ถอดเทป เรื่อง ตายแล้วไปไหน : อบรมสามเณรภาคฤดูร้อน
๑๐ เมษายน ๒๕๔๓


หลวงปู่ถาม…แล้วทำไมพวกมึงกลัวผีล่ะ (เณรตอบเสียงเบาม๊ากฟังไม่รู้) พวกเราเนี่ยะมันไร้สาระ พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าคิดจะเป็นคนที่เชื่อใครง่ายๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับควายที่ปล่อยให้เขาจูงจมูก คนเราต้องมีเหตุมีผลในชีวิตของตัวเอง

เราอาจจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่เราควรมีเหตุผลในการเชื่อ..ลูก เหมือนเมื่อคืนหลวงปู่นั่งรถมามีคนนั่งในรถเขาถามหลวงปู่ว่า ปกติแล้วเนี่ยะ ลูกชายเขาชอบเห็นตอนกลางคืนมีดวงไฟลอยมากลางอากาศ และเข้าไปสู่เมรุ เป็นประจำเพราะบ้านเขาอยู่หลังวัด เห็นเป็นบ่อยๆ อะไรอย่างเนี๊ยะ แล้วไอ้..เมรุนี่ก็อยู่ใกล้ป่าช้า ทางเพชรบุรีเขานิยมฝังไว้ตามพื้น เขาไม่มีโกดังเก็บศพ หลวงปู่เลยบอกว่ามันเป็นเรื่องราวที่คิดกันเองหรือเปล่า เพราะว่าในร่างกายมนุษย์นี่มีสารฟอสฟอรัส ซึ่งมันเป็นสารเรืองแสง เมื่อคนเราตายไปร่างกายก็ย่อยสลายผุพัง เนื้อหนัง..ผิว..เนื้อ..ผม..เล็บ..กระดูก ก็ย่อยสลายรวมตัวกันเป็นธาตุฟอสฟอรัสซึ่งเรืองแสง ฟอสฟอรัสก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน…

ในตอนกลางคืนเนี่ยะบรรยากาศข้างบนมันไม่หนาแน่นเหมือนตอนกลางวัน อากาศตอนกลางคืนเนี่ยะมันจะเบาบางลง เช่น ความร้อนลดลง ความเย็นจะแทนที่ ส่วนในตอนกลางวันอากาศบนดินจะร้อนสะสมเข้ามันก็จะเป็นตัวประสานผลักดันให้ฟอสฟอรัสซึ่งเป็นสารเรืองแสงเนี่ยะ ลอยขึ้นมาจากพื้นดิน และลอยไปในอากาศ ซึ่งหลวงปู่ก็อธิบายกับเขาอย่างนี้ ทั้งๆที่หลวงปู่รู้ว่ามันเป็นอะไรแค่ไหน…อย่างไร แต่เราต้องมีวิทยาศาสตร์อยู่ในหัวใจก่อน เมื่อก่อนหลวงปู่สร้างวัดใหม่ๆ 7 ปีที่แล้ว ตอนที่โรงครัวยังเป็นกระต๊อบเล็กๆ ชาวบ้านก็ทำนาอยู่แถวศาลาเนี่ยะ หลวงตาสนิทกับเณรองค์หนึ่ง เขาสึกออกไปแล้ว ชื่อเณรจก กลางคืนเขาเห็นดวงไฟสีม่วงๆกลมๆ ลอยผ่านยอดข้าว และเลยไปที่กุฏิที่หลวงปู่นอนอยู่ เขาบอกว่าจะเป็นชาวบ้านหาปลา..ก็ไม่น่าใช่ เพราะแถวนั้นมันเป็นนาข้าวทั้งนั้น พอตื่นเช้าก็พากันไปดู ก็ไม่เห็นว่ามีรอยตีนคนเดินเลย เพราะนาข้าวนี่เวลาคนเดินหรือเหยียบมันก็ต้องปรากฎรอยขึ้นมา แต่ผลปรากฎว่ามันไม่มีรอยอะไรเลย ไม่มีรอยยุบเลย…

เขาก็ถามหลวงปู่ว่า…ไอ้ดวงไฟที่สีทองม่วงๆเนี่ยะมันคืออะไร มันมาอย่างไร..มันลอยไปอย่างไร อยู่ดีๆมันก็ลอยไปทางกุฏิหลวงปู่ แล้วก็หายไปเลย หลวงปู่ก็อธิบายให้เขาฟังว่า ที่ตรงนี้อาจเคยมีคนมาตายหรือเป็นที่ฝังศพมาก่อน มีซากศพมาก เลยกลายเป็นว่าเป็นที่สะสมของฟอสฟอรัสจำนวนมาก แล้วรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน พอถึงเวลาอากาศบนพื้นโลกเบาบาง เย็นลง แต่ความร้อนข้างในมี มันก็จะผลักดันเอาฟอสฟอรัสเหล่านั้นลอยขึ้นมาจากพื้นดินที่ร้อน ทำให้เกิดการเรืองแสงแบบหิ่งห้อย จริงๆมันอาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ แต่เราต้องบอกตัวเราเองก่อนว่า..เราต้องมีเหตุมีผล ทำอะไรให้มันมีเหตุมีผล ไม่ใช่ว่าเขาบอกอะไรเรา เราก็เชื่อเขาไปหมด เราเชื่อการกลับชาติมาเกิดมั๊ย!

