ปุจฉา : จะมีวิธีสร้างวินัยให้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งต่อตนเองและหมู่คณะ
วิสัชนา : ต้องเริ่มต้นจัดระเบียบของกาย จนเป็นระบบของความคิด ความหมายของการจัดระเบียบของกายคือเริ่มต้นจากเรื่องพื้น ๆ ใกล้ ๆ ตัวอาจจะมาจากการที่เราเคยใช้ของแบบสุรุ่ยสุร่าย ทิ้งไว้ไม่เป็นที่เป็นทาง ก็รู้จักเก็บให้เป็นที่เป็นทาง จะต้องรักษาสิ่งเหล่านั้นให้อยู่ คือมีอายุยืนยาวต่อการใช้สอย ปกติเคยอาบน้ำ ผลัดผ้า แล้วโยนกอง ก็หันไปเก็บพับหรือไม่ก็มาผึ่งถ้าไม่งั้นก็ซักเลย แล้วตากปกติลุกจากที่นอน เคยบิดขี้เกียจ ๓ ที ก็ลุกขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉงดื่มน้ำหนึ่งแก้วใหญ่ ๆ เสร็จแล้วก็ทำตัวทำชีวิตจิตวิญญาณให้สดชื่น แจ่มใส และตื่นขึ้นมาด้วยความเบิกบาน พร้อมกับหันไปเก็บที่นอนให้เรียบร้อยเหล่านี้เป็นการจัดระเบียบของกาย
เมื่อเรารู้จักที่จะสร้างระเบียบให้กับกายอย่างนี้ ถือว่าเป็นการรักษากฎเกณฑ์ กติกา และวินัยของสังคมไปในตัว วินัยมี ๒ ประเภท ประการแรก คือวินัยโดยสามัญสำนึก เรียกว่า จริยา จริยาของการเป็นคน เป็นมนุษย์ หรือการมีชีวิต ประเภทที่สอง คือ วินัยโดยสังคมกำหนด ระเบียบ หรือกติกาใดๆ หรือกฎหมายใด ๆ เป็นเรื่องของสังคมกำหนด วินัยข้อที่สองนี้อยู่ห่างใกลตัวมาก ถ้าเราไม่สามารถปฏิบัติวินัยโดยสามัญสำนึกเราได้ เราก็จะปฏิเสธวินัยที่เป็นกติกาของนอกกาย เป็นวินัยของโลกของสังคม เราจะยอมรับมันไม่ได้ และ รู้สึกอึดอัดที่จะทำตาม แต่ถ้าเมื่อใดเราปฏิบัติ ทำตนให้เป็นคนมีวินัยโดยหลักการโดยสถานะที่จัดกาย วาจา ใจ ของตนให้เป็นระเบียบจนมีความคิดเป็นระบบก็จะยอมรับ และ เคารพต่อระเบียบวินัยของสังคม และก็คนอื่นๆ สำหรับในส่วนนี้คงจะต้องมีความละเอียดรอบคอบ จัดระเบียบของตัวเองให้ดีดังที่ท่านบอก
ปุจฉา: การที่วัดบางวัดได้มีการจัดสร้างพระพุทธรูปจำนวนมาก โดยบอกว่า ผู้ที่ได้ร่วมสร้างพระพุทธรูปเมื่อตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ มีที่อยู่ เช่นได้มีที่อยู่ในพระพุทธรูปที่ตนสร้าง หลวงปู่มีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้ และเรื่องนี้เป็นจริงแค่ไหน?
