แสดงธรรมต้นเดือน
๓ กุมภาพันธุ์ ๒๕๕๑
เรื่องคนที่มีบุญหล่อเลี้ยง กับ คนที่มีบาปหล่อเลี้ยง
บาปคือการทำร้ายทำลายผู้อื่นไม่ว่าจะด้วยกาย วาจา ใจ ในทางกลับกันถ้าเรารู้จักให้อภัยคนอื่น เราเมตตาต่อคนอื่น เราเอื้ออาทรคนอื่น เราการุนต่อผู้อื่น
เราสงเคราะห์อนุเคราะห์ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยกายวาจาหรือจิตใจมันเป็นบุญทั้งนั้น ถ้าถามว่าทุกวันนี้เราอยู่ด้วยบาปเลี้ยงหรือบุญเลี้ยง ส่วนใหญ่จะมี
แต่บาปเลี้ยง บุญไม่ค่อยได้เลี้ยง คนที่มีบาปอันเลี้ยงดูอยู่ก็จะทุรนทุราย คนที่มีบาปเลี้ยงดูก็จะสับสนร้อนลุ่ม กลัดกลุ้ม หมกมุ่น แล้วก็มีแต่ความทุกข์ทรมาน
เดือดร้อนอยู่เป็นนิจ แต่คนที่มีบุญอันหล่อเลี้ยงดูอยู่ กุศลอันหล่อเลี้ยงดูอยู่ก็จะมีแต่ผ่อนคลายสงบเย็นโปร่งเบาสบาย มีความสงบสุขทั้งภายในกายนอกกาย
เราก็ต้องดูว่าเราเป็นผู้มีบุญอันเลี้ยงดูอยู่ หรือเป็นผู้มีบาปอันเลี้ยงดูอยู่ ถ้ารู้สึกตัวว่าเรากำลังมีบาปเลี้ยงดูเราอยู่ แล้วปล่อยให้มันเลี้ยงเรานานๆเราจะกลาย
เป็นลูกหลานซาตาน เพราะบาปเป็นเครื่องมือของซาตาน แล้วถ้าปล่อยให้บาปมันเลี้ยงดูเราอยู่นานๆเข้า นานๆเข้าต่อไปคิดก็บาป คิดก็คิดด้วยวิถีแห่งความ
สร้างบาป พูดก็พูดเพื่อให้เกิดบาป ทำก็ทำเพื่อให้บาปมันเจริญเติบโตและสร้างมันขึ้นมา ฉะนั้นถ้าบุญมันเลี้ยงดูอยู่คิดก็คิดแต่ทางบุญเหมือนดั่งเช่นอนาถ
บิณฑิกะเศรษฐีบุญเลี้ยงดูท่านอยู่ตลอดเวลา หลานสาวทำตุ๊กตาตกแตก หลานร้องไห้ อนาถบิณฑิกะเศรษฐีก็ถามหลานเอ้ยร้องไห้ทำไมลูก หลายสาวก็
บอกว่าตุ๊กตามันตาย ท่านบิณฑิกะก็ปลอบหลานสาวว่าอย่าร้องไห้เลยลูกเดี๋ยวพรุ่งนี้ตาจะนิมนต์พระมาถวายทานอุทิศผลบุญให้ตุ๊กตาเจ้า ตุ๊กตาเจ้าจะได้รับ
ผลบุญและตัวเจ้าก็จะได้มีบุญ คนที่มีบุญหล่อเลี้ยงแม้ตุ๊กตาแตกก็คิดในทางบุญ คนที่มีบาปหล่อเลี้ยงแม้คนเป็นๆก็แช่งให้ตาย คนดีมันก็คิดทำให้อับปาง
เสียหาย คนพวกนี้มีบาปหล่อเลี้ยงอยู่ คนที่มีกุศลหล่อเลี้ยงจะคิดเพื่อผู้อื่นทำเพื่อผู้อื่น คนที่มีบาปหล่อเลี้ยงจะคิดเพื่อตัวเอง ทำเพื่อตัวเอง
บาปมีอยู่ 3 ทาง บาปทางกาย บาปทางวาจา และ บาปทางใจ เรียกว่า มโนทุจริต วจีทุจริตและกายทุจริต คนที่ผิดประพฤติผิดเลวร้ายก็ต้องได้รับการลงโทษ
ลงทัณฑ์ด้วยเหตุปัจจัย
การปฏิบัติธรรมช่วงเช้าฝึก กาย – ใจ ให้เป็นพรหม