อย่างคนที่ตายแล้ว..แล้วกลับชาติมาเกิดเป็นหมาน่ะ..เชื่อมั๊ย! หมากลับชาติมาเกิดเป็นคน เชื่อมั๊ย! แล้วทำไมถึงเชื่อ… เคยเห็นหมาเกิดเป็นคนเรอะ! หลวงปู่ถามมึง ไม่ใช่มึงถามกู หลวงปู่ไม่ได้บอกว่าเชื่อเมื่อไม่เคย..แล้วทำไมถึงเชื่อ..เมื่อสมัย 10 กว่าปีโน้น หลวงปู่ไปธุดงค์อาศัยเรือกำปั่นเขามาจากนครสวรรค์ มาลงที่บางปะอิน..จังหวัดกรุงศรีอยุธยา เรือกำปั่นเนี่ยะมันบรรทุกหมูมาถึงวัดนิเวศธรรมประวัติ ทีนี้เนี่ยะหมูเขาจะนำไปฆ่า ไปเข้าโรงฆ่าสัตว์ที่คลองเตยเนี่ยะ เป็นหมูที่ล่องมาจากทางเหนือ เขาก็ได้ยินเสียงหมูร้องตอนกลางคืนนี้ ร้องอู๊ด..อี๊ด กันดังลั่นไปทั่วคลองไปหมด หลวงปู่ก็เลยไปปลุกเจ้าของหมู ซึ่งเขาเป็นคนจีน พ่อแม่เขาเนี่ยะ เลี้ยงหมูมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ จนร่ำรวย หลวงปู่ก็บอกเขาว่า..ปู่มึงน่ะอยู่ในก๊อหมูให้มาดู เขาก็ไม่เชื่อ เขาก็พาพวกบริวารถือไฟฉายดูในก๊อหมู ผลปรากฏว่าเขาก็เจอหมูตัวหนึ่ง แต่มีหัว..หน้าเป็นคน มีผมเปียด้วย และเขาร้องว่า อย่าส่งเขาไปโรงฆ่าหมูเลย เมื่อตาแป๊ะนี้ได้ยินเสียง ก็จำได้ว่านี่เป็นปู่ของตน ที่เคยเลี้ยงหมูในอดีต พอตายไปมาเกิดเป็นหมูให้เขาฆ่าอีก เขาก็ก้มลงกราบปู่ของเขา และก็ถามปู่ว่า ทำไมถึงมาเกิดเป็นหมูได้ ปู่เขาก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อตายไปแล้วพอดีมีหมูแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งกำลังท้องแก่ กำลังจะคลอดลูก ปู่ก็กำลังใกล้ตายพอดี ปู่ก็ดันไปคิดถึง..นึกถึงหมูตัวนั้นเข้า และก็นึกว่าหมูตัวนี้น่ะมันพันธุ์ดี กรมเกษตรเขาส่งมาให้เลี้ยง และเวลานี้ตัวเองกำลังจะตาย และยังไม่ทันได้เห็นลูกหมูเลย พอตายวิญญาณก็เข้าไปอยู่ในท้องหมู จนเกิดออกมาโตขึ้นเขาก็เลี้ยงแบบหมูๆมาตลอด จนกระทั่งโตใหญ่แล้วเขาก็จะนำมาฆ่า ในขณะที่เรือบรรทุกหมูกำลังผ่านปากน้ำโพ เผอิญ..หลวงปู่ก็กำลังโดยสารเรือแถวนั้นพอดี เพื่อจะโดยสารเรือจากบางปะอิน เข้ากรุงเทพ ปู่ตาแป๊ะก็พอดีเห็นหลวงปู่เข้า และแผ่เมตตาให้ด้วย ตัวเองก็เลยระลึกได้ว่า ตัวเองเคยเลี้ยงหมูมาในอดีต แต่ระลึกได้เฉพาะหัว ก็เลยเล่าให้ลูกได้ฟังว่าทำไมถึงเกิดมาเป็นหมูได้ และก็ขอร้องลูกว่าให้เลิกฆ่าหมูเถิด การทำลายชีวิตคนอื่นเนี่ยะ..ไม่ดี และตาแป๊ะก็บอกอีกว่า ที่นอนอยู่เต็มไปหมดในเนี่ยะ เป็นญาติเราทั้งนั้น เป็นลุง..ป้า..น้า..อา..หลาน..พี่..น้อง ดังนั้น เจ้าลูกชายเมื่อได้เห็นดังนี้แล้ว เขาจึงปล่อยหมูทั้งลำเรือให้เข้าไปในวัดนิเวศธรรมประวัติ วัดนิเวศธรรมประวัติเป็นวัดที่รัชกาลที่ 4-5 สร้างขึ้น
ฉะนั้น ถ้าจะถามหลวงปู่ว่า เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดไหม เป็นเรื่องจริงไหม อยากจะบอกว่าเท่าที่เห็นมากับตามันก็น่าเชื่ออยู่หรอกว่าถ้าเราทำดี ตายไปเราก็ไปเกิดในที่ดี ถ้าทำชั่วอัปรีย์ ตายแล้วก็จะเกิดในที่กาลี เกิดในที่ไม่ดี เราทำกรรมอย่างไร เราก็จะไปเกิดในที่อย่างนั้นๆ เช่น ถ้าเราทำกรรมกับพ่อแม่ อกตัญญูไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ เกิดชาติหน้าก็จะเกิดเป็นควายให้เขาใช้ไถนา ใช้หนี้ให้เขา เพราะตอนที่เป็นคนเนี่ยะอกตัญญู เถียงไม่เชื่อฟังพ่อแม่ พ่อแม่เป็นผู้ที่ควรเคารพบูชากราบไหว้ของเรา และถือว่าเป็นเจ้าหนี้ของเรา มีโอกาสควรทดแทนใช้หนี้ท่าน แล้วน้องหนูรู้ไหมวิธีชดใช้หนี้พ่อแม่ทำอย่างไร มีอะไรบ้าง ไม่ทราบ…จะบอกให้ นอกจากจะเชื่อฟังถ้อยวลีของพ่อแม่แล้ว ก็ต้องตั้งใจเรียนหนังสือ และทำตนเป็นเด็กที่อยู่ในโอวาทพ่อแม่ที่ดี…และช่วยงานบ้านบ้างที่มีโอกาส หมั่นทำบ่อยๆ นี่คือวิธีที่จะทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ไม่ใช่คอยเถียงทุกคำพูดที่ท่านสอนเรา ไม่ใช่เป็นคนที่คอยกระฟัดกระเฟียดกระทืบเท้าปังๆ ไม่ดุด่าพ่อแม่ ไม่เป็นคนชอบลักเล็กขโมยน้อยของๆที่เป็นของพ่อแม่ นี่คือวิธีทดแทนพ่อแม่ และวิธีที่ดีที่สุดที่พระพุทธเจ้าบอกก็คือ การเข้ามาบวชในพุทธศาสนา ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัย ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยให้เห็นผล และมีดวงตาเห็นธรรมตามเราด้วย ถือว่านั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุด ในการทดแทนพ่อแม่ เขาว่ากันว่าถ้าพ่อแม่กำลังจะตกนรกในขณะที่เรากำลังบวชอยู่ ผลบุญที่ลูกทำอยู่จะช่วยให้พ่อแม่ไม่ตกนรกได้ จึงถือว่าการบวช ปฏิบัติธรรม อบรม และตั้งใจทำดี เป็นวิธีทดแทนบุญคุณพ่อแม่ที่ดีที่สุดในโลก แต่ถ้าไม่ทำทุกเรื่อง ไม่ทำซักอย่าง ที่หมายที่จะไปก็คือ ท้องวัว ท้องควาย

เรื่องแบบนี้หลวงปู่เคยเจอเมื่อปี พ.ศ. 2512 ที่ตำบลบางบ่อ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ มีควายเผือกตัวหนึ่งท้องแก่ ในวันที่เขามีการจัดงานบวชนาคกัน แต่จริงๆแล้วนาคที่จะบวชน่ะ ความจริงเขาไม่ได้อยากบวชหรอก แต่แม่ก็ไปขอร้องอ้อนวอนว่า พ่อเนี่ยะกำลังป่วยนะ พระท่านก็บอกว่าให้ลูกคนใดคนหนึ่งบวช เผอิญเขามีลูกคนเดียว ลูกก็อยากจะมีเมีย เที่ยวเตร่สำมะเลเทเมา ไม่อยากจะบวช แม่ก็ขอร้อง…บวชเถอะลูกพ่อจะได้หายป่วย จะได้ผลบุญจากลูกอุทิศผลบุญให้พ่อ รักษามาหลายที่แล้วไม่หายสักที ลูกก็ไม่ยอมบวช จนแม่ก็ต้องบอกว่า สมบัติทรัพย์สมบัติที่มีทั้งหมด บ้านสวน ไร่นา เงินทอง จะยกให้ทั้งหมด แม่จะไปอยู่วัด ลูกถึงยอมบวช เห็นไหมว่า แม่สู้อุตส่าห์อุ้มท้องมา เลี้ยงดูมัน กว่าจะคลอดออกมา พอโตที่จะพึ่งได้ แหมมันไม่ยอมให้ความช่วยเหลือเลย แถมเนรคุณจะไล่พ่อแม่ออกจากที่ดิน ตัวเองจะได้ครอบครองที่ดินสมบัติ เพราะแลกกันว่าถ้าหากว่าขายที่ดินซึ่งตอนนั้นเขามีโรงสีเขาอยากจะซื้อที่ดิน ตายายสองคนนี่ไม่ยอมขาย ก็เลยไปเอาลูกมาเลี้ยงดู เถ้าแก่โรงสีก็เอาลูกชายมาเลี้ยงดู เล่นการพนันติดหนี้ติดสิน จนลูกบังคับให้พ่อแม่ขายที่ดิน พ่อแม่ก็อยากให้ลูกบวช เลยแลกเปลี่ยนกับพ่อแม่ว่าบวชก็ได้ แต่ต้องขายที่ดิน พ่อแม่ก็บอกว่าก็ได้ ขอให้ลูกได้บวชเถอะ จะได้เกาะชายผ้าเหลือง ได้เห็นผ้าเหลืองลูก เกาะชายผ้าเหลืองไปสวรรค์ จะได้ไม่ตกนรก และอยากให้ลูกได้ทำความดี สิ่งที่เขาทำกับพ่อแม่ในขณะที่มีชีวิตอยู่ นอกจากกินเหล้าแล้ว พอขอเงินพ่อแม่และไม่ได้ก็ทุบตี ทำลายข้าวของ จนพ่อล้มป่วยตรอมใจ แม่ก็ต้องทนทู่ซี้อยู่ดูแลพ่อแม่ ลูกก็ผลาญสมบัติพ่อแม่จนหมด จนต้องขายสมบัติชิ้นสุดท้าย แล้วมาบวช ในวันบวชนาค มีควายเผือกท้องแก่ กินหญ้าอยู่ในนา นาคก็แน่มาผ่านหน้าควายซึ่งท้องแก่ตัวนี้ รู้ไหม..มันทำอย่างไร…มันวิ่งมาอย่างเร็วและแรงยิ่งกว่ารถสิบล้ออีก แล้วมันเอาเขานี่เสยเข้าไปที่ท้องของนาค นาคตายคาเขาควายเลย แล้วในวันที่ควายจะออกลูกนั้นน่ะ สิ่งที่คนทั้งหลายในอำเภอบางพลี ตำบลบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการได้เห็นก็คือ หน้าของลูกควายไม่ใช่ควาย แต่มันเป็นหน้าของไอ้ลูกชายที่บวชนาคนั่นเอง ออกมาร้องแม่ๆแม่ๆแม่ๆ เคยได้ยินควายร้องมั๊ยๅ ไหนลองร้องซิ..เออ..มึงร้องได้เหมือนกว่ากูอีก แสดงว่า..ใช่..ควายมาเกิด รู้มั๊ยทำไมมันร้องแม่..แม่..แม่..ก็เพราะสมัยเป็นคนมันอกตัญญูต่อพ่อแม่ ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน พอเกิดเป็นควายก็คิดถึงเลยร้อง แม่..แม่..แม่ ไง พอสำนึกได้ก็ร้องหาแม่ให้มาช่วย พอออกมาแล้วอะไรเกิดขึ้นรู้มั๊ย…ฟ้าผ่าลูกควายตายอีก เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังอยู่ไม่ได้เลย..ยังไม่มีสิทธิ์เกิดมาเลย ธรณียังพิโรธเลย ฟ้าผ่าดำเป็นตอตะโก อยู่ได้ไม่ถึง 3 ชั่วโมงเลย ร้องเรียกแม่ได้ไม่ถึง 4 คำก็ตาย คนทั้ง ตำบลบางพลี อำเภอบางบ่อ เห็นกันทั้งนั้นว่าไอ้นี่คือลูกชายที่บวชนาคแล้วโดนควายขวิดตาย ทีนี้ถ้ามันไม่ตาย..จะทำอย่างไร..