สมาธิลมปราณ ๗ ฐาน โดย หลวงปู่พุทธะอิสระ
แสดงไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พ.ค.๒๕๔๐


..... ปราชญ์ โบราณเค้าบอกว่า ตื่นเช้าขึ้นมา คนที่มีความคิดก้าวไกล นักบริหารที่ยิ่งใหญ่และผู้ที่มีปัญญาฉลาดหลักแหลมผ่องใส วิธีการเจริญปัญญา และ ทำให้สมองแช่มใส และ ใช้งานให้สมบูรณ์ตื่นเช้า ๆ ขึ้นมา เช้า ๆ นะไม่ใช่เช้าแก่ ๆ ยังไม่เห็นแสงอาทิตย์ มีแต่แสงสว่างแต่ยังไม่เห็นแสงอาทิตย์ ให้เงยหน้ามองไปในท้องฟ้า แล้วก็ปล่อยความคิดจิตวิญญาณเปิดกว้างไกล ใช้สายตาสำรวจ องศาในการมองให้ครบ ๑๘๐ องศา นั้นคือเปิดดวงตาให้มองกว้าง รับสัมผัสเสียงที่มีอยู่รอบ ๆ กายให้ครบทุกชนิด สูดกลิ่นรอบ ๆ กายที่มีอยู่รอบ ๆ ให้ครบทุกอย่างครบถ้วน ผิวหนังเปิดกว้างรับสัมผัสกลิ่นไอธรรมชาติและบรรยากาศรอบ ๆ อวัยวะทั้งหลายตื่นตัว ตื่นตนเตรียมที่จะเป็นคนที่จะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ใน ๒๔ ชั่วโมงข้างหน้า เมื่อฝึกอย่างนี้ทุก ๆ วัน นั่นคือคุณสมบัติของ ผู้นำ ผู้ยิ่งใหญ่ และ มันจะสั่งสอนสั่งสมอบรมสมองเซลล์ประสาททั้งหลายให้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และ เตรียมการที่จะทำงานหนักในเวลาต่อไป เหมือนกับเราติดเครื่องยนต์ทิ้งไว้เพื่อที่ให้มันสูบฉีดน้ำมันเข้าไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของเครื่องยนต์จนเห็นว่าพอสมควรแก่เวลาเราก็เดินเครื่องยนต์ทำงาน มันจะไปได้อย่างนิ่มนวล คล่องแคล้ว แล้วก็ กระฉับกระเฉง เมื่อเรายืนสัมผัสต่อกลิ่นไอเรียบร้อยแล้วก็ ยกขา ยกแข้ง ยกแบบชนิดที่มีจิตใจที่รู้จักควบคุมในการยก ควบคุมพลังที่หมุนเวียน และ เดินย้อนไปตามกระบวนการของอาการยก แบบสบาย ๆ บางเบา และ สดชื่นโปร่ง พร้อมกับการสูดลมหายใจอย่างยาว ๆ อ่อนโยน แผ่วเบา เป็นรสชาติของกลิ่นไอ ธรรมชาติที่เราได้ดื่มด่ำลิ้มรสมันอย่างที่เราคิดว่าเราไม่เคยสัมผัสกลิ่นไอแบบนี้มาก่อน และ เราก็จะเกิดประสบการณ์ทางวิญญาณของเราเฉพาะ ๆ ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันเป็นประสบการณ์ของความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และ เบิกบาน สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ยาว ๆ ให้เต็มปอด แล้วผ่อนลมออกมาอย่างแผ่วเบา ยาว ๆ นิ่มนวล ซักหลาย ๆ ครั้งที่เราสามารถทำได้

..... ลองสำเหนียกดูสิว่าตัวเองมีอารมณ์อะไรลึก ๆ ตรงนี้บ้าง ถ้าเรายังมีลูก มีเมีย มีผัว มีบ้าน มีญาติ มีแม่ มีพ่อ และมีเพื่อนอยู่ในหัวใจ รวมทั้งการงาน ก็โยนมันทิ้งไปให้เหลือแต่ตัวเราล้วน ๆ และ อารมณ์อันสดใส สดชื่น และ เบิกบาน และเราก็จะรู้ว่ากลิ่นอายของธรรมชาติ ช่างเป็นการเสริมสร้างจิตวิญญาณของเราให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น และ เบิกบานได้อย่างเยี่ยมยอด บรรยากาศของธรรมชาติ ช่างเป็นความเร่งเร้าไฟในร่างกายให้ลุกกระพือเพื่ออยากจะได้ทำกิจกรรมยามเช้า อันสดชื่นต่อไป อย่างชนิดที่ไม่คิดว่า เหนื่อย เมื่อย เบื่อ หรือ เซ็ง รูปลักษณ์แห่งธรรมชาติที่ตาเราได้เก็บข้อมูลรอบ ๆ ไว้ ช่างเป็นกระบวนการที่ปลุกให้เราเป็นผู้ที่มีวิญญาณอันแจ่มใส และ เบิกบานอย่างยิ่งใหญ่ บรรยากาศที่กระทบและ แตะต้องผิวหนังทั้งหลายในกายเราเป็นบรรยากาศที่เติมแต้ม กลิ่นอาย สี เสียง แสง ให้ชีวิตเราอย่างเป็นผู้รู้ ตื่น เบิกบาน และ แจ่มใส ช่างเป็นชีวิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยมด้วยความสุขสมบูรณ์แห่งอารมณ์สันติเยือกเย็น และ สงบ ถ้าเราไม่ได้รสชาติเหล่านี้ก็เท่ากับว่าเราใช้ธรรมชาติจักรวาล สิ่งแวดล้อม รวมทั้งชีวิตไม่เป็น สาระของการมีชีวิตถือว่าเราได้แค่ครึ่งเดียว หรือ ไม่ถึงครึ่งจำไว้ลูก อย่าพยายามก้มหน้าเมื่อตื่นขึ้นมายามเช้า คนที่ก้มหน้าตอนเช้าโบราณเค้าถือว่าเป็นพวกคนโดนธรณีสาป พวกที่ค่อนข้างไม่เอาโลก ไม่เอาเรื่อง ไม่เอาราว ไม่เอาเก๊า ไม่เอาประเทศ และ ก็มีความคิดสั้น ๆ มีความคิดอันต่ำ ๆ แล้วก็สมองปัญญาไม่แจ่มใส เป็นคนเจ้าทุกข์ อมโรค และ มีจิตใจที่ค่อนข้างหวาดระแวง วิตกกังวล และ หวาดผวาสะดุ้งกลัว พวกที่นั่งก้มหน้า เดินก้มหน้า ยืนก้มหน้า เป็นกระบวนการของการสาปแช่งตัวเอง