วิสัชนา: ถ้าเป็นจริงอย่างนั้น หลวงปู่ก็ไม่ทราบ ถามว่าทำไมก็มันคับแคบจะตาย ดูสิ! ถ้าเราคิดว่าตัวเราคนหนึ่งแล้วไปนั่งทับพระพุทธรูป หรือไปอยู่ในองค์พระพุทธรูปมันจะรู้สึกอึดอัดและคับแคบ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็กลายเป็นว่าใครไม่มีปัญญาจะสร้างพระพุทธรูป ก็ตกนรก มันก็ไม่น่าจะถูก แสดงว่าบุญครั้งนี้มันเกิดขึ้นได้เฉพาะคนที่มีเงิน มีอัฐ มีกะตังค์ เท่านั้น จึงมีสิทธิ์ขึ้นสวรรค์ คนจนไม่มีสิทธิ์ แสดงว่ามันไม่ใช่สากล ไม่ใช่หลักการของศาสนานี้
วิธีทำบุญนั้นพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ๑๐ ประการ ๑ ใน ๑๐ ประการก็มีเพียงแค่บริจาคทาน ที่เหลือ ๙ ประการก็เริ่มจาก ทำดี ทำหน้าที่ถูกต้องไม่บกพร่อง แผ่เมตตา ทำบุญ ฟังธรรม และก็อุทิศผลบุญของตนเองให้กับคนอื่น สนับสนุนให้คนอื่นแสดงธรรมและฟังธรรม ทำสมาธิภาวนา และ รวมไปถึงกระบวนการเชื่อถ้อยฟังคำ รักษาหน้าที่ในการเป็นลูกที่ดี เป็นครอบครัวที่ดี เป็นผัวที่ดี เหล่านี้เป็นวิธีทำบุญ รวมความแล้วก็คือ ๙ ใน ๑๐ อย่างนั้น เป็นการทำบุญได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องลงทุน มีแค่ข้อเดียวก็คือ บริจาคทาน ซึ่งเป็นข้อแรกในวิะการทำบุญสิบอย่างการทำบุญของพวกนั้นเพิ่มต้นจาก ข้อแรกบริจาคทาน ข้อที่สองรักษาศีล ข้อที่สามเจริญภาวนา ข้อที่สี่แผ่เมตตา ข้อที่ห้าทำหน้าที่ถูกต้อง ข้อที่หกฟังธรรม ข้อที่เจ็ดสนับสนุนให้ผู้อื่นฟังธรรม ข้อที่แปดพยายามสร้างสัมมาทิฐิให้เกิดขึ้น สัมมาทิฐิตัวนี้ก็มีความเห็นที่ตรงและถูกต้อง และข้อที่เก้าเห็นคนอื่นเค้า ทำความดีแล้วก็อนุโมทนากับความดีของเค้าด้วย ดีใจกับเค้าด้วย ไม่ใช่อิจฉาตาร้อน ตาเหลือก ตาดำ ตาขาวแล้วก็ข้อสุดท้าย ข้อที่สิบคือ ต้องรู้จักเอื้ออาทรแบ่งปันและก็ให้อภัย เหล่านี้เป็นเรื่องเป็นราวในวิธีทำบุญสิบประการที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า เป็นการทำให้เกิดบุญ จะไม่เห็นเลยว่า ตัองสร้างพระพุทธรูปแล้วไปอยู่สวรรค์ไม่ใช่ แต่มันเป็นวิธีโฆษณาชวนเชื่อของคนตะกละที่อยากได้ของชาวบ้าน อย่าไปคิดอะไรมากเลยลูก
ปุจฉา : ในกรณีถ้าสร้างพระแล้วเราจะขึ้นสวรรค์หรือว่ารอดจากน้ำท่วมไหม เพราะมีคนบอกว่าปี ๒๐๐๐ น้ำจะท่วมโลก
วิสัชนา : ถ้าน้ำท่วมก็คงจะไม่รอดหรอก พระก็คงจะจมเหมือนกัน หลวงปู่พูดเรื่องนี้ว่าไอ้เรื่องโลกแตก น้ำท่วมน่ะพวกเราเกิดๆ ตายๆ อีกร้อยชาติ ร้อยรอบ ร้อยชีวิต มันเป็นเรื่องลำบาก เรื่องยากมากกับการที่จะทำให้ปรากฏการณ์ธรรมชาติมันเกิดปัจจุบันทันด่วนขนาด นั้น ไอ้ที่น้ำท่วม ไฟบรรลัยกัลป์เกิดขึ้น เว้นเสียแต่เหตุการณ์จะมีเหตุจำเป็น หรือเหตุปัจจุบันทันด่วนที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็คือมีดาวหางดวงใหญ่วิ่งเข้ามาชน หรือใกล้โลก ทำให้โลกเสียแรงโน้มถ่วง เสียแรงดึงดูดแรงดึงดูดของโลกสูญเสียไป ทำให้ชั้นบรรยากาศของโลกเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว และทำให้น้ำแข็งละลายภายใน ๓-๕ ปี แต่ถ้าเราจะให้เวลาในการบอกว่าน้ำจะท่วมโลกภายในปี พ.ศ. ๔๒ หรือ ๔๓ แสดงว่าปัจจุบันนี้น้ำแข็งมันละลายใกล้จะหมดแล้วในขั้วโลกเหนือ แต่ข้อเท็จจริงมันไม่ใช่