ยืนด้วยอิริยาบถที่ผ่อนคลาย ดูว่าเท้าทั้ง 2 ข้าง รับน้ำหนักเสมอกันหรือไม่ แขน 2 ข้างทิ้งข้างลำตัวโดยไม่ต้องเกร็ง มีคำกล่าวว่า เวลาใดที่กายกับใจรวมกัน
เป็นหนึ่ง ตานี้ก็ไมลำบาก หูนี้ก็ไม่ลำบาก จมูกนี้ก็ไม่ลำบาก กายนี้ก็ไม่ลำบากรวมทั้งจิตใจก็ผ่อนคลายสบาย ทำให้กายกับใจรวมเป็นหนึ่ง รู้ความเป็นไป
ภายในกายตนเสมอ หลับตาส่งความรู้สึกไปในกายเพื่อลดความลำบาก ส่งความระลึกรู้ สติรู้ชัด ปัญญาตรวจทานวิเคราะห์ทั้งมวลทั้งหมด ส่องลึกลงไป
ภายในภายตนมีตัวรู้เฉพาะภายในกาย จิตไม่สัดส่าย ไม่ทุรนทุรายดิ้นรนไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางสัมผัส นิ่งสงบอยู่ภายในเฝ้ามองดูตัวเอง
กายจะได้ไม่ลำบาก หูจะได้ไม่ลำบาก ตาจะได้ไม่ลำบาก แขนและขาจะได้ไม่ลำบาก ใจก็ไม่ลำบาก เรามาทำชีวิตให้ไม่ลำบากดูซิ แค่ไม่ลำบากเพียงแว๊บ
เดียวก็มีชีวิตอยู่ดุจดั่งพรหมแล้ว มีตัวรู้แค่ภายใน ส่งความรู้แค่ข้างใน ทำให้กาย หู ตา จมูก ลิ้น และใจไม่ลำบากก็มีชีวิตดุจพรหม เรากลายเป็นชาวพรหม
โลกไปแล้ว
สูดลมหายใจเข้าลึกๆให้ลมซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย จนกระทั่งลงไปถึงฝ่ามือฝ่าเท้า แล้วหายใจออกยาวๆผ่อนคลายสบายๆ หายใจเข้าไปใหม่ กว้าง ลึก เต็ม
รู้ หายใจออก ยาว เบา หมดรู้
ทิ้งลมหายใจ ส่งความรู้สึกรู้ไปภายในกายตน ตั้งแต่ฝ่าเท้าทั้ง 2 ข้างดูว่าน้ำหนักเสมอกันไหม เข่าตึง ขาตรง สะโพกสองข้างไม่เอนไม่เอียงไปข้างใดข้าง
หนึ่ง กระดูกสันหลัง กับก้นกบอยู่แนวดิ่งเป็นฉากกับพื้น หัวไหล่ไม่ลู่ไม่เอียงแขน 2 ข้างผ่อนคลายทิ้งไว้ข้างลำตัว กล้ามมือไม่เกร็ง ฝ่ามือไม่กำ นิ้วมือ
ไม่กำ ไม่เครียด หัวไหล่ผ่อนคลาย คอไม่เอียง ไม่เอน ไม่เงยหน้าไม่ก้มหน้า ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติอันควรจะเป็น อวัยวะทุกส่วนผ่อนคลาย มีตัวรู้
กำหนดอยู่ภายใน ไม่มีคำภาวนาใดๆมีแต่คำว่าเรารู้ภายในกายตน ไม่ใช่รู้ออกนอกกายตน หูจะได้เลิกลำบากเสียที ตาจะได้หยุดลำบากเสียที จมูกจะได้
บรรเทาความกำหนัดเสียได้ ลิ้นจะได้หยุดรับรสเสียบ้าง แขนและขาจะได้หยุดแบกภาระ ใจจะได้ผ่อนคลาย
สูดลมหายใจ เข้าพร้อมกับยก 2 แขนเหนือศีรษะให้แขนตึง แขม่วท้องดึงไส้ขึ้น
หายใจออก.....ลดแขนลงข้างหน้าช้าๆ
หายใจเข้า.....ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะแขม่วท้อง ยืดแขนตรงตึงให้แขนชิดหู
หายใจออก.....ลดแขนลงช้าๆ