..... ลองดูลูกนกสิลูก ตื่นขึ้นตอนเช้า สิ่งแรกที่มันทำก่อนเบื้องต้น ก็ คือ มองไปในทิศเบื้องบนมองดูฟ้าแล้วก็ อ้าปากขอเหยื่อจากพ่อ แม่ มัน ถึงจะมีชีวิตรอด ถ้าลูกนกตัวไหนมองลงมาในทิศเบื้องล่างแล้ว คอตก แสดงว่าเตรียมตัวตาย ไม่มีโอกาสจะยืนหยัดอยู่ได้ต่อไปในโลก เมื่อเราแหงนมองดูในทิศเบื้องบนแล้ว ก็จงมองดูในทิศท่ามกลาง สายตามองตรงไปข้างหน้า แล้วเก็บสิ่งแวดล้อมของธรรมชาติ และ ดื่มด่ำกับกลิ่นไอของมันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ตอนนี้ถ้าจะเปรียบกับร่างกายเราก็เหมือนกับ ตุ่มว่าง ๆ ที่ยังไม่มีอะไรอยู่ในตุ่มนั้นแล้วก็เปิดกว้างให้มันรับกลิ่นไอของอากาศ และ อะไร ๆ ในความสดชื่นแจ่มใสเข้าไปในชีวิตวิญญาณเติมแต้มพลังของเราให้มากมวลไปด้วยสภาวะของ ผู้รู้ ตื่น และ เบิกบานคิดจะทำการงานในหน้าที่ต่อไปอย่างกระฉับกระเฉง เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วก็ รวดเร็ว เร่งรีบ รวบรัด แล้วก็ให้ทุกอย่างมัน เรียบร้อย ด้วยการใช้พลังให้เป็น ถูกต้อง บริสุทธิ์ตรงต่อชีวิตวิญญาณที่เราได้รับประโยชน์ เดี๋ยวหลวงปู่จะสอน ลมเจ็ดฐาน ให้กับพวกเรา ซะ นิดหนึ่ง ดูว่าเราจะเรียนรู้ได้แค่ไหน ผู้ชายนั่งขัดสมาธ ขัดสมาธแบบสมาธินะ ไม่ใช่แบบนั่งล้อมวงลูก ยืดอกขึ้น ไม่ใช่ยืดคอลูก สำรวจ ตรวจดู สันหลังของเราว่า ข้อต่อของเรา นั้นมันตรงทุกข้อ ไม่ขบกันหรือเปล่าแล้วหลับตา ค่อย ๆ หลับตา ด้วยความนิ่มนวล และ เต็มเปี่ยม ไปด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว แล้วลองดูซิใช้ความรู้สึกสำรวจดูตั้งแต่ข้อต่อต้นคอ ยันกระดูกสันหลังทุกท่อนว่ามันขบกันไหม มันตั้งตรงไหมมันเบี้ยวไหม ขยับตัวให้ได้ตรง ๆ ลูก เบี้ยวซ้ายที เบี้ยวขวาที ขยับให้ดูให้มันเข้าที่ลูก ถ้ามันไม่เข้าที่ก็ขยับอีกทีหนึ่ง ลองดูซิยืดเข้ายืดออกอก เอียงซ้าย เอียงขวาเอาให้ได้ถ้าใครไม่เข้าที่จะได้ผัวะแน่ล่ะ นั่ง อย่าให้กระดูกสันหลังขบกัน

..... หลวงปู่เขียนไว้ในคัมภีร์ 12 ราศี ว่ากำเนิดแห่งพลังในกายคือ ทำท่อส่งพลังให้ตรง โครงสร้างของกระดูกในกายเราคือท่อส่งพลัง แต่ถ้ามันขบ มันเบี้ยว ก็เหมือนสายยางที่หัก น้ำก็จะไหลช้า เพราะฉะนั้น พยายามทำท่อส่งพลังให้ตั้งตรง เงยหน้าอย่าคว่ำหน้า อย่าเงยคอ หรือ แหงนคอ สายตาทอดลงต่ำ ทอดลงต่ำแล้วก็หลับตา ถ้าไม่แน่ใจว่าสายตาเราทอดต่ำไหมก็ลองลืมตา สำรวจดูว่า แหงนดูดาวหรือเปล่า เราเชยคาง หรือ เชิดคาง ขึ้นไหม เสร็จเรียบร้อยเมื่อเราจัดระเบียบของกายให้เข้าทีเข้าทางแล้ว สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ยาว ๆ แผ่วเบา นิ่มนวล ให้เต็มปอด แล้วก็เมื่อรู้สึกตัวว่ามันเต็มแล้วก็ผ่อนมันออกมาอย่างแผ่วเบา ยาว ๆ ช้า ๆ คราใดที่เราผ่อนลมออก มันชั่งเป็นการผ่อนความร้อน ความเครียด ความเบื่อ ความเมื่อย และ เซ็งทุกอย่างออกมากับลม คิดอย่างนั้นลูก แล้วสูดลมเข้าไปใหม่ เมื่อผ่อนลมออกมาหมดแล้ว สูดเอากลิ่นไอแห่งพลังเข้าไปปรุงแต่งชีวิตวิญญาณ และ เซลประสาทให้สดชื่นแจ่มใส อย่างเนิบนาบช้า ๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น แล้วผ่อนคลายลมออกพร้อมกับขับไล่ความเลวร้าย ซกม๊ก งี่เง่า สะเหร่อ เซ่อ บ้า ทั้งหลายออกมากับลม แล้วก็สูดเข้าไปใหม่เพื่อเติมแต้มรสชาติให้เกิดพลังงานในกายอย่างยาว ๆ แผ่วเบา เชื่องช้า แล้วก็พ่นลมออก ทำอย่างนี้โดยไม่ให้มีอะไรเข้ามาอยู่ในกาย ไม่ว่าจะเป็นงาน อารมณ์อื่น ๆ ความเครียด ง่วง หรือ สับสน วุ่นวาย ระแวง สงสัย ต้องไม่มี มีแต่ลมหายใจ กับ การขับไล่ของเสียในกายเท่านั้น สูดอย่างแผ่วเบา ยาว ๆ เชื่องช้า แต่ หนักหน่วง เต็มเปี่ยม แล้วก็ ผ่อนคลาย พ่นลมออกด้วยความเนิบนาบ นิ่มนวล หมดจด พร้อมกับสำรวจความรู้สึกของเราว่า เรามีจุดใดบ้างในร่างกายที่ เราเครียด เราเหนื่อย เราเมื่อย เราเพลีย ก็ทำความรู้สึกให้ลมมันไปถึงจุดนั้น ๆ และ ขับไล่มันออกมาพร้อมกับลมหายใจออก เวลาสูดลม หายใจ เข้า เค้ามีเทคนิคอยู่นิดว่า ถ้าเรารู้สึกเหนื่อยให้เราพักสักนิดด้วยการหายใจธรรมดา ธรรมดา อย่างที่มันไม่ค่อยธรรมดาแบบพวกเรา แล้วเมื่อ หายเหนื่อย หายเครียด แล้วก็เริ่มหายใจ ยาว ๆ เบา ๆ เชื่องช้า เข้าไปใหม่ ไม่ใช่หายใจ หอบ ถี่ แรง ๆ ไอ้นั่นมัน ปั้มลมลูก เดี๋ยวก็ตายพอดี หายใจหอบ ถี่ แรง ๆ ไม่ใช่คนนะลูก หมา (หลวงปู่แสดงให้ฟัง)