หลวงปู่มองว่าถ้ามันไม่ตาย มันก็ต้องโดนเขาใช้ไถนาจนตาย…ควายนี่..มันพูดไม่ได้ ก็จะโดนเขาใช้ไถนา โดนแดดโดนฝนไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ใดๆ เขาให้กินแต่หญ้า ตกกลางคืนโดนต้อนเข้าคอก นอนตากยุง ยุงจะกัด..ริ้นจะไต่..ไรจะตอม ก็ไม่มีใครสนใจดูแล ร้อนก็ร้อน..หนาวก็หนาว..เหนื่อยก็เหนื่อย..หิวก็หิว..กระหายน้ำก็ไม่ได้กิน เพราะพูดไม่ได้ มีหน้าที่ไถนาใช้หนี้เขาเท่านั้น ทีนี้พอแก่ตัวลง ทำงานไม่ได้ เขาจะเลี้ยงไว้มั๊ย!..ก็ไม่เลี้ยง หมดประโยชน์ เขาก็เอาไปฆ่า เอาเนื้อทำลูกชิ้น เอาหนังไปทำอย่างอื่น ทำเนื้อเค็ม

ฉะนั้นลูกทรพี อกตัญญู ไม่เชื่อพ่อแม่ ครูอาจารย์ จะเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น หลวงปู่เห็นมากับตา…เห็นมาเยอะแยะ..อีกเรื่องหนึ่งก็ได้ เมื่อปี พ.ศ.2526 ก็มีทิดคนหนึ่งเขาเคยบวชกับหลวงปู่ ก็ช่วยทำอะไรๆต่ออะไร แล้วก็สึกออกไป เขามีหลานคนหนึ่งชื่อไอ้สมชาย เขาป่วยเป็นโรคทางสมองตอนอายุ 10ขวบ เขาก็เข้าผ่าตัดสมอง เปิดกระโหลกหมดแล้วเย็บ เขาผ่าตัดนั่นแหละ แล้วก็เพ้อว่า..ผมไม่ทำแล้วครับแม่..ผมผิดไปแล้ว..ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำอีก พ่อแม่ก็คิดว่า เอ..ตั้งแต่ลูกเราเกิดมาเนี่ยะก็ไม่ได้ทำอะไรผิดนะ เพราะตลอดเวลาก็ป่วยมาตลอด คือเป็นโรคทางสมอง แต่วันนี้มันทำไมมันพูดรู้เรื่องเป็นงานเป็นการ พ่อแม่ก็เลยคิดว่าลูกละเมอ ลูกก็ยังพูดไปเรื่อยเปื่อย พ่อแม่ก็เฝ้ามองดู ผู้เป็นพ่อ ก็เลยถามว่า..สมชายทำไมพูดอย่างนี้ล่ะลูก..ลูกไม่เคยทำอะไรต่อพ่อต่อแม่ ลูกบอกว่า..ไม่จริงครับ เมื่อก่อน..ลูกก็เล่าให้ฟัง เขาก็เล่าเลย..เล่าทั้งๆที่ป่วยอยู่นั่นแหละ ว่าเมื่อก่อนนี้ทั้งที่ตัวเองเกิดในชาติก่อน เคยโมโหถึงกับสุดขีดหยิบไม้ตีหัวแม่ไป 1 ที หลังจากแม่ด่าเรื่องอะไรไม่รู้ หลังจากนั้นตัวเองเกิดมาอีกทีผลกรรมนั้นทำให้ตนกลายเป็นคนปัญญาอ่อน สมองก็โตผิดปกติ ให้หมอผ่าตัดสมอง จะช่วยลดความโตของสมองลงเพราะน้ำในสมองเยอะทำให้สมองบวมโต ก็จะดูดน้ำในสมองออก แต่ตัวเองก็ร้องว่าปวดหัวตลอดทรมานมาโดยตลอด ตั้งแต่ 1 ขวบจน 10 กว่าขวบ มีแต่ความทรมาน แล้วถึงวาระสุดท้ายของชีวิตเขา เขาก็เล่าให้พ่อกับแม่ในชาติปัจจุบันนี้ฟังว่า เขาระลึกชาติได้ว่า เมื่อก่อนเขาเกิดเป็นมนุษย์ผู้ชาย เกิดอยู่แถวๆจังหวัดอุทัยธานี เลี้ยงดูแม่แก่ๆไว้คนหนึ่ง ส่วนตัวเองก็ไปจีบผู้หญิง แต่ว่าแม่เนี่ยะไม่ชอบผู้หญิงคนเนี้ยะ เพราะค่อนข้างเป็นคนไม่ทำมาหากิน และผู้หญิงก็ชอบทำตัวเป็นคนไม่ดี ทำตัวน่ารังเกียจ ชนิดที่ว่าผู้หญิงดีๆเขาไม่ทำกัน ทำตัวให้สังคมตราหน้าได้ ตัวแม่ก็ไม่อยากได้มาเป็นลูกสะใภ้ ส่วนลูกชายก็รักหัวปักหัวปรำ ไม่เชื่อแม่ เถียงแม่ จนมีอยู่วันหนึ่ง ลูกชายก็พาผู้หญิงคนนี้เข้าบ้านมาเที่ยวในบ้าน แม่ก็ว่าและขับไล่ ลูกชายก็เกิดโมโหสุดขีดเลยคว้าไม้ตีหัวแม่ไป 1 ที แม่ก็สลบอยู่ตรงนั้น จนเพื่อนบ้านต้องมาดูแลและปฐมพยาบาลในที่สุดแม่ก็ตาย เพราะว่าเลือดคลั่งในสมอง ลูกชายก็โกหกกับชาวบ้านว่า แม่ตกบันไดลงมาตายเอง ส่วนตัวเองก็กลับมาเกิดใหม่ หลังจากชาตินั้นแล้วตัวลูกชายก็กลับมาเกิดในท้องแม่ค้า ซึ่งเป็นพี่สาวของทิดตี๋เนี่ยะ อยู่กรุงเทพนะ จากอุทัยธานีมาเกิดในกรุงเทพ และตัวเองระลึกชาติได้ ก็เล่าให้พ่อแม่ในชาติปัจจุบันฟัง..ไอ้ทิดตี๋ ซึ่งเคยบวชอยู่กับหลวงปู่ที่วัดอ้อน้อยเนี่ยะ เขาก็เลยมาหาหลวงปู่ให้ช่วยนำทางหลานชายเขาที หลวงปู่ก็บอกว่าให้ไปตัดผมกับเล็บเด็กสมชายมาดู เขาก็ตัดมาให้ดู พอหลวงปู่ดูแล้วก็บอกกับมันว่า…อีก 3 วัน มันจะหมดอายุไข คือมันจะตาย เอ็งเอาเทียนนี้..หลวงปู่ก็เขียนยันต์ลงบนเทียนแล้วบอกให้มันจุด..จุดแล้ววางตรงหัวนอน และให้บอกหลานมันว่า บนหัวมันเนี่ยะมีแสงสว่างให้มันเดินตามแสงสว่างนี้..เดินไปแล้วมันจะพ้นจากกรรมชั่วที่มี…