การวิเคราะห์จากหลักการของธรรมชาติ จากการสะสมสภาวะแห่งสสารในบรรยากาศ โดยจิตวิญญาณของหลวงปู่นะ หินก้อนหนึ่งมันต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมอณู อณูของสสารนี้เป็นร้อยๆ ปี พันๆ ปี กว่าจะได้หินสักก้อนหนึ่ง และน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือมันต้องใช้กระบวนการสะสมเป็นพันๆ หมื่นๆ ปีกว่าจะได้ภูเขาน้ำแข็งสักลูกหนึ่ง แล้วข้อสันนิษฐานที่นักวิทยาศาสตร์ ทั้งหลายตาเหลือก เค้าบอกว่าน้ำแข็งที่ขั้นโลกเหนือละลาย และทำให้น้ำท่วมนั้น มันจะต้องใช้ความร้อนของพระอาทิตย์ถึง ๑๗ ดวง หรือ ๒๗ ดวงกับการเผาน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือให้ละลายภายในหนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ไหม กับพระอาทิตย์ ๒๗ ดวง ที่จะต้องมาเผาน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือให้ละลายภายในปีเดียว มันเป็นเรื่องตลก เพราะฉะนั้น จะมีปรากฎการณ์พิเศษอีกชนิดหนึ่งก็คือมีดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลที่ เสียการทรงตัว โคจรเข้ามาใกล้โลก แล้วเกิดการชนโลก หรือทำให้เกิดเสียแรงดึงดูดของโลก อันนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากมากและไม่ใช่เป็นง่ายนัก
เพราะฉะนั้น จึงได้บอกว่า พวกเราตายแล้วเกิดอีกหลายรอบกว่าจะได้มีโอกาสเห็นน้ำท่วมโลก อย่าเพิ่งคิดมากลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว จะมีโอกาสเห็นถึงพรุ่งนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดมาก ทำใจสบายๆ เดี๋ยวจะตกเป็นเครื่องมือของคนที่ฉลาดกว่าเรา และก็หาเหตุ หาวิธี เพราะไอ้น้ำท่วมโลกนั่นแหละคนทั้งหลายเลยพากันขายที่ทางเหนือ ทางอีสานกันง่ายๆ หรือไม่ก็หาเครื่องรางมาหลอกขายกัน เราเป็นพุทธบริษัทจะเชื่ออะไร ก็ต้องมีกระบวนการจำกัดไว้ในวงว่า ต้องวิจารณ์พิจารณา ใคร่ครวญเสียก่อน หาเหตุผลให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยเชื่อ
ปุจฉา : เมื่อหลวงปู่เจ็บ หรือทำงานหนักมาก รุมเร้าด้วยเวทนาต่างๆ หลวงปู่เอาชนะเวทนานั้นอย่างไร เวทนามีอยู่หรือไม่ และทำอย่างไร คนที่ทำงานหนักทำดีเพื่อช่วยคนอื่นแล้วเหนื่อย เพราะต้องต่อสู้กับความชั่ว จึงจะทำงานได้ต่อเนื่องต่อไป
วิสัชนา : อันดับแรก เราต้องทำตัวให้เป็นกลาง ทำใจให้เป็นกลางกับการที่จะระงับเวทนาก่อน ถ้าหลวงปู่ป่วยและป่วยมากๆ ถ้าลูกหลานใกล้ชิดจะรู้ว่า หลวงปู่จะไม่มองหน้าใครคือ จะไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ อยากจะมีชีวิตอยู่แบบตัวคนเดียว โดดๆ อยู่ในธรรมชาติถ้าเป็นไปได้ เดินแก้ผ้าในป่าก็จะดีมากๆ นี่คือวิถีชีวิตที่อยากทำ ถ้าป่วยนะ แล้วก็ผ่อนคลายอิริยาบถทั้งหลายในตัวเองที่ถมึงตึงเครียด ที่เกิดจากระบวนการสะสมของร่างกายที่ต้องทำงานหามรุ่ง หามค่ำ ตลอดเวลา ก็เป็นวิธีที่จะเอาชนะเวทนาได้