..... ถ้าเราสำเหนียกได้นี่คือการหายใจเข้าและออกของหลวงปู่ ( หลวงปู่แสดงการหายใจที่ถูกต้องให้ฟัง ) เป็นการปล่อยให้ลมมันออกแบบนุ่มนวล เนิบนาบ เชื่องช้า และ หมดจด และเรามาดูกันว่าทำอย่างนี้สักพักหนึ่ง ใครที่สามารถไล่อะไรออกไปจากกายได้ถือว่าใช้ได้ อย่าให้ท่อส่งพลังของเรางอลูก ยืดอกขึ้น ถ้าเรานั่งงอ กระดูก นี่นะลูกมันจะมีผลเสียต่อความคิด สมองมันจะไม่โลดแล่น ปัญญาเราจะไม่เปิดกว้าง และจิตใจเราจะไม่กล้าแข็งพลังมันจะเข้าไปสู่ร่างกายได้ไม่สมบูรณ์ สุดท้ายก็จะกลายเป็นคนเกียจคร้านไม่เอาโลก ไม่เอาเรื่อง โครงสร้างของกระดูกนี้ คือส่วนสำคัญของร่างกายนะลูก ถ้าชักกระดูกออกก็จะเหลือเนื้อกับหนัง มันกองอยู่เหมือนกองเนื้อก้อนหนึ่ง เท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่รู้จักบริหารกระดูกก็เท่ากับว่าร่างกายเราชีวิตที่มีพลัง เอาใหม่ เริ่มต้นตั้งลมหายใจให้สบาย ๆ แบบแผ่วเบา แล้วไม่มีอะไรในหัวใจ ใครที่ง่วงอยู่ให้ทำลายมันให้ได้ เอาชนะมันให้ได้แบบผู้เข้มแข็งและผู้ตื่น เริ่มต้นใหม่ ยืดอกขึ้นให้เต็มที่ สายตาทอดลงต่ำอย่าเงยหน้า หลับตาแบบนิ่มนวล และแผ่วเบา แต่สนิท เสร็จเรียบร้อย สำรวจโครงสร้างของร่างกายให้ตรง ในส่วนบนตั้งแต่กระดูกสันหลังถึงลำคอให้เป็นแนวดิ่งแล้วตั้งฉากกับกระดูกขา และ หน้าตัก ทอดแขนลงแบบเบา ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องเกร็ง หัวไหล่ไม่ใช่ห่อ หรือไม่ใช่เกร็งให้มันตั้ง แต่ปล่อยแบบสบาย ๆ ไม่มีอะไรในร่างกายที่เป็นความหนัก ต้องเป็นภาระ แม้แต่ลูกตาก็หลับแบบพักผ่อนสนิท ๆ หูไม่ต้องรับสัมผัสอะไร นอกจากเสียงที่รับฟังแล้วได้ประโยชน์ในเวลานี้ จมูกไม่ต้องแสวงหากลิ่นไออะไร นอกจากลมหายใจที่เข้าแบบเนิบนาบ นิ่มนวล เชื่องช้า และ ยาว ๆ เต็มที่ สูดลมหายใจเข้า ให้เต็มปอด เต็มหน้าอก แล้วพ่นออกมายาว ๆ แผ่วเบา ช้า ๆ แล้วก็สูดเข้าไปใหม่แบบชนิดที่ เริ่มชีวิตสดชื่น ให้เต็มปอด เต็มหน้าอก แล้วก็รวบรวมความเลวร้าย ความขัดข้องทั้งหลายที่มีอยู่ รวมทั้งปัญหาให้กองอยู่กับลมที่จะพ่นออก แล้วก็ผลักดัน มันออกมาพร้อมกับลมหายใจออก ความขัดข้อง งี่เง่า และ เจ้าปัญหา รวมไว้เป็นกองอยู่ในกายส่วนปลายจมูก หรือที่หน้าอก เมื่อสูดเข้าไปให้ลมมันเข้าไปอยู่ในช่องท้อง และ ปอดให้เต็มที่ แล้วก็ขับมันออกมาด้วยความเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างเชื่องช้า และ นิ่มนวล เนิบนาบ แล้วหมดจด แผ่วเบา และยาวสนิท ผลักดันความเลว และเจ้าปัญหาให้ออกมากับลมหายใจทำด้วยวิธีนี้ เหมือนกับการเดินลมปราณของหนังจีนกำลังภายในเป็นสุดยอดวิชากำลังภายในของไท้เก็กนะลูก คนที่ฝึกกำลังภายในไท้เก็กจะต้องฝึกการเดินลมอย่างนี้เป็นขั้นที่หนึ่ง ยาว ๆ แผ่วเบา เชื่องช้า เนิบนาบ หนักแน่น และ หมดจด

..... นี่คือเคล็ดของการเดินลมปราณ คนที่ทำได้จะมีดวงตา แจ่มใส สมองปลอดโปร่ง จะมีชีวิตใหม่ แต่ละวันที่สดชื่น มีชีวิตชีวา และ ความสุขสมบูรณ์ แถมยังมีพลังชีวิตที่เหลือเฟือที่จะใช้งานได้ตลอด 24 ช.ม. มีสมองและความคิดอันกว้างไกล ลิ้นรับรสได้อย่างสมบูรณ์ และ เต็มเปี่ยม หูฟังเสียงได้อย่างหมดจด และไกลกว่าใครอื่น จมูกได้กลิ่นมากกว่าที่คนอื่นได้ กายของตนก็จะตื่นทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ เลือดลมในกายก็จะขับถ่ายของเสีย และหมุนเวียนได้อย่างปกติ ประสาทที่เสียก็จะกลับดีขึ้น วิชานี้สามารถรักษาโรคไมเกรน ปลายประสาทฝ่อ และ โรคเครียดทั้งหลายได้ ลูก ๆ ถ้ารู้สึกเมื่อยก็สามารถขยับได้ ขยับพลิกซ้าย พลิกขวา อย่าลืมว่าเราไม่ได้ฝึกกาย แต่ เราฝึกลมในกาย เรากำลังฝึกลมในกาย ผู้หญิงก็นั่งขัดสมาธได้ลูก ไม่จำเป็นต้องนั่งพับเพียบลูก แต่ต้องระวังให้ดีก็แล้วกัน เอาอีกซักครั้งหนึ่งซิ

..... เริ่มต้นใหม่สำหรับผู้ที่พลิกอิริยาบถ ตั้งอกตั้งใจ สูดลมหายใจเข้า ก่อนอื่นต้องจัดระเบียบของกาย ให้เป็นระบบของใจให้ได้ก่อน โครงสร้างของกายอยู่ตรงไหนทำอย่างไรให้มันเข้าที่เข้าทาง ขยับซ้าย ขยับขวา โยกหน้า โยกหลัง ดูว่าทุกอย่างมันเรียบร้อยไม่มีอะไรที่จะขัดกันแล้ว ทอดสายตาลงต่ำ แล้วก็หลับตาลงอย่างนิ่มนวล สนิท แล้วก็ขับไล่ความคิดยุ่งฟุ้งซ่านออกไปให้หมด ไม่มีอะไรนอกจากลมของเรา และ ตัวของเราเท่านั้น สูดลมเข้าลึก ๆ ยาว ๆ ไม่จำเป็นต้องทำตามคำพูดหลวงปู่นะ เพราะใครที่กำลังทำ เดินลม สูดลมอยู่ก็ให้ทำต่อไป แต่นี่คือการแนะนำ เอาตามความสามารถของตน ลูก เพราะว่าหลวงปู่สูดลมยาว เราจะสูดลมยาวตามหลวงปู่ไม่ได้ หลวงปู่สูดลมสั้น เราจะสั้นตามหลวงปู่ก็ไม่ได้ สุดแท้แต่ปอดของตน จะขยายให้มาก ปอดใครปอดมัน แต่ต้องมั่นใจว่า การสูดลมเข้าของตนทำให้ปอดของตนขยายใหญ่ให้มากที่สุด แล้วเวลาพ่นลมออก ก็ให้ถุงลมปอดของเราแฟบให้ได้มากที่สุด นี่คือเคล็ดวิธี แต่เป็นการกระทำที่นิ่มนวล เนิบนาบ ยืนยาว หนักแน่น และ หมดจด เรามาเริ่มแล้วหลวงปู่ จะหยุดเสียงสักพัก อย่างลืมว่าต้องไม่มีอารมณ์ใด ๆ นอกจากลมหายใจนะลูก เริ่มมีกระบวนการคลื่นแห่งความคิดเข้ามาอีกแล้ว เป็นกระบวนการความคิดที่ทำลายสันติ และ พลังของเรา ขืนปล่อยให้เกิด การเล่นกับความคิดต่อไปชีวิตไม่ได้ดีลูก อย่าทำตนเป็นคนซ่องเสพความคิดฟุ้งซ่าน มันเป็นมารที่กำจัด ความสำเร็จ และ สมบูรณ์ ของชีวิตจำไว้ คงจะรู้ตัวว่าใครที่เล่นกับความคิด พวกเรานี่มันมีกลิ่นไอของมาร กับ เทพ อยู่ในตัว มันเป็นกลิ่นไอที่แสดงออกมาเป็นแสง แล้วก็สีที่ไม่เหมือนกัน เหมือนกับเรามีประจุไฟฟ้าเหล่านั้นได้ ก็จะบอกเราได้ว่าเราคิดอะไร มันหนีไม่พ้นหรอกลูก เพราะฉะนั้นเรารู้ตัวเรามีความสุขสมบูรณ์ไหม กับ การที่เราเริ่มเดินลม เรารู้ตัวเราว่าเราได้อะไรกับมัน และ เราก็รู้ตัวเราว่าเราจะเสียอะไรกับมัน