เพราะฉะนั้น..การทำตัวเป็นลูกที่ดี..กตัญญู..เชื่อฟังพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนเป็นหน้าที่ของน้องหนูทั้งหลายที่ควรทำ น้องหนูรู้มั๊ย การบวชครั้งนี้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่ได้มั๊ย..ยังไม่ได้..เพราะอะไรรู้มั๊ย..ก็เพราะเรายังไม่ได้ทำดีถึงจริงๆ ถ้าเมื่อใดที่เราสมัครใจทำดีจริงๆถือว่าเราทดแทนบุญคุณพ่อแม่ แต่พวกเรายังทำดีไม่จริง ทำดีนิดๆดีแบบน้ำจิ้มหก ก็ยังไม่ถือว่าเราได้ทดแทน แต่ก็ถือว่าเราได้ทดแทนคือยังมีใจที่จะทดแทน..ก็ใช้ได้ แต่ยังไม่ดี ฉะนั้นถ้าเราต้องการทดแทนบุญคุณของท่านจริงๆ เราก็ต้องตั้งใจที่จะทำความดี ฝึกหัดปฏิบัติให้เป็นคนดีแล้วก็ทำหน้าที่ในความเป็นสามเณร..สมณะ..นักบวช..แล้วก็พระ จึงถือว่าเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ช่วยให้พ่อแม่ไม่ไปตกอยู่ที่อบายภูมิ หลวงปู่อยากจะเล่าเรื่องที่เคยไปเจอ..ค่างสีแดงเพลิง

หลวงปู่ไปเจอค่างสีแดงเพลิงตัวนี้ที่จังหวัดสุราษฎ์ธานี ตอนที่หลวงปู่กลับจากประเทศมาเลเซียแล้ว หลวงปู่เจอที่ถ้ำ ไอ้ค่างตัวเนี่ยะมันเป็นเปรตค่าง คือสมัยอดีตค่างตัวนี้เคยเป็นเณรมาก่อน อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี แต่เคยเอาหนังสติ๊กยิงลูกค่างที่เกาะอยู่กับอกแม่มันหล่นตกลงมาตาย สุดท้ายตัวเองเกิดมาเป็นเปรตค่าง ก็ไม่เคยลืมว่าอดีตชาติเนี่ยะตัวเองเคยเป็นมนุษย์มาก่อน อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี ก็เลยอยากกลับบ้านไปหาพ่อแม่ แต่ลิงกับค่างเนี่ยะมันไม่ถูกกัน ไอ้ค่างก็เลยถูกลิงรุมกัดตาย เน่าเป็นแผลเหวอะหวะไปหมด เมื่อตายไปแล้ว ก็เที่ยวร้องกรี๊ดๆ ขอผลบุญจากญาติ จนหลวงปู่ไปพบเข้า..เอาไว้เล่าโอกาสต่อไปแล้วกัน..หมดเวลาแล้ว..ไปพักกัน

หลวงปู่ทุ่มเทให้กับงานชิ้นนั้นๆทุกส่วนของร่างกาย โดยที่ไม่มีเรื่องอื่นใดๆ เข้ามาวุ่นวายต่อมันเลย ฉะนั้นจึงจะถือได้ว่าเราเป็นผู้ที่ใช้สมาธิถูก ใช้สมาธิเป็น ฝึกสมาธิถูก แต่ถ้าเรากำลังอ่านหนังสือเพื่อไปสอบ..เปิดวิทยุฟังเพลง..ลูกกะตาดูทีวี..ไอ้มือก็กดเกมส์เล่นเผลอๆก็แว่บดูหนังสือทีนึง ถ้าอย่างนี้ก็ถือว่าเราใช้สมาธิไม่เป็น..ไม่ถูก อย่างนี้จะดีได้อย่างไรล่ะ..ลูกมันก็กลายเป็นคนโง่ แล้วจะทำอย่างไรได้สำเร็จ ชีวิตเราก็ล้มเหลวตลอดกาล ชั่วชีวิตหลวงปู่ไม่เคยทำอะไรล้มเหลว พวกเราก็สามารถทำได้ โดยการต่อไปนี้ทำอะไรก็ต้องตั้งใจ เห็นมั๊ย..มีหลายคนที่ไม่ตั้งใจฟัง เพราะอะไรล่ะ..เพราะเราไม่รู้ว่าตัวเราเองกำลังฝึกสมาธิ ลืมตัวเราไป หลายคนนั่งเล่น..นั่งหลับ..แหย่กันมั่ง แสดงว่าเรากำลังปฏิเสธการเรียนรู้ การมีชีวิตที่มีสาระ ทีนี้เราไม่ยอมรับ..ปฏิเสธมัน อะไรจะเกิดขึ้นตามมา..ที่ครูบาอาจารย์เขาดุด่าว่ากล่าวตักเตือนสั่งสอนเรา ตำหนิ เฆี่ยนตีเรา เพื่อต้องการให้เรามีสาระในชีวิต เป็นคนดีเท่านั้นแหล่ะ เขาไม่ต้องการให้เราเป็นอะไรเลย และเขาก็ไม่ได้อะไรจากเราด้วย พวกเราได้ทั้งหมด ได้ด้วยตัวเอง และก็มีประโยชน์ต่อตัวเอง ฉะนั้นเมื่อกี้ที่เราบอกหลวงปู่ว่า กำลังฝึกสมาธิ ต่อไปนี้พระพี่เลี้ยงเขาก็จะคอยเตือนเรา แรกๆเขาจะไม่ตีพวกเราไม่ทำโทษ แต่ต่อไปถ้าเรายังพนมมืออย่างนี้..ยังแหย่คนนั้นคนนี้ แล้วเวลานั่งสมาธิ..เรียนหนังสือไม่ใส่ใจ..หรือเวลาไปบิณฑบาตรยังแต่งตัวไม่เข้าท่าอย่างนี้อยู่ ไม่สะอาดเก็บล้างอะไรก็ไม่เรียบร้อยอย่างนี้ ถือว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สัญลักษณ์ของคนมีสาระในชีวิต ไม่ใช่เป็นเรื่องเป็นราวของคนดี ไม่ใช่เป็นเรื่องเป็นราวของคนมีสติ ไม่ใช่เป็นเรื่องเป็นราวของคนรู้เนื้อรู้ตัว แต่เป็นเรื่องเป็นราวของคนเลว ไร้สาระ ขาดสติ ฉะนั้นพระพี่เลี้ยงจะเตือนให้เราเป็นคนไม่บ้า ไม่ขาดสติ มีสาระชีวิต เราไม่จำเป็นต้องเรียนรู้วิชาเล่มใดๆ ตราบใดที่เรายังเป็นคนบ้าครึ่งหนึ่งดีครึ่งหนึ่ง แม้แต่ความคิดของตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะคิดอะไรที่มันได้ประโยชน์ แล้วเราจะมีหน้าไปคิดอะไรที่มีประโยชน์ แม้แต่การเรียน คงเรียนแบบงูๆปลาๆ แล้วท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง โดยไม่เข้าใจแม้แต่บทเรียน สอบได้ก็เพราะคุณครูเขาดันให้ขึ้น หรือไม่เพราะเป็นลูกท่านขุน..ขุนชำเลือง ชำนาญดู รู้จักไหม ขุนชำเลือง ชำนาญลอกน่ะ ฉะนั้น ไม่น่าภาคภูมิใจเลย..ลูก