ส่วนคำถามที่ว่า ในสถานการณ์ที่บีบคั้น เราต้องทำงานให้กับสังคมและส่วนรวม และต้องเจอกระบวนการทั้งหลายบีบคั้น เราจะแก้ไขและเอาชนิดมันได้อย่างไรก็ต้องตั้งปณิธานเอาไว้ในที่สูงสุดว่าเรา มีสภาวะอย่างไร เรามีสถานะอย่างไร เราต้องทำอะไร เพื่ออะไร และใครได้รับอะไรจากสิ่งที่เรากระทำ ถ้าเราเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำ และมีความปรารถนาสูงสุดอย่างนั้น ไม่ต้องให้ใครมาให้กำลังใจเรา แต่เราจะปลุกปลอบจิตของเราให้รุกเร้าที่จะทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เราจะไม่รู้สึกท้อแท้ หรือท้อถอยต่อกระบวนการที่เกิดขึ้น ขณะที่ทำงาน
แต่ถ้าเมื่อใดเราทำอะไรเพื่อตัวเราเอง และก็ทำมันอย่างชนิดที่มอบกายถวายชีวิต เมื่อเจอปัญหาใดๆ มันจะมีความรู้สึก ความคิดมันจะคับแคบ ศักยภาพในความคิดมันจะคับแคบ ศักยภาพในการเรียนรู้ การสืบทอดในการประสานสัมพันธภาพก็จะคับแคบและในที่สุดเราก็จะกลายเป็นคนที่ อยู่ในโลกคับแคบ กีดขวาง หรือกักขังตัวเองไว้ในที่แคบๆ ไม่สามารถจะสื่อหรือสัมพันธภาพกับสิ่งแวดล้อมรอบกายเราได้เมื่อเป็นอย่างนี้ ชีวิตเราเมื่อเจอปัญหา เราจะกลายเป็นคนโดดเดี่ยว เดียวดาย โดนทอดทิ้ง และสุดท้ายก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้เรา เพราะเรามีความคิดอันคับแคบ มีความต้องการอันคับแคบ มีความตะกละตะกรุมตะกรามมากไป สรุปก็คือถ้าเราเห็นแก่ตัวและทำอะไรเพื่อตัวเองเมื่อเผชิญกับปัญหามันจะเป็น การแตกเสียหาย และทำลายไปในที่สุด
หลวงปู่เขียนบทโศลกสอนลูกหลานไว้บทหนึ่งว่า
ลูกรัก....ฟ้ามีอายุยืนยาว ดินมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ เหตุเพราะทั้งสองนั้นไซร้มิใช่อยู่เพื่อตัวเอง ฉะนั้นถ้าเราจะมีศักยภาพเทียบเท่าฟ้ากับดินแล้วนั้น จงมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ของใคร ที่ไหน เมื่อไร และอย่างไร แต่จงอย่ามีชีวิตเพื่อตัวเราเองมากจนเกินไป จนกลายเป็นความคับแคบที่จะเสวนากับสังคม
ที่หลวงปู่ทำงานอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นการทำหน้าที่สืบทอดอุดมการณ์พระ ศาสนา รักษาสกุลของชาวศากยะ ซึ่งแปลว่า ผู้อาจ ผู้กล้า และผู้สามารถ หลวงปู่ทำหน้าที่แทนพระพุทธะที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น ไม่ได้ทำงานเพื่อมุ่งหวังที่จะได้มาซึ่งลาภสักการะเกียรติยศและศักดิ์ศรี ชื่อเสียงใดๆ
ฉะนั้น เมื่อเราทำงานอันมีที่ตั้งอันสูงส่ง ขณะที่เรายังก้าวเดินไม่ถึงจุดหมายอันสูงส่ง แต่เผอิญต้องไปเหยียบขวากหนามปัญหาใดๆ ปัญหาและขวากหนามเหล่านั้นมันไม่สามารถจะฉุดกระชากลากถูเราได้ให้เราล่าช้า และยุติพฤติกรรมเหล่านั้นได้ เหตุผลก็เพราะ เรามีศักยภาพทางความคิดที่กว้างใหญ่ มีศักยภาพในการสัมผัส สำเหนียก และพิสูจน์ทราบประสบการณ์ทางวิญญาณที่ก้าวไกล และมีวิถีชีวิตอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถจะบรรจุเอาไว้ในอนันตจักรวาล เพราะฉะนั้น ปัญหาเล็กน้อยมันเป็นแค่เส้นผมบังภูเขา สำหรับผู้ที่มีอุดมการณ์สูงส่งแล้ว เค้าจะถือว่านั่นไม่ใช่ปัญหา
หลวงปู่เขียนบทโศลกสอนลูกหลานไว้อีกบทหนึ่งว่า
ลูกรัก....สำหรับพ่อแล้ว ปัญหาคือการเรียนรู้ ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือครูของเรา
ปุจฉา : อย่างไรคือการสร้างพระในใจตน?