..... ฉะนั้นเตือนเอาไว้ว่าไม่มีใครในโลกหรอกลูก จะรักตัวเราเท่าตัวเราเอง แต่ที่ตัวเราลืมไปทำอะไร ๆ ที่ให้กับตัวเองเป็นเรื่องเลวร้ายเสียหาย นั่นแสดงว่าเราไม่รู้ และ ก็เผลอไปหน่อย เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่ห่วงอะไร ในเวลานี้มันเป็นเวลาส่วนตั๊ว ส่วนตัว มันเป็นเวลาเฉพาะ ๆ ของเรา ชีวิตของเราล้วน ๆ ที่ไม่มีใครช่วยเราได้ ไม่มีผู้บังคับบัญชา ไม่มีหน้าที่การงาน ไม่มีลูก ไม่มีผัว ไม่มีบ้าน ไม่มีสมบัติ มีแต่ตัวเราล้วน ๆ เพื่อจะแสวงหาดิ้นรนและขวนขวาย สิ่งที่เป็นประโยชน์ เพื่อจะปิดประตูแห่งอบายได้รู้ไหม ใครอยากตกนรกบ้าง ยกมือขึ้น ใครไม่อยากตกนรกบ้างยกมือ ที่ไม่ยกนั่น แสดงว่าอยู่ในนรกแล้วหรือ เอามือลง วิธีที่จะปิดประตูอบายคือเปิดประตูวิญญาณของตนให้ได้ก่อน และ วิธีที่หลวงปู่สอนเราเมื่อครู่นี่คือกุญแจสำคัญที่จะไขประตูวิญญาณของเรา ถ้าเรายังไขกุญแจในตัวเองไม่ได้ ยาก ที่จะพ้นจากอบาย จำไว้ ยากมาก ต้องพยายามไขประตูแห่งวิญญาณของตนให้ได้ แล้วเราก็จะพบครูผู้ใจอารี นอนอยู่ในวิญญาณของเรา เค้าจะบอกเราว่าเราควรทำอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ทรงทำอย่างนั้น พระองค์จึงไม่ต้องมีใครสอนพระองค์ พระองค์จึงเจอครู เห็นครู ในกายของพระองค์ได้ เพราะฉะนั้นการที่พวกเราทั้งหลายยังไม่สามารถเปิดประตูวิญญาณของตัวเองได้ ก็ไม่ใช่หมายถึงว่าจะทำไม่ได้ตลอดไป มันต้องมีสักวันหนึ่ง ถ้าเราพยายาม แต่ต้องเป็นการพยายามที่ต้องตั้งอก ตั้งใจอย่างเด็ดขาด

..... ไม่ใช่เด็ดไม่ขาด แล้วยังมีหยดอีก 2 แหมะ ยังมีย้อย และ ยืดยาว เดินเป็นหางไปอย่างนั้น ไม่ใช่ลูก อย่าลืมว่าตอนเกิดจากท้องแม่ ไม่ได้คาบอะไรมาด้วย ไม่มียศ ไม่มีงาน ไม่มีตำแหน่ง มีแต่ชีวิต กับ ชีวิต และลมหายใจ แล้วตอนตายก็ไม่สามารถคาบอะไรไปด้วย แม้แต่เงินที่ญาติยัดใส่ปาก สัปปะเหร่อ ก็งัดเอาไปกิน เพราะฉะนั้น "อัตตาหิ อัตตะโนนาโถ" ตนแลเป็นที่พึงของตน จริง ๆ จะมีใครที่ช่วยเราได้ แม้แต่วันสุดท้ายแห่งความตาย อย่าว่าแต่หมอเลย หมอก็ช่วยหมอไม่ได้ถ้าเขาจะตาย เพราะฉะนั้นทุกคนต้องตาย ความตายเป็นปกติของชีวิตทุกคนมีชีวิตอย่าคิดหนีความตาย ความตายเป็นสิ่งที่หนีไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิถึงความตายภายใน 7 วันเหมือนกันทุกคน เหมือนกันหมด เมื่อเป็นเช่นนั้น ถามตัวเองหรือยังว่า เราเตรียมตัวที่จะตายอย่างสบาย ๆ แบบมีอะไร ๆ ติดตัวไปบ้างหรือยัง ก็อย่างที่หลวงปู่เล่าให้ฟังเมื่อวานว่า ชีวิตหลังความตาย ก็คือการเดินทางไกล คนที่หลงใหลในอะไร ๆ เดินไม่ไกลหรอกลูก เมื่อครู่นี้หลวงปู่กำลังจะสอนวิธีเดินทางไกล ให้แก่เรารู้ไหม มันเป็นวิธี และ วิถีชีวิตของคนที่เตรียมตัวเดินทางไกล ทำอย่างนี้แหละคือ การที่เตรียมตัวเดินทางไกลที่สุด เพราะไม่มีอะไร ๆ นอกจากลมหายใจ และ ความว่าง ๆ สบาย ๆ มันจะไปได้ไกลจนถึงนิพพานที่เดียว ต้องการจะเลือกสวรรค์ยังได้เลย แต่ถ้าเรายังแบกอะไร ๆ จะสังเกตุได้เลยใครที่แบกอะไร ๆ ชี้หน้าได้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ว่าไปได้ไม่ไกล หนักเพราะฉะนั้นคนที่ไปได้ไกลแสดงว่าตอนนั้นไม่มีอะไร ๆ นั่นแหละคือวิธีสมมุติรสชาติและอารมณ์ของความตาย และ การเดินทางให้กับพวกเรา ใครที่รู้ตัวยังมีความกังวลผิดพลาด บกพร่อง มีปัญหาคั่งค้าง คาราคาซัง บอกถึงวันหลังความตายได้เลยว่าไม่ไปไหน อยู่กับตรงนั่น จำไว้ อยู่กับตรงนั้น ถึงจะไปได้ไกลอีกนิด ก็ไม่พ้นตรงนั้น แต่ถ้าใครที่เมื่อครู่นี้ ไม่มีอะไร ๆ มันโปร่ง สุขสันติ โล่งเบา แล้วก็ สบาย นั่นแสดงว่าไปได้ ไม่ใช่เดินอย่างเดียวแถมวิ่งอีกต่างหาก เร็วที่สุดถึงจุดหมายง่ายที่สุด และสำเร็จดีที่สุด

..... หลวงปู่กำลังสอนสุดยอดของวิชาในพระพุทธศาสนา ให้กับพวกเราได้เรียนรู้ในวันนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่พวกเราจะอยู่ใกล้หลวงปู่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ให้เสียเที่ยว ไม่ให้เสียที ที่มาทำดีร่วมในพระพุทธศาสนากับเค้าได้ในชาตินี้ เพราะฉะนั้น ถ้าใครทำได้ หรือจำวิธีได้ อย่าลืมกลับไปแล้วลองทำให้ได้ทุกเช้า ถามว่าผมไม่มีเวลาเลย เพราะว่าเช้า ๆ ก็ต้องเตรียมงาน ไม่จริงหรอกลูกคนที่ทำได้ก็อยู่ใน 24 ช.ม. เหมือนกัน และคนที่ทำไม่ได้มีแค่ 24 ช.ม. เหมือนกัน ทำไมเขาทำได้ และ ทำไมเราทำไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่การงานหน้าที่ของเขาเหมือนกับเรา และ บางที บางครั้งเขาก็มีงานมากกว่าเราด้วยซ้ำไป หลวงปู่นี่ต้องบริหารชีวิตคนที่อยู่ในนี้ ต้องบริหารเศรษฐกิจของที่นี่ ต้องทำเรื่องการพัฒนาอะไร ๆ อีกตั้งเยอะแยะที่นี่ และยังมีที่อื่นอีกที่ต้องรับผิดชอบ ทำไมหลวงปู่ยังมีเวลากับความเป็น ส่วนตั๊ว ส่วนตัว ของตัวเอง ถ้าเรารู้ว่างานเรามาก ก็อย่าหลงแต่นอน อย่าเอาแต่เสพ อย่ามั่วต่อกาม และ การกินอยู่ เจียดเวลาของเราให้ วิธีพิเศษ ๆ สำหรับประโยชน์แห่งชีวิตสูงสุดชนิดนี้ได้บ้างไหม ในยามเช้าของอากาศที่สดชื่น แจ่มใส ทุกวันสัก 3 นาที 5 นาทีก่อนจะแปรงฟันก็ได้ ดื่มน้ำ แล้วก็ทำชีวิตวิญญาณให้สดชื่น ออกไปสูดโอโซน และ บรรยากาศ อากาศ นอกห้องนอน นอกที่นอน แล้วก็กลับมาเริ่มต้น การทำอะไร ๆ ที่เป็นภาระกิจของตนเองอย่างดียิ่ง อย่างเมื่อครู่นี้ สัก 3 นาที 5 นาที ทำอย่างนี้เรื่อย ๆ ไป

