑิต  บัณฑิตที่แท้จริงเขาจะไม่ทำร้ายตัวเอง
คำสั่ง    ปรับสมดุลโครงสร้างเสียใหม่ทำให้เบิกบาน  มีตัวรู้ปรากฏชัด  ให้ตัวรู้พร้อมรับรู้ทุกเรื่องที่เข้ามาและออกไป  อย่างเป็นผู้รู้จักเข้าใจ  รู้จักทุกเรื่องภายในตนและภายนอกตน
คำสั่ง        สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ  ดูลมที่เข้าถึงฝ่าเท้าได้ไหม
    หายใจออกตั้งแต่ฝ่าเท้าไหลย้อนกลับขึ้นมา
หายใจเข้าให้ลมค่อยไหลลงไปตามท่อส่งลมให้ถึงปลายเท้า ให้ลมวิ่งไปตามข้อกระดูก  ท่อโพรงกระดูก
    หายใจออก ดูให้ลมมันออกจากปลายเท้าไหลย้อนขึ้นมาไหลเรื่อยไป
คำสั่ง    หายใจเข้าจมูก  หน้าผาก กลางกระหม่อม  กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง กระดูกสันหลัง ก้นกบ แยกไปสะโพกสองข้าง  ลงไปขาสองข้าง ข้อพับสองข้าง น่อง ไปข้อเท้าสองข้าง ฝ่าเท้าสองข้างปลายนิ้วเท้า หายใจออกก็ให้ลมออกจากปลายเท้าไหลย้อนขึ้นมาฝ่าเท้า ข้อเท้า น่อง ข้อพับ ต้นขา สะโพก ก้นกบ กระดูกสันหลัง  ต้นคอ  กะโหลกศีรษะ กลางกระหม่อม หน้าผาก จมูก
หายใจเข้าไปใหม่เปลี่ยนทิศบ้างก็ได้  เข้าจมูก ลำคอ หน้าอก  ลิ้นปี่   ช่องท้องเหนือสะดือ ใต้สะดือ หัวเหน่า  แยกไปขาสองข้าง หัวเข่า หน้าแข้ง ข้อเท้า หลังเท้า  ปลายนิ้วเท้า  หายใจออกให้ลมออกจากปลายเท้าขึ้นข้างบนอย่างนี้เป็นต้น
คำสั่งพร้อม    ให้ทุกคนต่างคนต่างทำ
    (คนที่ป่วยเป็นโรคอย่าเอาแต่กินยากูแล้วไม่ยอมฝึกวิชากู  ฝึกวิชาน่ะมันจะหายง่ายขึ้น  กินยาด้วย รักษาทางกายด้วย รักษาทางใจด้วย ทำให้ยามีฤทธิ์มากขึ้น  ร่างกายก็สร้างภูมิคุ้มกันต่อต้านเชื้อโรคร้ายได้มากขึ้น  เสริมฤทธิ์ยาให้แกร่งให้แรงขึ้น  ตรงไหนที่มันจะบิดบังไม่ให้ฤทธิ์ยาเข้าไปกำจัดทำร้ายก็สามารถทำได้  สามารถกำหนดได้  ป้องกันไต ป้องกันตับ ป้องกันหัวใจ  ป้องกันอวัยวะที่บอบบางให้ยามันไปเฉพาะตรงจุดที่เราต้องการให้มันไปสามารถกำหนดได้ถ้าช่ำชองเชี่ยวชาญชำนาญ  ทำให้มันจริงๆจังๆให้มันเป็นภาระกรรมกับชีวิต  อย่าทำมันเล่นๆหรอกๆ  ไหนๆเสียเวลามาแล้ว ให้มันได้อะไรติดไม้ติดมือติดใจติดสันดาน ติดวิญญาณให้ข้าภพข้ามชาติให้ได้   ไม่ใช่ได้แค่ผิวเผินบอกแต่เพียงคำว่าบุญ  ถ้าเรามีตัวรู้อยู่ข้างใน เรื่องพวกนี้ไม่ยาก นอกจากว่าตัวรู้เราตายหรือแตกซ่านไปทางหูบ้าง  ทางจมูกบ้าง  ทางใจบ้าง ทางอารมณ์บ้าง จนทำให้จิตแตกซ่านหรือฟุ้งซ่านนั่นแหละ
คำสั่ง    ลองสลับดูบ้างให้ลมออกปลายนิ้วมือ