สมัยหลวงปู่บวชใหม่ๆเนี่ยะ หลวงปู่ไม่ใช่ลูกขุนชำเลืองลอก หลวงปู่เป็นลูกขี้ข้า วิธีหลวงปู่ทำยังงัย! เวลาหลวงปู่อ่านหนังสือเนี่ยะแม้แต่ผิวหนังก็สัมผัสตัวหนังสือ เขามีเวลาให้สอบวิชาที่สอบ
เนี่ยะแต่ละวิชามีเวลาสอบ 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่หลวงปู่ใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ในขณะที่คนอื่นๆเนี่ยะนอนดึกอ่านหนังสือ หลวงปู่นอนหัวค่ำ ตื่น 6 โมงเช้าอาบน้ำอาบท่า ฉันอาหารเช้า แล้วก็ไปเข้าห้องสอบ หนังสือก็ไม่ได้พกไปซักเล่ม มีเพียงปากกา ไม้บรรทัด พอเขาแจกข้อสอบหลวงปู่ก็อ่านปุ๊บ แล้วก็เขียนคำตอบในกระดาษคำตอบ ตอบเสร็จก็ทวนอีก 1 รอบ ข้อสอบ 20 ข้อ ใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีดี เพราะอะไรรู้มั๊ย! ก็เพราะว่าเวลาหลวงปู่อ่านหนังสือ ชีวิตและวิญญาณอยู่ที่หนังสือ เข้าใจมัน..รู้จักมัน..มันรู้จักเรา ไม่ใช่ดูทีวีเล่นเกมส์กด..ฟังเพลงพร้อมการอ่านหนังสือ แล้วสอบได้ที่ 1 ในสนามหลวง สมัยก่อนพระทั่วประเทศจะมาสอบที่สนามหลวง หลังจากกลับจากสอบ หลวงปู่ก็อาบน้ำอาบท่า..กวาดลานวัด และก็พักผ่อนสบาย..สบาย แล้วก็เอาหนังสือที่จะสอบวันพรุ่งนี้มาดูสักนิดนึง แล้วก็เก็บหนังสือเตรียมตัวไปสอบวันพรุ่งนี้ต่อ ทำไมถึงทำได้อย่างนี้ ก็เพราะว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา 1 ปี หลวงปู่อ่านหนังสือมาโดยตลอด ไม่หยุด อ่านชนิดที่มันอ่านเรา เราอ่านมัน เราอ่านเรา รู้แม้กระทั่งตัวหนังสือมีลายเส้นหนักเบา ไม่ใช่อ่านอย่างหนัก แต่อ่านแบบสบายๆมาตลอด 1 ปีเต็ม ไม่โหมอ่านหนังสือเอาตอนใกล้สอบ ถ้า..งั้นแล้วอะไรเกิดขึ้น..ก็ต้องพึ่ง ยาอี..ยาขยัน..ยาม้า..ยาบ้า ทั้งหลาย เพื่อให้ตัวเองตาตื่นขยันอ่านได้นานๆ สอบแล้วก็ตก ร้องไห้ เสียใจ ที่เราเป็นอย่างนี้ก็เพราะ เราใช้สมาธิไม่เป็น ไม่รู้จักสมาธิ ไร้สาระ ไม่รู้จักคำว่า วิญญาณพุทธะ ชีวิตเฟอะฟะเปรอะเปื้อน อยู่ว่างๆก็คิดมันซะร้อยเรื่องพันเรื่อง หลวงปู่ไม่เคยคิดเป็นร้อยเรื่องพันเรื่อง เรารู้มั๊ย! เวลาหลวงปู่ใช้เวลาคิดแปลนต่างๆภายในวัดเนี้ยะ เขียนแปลนวางรากฐานของวัด ทิศทางของวัด หลวงปู่ไม่ใช้เวลาแบบเป็นเดือน..เป็นปี..เป็นวัน แต่ใช้ทุกขณะโดยใช้เวลา 5-6 นาที ก็สามารถวางแปลนวางรากฐานของวัดได้ และหลวงปู่ใช้เวลานี้ตอนนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลด้วย..ใช้เวลาเขียนแปลนไม่ใช่แสดงความเป็นอัจฉริยะ แต่กำลังแสดงให้เห็นว่า ชีวิตที่มีสาระมันมีประโยชน์เสมอ ใช้ชีวิตให้เป็น ใช้ชีวิตให้ถูก และหมั่นที่จะฝึกตัวเองอยู่เสมอให้มีสาระ งั้น..ต่อไปนี้เวลาพวกเราทำอะไรให้ระวังตัวเองอยู่เสมอ ว่ามีคนแอบมองเราอยู่นะ ภายใน 2-3 วันแรกเขาจะไม่ทำโทษ จะเตือนพวกเรา เขาไม่ตีพวกเราเพราะความโกรธหรือเกลียดพวกเรา แต่จะตีด้วยความเอื้ออาทร เพื่อจะเตือนเราให้เป็นผู้มีความรู้เนื้อรู้ตัวในการมีชีวิต มีสาระ ได้ชีวิตที่เป็นสาระ