หายใจเข้า.... ยก 2 ปีกเหนือศีรษะหลังมือชนกัน แขนชิดหู แขม่วท้องดึงไส้ขึ้น
หายใจออก ลดแขนลงช้าๆ
สูดลมหายใจเข้า..... หายใจออก.....ก้มตัวลงข้างหน้ามือแตะพื้นให้ปลาย
นิ้วมือชนกันฝ่ามือทาบกับพื้นระหว่างปลายเท้าด้านหน้า หัวเข่าตึง แขม่วท้องหายใจเข้า เงยตัวขึ้นช้าๆ
หายใจออก.....มือเท้าสะโพกแอ่นตัวไปด้านหลัง ออกเสียงอ้า
หายใจเข้า.... กลับมาตรง
หายใจออก เอียงลำตัวไปทางขวาด้านข้าง
หายใจเข้า กลับมาตรง
หายใจออก เอียงลำตัวไปทางซ้ายด้านข้าง
หายใจเข้า กลับมาตรง
หายใจออก บิดลำตัวไปทางขวา
หายใจเข้า กลับมาตรง
หายใจออก บิดลำตัวไปทางซ้าย
หายใจเข้า กลับมาตรง
หายใจออก ก้มตัวลงข้างหน้าขาตึง
หายใจเข้า กลับมาตรงช้าๆ
หายใจออก ผ่อนคลาย
หายใจเข้าให้เต็มที่ กักลมทิ้งไว้นับ 1 – 5 ผ่อนลมออกยาวๆ
คำสั่ง พักนั่งลง กราบพระกัมมัฏฐาน
ปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย ฝึกเรื่องปัญญา
ยืนขึ้นเอาจิตจับไปที่ฝ่าเท้าทั้ง 2ข้างหลับตา น้ำหนักตัวซ้ายและขวาเท่ากัน ร่างกายให้รู้สึกผ่อนคลาย ตั้งสัจจะอธิษฐานไว้ว่าจะยืนท่านี้ไม่เปลี่ยนจนกว่าจะ
เลิกขีดจิต ฝึกอย่างนี้เพื่อให้เกิดอธิษฐานบารมีธรรม ขันติธรรม เพื่อใสร้างสัจจะบารมีธรรม อธิษฐาน ขันติ สัจจะ ในขณะที่ยืนขีดต้องอยู่ในท่านี้ตลอด
น้ำหนักต้องคงที่ตลอด เสร็จแล้วลืมตาพร้อมที่จะขีด
คำสั่งที่ 1 หายใจเข้า....ขีด
หายใจออก....มองตรงไปข้างหน้าผ่อนคลาย
คำสั่งที่ 2 หายใจออก....ขีด
หายใจเข้า....มองตรงไปข้างหน้าไม่ต้องขีด
คำสั่งที่ 3 หายใจเข้า.....ขีด
หายใจออก.....ลดแขนลงมองตรงไปข้างหน้า ลมออกจวนหมดหมด ยกแขนขึ้น ภาวนาในใจสติมา สัมประชาโน แขนอยู่ในระดับพร้อมที่จะขีดในลมต่อ
ไปลมออกสุดพอดี
หายใจเข้า....ขีด
หายใจออก....ลดแขนลง สติมา - สัมประชาโน พร้อมยกแขนขึ้น
คำสั่งที่ 4..........ยกมือขึ้น สติมา - สัมประชาโนหายใจเข้า
หายใจออก.....ขีด
หายใจเข้า.....ลดมือลง สติมา - สัมประชาโน หายใจออก (พร้อมกับการยกมือขึ้นเตรียมที่จะขีดในลมต่อไป)
หายใจเข้า.....ขีด
ลดมือลง หายใจออก
สติมา - สัมประชาโน หายใจเข้า
หายใจออก.....ขีด รู้ลมเป็นสติ ขีดเป็นสัมปชัญญะ ที่ให้ฝึกอย่างนี้ก็เพื่อให้ เตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับทุก สถานการณ์ได้อย่าง เป็นผู้รู้ชัด
คำสั่งที่ 5..........ไม่ต้องมีคำภาวนาหลับตาขณะที่ยังไม่ได้ขีด ลืมตาเฉพาะเวลาที่ขีดเท่านั้น