    หายใจเข้าจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอ หัวไหล่สองข้าง ท่อนแขนด้านบน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ ปลายนิ้วมือหายใจออกให้ลมอกจากปลายนิ้วมือ
    หายใจเข้าย้อนกลับ ปลายนิ้วมือ ฝ่ามือ  ข้อมือ ท่อนแขนด้านล่าง ข้อศอก ท่อนแขนด้านบน หัวไหล่สองข้าง  ต้นคอ กะโหลกศีรษะด้านหลัง  กลางกระหม่อม  หน้าผาก  จมูก ลองทำสลับกัน
ความรู้สึกเหมือนปลายนิ้วมือฝ่ามือท่อนแขนมันได้ดูดลมเข้า  แล้วไปออกที่จมูก แล้วเข้าจมูกไหลเลื่อนไปตามจุดแล้วออกที่ฝ่ามือปลายนิ้วมือ
คำสั่ง        ค่อยๆลงนั่งอย่าให้ตัวรู้ตาย แล้วเดินลมต่อไป เดินลมยาวก็ได้ เดินลมสั้นก็ได้
คำสั่ง    หายใจเข้าจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะ ต้นคอ หัวไหล่สองข้าง กระดูกสันหลัง ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง ขึ้นมาที่สะดือ มาที่ลิ้นปี่ หน้าอก แยกไปที่ราวนมสองข้าง มารวมกันที่ลำคอ  ออกปาก
    เดินลมเข้าจมูก หลอดลม ลำคอ  แยกไปไหปลาร้าสองข้าง หัวไหล่สองข้าง ท่อนแขน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ ออกปลายนิ้วมือ
    หายใจเข้าจากปลายนิ้วมือ ฝ่ามือ สูดกลับเข้ามาถึงท่อนแขน ข้อศอก แขนท่อนบน  หัวไหล่ ไหปลาร้า ย้อนกลับมาที่ลำคอ  ออกปาก  สลับสับเปลี่ยนกันทะลุทะลวงไขกระดูก ชำระให้สะอาด ให้โครงกระดูกเบา  ทำบ่อยๆตัวจะเบาเดินไม่เหนื่อย  น้ำหนักตัวจะไม่มาก  ภาระในการแบกหามร่างกายก็จะไม่เยอะ  
คำสั่ง    หายใจเข้าแล้วตามดูลมว่ามันสุดตรงไหน  หายใจออกดูว่าลมมันดับลงที่ตรงไหน  แล้วเล่นกับลมไปเรื่อยๆ ออกทางซ้ายบ้าง ออกทางขวาบ้าง  ให้ลมออกครึ่งตัว ให้ลมออกช่วงบน  ให้ลมออกช่วงล่าง  ทำให้ช่ำชองเชี่ยวชาญ  ไม่ต้องให้มาสอนทุกขั้นตอนจนหมดทุกเรื่อง เราต้องค้นคว้า ต้องศึกษา เขาบอกมาให้หน่อยเราต้องต่อยอดสามสี่ห้าได้  ไม่ต้องให้ต่อให้ทุกเรื่อง
หลวงปู่    โยนถาดกระทบพื้นเสียงดัง  ถาม.........เสียงเกิดก่อนหรือตัวรู้เกิดก่อน
คำสั่ง    ไล่ลมเข้าจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอ หัวไหล่ ท่อนแขนด้านบน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ  ให้ลมออกกลางฝ่ามือ