ที่ญี่ปุ่นเวลาเขาฝึกเซนนั่งสมาธิ ถ้าหากว่าในขณะที่สวดมนต์ก็ดี ไหว้พระก็ดี นั่งสมาธิก็ดี หรือเรียนหนังสือก็ดี เค้าจะมีอาจารย์เซนเนี่ยะ เดินถือไม้ซึ่งเป็นไม้ไผ่ทั้งต้น แต่เอามาสับๆเป็นท่อนๆผ่าซีกละเอียดๆ เดินสำรวจลูกศิษย์ ถ้าอาจารย์เห็นลูกศิษย์คนไหนกำลังจะเหลวแหลกไร้สาระ อาจารย์ก็จะประเคนไม้ไม้ไผ่ลงกลางหลังดังสนั่น แทนที่ลูกศิษย์จะโกรธกลับกล่าวขอบคุณอาจารย์ที่เตือนสติ เป็นผู้มีใจอารี แต่เราจะไม่ทำอย่างนั้นหรอก..ไม้หน้าสามเลย..เพราะไม้ไผ่มันหักง่าย เล่นไม้หน้าสามหรือท่อนซุง ดีไหม… สงสัยเหยื่อจะมาแล้วแหละ หิวแล้วเนี่ยะอาหารเหยื่อมาแล้วเน๊ะ งั้นก็..เราทำวิธีนั่งให้มีสาระสัก 3 นาทีดูซิ นั่งให้แบบเป็นผู้มีความรู้เนื้อรู้ตัวทั่วพร้อม นั่งแบบชนิดที่เราเป็นผู้สะอาด สว่าง สงบ นั่งแบบสมถะคือผู้สงบ โดยที่เราไม่ต้องไปสนใจว่า ใคร..อะไร..ที่ไหน..อย่างไร..เมื่อไร ไม่ต้องมองคนอื่นๆสิ่งอื่นๆ คนที่ยังนั่งเอามือเท้าคางอยู่น่ะฟังไม่รู้เรื่องเรอะ..ชื่ออะไร..เณรชื่ออะไร..พูดกับพระทำอย่างไร..เมื่อครู่นี้ไม่ได้ยินหลวงปู่สั่งเหรอ..หรือไม่รู้เรื่อง..รู้เรื่องแล้วทำไม..สมองไม่สั่งงานเหรอ หรือสมองเฉื่อยชาหรือเป็นคนที่ค่อนข้างจะเฉื่อยชาเหรอ..ไม่ใส่ใจชีวิตตัวเอง หลวงปู่ไม่ได้สอนให้เราเป็นคนกลัวนะแต่สอนให้เราเป็นผู้กล้าผู้ฉลาด และการที่ให้เรานั่งก็เพื่อให้เรานั่งแบบเต็มใจ สมัครใจ ไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ ให้นั่งโดยอิสระ โดนสถานะของตัวเราเอง ว่าเราจะนั่งอย่างไร แล้วให้นั่งดีๆ…

เมื่อครู่นี้พวกเรามาขอศีลหลวงปู่กัน ปกติแล้วหลวงปู่ไม่ให้ใคร เพราะศีลเนี่ยะเป็นเรื่องเป็นราวของความศักดิ์สิทธิ์ และศีลที่ขอกันก็เป็นศีลที่ท่องจำ ไม่ใช่ศีลกระทำ ฉะนั้นไม่ต้องขอ และอะไรคือศีลที่ลงมือกระทำ ก็คือ ข้อแรกเลย 1.ทำใจเอื้ออาทร การุณย์ มีเมตตา มันก็กำจัดความโหดร้ายของตัวเราที่จะไปฆ่าสัตว์ เราก็จะไม่ฆ่า ข้อ 2.เมื่อไม่โหดร้ายแล้ว ก็อย่าเป็นคนมือไว หยิบฉกฉวยของชาวบ้านที่เขาไม่ให้ คือปล้นสดมภ์เขา ของเล็กของใหญ่ของใครเราก็ไม่หยิบ แล้วก็อย่าทำตนเป็นคนมือบอน ข้อที่ 3. อย่าทำใจตนให้เป็นคนที่ยื้อแย่งของที่เจ้าของไม่ให้ ถึงคิดอย่างเดียวก็ไม่ได้..ลูก สำหรับผู้ใหญ่ เรื่องของกาม การคบชู้สู่ชาย การยื้อแย่ง การแย่งผัว..แย่งเมียกัน..แย่งสมบัติพัสถาน เหล่านี้ถือเป็นการยื้อแย่งทั้งนั้น ฉะนั้นพยายามหัดแสดงตนเป็นผู้ให้เสียบ้าง..เอื้อเฟื้อ..การุณย์..เผื่อแผ่..เสียสละ เราก็จะสามารถรักษาศีลข้อที่ 3 ไว้ได้ ข้อที่ 4. การพูดปด มดเท็จ การพูดใดๆที่ใครๆไม่เดือดร้อน..ได้ประโยชน์ ได้ดีมีสุข จงพูดไปเถอะไม่มีใครว่าหรอก ข้อสุดท้ายข้อที่ 5 อย่าทำตนให้เป็นคนหมดสติ คือจิตใจต้องกล้าแข็ง ไม่หลงใหลในอบายมุข เครื่องดื่ม..น้ำเมา..ของมึนเมา..ยาเสพติดทั้งปวง ก็ถือว่าเราได้รักษาศีลทั้ง 5 ได้ครบสมบูรณ์ สรุปคือ ไม่โหดร้าย..ไม่มือไว..ไม่ใจเร็ว..ไม่พูดปด..ไม่หมดสติ

ท้ายสุดนี้ หลวงปู่..หลวงพี่..หลวงพ่อ..หลวงน้า..หลวงลุง..หลวงอา และสามเณรตัวน้อยๆก็ไม่มีอะไรที่จะให้นอกจากพรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งใจพนมมือ กรวดน้ำ ว่าตาม… คงเป็นปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้ายที่หลวงปู่ให้ด้วยความเอื้ออาทรสุดชีวิตว่า สิ่งใดที่พวกเราได้รับการสั่งสอน แนะนำ อบรม จากพระพี่เลี้ยง ก็ขอให้เรานำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และตั้งใจประพฤติปฏิบัติเป็นลูกที่ดี ให้ถูกต้อง ตรงบริสุทธิ์..จำไว้ลูก ทำดีอย่างหวังคำชม แต่ให้ทำดีเพราะต้องการดี ถ้าเมื่อใดที่ไม่ได้รับคำชม เราก็จะระทมทุกข์ แล้วเราจะเลิกดี ท่องได้มั๊ย! ทำดีเพราะอยากดี..ต้องการดี..เพื่อได้ดี หลวงปู่ดีใจที่ท่านเจ้าคณะจังหวัดชมเรา พระทั้งหลายชมเรา และหลวงปู่ภูมิใจที่พวกเราทำดีได้วันนี้และก็ได้ดีอย่างที่คนอื่นเห็นว่าเราดี ไม่ใช่ดีแค่..ขี้แพะก้อนเดียว..ไม้จิ้มฟันอันเดียว แต่เรามีค่ามีราคาเป็น ล้าน..ล้าน..ล้าน..ล้าน..ล้าน..ล้าน..ล้าน..บาท ปกติ ถามลูกหลานหรือคนที่อยู่ใกล้ชิดหลวงปู่ได้เลยว่า หลวงปู่ไม่เคยชมใคร..จริง..เรื่องจริง มีแต่ด่า..กับ..ด่า เพราะหลวงปู่ถือว่า..คนจริงเขาไม่..