วิสัชนา : ก็ทำให้เกิดสามศักดิ์สิทธิ์ไงลูก กายศักดิ์สิทธิ์ ธรรมศักดิ์สิทธิ์ และก็จิตศักดิ์สิทธิ์แต่หลวงปู่จะสอนพระเณรที่นี่ว่า พวกท่านทั้งหลาย จงอย่าอยู่เพื่อให้คนอื่นเค้ากราบไหว้แต่จงมีชีวิตอยู่ เพื่อจะกราบไหว้ตัวเองให้สนิทใจ การที่เราจะสามารถกราบตัวเองได้อย่างสนิทใจ เพราะว่าเราสร้างความศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๓ อย่าง ให้เกิดขึ้นในตัวเรา คือสร้างสถานะแห่ง ๓ ศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้นในจิตวิญญาณ กมลสันดาน และในกายเรา ข้อแรก กายศักดิ์สิทธิ์ เราต้องทำให้มีความรู้สึกว่าร่างกายทั้งหมด ทั้งหลาย ทั้งปวงของเราศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยวิถีชีวิตของการอุทิศแบ่งปัน เอื้ออาทร และการุณย์ แก่มหาชน สรรพสัตว์ และคนที่อยู่รอบข้าง รวมทั้งสรรพวัตถุ สรรพชีวิต และก็สรรพวิญญาณ ให้โดยไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน เหล่านี้คือกระบวนการสร้างกายศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเรามีกายศักดิ์สิทธิ์ คนทั้งหลายก็ยอมรับเราได้ เราก็ยอมรับตัวเราเองได้ กราบตัวเองได้อย่างสนิทใจ ถือว่านั่นคือวิถีทางแห่งกายศักดิ์สิทธิ์
เมื่อกายศักดิ์สิทธิ์แล้ว มันก็จะเป็นกระบวนการ แนวทางให้เราขวนขวายแสวงหาธรรมศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตอยู่ภายในกาย ชั่วชีวิตหลวงปู่ใช้วิถีชีวิตของตัวเองใน ๓ ศักดิ์สิทธิ์ และแสวงหาธรรมศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่จากตำรา ไม่ใช่จากคำภีร์ ไม่ใช่อักษรภาษา หนังสือหรือกลบทใดๆ แสวงหาได้ในจิตวิญญาณของตัวเอง และเมื่อเราพบธรรมศักดิ์สิทธิ์ก็จะทำให้จิตวิญญาณของเราที่เต็มเปี่ยมไปด้วย พลานุภาพ และพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย
ทั้ง ๓ ศักดิ์สิทธิ์นี้แหละเป็นการสร้างสรรค์และหล่อหลอมพระผู้ศักดิ์สิทธิ์เป็นพระ บริสุทธิธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นภายในใจ จิตวิญญาณของตัวเอง
ปุจฉา : เมื่อมนุษย์สิ้นชีวิตแล้ว ไปอยู่ที่ไหน ทันทีที่สิ้นชีวิต ข้อแรก ถ้าไปเกิดเลยนั้น อยากเกิดเป็นคนต้องปฏิบัติตนอย่างไร และถ้าอยากเกิดเป็นเทวดาหรือสูงกว่านั้นจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร ข้อที่สอง หรือว่าเมื่อตายไปแล้วไปหายมบาล เพื่อจัดคิวการเกิด ตามกรรม ข้อสาม เคยได้ยินในเทปของหลวงปู่ว่า จะอยู่ตรง ณ ที่เสียชีวิต เช่น ที่โรงพยาบาล หรือตอนที่ประสบอุบัติเหตุ และข้อที่สี่ ถ้ามนุษย์ตายไปแล้วไปเกิดเลยจิตของมนุษย์หรือนามเริ่มต้นตรงไหน เมื่อไร เช่น เริ่มต้นเมื่อมีการผสมระหว่างไข่และสเปิร์มของแม่หรือว่าขณะเด็กกำลังคลอด ออกจากครรภ์มารดา หรือว่าในระหว่างการตั้งครรภ์ในเดือนใด