    ดูดลมเข้าจากกลางฝ่ามือไปตามท่อนแขนหงายฝ่ามือขึ้น  เดินลมสั้นๆแค่นี้ลองทำดูซิทำได้ไหม ให้ลมออกที่ฝ่ามือ เข้าที่ฝ่ามือ  ไม่ต้องลงช่วงล่าง ข้อกระดูกเป็นเหมือนท่อเดินลม ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้  ผิวหนังมันเหมือนกับวาวส์เปิด-ปิด  เรามีสิทธิ์จะสั่งมันได้  มันมีรูพรุนเยอะแยะที่ทำให้ลมเข้าได้  และออกได้  เรามีสิทธิ์จะกำหนดให้มันเข้าและออกได้  คนที่ไม่มีตัวรู้อยู่ข้างในทำเรื่องนี้ยาก  มันจะติดขัด มันจะสงสัย มันจะอึดอัด  มันจะสับสน มีตัวรู้อยู่ข้างในท่านผู้รู้ตื่นแล้วจะทำง่ายมาก  ออกกลางฝ่ามือก็ให้เข้ากลางฝ่ามือ เดินลมสั้นกำลังลมยิ่งกล้าแข็ง เพราะฉะนั้นแขน ฝ่ามือ หัวไหล่ ต้นคอ กะโหลกศีรษะด้านหลัง  กลางกระหม่อม หน้าผากต้องโล่ง เราต้องรู้สึกได้เพราะลมมันกล้าแข็ง  ปราณมันเหนียวแน่น ไม่มีช่องว่างช่องโหว่เพราะมันไม่ได้เดินยาว เราจะรู้สึกเบาแขน เบาหัวไหล่ เบาต้นคอ กะโหลกศีรษะโปร่งเบา
คำสั่ง    สูดลมหายใจเข้าลึกๆให้ลมซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย  ลมเดินไปตามรูขุมขน ตามกล้ามเนื้อ ตามผิวหนังจนถึงปลายฝ่าเท้า ให้ลมแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย
    หายใจออกเบา ยาว หมดรู้
    หายใจเข้าภาวนาว่าสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
    หายใจออกภาวนาว่าสัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
คำสั่ง    ค่อยๆยกมือไหว้พระกรรมฐานแล้วลืมตาผ่อนคลาย
คำสั่ง    ทุกคนนอนลงเหมือนท่าศพ แล้วเดินลมยาว
หายใจเข้าจมูก หลอดลม ลำคอ ลงไปลิ้นปี่ ช่องท้อง หัวเหน่า แยกไปขาซ้าย ขวา ข้อเข่า หน้าแข้ง ข้อเท้า หลังเท้า ปลายนิ้วเท้า หายใจออก
    หายใจเข้าจากปลายนิ้วเท้าเข้ามา  ดึงลมย้อนกลับเข้ามาเหมือนเดิม จนกระทั่งออกจมูก  แล้วหายใจย้อนกลับลงไปใหม่ ไปถึงปลายนิ้วเท้าใหม่  ออกทางไหนก็เข้าทางนั้น ลมออกปลายเท้า  ลมเข้าก็เข้าปลายเท้า แล้วสลับลม  หายใจเข้าจมูกขึ้นหน้าผาก กลางกระหม่อม  กะโหลกศีรษะ ต้นคอ หัวไหล่ กระดูกสันหลัง ก้นกบ ไปสะโพก ไปท่อนขา ขาพับ น่อง ส้นเท้า ฝ่าเท้า ปลายนิ้วเท้า หายใจออก แล้วดูดเข้ามาใหม่จากปลายนิ้วเท้าเข้ามาจนไปออกที่ปลายจมูกใหม่  สลับสับเปลี่ยนกัน ค้นหาท่อให้เจอ น้ำอัดเข้าไปแล้ว ลมอัดเข้าไปแล้ว  ต้องมีทางออก  ออกแล้วก็ต้องมีทางเข้า