ไหวติงต่อคำชม..ไม่นิยมต่อคำนินทาและสรรเสริญ..นั่นคือคนจริง ดีจริงๆมันสิงอยู่ในใจ..ลูก ฉะนั้น..ไม่ค่อยชมใคร ถ้าชมนั่นแสดงว่านั่น.เป็นดี ถ้านั้นก็ต้องชมพวกเราว่า..เนี๊ยบ..เฉียบ ขอให้รักษาดีต่อไปลูก อย่าให้ดีแค่วันนี้..พรุ่งนี้..มะรืนนี้ ให้มันดีต่อๆไปจนถึงปีหน้า เราเริ่มรู้จักมีค่ามีราคา คือเริ่มรู้กาล..รู้เวลา..รู้บุคคล..รู้สถานที่..รู้ประมาณ นี่คือชีวิตดีมีสาระ สมค่าราคาที่อาจารย์พระพี่เลี้ยงเขาพาเหนื่อยยาก อบรมสั่งสอนเรามา พวกเราก็คงปลาบปลื้มดีใจ ยินดี เปรมปรีด์ ไปนอนคืนนี้ก็คงจะนอนน้ำลายฟูมปาก อิ่มอกอิ่มใจ น้ำลายยืด ปกติเณรกลางนี่..นอนได้อัศจรรย์มากไม่รู้เวลานอนนี่ ผ้าจีวร สบง หายไปไหนหมด อยู่ไหนหมด นอนได้อัศจรรย์พันลึกมาก..นา ฉะนั้นเนี่ยะเราได้แสดงค่าของชีวิตเราในวันนี้ ให้พระพี่เลี้ยงดูได้เห็น พวกเขาจะปลาบปลื้มยินดีเพราะตลอดเวลาที่มี ที่สอนดีแก่เรา มันเป็นเรื่องเป็นราวที่ใช้ได้ประโยชน์จริงๆ ไม่ใช่แค่เพียง สอน..สั่ง และให้จบไป พวกเราสามารถนำไปใช้จนกลายเป็นดี ที่มีให้คนอื่นได้ดู เหมือนดังบทโศลกที่หลวงปู่เขียนว่า ลูกรัก..อย่าดูดีของเขาเพียงอย่างเดียว แต่จงเอาดีของเราให้คนอื่นเขาได้ดูด้วย ในวันนี้ เราได้เอาดีของเราให้คนอื่นเขาดู ฉะนั้น เยี่ยม..เฉียบขาดจริงๆ ต้องขอขอบใจพวกเราในวันนี้ ปู่ก็เป็นเพียงผู้นั่งดู คอยเชียร์ให้กำลังใจพวกเรา เสนอแนะชี้นำบางเรื่องบางโอกาส ฉะนั้นเราต้องเอื้ออาทร ใส่ใจ ให้ครูสบายใจแล้วน้าผีก็อย่าไปหลอกครูนะ..คุณโชคก็อย่าทำให้ครูอับโชคนะ..ไอ้แก่ ก็อย่าทำให้ครูต้องแก่ตามมึงนะ ยังมีอีกหลายคน..ไอ้แสบ..ไอ้แซด..ไอ้อะไรก็แล้วแต่เถอะที่ครูพี่เลี้ยงเขาตั้งให้..ตั้งฉายาให้
สุดท้ายหลวงปู่ดีใจด้วยที่พวกเราเป็นผู้กล้า ทนลำบากตรากตรำ อดทน ตื่นแต่ตี 4 นอน 4 ทุ่ม มาได้ตลอด 1 เดือน เป็นเรื่องมหัศจรรย์ยิ่งที่เราจะเล่าให้คนอื่นฟัง ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเราสามารถทำได้ดี แต่อย่าให้มันเป็นเพียงแค่ครั้งหนึ่งในชีวิตเท่านั้น..ลูก แต่ให้มันเป็นทุกครั้งของชีวิตเรา อย่าให้มันกลายเป็นเพียงนิทาน คือเรื่องโบราณที่ต้องเล่าต่อๆกันมา จงเป็นตำนานคือเรื่องจริงและมีอยู่ทุกวันและทำตลอดเวลา นั่นคือ เหมือนเราอยู่บ้าน เอาวัดมาอยู่บ้าน ขอฝากคุณพ่อ..คุณแม่..คุณยาย..คุณย่า ทั้งหลาย ด้วยว่า ให้สอนลูกให้เป็นคือ ให้เขาเป็นทั้งชีวิตและวิญญาณ เราคงไม่ได้คิดว่า ลูกเราจะดี ได้ดี เห็นดี รักดี และก็เจอดีของเขา เหมือนอย่างที่เป็นอยู่นี้ ฉะนั้น..อยากรู้ไหม..ถ้าอยาก..มาบวชซิ..วันที่ 12-13-14 เดือนหน้า และครูทั้งหลายจะบอกเราว่าพวกเขามีเทคนิคอย่างไร ที่สอนลูกหลานเราให้เป็น และเรากลับไปเราจะรู้ว่าเราสืบสานต่อการเป็นครูที่ดีของเราได้อย่างไร
งานเบิกเนตรพระพุทธรูป ที่หล่อองค์ใหญ่ๆ เมื่อปี 2 ปีที่แล้ว เราก็บอกกับเขาว่า พระพุทธเจ้าน่ะ ท่านตื่นแล้ว ตาท่านสว่างไสวไปทั้งปัญญาญาณหยั่งรู้ เป็นสัพพัญญู รู้หมดทุกอย่างแล้ว เราอย่าไปปลุกท่าน เขาเขียน..ปลุกเสกและเบิกเนตร เราก็บอก ท่านตื่นแล้ว ตาท่านสว่างแล้ว ฉะนั้นเราควรที่จะปลุกตัวเรา แหกตาตัวเรา เพราะใจเรายังมืดบอดอยู่ เมื่อเช้าเขาถามว่า รู้สึกอย่างไรกับงานมีความเห็นอย่างไร พิธีเบิกเนตรพระพุทธรูป ก็เลยบอกว่าเป็นวิธีหาเงินของเขา เราต้องถามตัวเราว่า เราเคารพพระพุทธศาสนาที่พิธีกรรมหรือเคารพพระพุทธศาสนาที่ประพฤติธรรม ถ้าเราเคารพพระพุทธศาสนาที่วิธีการ เราก็ไม่ต้องลงทุนมากขนาดนี้..ลูก ศาสนาไหนๆก็มีอย่างนี้ แต่ถ้าเราเคารพพระพุทธศาสนาโดยประพฤติธรรม เราก็ต้อง ปฏิบัติธรรม..รู้ธรรม..ฉะนั้น มันเป็นความสำคัญยิ่งที่หลวงปู่อบรมศีลธรรม จริยธรรม หรือการบวชเนกขัมมะในครั้งนี้ที่แจ้งให้ทราบ และถามว่าจำเป็นหรือที่บวชที่นี่..ที่ไหนก็ได้ ที่เขาทำให้เรารู้จริง ทำได้ ไม่ใช่จำ