หายใจเข้า...ยกมือขึ้นเตรียมพร้อมที่จะขีดพร้อมกับดูลมที่เคลื่อนไป ภายในกาย
หายใจออก......ลืมตาขีด
หลับตาหายใจเข้า ลดมือลง ส่งความรู้สึกเข้าไปดูการเคลื่อนไหวของลมเข้าภายในกาย ลมกระทบจมูก เลื่อนลงไปหลอดลม ลิ้นปี่ หน้าอกช่องท้อง
หายใจออก ลมทะลุไปที่ก้นกบ เคลื่อนผ่านกระดูกสันหลัง หัวไหล่ทั้ง 2ข้าง กลับมาที่กระดูก ต้นคอ กะโหลกศีรษะด้านหลัง กลางกระหม่อม ออกจมูก
(ยกมือขึ้นเตรียมขีดพร้อมกับรู้ลมที่กำลัง เคลื่อนไป)
คำสั่งที่ 6..........ค่อยๆหย่อนตัวลงนั่ง ทำต่อในท่านั่งเวลาเลื่อนมือลงให้ลง
ไปวางที่ หัวเข่า ดูลมเข้าและลมออก ที่เคลื่อนอยู่ ภายในกายด้วยอักษรสวรรค์ชัดเจน พร้อมกับปรับให้ลมกับแขนที่ยกขึ้นและลงเสมอกัน ต้องมีสติ
สัมปชัญญะรู้ตัวอยู่ภายในตลอด ไม่ส่งจิตออกไปภายนอก รู้ลมเป็นสติ ขีดเป็นสัมปชัญญะ รู้ลมเป็นสติ ยกแขน ลดแขนเป็นสัมปชัญญะ ทำให้สติ
สัมปชัญญะเจริญ ไม่ใช่อกุศลเจริญ ขณะที่ยกแขนและลดแขนมองอยู่ข้างในจะเห็นลมเดินเป็นสายไปตามข้อกระดูกและช่องท้องจึงจะเรียกว่าใช้ได้ ไม่
ใช่ลืมตามอง ให้หลับตามอง จนรู้สึกได้ว่าโพรงกระดูกทุกข้อโดนทะลุทะลวงด้วยลมสายนั้นจนรู้สึกโล่ง แม้ที่สุดมันจะสามารถเคลื่อนกระดูกให้ดังกุ๊บกั๊บ
สมองจะรู้สึกเบาโล่งขึ้น กะโหลกศีรษะจะเบาขึ้น ช่วงเอวกระดูกสันหลังจะรู้สึกโลงและเบาขึ้น จะไม่เกิดอาการเจ็บปวดทรมาน ไม่เมื่อยไม่ขบ หัวไหล่
เบาขึ้น หน้าอกเบาขึ้น ช่องท้องจะโล่งและราบขึ้นอย่างนั้นจึงเรียกว่าใช้ได้ เป็นอารมณ์ของกรรมฐานสมาธิไม่ใช่จิตสงบ แม้ที่สุดรู้ได้ว่ารู้ขุมขนทุกรูมี
ลมพวยพุ่งออกมาเป็นไอร้อน ในขณะที่หลับตาแล้วนิ่งมองไปข้างใน
อย่างนั้นจึงเรียกได้ว่าจิตนี้เริ่มละเอียดแล้ว หนังหัว เส้นผมตั้งลุกชูชันรับรู้ได้ว่ามีไอร้อนพวยพุ่งมาทุกรูขุมขนในสรรพางค์กาย
คำสั่งที่ 7..........ทุกคนพักยกมือไหว้พระกรรมฐานวางปาก แล้วหลับตา
หายใจเข้า... ภาวนาขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
หายใจออก...ขอสัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
สูดหายใจเข้าลึกๆ...ให้ลมซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย
หายใจออก...ผ่อนคลาย
หายใจเข้า.....ลมขึ้นจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง กระดูกต้นคอ หัวไหล่2ข้างกระดูกสันหลัง ก้นกบ ทะลุไปช่องท้อง ลิ้นปี่