คำสั่ง    เดินลมให้สั้นลง หายใจเข้าจมูก หลอดลม ลำคอ  ราวนม  ลิ้นปี่ ลงไปที่ช่องท้อง เหนือสะดือ ใต้สะดือ แล้วทะลุลงไปที่กระดูกสันหลัง ย้อนกลับขึ้นมา ถึงหัวไหล่ ต้นคอด้านหลัง กะโหลกศีรษะด้านหลัง กลางกระหม่อม  หน้าผาก  ออกจมูก  ตามรู้ให้ชัด ไม่ใช่รู้แค่หัวกับท้ายเท่านั้น ต้องรู้ให้ตลอดท่อ ว่าท่อตรงไหนรั่วจะได้อุด  ตรงไหนตันจะได้เปิด อาการทะลุทะลวงนั้นมันจะต้องโปร่ง ถ้าทะลุทะลวงแล้วมันไม่โปร่งแสดงว่ามันต้องตัน  หรือรับรู้มันไม่ได้  ลมเดินไปตรงไหนตรงนั้นต้องโล่งข้อจำกัดของวิชานี้ก็คือ ลมทะลุทะลวงไปถึงตรงไหน  ตรงนั้นต้องโปร่ง ต้องโล่ง ต้องรู้สึกได้ด้วยตัวเราเองว่าเรารู้สึกโล่ง เบา ผ่อนคลาย สบาย เราจะรู้ได้ด้วยตัวเราไม่มีใครมาบอกเราหรอก  เว้นเสียแต่ว่าเราไม่ทำหรือทำไม่ได้
คำสั่ง    หายใจสลับให้สั้นลงไปอีก  หายใจเข้าจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง  ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง ไปที่ท่อนแขนสองข้าง ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ กลางฝ่ามือ ออกปลายนิ้วมือ  
คำสั่ง    หงายฝ่ามือ แล้วหายใจเข้าจากปลายนิ้วมือเข้ามา ที่หลังมือ ข้อมือ  แขน ข้อศอก  ท่อนแขนด้านบน หัวไหล่  ต้นคอซ้ายขวาขึ้นมาที่กลางกะโหลกด้านหลัง รวมกันที่กลางกระหม่อม ไปหน้าผาก ออกจมูกสองข้าง  เข้าที่จมูกแล้วไปออกปลายนิ้วมือใหม่
คำสั่ง    สูดลมหายใจเข้าให้ลมซ่านไปทั่วตั้งแต่ข้างล่างขึ้นข้างบน  ให้ลมซึมสิงซ่านไปทั่วอณูของร่างกาย จนรู้ได้ว่ามีไอร้อนออกจากรูขุมขนทั่วสรรพางค์กาย  ให้รู้ให้ได้ว่าไอร้อนออกทุกรูขุมขนแม้แต่เส้นผม  หนังศีรษะ  ฝ่าเท้า ลำตัว ท่อนแขน ท่อนขา ข้อพับ ฝ่ามือ ง่ามมือ ปลายนิ้วมือ ง่ามเท้า ปลายนิ้วเท้า  เวลาลมเข้าก็ให้เข้าตามขุมขน  ออกทุกรูขุมขนได้ ออกก็ต้องออกทุกรูขุมขนได้
คำสั่ง    ยกมือพนมระหว่างหน้าอก ให้ฝ่ามือห่างกันเล็กน้อย  ให้ศูนย์กลาวงฝ่ามือทั้งสองข้างมีไอร้อนปรากฏแล้วภาวนาว่าสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุขผ่านไอร้อนนั้น สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์  จับเพ่งไปที่ไอร้อน  วางลมหายใจให้เหลือไอร้อนกับคำภาวนา(วางลมหายใจก็คือไม่ต้องไปรับรู้ลมหายใจปล่อยให้เป็นธรรมชาติ) เหลือแต่ไอร้อนกับคำภาวนา  ไอร้อนอยู่ที่กลางฝ่ามือ  คำภาวนาอยู่ที่ใจ จับไอร้อนเป็นนิมิต สัมพันธ์สัมผัสไอร้อนได้เรียกว่าปฏิภาคนิมิต นิมิตเทียบเคียง นิมิตเหมือนจริง นิมิตใกล้ชิด
คำสั่ง    พอ ยกมือไหว้พระกรรมฐาน ภาวนาในใจว่าสาธุวันทากรรมฐานัง (หมายถึงไหวพระกรรมฐานอันงดงามดีเลิศนั้น)  ค่อยๆลืมตา ผ่อนคลาย แล้วลุกขึ้น