..... มันก็เหมือนเราหยดน้ำใส่ตุ่มทีละหยด ทีละหยด ถึงแม้ว่ามันจะทีละหยด แต่ถ้าตุ่มเราไม่รั่ว และขยันที่จะหยด สักวันหนึ่งมันต้องเต็ม แต่ถ้าเราไม่ยอมที่จะหยด แล้วตุ่มที่มียังรั่ว คือ ตัวเราไม่ใส่ใจที่จะหยดอีกด้วย ไม่มีวันเต็มหรอกลูก เราจะเป็นผู้ที่พร่องอยู่เป็นนิจ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “ จิดเตสังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา ” ก่อนจะตายถ้าจิตพร่อง ที่หมายเป็นอบายภูมิ และ ทุกข์คติเป็นที่หวัง แต่ถ้าเราเติมให้มันเต็มอยู่ตลอด หรือมันไม่เต็มก็พยายามเติม เต็มน้อยก็คือพร่องน้อย มันก็จะไปอยู่ที่ ๆ ดีกว่า ที่ ๆ ไม่มีหรือพร่องตลอด แต่สำหรับจิตของคนที่พร่องอยู่ตลอด มันจะลงต่ำลูก ตามแรงโน้มถ่วงของกรรม และ โลก เหมือนกับลูกโป่งสวรรค์ที่เค้าอัดแก็สใส่เข้าไป นึกออกไหมถ้าเราอัดลมเข้าไปมาก มันก็จะลอยได้สูง



..... แต่ถ้าอัดลมเข้าไปน้อยมันก็ลอยได้แค่พ้นมือแล้วก็หล่นลง พวกเราก็เหมือนกับลูกโป่งสวรรค์ที่ยังไม่ได้รับการอัดลม ลมในที่นี้ก็คือสิ่งที่เรา ละวาง ปล่อยไว้ เป็นความว่าง ๆ อย่างผ่อนคลายแบบเมื่อครู่นี้ ถ้าเราอัดเข้าไปน้อย มันก็หล่นปุ๊บ แล้วก็ร่วงลงพื้น นั่นคือวันตาย และ ที่ไปของเราก็ตกลงไปในที่ต่ำ แต่ลูกโป่งสวรรค์ที่อัดลมเต็มที่ พอปล่อยปุ๊บมันก็จะลอยไปได้ไกล อย่างที่มันต้องการจะไป จะร่วงก็เป็นที่ ๆ มันปรารถนาจะไป มันเลือกที่ร่วงของมันได้ เพราะฉะนั้นพวกเราก็จะต้องถามว่าชีวิตเราต้องการจะร่วงแบบชนิดที่หล่นแปะ! หรือ ลอยไปได้ไกลแล้วก็เลือกที่ร่วงได้ หลวงปู่กำลังพูดเรื่องจริงของชีวิตทุกคน ว่าชีวิตหลังความตายเป็นอย่างนั้น โดยฐานะที่หลวงปู่เป็นผู้ที่เรียนรู้ชีวิต และ วิญญาณของโลกและตัวเองมาชั่วชีวิต จนได้รับยกย่องว่าเป็น ผู้นำทางวิญญาณของโลกและสรรพสัตว์

..... เพราะฉะนั้น เมื่อหลวงปู่รู้วิญญาณ เรียนวิญญาณ โดยไม่มีครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอน จึงรู้สึกเอื้ออาทร และ ห่วงใยต่อลูกหลานทั้งหลายว่า พวกท่านจะลอยไปได้ไม่ไกล เพราะมองแววตาแต่ละคนแล้วไปไม่ได้กี่ก้าว บางคนไม่ทันไป พอขยับตัวลุกจะเดินก็น็อคเสียแล้ว ดีไม่ดีไม่ทันขยับก็อยู่ตรงนั้นแหละ อย่าลืมว่าอย่าอ้างว่าไม่มีเวลาลูก 24 ช.ม. เท่ากัน แล้วทำไมเราไม่ห่วงใยเอื้ออาทรปรารถนาดีต่อชีวิต และ วิญญาณของเราบ้าง เรามัวแต่อะไร ๆ ที่มันไร้สาระอยู่ตลอดเวลาทำได้อย่างไร เราไม่กลัวบ้างหรือไง หรือยังไม่เคยเห็นมัจจุราช ถ้าใครอยากจะเห็นก็ลองดูก็ได้ หลวงปู่จะชี้ช่องให้ว่าทำอย่างไร เดินไปแล้วก็อุดจมูกเอาหัวทิ่มเสานั่นแหละเดี๋ยวก็เห็น นี่ไม่ได้สาปแช่งนะ อยากจะบอกว่ามันน่ากลัวลูก คนมายืนเอาปืนจ่อหัวยังไม่น่ากลัวเท่ากับ ชีวิตหลังความตายที่ไม่มีอะไรเลย เพราะอย่างน้อยเราก็ยังคุยกับคนที่มันเอาปืนจ่อหัวของเราได้ว่าขอเวลาสักนิด ขอกินน้ำสักแก้วได้ ยังรู้จักหน้าตาและยังสื่อภาษา และรู้ชนิดของปืนที่มันยิงเรา

..... แต่ชีวิตหลังความตายนี่ถึงจะเห็นแก้วน้ำวาง ตรงหน้าอยากใจจะขาด เหมือนกับคนที่ยืนอยู่กลางทะเลทราย และ แดดเผา แต่จะเอื้อมมือไปหยิบน้ำมันทำไม่ได้ลูก เพราะถ้าญาติของเราไม่อุทิศให้ ก็กินไม่ได้ลูก อยู่กับข้าว อยู่กับไก่ อยู่กับเป็ด อยู่ตรงนั้นแต่หยิบไม่ได้ลูกไฟกรดมันจะขึ้นเพราะ ไม่ใช่ของเรา เราไม่เคยทำบุญสุนทานใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลให้ใครเขา ทำไม่ได้ลูก อดอยากปากแห้งน้ำลายสออยู่อย่างนั้น มันเลวร้ายขนาดนั้นนะลูก จะบอกญาติ แม่นั่งอยู่ใกล้ ๆ เรียก แม่ หนูอยากกินข้าว แม่ก็ฟังไม่ได้ยินลูก เขาไม่รู้ ไม่ได้ยิน ไม่เห็นเรา เหมือนกับลมที่มันพัด ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ชีวิตหลังความตายเป็นเหมือนลม หนาวครับแม่ หนาวครับพ่อ หนาว พ่อหนาวเหลือเกินลูก ก็บอกกับลูกไม่ได้ เพราะลูกก็จะเดินผ่านมา แล้วก็ผ่านไป ไอ้ที่ยิ่งแย่ใหญ่ ก็พวกสัมภเวสี คือพวกที่ล่องลอยไปตามอากาศไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เพราะไม่เคยทำบุญสุนทานอุทิศส่วนกุศล และ ความดีให้กับใครเขาเลย ตายไปก็ไม่มีบ้านจะอยู่ แล้วก็พวกตายโหง ไม่ถึงเวลาตาย แล้ว ก็ตายก่อนกำหนดยังชดใช้กรรมไม่หมด แล้ว ก็ตาย พวกนี้จะไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ล่องลอยไปตามอากาศตามที่กว้าง ที่โล่งหา ที่อยู่ไม่ได้ เหมือนกับคนที่เดินหลงทาง เราลองคิดดูถึง เด็กน้อยที่เดินหลงทางว่าเขาเป็นอย่างไร กลับบ้านก็ไม่ได้ ไปไหนก็ไม่ได้ หิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย หนาวก็หนาว ร้อนก็ร้อน แถมยังหวาดกลัวต่อภัยรอบข้างที่จะทำอันตรายนั้นแหละคืออารมณ์ และความเป็นอยู่ของสัมภเวสี มันทรมานไหม มันจะเดือดร้อนขนาดไหน