หน้าอก ลำคอ ออกจมูก
หายใจเข้า... จมูก ลำคอ หน้าอก ลิ้นปี่ ช่องท้อง ทะลุไปด้านหลัง ก้นกบ กระดูกสันหลัง หัวไหล่2ข้างกระดูกต้นคอ กะโหลกศีรษะด้านหลัง
กลางกระหม่อม หน้าผาก ออกจมูก หายใจเข้าช้าๆ.....ให้ลมซ่านไปทั่ว หายใจออกผ่อนคลาย ลืมตา
สมุนไพรรักษาโรค
เครื่องดื่มสมุนไพร จะประกอบด้วยใบขี้เหล็กมีสารกล่อมประสาทช่วยให้ผ่อนคลาย มีใบมะกาเป็นยาระบาย มีแก่นสักช่วยทำให้เส้นเอ็นแข็งแรง บำรุง
โลหิต ขับเลือดเสียละลายลิ่มเลือดและไขมัน
ชะเอมช่วยขับเสมหะ แก้อาการระคายคอ บำรุงต่อมรับรส แก้เลือดออกตามไรฟัน และยังมีส่วนประกอบอื่นๆอีกหลายอย่าง
สรรพคุณ ดื่มแล้วทำให้ไม่ง่วง ไม่เพลีย ไม่เปลี้ย ทำให้นอนหลับสนิท นอนไม่ผวาตกใจตื่น เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยระบายของเสีย แก้มุตกิดระดูขาว
ละลายลิ่มเลือดลดไขมัน ขับเสมหะ แก้อาการระคายคอ บำรุงต่อมรับรส และแก้เลือดออกตามไรฟัน
สีผิวกับการกินอาหาร
คนผิวขาว โลหิตจะหวาน อาหาร เผ็ด ร้อน ขม คนผิวขาวเลือดหวานยุงจะชอบ
ผิวขาวเหลือง เลือดจะเปรี้ยว กินอาหารรส เค็ม
คนผิวดำแดง เลือดจะเค็ม กินอาหารได้ทุกรส ยกเว้นรสเค็ม
คนผิวดำสนิท เลือดเค็มมากให้กินอาหารรสหวานนำ ห้ามกินเค็ม
รสที่เป็นคุณแก่ชีวิตและร่างกาย มี 9 รส เพิ่มพิเศษอีก 1 เป็น10
1 รสฝาด สมานอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย เช่นสะตอฝาดร้อน รากกระชาย กระชายฝาดเย็น ซ่อมแซมอวัยวะภายใน โรคกระดูกเส้นเอ็นอ่อน ข้อกระดูก
กล้ามเนื้ออักเสบ ผลไม้ มะขามเทศ พุทราไทยรสฝาดเปรี้ยว
2 รสหวาน ทำหน้าที่ซึมทราบไปตามเนื้อหนังทำให้ดูผุดผ่อง สดชื่นเปล่งปลั่งคนโบราณจะรักษาผิวด้วยการอาบน้ำแร่ แช่น้ำมัน ขัดน้ำผึ้ง ดื่มน้ำนม น้ำ
ผึ้งทำให้ผิวหนังเปล่งปลั่งสดชื่น
3 รสเบื่อเมา แก้พิษที่เกิดจากภายใน เช่นกลอย กลอยสามารถดูดพิษภายในได้ ตัวกลอยมันมีพิษอยู่ในตัว แต่ถ้าเรามีพิษที่ร้ายแรงกว่ามันจะดูดได้ กลอย
สามารถใช้ทำยาประทินผิวได้ ใช้กัดฝ้า แก้สิว แต่ต้องนำไปผสมกับตัวยาชนิดอื่นอีก
4รสขม บำรุงโลหิตและน้ำดี เช่นมะระขี้นก
5 รสเผ็ดร้อน แก้กองลมต่างๆ ลมขึ้นเบื้องบน ลมลงเบื้องต่ำ เวลาทานอาหารเผ็ดจะเรอและระบายลมเป็นต้น
6 รสมัน บำรุงเส้นเอ็น อาหารที่มีรสมันในตัวเช่น แห้ว มัน เผือก และอาหารไขมันของสัตว์ จะบำรุงเส้นเอ็น พังผืดทั้งหลายให้แข็งแรง ให้ไม่เกิดการ
หย่อนยาน
7 รสหอมเย็น ทำให้ชื่นใจ เช่นน้ำใบเตยต้ม น้ำเก็กฮวย
8 รสเค็ม ทำให้ซึมทราบไปตามผิวหนัง ทำให้ผิวหนังมีภูมิคุ้มกันต่อความร้อนความชื้นต่อบรรยากาศรอบกายได้ดี
9 รสเปรี้ยว ช่วยกัดเสมหะ
10 รสจืด เป็นรสที่อยู่นอกตำรา รสจืดจะช่วย ขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน ขับพิษไข้ ดับกระหาย
ภูมิปัญญาในการรักษาโรคของคนตะวันออก
อาการเจ็บป่วยที่เกิดกับคนเรา ที่เราเจ็บป่วยส่วนใหญ่ทุกวันนี้เกิดจากวิถีชีวิต ของการอยู่ การกิน การนอน การพักผ่อน การออกกำลังกาย ที่ไม่ถูกต้องพอ
เหมาะ พอดีพอควรกับร่างกาย ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้น เมื่อเกิดอาการเจ็บป่วย ก็ไม่ปล่อยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมด้วยตัวของมันเองตามธรรมชาติ
ภูมิปัญญาตะวันออกสอนให้เรากินอาหารเป็นยา และสอนให้เรารู้จักเรียนรู้และทำชีวิตให้เข้าใจสรรพสิ่งภายในตัว และรอบๆตัวให้ชัดแจ้ง ไม่ใช่เอะอะ
ก็พึ่งยาตลอด มันเลยทำให้สมรรถนะของชีวิต ตับ ไต ไส้ ปอด ม้าม หัวใจ ดี เสลด น้ำลาย น้ำเหลือง น้ำหนอง มันไม่ได้ทำงาน ไม่ได้ทำหน้าที่ มีเอาไว้แค่
เป็นองค์ประกอบและเครื่องประดับเฉยๆ ที่จริงน้ำเหลือง น้ำหนองมันมีหน้าที่แอนตี้บอดี้ในร่างกาย น้ำเสลด น้ำลายมีหน้าที่หล่อลื่นและกำจัดสิ่งแปลก
ปลอมเข้ามาในร่างกายระดับหนึ่ง แต่เราไม่ได้ใช้มันทำหน้าที่เลย เราอาศัยแต่ยา ผลสุดท้ายมันก็ฝ่อไปกลายเป็นส่วนเกิน ต่อมหมวกไตที่ไม่โดนใช้งาน
มันก็เลิกทำงาน เลิกผลิต เลิกสกัดกลูโคส คนที่ชอบดื่มเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เวลาเพลียก็กินกลูโคส กินน้ำหวาน ที่จริงถ้าร่างกายเรากินอาหารที่เหมาะสม
มันจะมีต่อมหมวกไตที่ช่วยสกัดกลูโคสให้พอเหมาะแก่ร่างกายอยู่แล้ว แต่เรากลับไปดื่มเครื่องดื่มแทน กินอย่างนี้เรียกว่ากินด้วยความโง่เขลา อยู่ด้วยความ
โง่เขลา ไม่ได้กินอย่างใช้สติปัญญา อาหารบำรุงบำเรอต่างๆมันไม่ใช่ของจำเป็น แค่เรามีชีวิตอยู่ให้เหมาะสม มีสติวิเคราะห์ดูให้ชัดแจ้งว่าอาหารแต่ละมื้อ
เรากินอะไรเข้าไป และขับถ่ายอะไรออกมาให้มันเหมาะสมสมดุลกัน แค่นี้ร่างกายมันก็อยู่ได้แล้ว ปกติ ร่างกายมันจะซ่อมแซมตัวเองอยู่ตลอดเวลา โดยที่
ไม่ต้องไปฉกฉวยกินยาเข้าไปเสียก่อน เรากินยาเข้าไปก่อน สุดท้ายเราก็ต้องพึ่งการกินยาตลอด อย่างโรคภูมิแพ้ ถ้าไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการ
ดำเนินชีวิตของตนเอง ต่อให้กินยาตลอดชีวิตก็ไม่หาย ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เมื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว เวลาเจ็บป่วยก็ปล่อยให้ร่างกายมันซ่อม
แซมตัวเองก่อน จนเห็นท่าว่ามันซ่อมไม่ได้แล้ว เราถึงจะหาวิธีบำบัดรักษาด้วยการกินยา
อาหารรักษาโรค
หวัด ให้กินอาหารที่มีวิตามินซีมากๆเช่น แกงส้มมะรุม แกงส้มดอกแค จะช่วยรักษาหวัด
นิ่วในถุงน้ำดีรักษา ได้ด้วยมะระไทย และมะระจีน กินบ่อยๆอาทิตย์ละ 3 ครั้ง
เส้นเลือดขอด ต้องลดอาหารเผ็ดร้อน ต้องแก้ไขพฤติกรรมการนั่ง
ธาตุลมบกพร่อง ต้องกินยาบำรุงธาตุ
ริดสีดวงทวาร ให้กินกล้วยสุกงอมในตอนเช้า เย็น ว่านเพชรสังฆาตเป็นเหลี่ยมข้อๆ นำมาตากแห้ง บดแล้วกินกับกล้วยสุก
ต่อมทอลซิลอักเสบ ใช้พิกัดเกลือสะตุกับลูกมะแว้ง ใส่นำผึ้ง ใส่มะขามเปียก เป็นยาอมบำรุงกล่องเสียง แก้ร้อนในกระหายน้ำ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ให้ดื่มน้ำเยอะๆ พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารพวกใบตำลึง ดอกขจร ต้มกับตับอ่อน กินประมาน 3 วัน -7 วันจะทำให้ดีขึ้น
จอประสาทตาเสื่อม
วิธีรักษา ต้องไม่ให้ตากระทบกับแสงมากเกินไป ต้องใส่แว่นกันแสง ให้มองได้เฉพาะแสงอาทิตย์ตอนเช้ามืดที่พึ่งขึ้นยามเช้าแล้วกรอกตาไปมาให้ได้ 180
องศา วันละ 5 – 10นาทีทุกวัน
รักษาด้วยวิธีที่ 1 ให้ใช้เม็ดต้อยติ่งที่อยู่ภายฝักพอกบริเวณเปลือกตา เม็ดต้อยติ่งมีสารละเหยที่เป็นธรรมชาติบำรุงประสาทตา และทำให้ตาที่พล่ามัวสว่าง
รักษาด้วยวิธีที่ 2 ให้ใช้ขิงตำกับเม็ดต้อยติ่งแล้วพอกบริเวณเปลือกตา ความร้อนจากขิงและความเย็นจากเม็ดต้อยติ่งที่มีสารหอมระเหยจะช่วยบำรุงจอ
ประสาทตา
รักษาด้วยวิธีที่ 3 ให้ใช้น้ำผึ้งเดือน 5 ทาบริเวณรอบดวงตาเปลือกตาแล้วพอกด้วยเม็ดต้อยติ่งตำกับขิง ปิดกันไม่ให้แสงเข้า ต้องเปลี่ยนยาพอกทุกวัน เวลาที่
ไม่ได้พอกยาให้ลืมตาในน้ำอุ่นแล้วกรอกตาไปมาเพื่อบริหารกล้ามเนื้อตา เวลานอนให้หยอดด้วยน้ำผึ้งเดือนห้าโดยใช้ปลายไม้จิ้มฟันจิ้มแล้วหยด
หรือหยอด
รักษาด้วยวิธีที่ 4 คนโบราณจะใช้น้ำนมของแม่ลูกอ่อนหยอดตา
รักษาด้วยวิธีที่ 5 เอาน้ำนมแพะเคี่ยวจนเป็นน้ำมันใส่ขมิ้นสดตำ เติมด้วยการบูรเล็กน้อย แล้วใช้น้ำมันนั้นทาบริเวณรอบดวงตาและเปลือกตา