..... เพราะฉะนั้นถ้าเรายิ่งทำตัวเป็นคนไม่กลัวอยู่ละก็ หลวงปู่ก็ช่วยไม่ได้นะลูก พระเดินผ่านไปแล้วก็ผ่านมา เหมือนอย่างเรื่อง พระมหาโมคคัลลานะเห็นอสูรกายลอยในอากาศ ถูกไฟกรดเผาตัว ยังช่วยไม่ได้เลยลูก ท่านได้แต่ยิ้มแล้วก็แผ่เมตตาให้ ก็ได้ชั่วครั้ง-ชั่วคราว ได้แค่แป๊บเดียวเท่านั้น พอท่านเดินหันหลังก็หมด ไฟกรดก็ลุกต่อ ได้แค่นั้น และถ้าเป็นเราจะมีโอกาสเจอพระแบบนี้หรือ ชีวิตของพวกเราเมื่อเป็น เปรต อสูรกาย เดียรฉาน เป็นบุคคลที่ไม่สามารถจะสื่อความหมายให้กับใครเขาได้นี่ เราจะมีโอกาสเจอผู้ที่มากด้วยความรู้ และ เปี่ยมด้วยเมตตาอย่างนั้นหรือ 500 ปี จะเจอสักทีมั๊ง พันหมื่นปีแสงจะได้เจอกับพระอรหันต์สักองค์กระมัง! เพราะฉะนั้นวันนี้ เวลานี้ และ เดี๋ยวนี้ เราได้อยู่ในพระพุทธศาสนานี้ ได้เจอพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ นั่นคือ พระพุทธเจ้า ทำไมเราถึงไม่ขวนขวายตักตวงเอาประโยชน์!

..... สูดลมเข้าลูกโป่งของเราให้มันมากเข้า เรามัวมาแต่ประมาท มัวแต่ละเมอเพ้อพก กับอะไรที่เป็นเหยื่อ และเครื่องล่อให้เราหลุดออกไปจากจักรวาล โดยไม่ได้อะไร ทำไม มีเวลาแล้วทำไมไม่ใส่ใจขวนขวาย หลวงปู่พูดด้วยความรู้สึก สงสาร และ สมเพชจากใจ ที่หลวงปู่เลี้ยงหมา หมู แมว เลี้ยงสัตว์ เพราะเรารู้ว่าเขาทรมาน เขาทุกข์เดือดร้อน ที่หลวงปู่ไปอยู่ถ้ำไก่หล่น อยากจะช่วยสัตว์ทุกตนให้พ้นจากการเป็นเหยื่อของพราน และคนจองล้างจองผลาญ วันใดที่เรารู้ว่าสัตว์ที่เราดูแลรักษา ถูกยิงตาย เรารู้สึกเศร้าโศกในใจว่า "โอ้หนอเราช่วยเขาไม่ได้" วันใดที่เราเห็นต้นไม้ และ นกทั้งหลายเดือดร้อน เรารู้สึกเสียใจว่า "โอ้หนอเราไม่สามารถช่วยโลก และ จักรวาลให้พ้นจากดวงจันทร์ในอนาคตได้" เรารู้สึกอย่างนั้น เพราะฉะนั้นพวกท่านล่ะ มีความเอื้ออาทรสุดชีวิตต่อตัวเราเองบ้างหรือไม่? อย่าให้คนอื่นเขามาสงสารเรา! สงสารตัวเองลูก! ต้องรักตัวเองให้มาก ไม่ใช่สอนให้เห็นแก่ตัว ไม่ใช่สอนให้เป็นคนตระหนี่ ไม่ใช่สอนให้เป็นคนจิตใจคับแคบ แต่สอนให้รู้จักให้ ๆ เป็น และก็รู้จักวางเป็น รู้จักคิดเป็น รู้จักมองอะไรให้เป็น และ รู้จักมีชีวิตชนิดที่คิดอะไร ๆ ออก เมื่อวานที่หลวงปู่สอนให้ตี ให้ทำโทษต่อลูก ต่อเมีย ต่อผัว เพราะสอนให้เลี้ยงตัวไม่ใช่เลี้ยงกิเลส ไม่ใช่สอนให้เป็นคนโหดร้าย และ อำมหิต เพราะความเอื้ออาทรต่างหาก ที่เราอยากให้เขา

..... การที่หลวงปู่ตำหนิติติง ด่า ว่า ตักเตือนชาวบ้าน ไม่ใช่ความโหดร้ายลูก การที่พ่อแม่จะตีลูกก็ไม่ใช่ความโหดร้าย แต่เป็นการที่เอื้ออาทรที่เราไม่อยากให้กิเลสของเขาโต แล้วตัวตาย อยากให้กิเลสตาย แต่ตัวเขาโต! เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าหลวงปู่แนะนำให้เราไปโหดร้ายต่อลูก หลวงปู่ไม่ได้ โหดร้าย! ถ้าเป็นคนโหดร้าย คงไม่ต้องมานั่งทรมานสังขาร อบรมสั่งสอนใคร ๆ โดยไม่ได้อะไรตอบแทนหรอก! เพราะฉะนั้น หลวงปู่สมเพชพวกเรา สงสารลูกหลานทั้งหลายที่กลัวว่าไปเจอชีวิตหลังความตายที่หลวงปู่เห็นเป็นประจำ อย่างชนิดที่ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่อยากเจออย่างนั้น หลวงปู่ไม่อยากเห็นพวกเราเป็นอย่างนั้น เรายังสื่อความหมายกันได้ ยังพูดคุยกันได้

..... หลวงปู่ไปเยี่ยมย่าที่โรงพยาบาล ทุกวันต้องไปนั่งสวดมนต์หน้าห้อง ไอ.ซี.ยู. เขาให้เยี่ยมตอนบ่าย 2 โมง หลวงปู่ไปตั้งแต่เที่ยง ไปสวดมนต์ ไปแผ่เมตตา ให้กับคนที่เดินผ่านไปมา อย่างหน้าสมเพช ที่เขาไม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้! เพราะเขาตายที่นั่น! สงสาร เวลานั่งรถไปกับเขา ผ่านไปที่ถนน เจอในที่เขาโดนรถชนตาย เจอในคนที่ผูกคอตายบนต้นไม้ เจอในทาง 3 แพร่ง เจอในที่มีคนตายโหง แต่ละคนน่าสมเพช กอดเข่าจับจุกตากแดดตากฝน อยู่อย่างนั้น ไปไหนไม่ได้ โดนกรรมมันผูกเอาไว้! ถามว่าทำไมไปไม่ได้ ก็เพราะอำนาจของ "กรรม" ตอนตายมันตกกะใจ ใจเสีย ขาดสติ แบกญาติ แบกลูก แบกรถ รถของกู ทำไมกูต้องตาย สงสัยระแวง อยู่ตรงนั้นแหละลูก แต่ถ้าขณะที่ตาย มีอารมณ์โล่ง ๆ โปร่ง เบา สบาย แบบที่หลวงปู่สอนพวกเรา โอ้โฮมันไปที่ไหน อยากไปก็ไปได้อย่างสบาย ไปได้อย่างสบาย ๆ เหมือนกับโยมทองห่อ พิสุทธิผล ผู้เฒ่าที่อายุ 88 ตอนที่ท่านหรือว่าเขาตกรถเมล์ เขาจับพระที่หลวงปู่ให้จิตรวมอยู่กับพระ เขาบอกว่ามีแสงสว่างนิ่ม ๆ เหมือนกับมีมือสบาย ๆ นุ่ม ๆ มารองรับเขา แล้ว ก็ค่อย ๆ มาวางลงกับพื้นถนน นอนคุดคู้!! เหมือนกับคนนอนหลับสบาย ๆ ไม่มีอะไรมาวุ่นวาย ทำให้เกิดแผลถลอกสักนิดก็ไม่มี คนอายุ 88 ตกรถเมล์ในขณะที่วิ่ง เราคิดดูว่ามันเป็นอย่างไร ?

..... จิตเขาสบาย เขาไม่ได้คิดอะไรเลย อยู่กับพระ ความดีที่เขาฝึกปรือ ที่หลวงปู่อบรมสั่งสอน และที่เขาเชื่อพระพุทธเจ้า ทำให้เขาไม่ตายโหง ตรงนั้น และถ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามเขาดูว่าเขามีความรู้สึก และ เห็นอย่างนั้นจริง ๆ ไหม เหมือนกับคนที่นอนหลับบนที่นอนนุ่ม ๆ เพราะฉะนั้นพวกเราเตรียมตัวแล้วหรือยัง? รักตัวเองบ้างไหม? เชื่อพระพุทธเจ้าบ้างหรือเปล่า? สงสารตัวเองบ้างไหมลูก? ไอ้ความเลวร้ายทั้งหลายที่ใส่ให้กับตัวเราเอง เลิกได้หรือยัง? หลวงปู่อยากให้พวกเราเห็นอย่างที่หลวงปู่เห็น ได้ยินเหมือนอย่างที่หลวงปู่ได้ยิน แล้วจะดูสิว่าพวกเราจะนอนสะดุ้งสักกี่กลับ กับการที่มาโง่ และ มาหลงอะไรกับสิ่งที่ไร้สาระอยู่อย่างนี้ หลวงปู่สอนลูกหลานอยู่เสมอว่า “ลูกรัก อยู่ในโลกสมมุติ เราอยู่ในโลกของสมมุติ ใช้สมมุติให้เป็นลูก ได้ประโยชน์จากสมมุติก็ให้ประโยชน์กับสมมุติบ้าง และสุดท้ายอย่ายึดติดในสิ่งที่เป็นสมมุติ”

..... หลวงปู่นี่ใคร ๆ เขาสมมุติให้เป็นหลวงปู่ สมมุติให้เราเป็นอาจารย์ สมมุติให้เราเป็นครู สมมุติให้เราเป็นผู้นำทางวิญญาณ จริง ๆ แล้วหลวงปู่ไม่เคยหลงใหลในความเป็นสมมุติตรงนั้น แต่หลวงปู่ก็ยังเป็น หลวงปู่ของตัวเอง ยังสอนตัวเองได้ทุกเวลา ไม่เคยผยอง ไม่เคยทรนงต่อเกียรติศักดิ์ และ ยศถาบรรดาศักดิ์ ที่ใครเขาให้ และกราบไหว้เทิดทูนบูชา ไม่งั้นกูคงไม่ทำงานจนพิการขนาดนี้ เพราะฉะนั้นไม่เคยหลงใหลในสิ่งที่เป็นสมมุติ ไม่เคยผยองทรนงคนเขาเอารถป้ายแดงมาถวาย ก็ไม่เคยได้ใส่ใจ และ เอื้ออาทรมันจนเกินไป จนเป็นความหวงแหน ไม่เคยดีใจ หรือว่า เศร้าโศกกับกระบวนการใด ๆ นอกจากรู้สึกสมเพช และสงสารสัตว์ทั้งหลายที่ต้องทนทุกข์ทรมาน รู้สึกสงสาร ถ้าตราบใดที่พวกเรายังหลงใหลต่อสิ่งไร้สาระ งวดนี้เราสวดมนต์กันในบทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร กับ อนัตตลักขณสูตร และ อาทิตยปริยายสูตร คือสูตรที่หนีจากของร้อน และ เอาชนะด้วยความเยือกเย็น จบลงแล้วด้วยความรู้สึกที่หลวงปู่เป็นคนสวดแล้วพวกมึงเป็นคนนั่งฟังเป็นวันสุดท้ายที่ เราได้สวดมนต์กันในวันนี้ จริง ๆ แล้วไม่ใช่อยู่กับคำว่า “พุทโธ”

..... คำว่า "พุทโธ" มันเป็นคำให้เราทำ จิตกับกายรวมเป็นหนึ่ง แล้วว่าง ปล่อยวาง ไม่แบก เคล็ดลับมันไม่ใช่อยู่ที่คำว่า "พุทโธ" แต่เคล็ดลับมันอยู่ที่ผลของคำว่า "พุทโธ" มึงจะตายแล้วหรือ อ๋อ! เตรียมตัว เอ้า ๆ ว่าไป ถ้านึกถึง ไม่ได้ไปลูก แต่ถ้าว่าคำนั้น เมื่อคำว่านึกถึงมันเกิด กระบวนการของจิตมันจะวางเองลูก แล้วมันก็จะไปแบบชนิดไม่มี “พุทโธ” เหมือนกับลูกโป่งที่อัดลมแน่น แล้วก็ตัดเชือกแล้วปล่อย “พุทโธ” ก็คือเชือกที่ผูกลูกโป่งเอาไว้ แต่ถ้าเราไม่มีเชือกผูกลมที่อยู่ในลูกโป่ง มันก็จะไหลออกหมด เข้าใจไหมลูก เพราะฉะนั้นที่คนตายเขาให้ท่อง “พุทโธ” เพื่อให้มีลมที่ขังอยู่ข้างใน พอตัดเชือกปุ๊บ ลมมันก็จะไป “พุทโธ” เป็นเชือก อาการตัดเชือกก็คือ ผลของคำว่า “พุทโธ”

..... พูดอย่างนี้เข้าใจไหม ถ้าจะอธิบายอีกครั้งหนึ่งก็คือ ที่คนใกล้ตายท่อง “พุทโธ ๆ" เจตนาเพื่อให้เขามีจิตเป็นหนึ่ง เป็นสมาธิ ไม่มีอารมณ์รัก และ ห่วงหาอาวรณ์ต่อลาภ ยศ เกียรติศักดิ์ศรี และชื่อเสียง ลูกหลานโคตรเหง้า บรรพบุรุษ ไม่ต้องแบกอะไร มีแต่อารมณ์หลงอยู่ในคำว่า ”พุทโธ” พอท่องไปสักพักหนึ่ง จิตก็จะวางคำว่า “พุทโธ” เหมือนกับคนที่แบกอะไรมาหนัก ๆ แล้วถืออะไรมานานมันก็จะเมื่อย แล้วก็จะวางเอง พอจิตวางคำว่า “พุทโธ” ก็เหมือนกับลูกโป่งสวรรค์ที่อัดลม และ ผูกเชือกโดนตัดกรรไกรฉับก็ลอยเลย อาการมัน มีเทคนิคเยอะแยะ มันไม่ใช่แค่คำว่า”พุทโธ” อย่างเดียวแต่ไม่มีใครเขารู้เรื่องนี้ เขาเลยไม่สอนเรา เพราะฉะนั้นหลวงปู่บอกให้เรารู้ว่า เราจะเป็นลูกโป่งสวรรค์ที่ลอยได้ หรือ หล่นลงดินก็อยู่ที่ตัวเราไม่ใช่อยู่ที่ใคร มันเป็นประสพการณ์ทั้งดี และ เลวอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรับประสพการณ์อันนี้ได้ ปัญหามันอยู่ที่ว่าเราจะเปิดประตูวิญญาณของเรา



..... ให้รับประสพการณ์เหล่านั้นให้ได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเองลูก ก็เพราะยังมีสัตว์อีกเยอะแยะรอบกายเรา ที่เรามองไม่เห็น! ที่เขาต้องการผลบุญของเรา มันก็เลยกลายเป็นว่า เมื่อเขารับผลบุญของเรา เวลาจะมีเรื่องอะไรเดือดร้อนอะไร เราต้องการความช่วยเหลืออะไร สัตว์เหล่านั้น เปรต อสูรกาย และวิญญาณร้ายเหล่านั้น เขาก็จะพาอภิบาลรักษาดูแล และ คุ้มครองเรา จะช่วยเหลือเรา! และบางครั้งก็จะมาเตือนเราให้สติเรา ทีเราจะพลาด หรือ ใกล้ตาย มันจึงมีผลอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เราจะเห็นว่า หลวงปู่จะตั้งอกตั้งใจกับการที่จะแผ่เมตตา และ อุทิศส่วนกุศล และทุกครั้งที่มีการพูดคุยกับพวกเราก็จะนำแผ่เมตตาทุกครั้ง เพราะต้องการให้สัตว์ทั้งหลาย เปรต อสูรกาย และก็สิ่งที่เราเห็น และ ไม่เห็น ทั้งหลาย ได้กินข้าว กินน้ำ รับผลบุญ จากพวกเรา เป็นเรื่องเป็นราวที่เราต้องให้ ด้วยความเอื้ออาทร และเป็นการฝึกปรือชีวิตวิญญาณของตนให้เป็นคนเสียสละ แบ่งปัน และทำลายความตระหนี่ถี่เหนียว และ ความเห็นแก่ตัว เพียงแค่เราแผ่เมตตา พระโพธิสัตว์ก็จะเกิดกับเรา จะมีอยู่ในตัวเรา เราก็จะกลายเป็นพระโพธิสัตว์ในพริบตาในช่วงเวลานั้น

..... เทวดา และ พรหม เทพเจ้าทั้งหลายก็จะบูชาเราได้เหมือนกันจำไว้ หลวงปู่อยากจะบอกว่า ไม่จริงหรอกลูกเรายิ่งให้เรายิ่งได้ เห็นมั้ยหลวงปู่สร้างวัดนี้ หลวงปู่ไม่ได้เรี่ยไรใครไม่ได้ขออะไรใคร หลวงปู่มีเท่าไหร่ หลวงปู่ก็จะให้ จะมีเงินของตัวเองที่เก็บเอาไว้ ก็คือ เงิน 3 บาท แต่ถ้าใครจะเอามาให้ หลวงปู่ก็จะเก็บ ถ้ามีโอกาสใช้ก็จะใช้ ปี ๆ หนึ่งบวชพระ เณรนี่ ปีหนึ่งใช้เงินไม่ต่ำกว่า 3-4 แสนบาท แต่เรารับบริจาคอย่างดีก็ แสนกว่าบาท สองแสนบาท แล้วเงินที่เหลือเล่าใครจ่าย เพราะชาวบ้านเขาถวายหลวงปู่เราไม่ได้ใช้เก็บไว้ ก็มาซื้ออะไร ต่อ อะไร มาให้กับพวกเขาแต่สิ่งที่เราได้ก็ อย่างที่เห็นนี่แหละ หลวงปู่ไม่ต้องหาไม่ต้องขอ คนเขามาให้ด้วยใจศรัทธายิ่งให้ ยิ่งได้รับลูก เวลาหลวงปู่จะต้องการใช้เงินวันนี้ เดือนนี้ เดือนหน้า หรือ ปีหน้า บางเดือนรายจ่ายของที่นี่ เดือนละเป็นล้าน ไม่ต่ำกว่าแสน เวลาที่มีการก่อสร้าง แล้วถามว่าหลวงปู่เอาเงินจากไหน รู้ไหมว่า 3 เดือนที่หลวงปู่เข้ามาอยู่ในวัด หมดเงินไปตั้งสิบกว่าล้าน แล้วเอามาจากไหน เพราะฉะนั้น ยิ่งให้ ยิ่งได้ลูก ไม่ใช่ยิ่งให้แล้วยิ่งหมด! อย่าไปเชื่อใคร ขอเพียงเราให้อย่างฉลาดให้อย่างเป็นคนที่ให้อย่างจริงใจแต่ ไม่ใช่งก ไม่ใช่ขี้เหนียว ไม่ใช่เห็นแก่ตัว ให้แล้วหวังว่าจะต้องได้เท่านั้น เท่านี้

..... หลวงปู่ไม่เคยเลย ไม่เคยคิดว่าสั่งสอนพวกเราแล้วจะได้อะไร ๆ กลับมา! ก็เคยคิด คิดอย่างเดียวว่า เราสอนให้เขาเป็นคนดี แล้วเขาไปทำดีต่อสังคม และครอบครัวเท่านั้นแหละ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ถ้ารู้ว่าให้แล้วหมด พระองค์คงไม่สอนให้ ให้แล้วหรอกลูก เชื่อพระพุทธเจ้า ยิ่งให้ ยิ่งได้ เป็นการให้ด้วยความเมตตา ไม่ใช่ เป็นการให้ เพราะอยากอวดมั่ง อวดมี อวดเด่น ให้อย่างนั้น ยิ่งให้ยิ่งเสียลูก ให้ด้วยแล้วเสียด้วย อย่างน้อยก็สูญเสียสิ่งดี ๆ ที่เราควรจะได้กับการให้ในครั้งนั้น เราจะหยิ่งขึ้น ทรนงขึ้น ถือตัวถือตนเองมากขึ้น จองหองขึ้น แต่ถ้าเราให้ด้วยความอยากให้ ให้ด้วยความเมตตา ความหยิ่งก็จะไม่มี ความทรนงก็จะไม่มี ความถือตัวถือตนว่าเป็นผู้มีพระคุณก็จะหมดไป ความผยองพองขนก็จะไม่มี เพราะฉะนั้นการให้อย่างนี้จึงถือว่าเป็นการให้แบบพระโพธิสัตว์

การทำบุญมีด้วยกัน 4 ประเภท
ประเภทแรก การทำบุญอย่างพระพุทธเจ้าให้ แบบพระพุทธเจ้าให้ เป็นพระพุทธเจ้า คนที่ให้แบบนั้นเป็นพระพุทธเจ้าให้อย่างไม่หวังอะไรตอบแทน ให้ด้วยความเอื้ออาทร และด้วยความเมตตา มี ดี เต็ม อิ่ม แล้วก็ แบ่งปั่นให้ นั้นเรียกว่าให้แบบพระพุทธเจ้า

ประเภทที่สอง ให้แบบพระโพธิสัตว์ให้ มี ไม่ดี ไม่เต็ม ไม่อิ่ม แต่ถ้ามีคนมาขอ ก็มีจิตเมตตา แม้แต่เฉือนเนื้อตัวเองให้ ก็ให้ ให้อย่างนั้นเรียกว่าเป็นการให้แบบพระโพธิสัตว์ให้ ให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน

ประเภทที่สาม ให้แบบพระอริยเจ้าให้ ให้เพราะตัวเองคิดว่าอยากจะอนุเคราะห์สรรพสัตว์ ตามหน้าที่เพราะตัวเองเป็นคนดี คนมี คนเต็ม คนอิ่ม ตามพระพุทธเจ้า มี ดี เต็ม อิ่ม และก็ด้วยมีฐานะของความเป็นผู้ที่ไม่ยึดติด ผู้ละวางปล่อยเว้น ไม่ต้องการอะไร แล้วก็เอื้ออาทร ต่อสรรพสัตว์ แล้วก็แบ่งปั่น ให้อย่างนี้เรียกว่าให้อย่างพระอริยะเจ้าให้

ประเภทที่สี่ เรียกว่าให้แบบเปรตให้ ให้แบบชนิด เจ้าประคูณ ขอให้งวดนี้ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง เจ้าประคูณ ขอให้ลูกดิฉันสอบนายร้อยได้ เจ้าประคูณขอให้ทำมาค้าขึ้น ไอ้เนี้ย เปรตให้ลูก เปรต แปลว่าผู้ไม่อิ่ม ไม่เต็ม พร่องเป็นนิจ และต้องการ ให้แล้วต้องให้ได้เท่านั้นเท่านี้ อย่างนี้เรียกว่าเปรตให้ลูก เลือกเอาลูก