วิสัชนา : ไว้ตายแล้วจะรู้ ก็ทั้งหมดที่ถามนี่เรื่องของคนตาย หลวงปู่ยังไม่ตายแล้วจะรู้ได้อย่างไร คงจะตอบได้ข้อสุดท้ายว่า การปฏิสนธิคือ การเกิดของจิตวิญญาณในร่างกายมนุษย์นั้น มีอยู่ ๒ หลักการคือ หลักการที่ใช้กับหลักสรีระร่างกาย ที่เรียกว่าใช่ หรือการผสมเชื้อระหว่างเสปิร์มของฝ่ายพ่อกับฝ่ายแม่ นั่นคือหลักการหนึ่ง อีกหลักการหนึ่งคือ จุติ และ ปฏิสนธิ คือการเคลื่อน และการเกิด
ขอตอบหลักการที่สอง คือการจุติ และปฏิสนธิก่อนว่า โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว เมื่อสิ้นสุดจากเวรกรรม หรือบ่วงแห่งกรรมที่พ้นจากสภาวะภพชาติใดชาติหนึ่งก็จะล่องลอย คือไปหาที่อยู่ใหม่ การที่ตนเองจะมีสิทธิ์ไปหาที่อยู่ในไข่ หรือในรังของมารดาหรือที่อยู่ของมนุษย์ในครรภ์มารดาได้นั้น ก็ต้องมีบุพกรรมเรียกว่า กุศลกรรม กรรมที่เป็นความฉลาด กรรมที่เป็นความดี กรรมที่เป็นกุศล กรรมที่สร้างสมและจรรโลงให้เกิดความเจริญ กรรมอันนั้นจะทำหน้าที่เป็นนายนฤบาล หรือผู้รักษาจิตวิญญาณตรงนั้นให้เข้าไปจุติ และ ปฏิสนธิ คือเกิดในครรภ์ของมารดา
ทีนี้ถามว่าระหว่างที่จุติของไข่ คือสเปิร์มของพ่อแม่ผสมกัน กับระหว่างจุติของวิญญาณ เกิดพร้อมกันหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าไม่พร้อมกัน เมื่อใดที่สเปิร์มของพ่อและแม่ได้รับการเลือกสรรแล้ว สภาวะของร่างกายที่สมบูรณ์ และขจัดสเปิร์มที่ไม่สมบูรณ์ออกไปสเปิร์มตัวนั้นจะได้รับเลือกสรรให้ไปเกิด ในรังไข่ของมารดา เมื่อเข้าไปอยู่ในรังไข่ของมารดาเรียบร้อยแล้วเท่านั้น จิตวิญญาณจึงจะเข้าไปจุติ และปฏิสนธิในสเปิร์มตัวนั้นที่เข้าไปอยู่ในไข่ของมารดา นี้คือวิธีการเกิด
สรุปตรงนี้อีกนิดหนึ่งว่า เราเป็นมนุษย์ได้เพราะกุศลกรรม กรรมนำมาให้เราเกิด แต่ในส่วนที่ไม่ใช่มนุษย์ล่ะ ที่เป็นเดรัจฉาน เป็นอสูรกาย เป็นเปรตก็เหมือนกันเมื่อเราพ้นจากสภาวะ สถานะตรงนี้แล้วก็คือใช้กรรมตรงนี้หมดแล้ว ก็ยังมีกระบวนการที่เป็นส่วนดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม ยังต้องผลักดันเอาจิตวิญญาณตัวนี้เข้าไปปฏิสนธิ และจิตในที่ใดที่หนึ่งอีกครั้งหนึ่ง อีกหลายๆ ครั้ง ขึ้นอยู่ว่าเรามีทุนอะไรไปเป็นตัวผลักดัน ทุนตัวนี้ก็คือความดี หรือความชั่ว ถ้าเรามีความดีอยู่ก็มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพรหมเทวดาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสังคม ในสายตาชาวบ้านที่ยอมรับได้ แต่ถ้ามีความชั่วอยู่ก็จะเกิดจะเป็นลูกหมู ลูกหมา ลูกปลา ลูกไก่ เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือตกนรกอเวจีหมกไหม้ในภูมิภพต่อๆ ไปอีก นี่คือกระบวนการ
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงพยายามสอนให้เรามุ่งมั่นหมายใจที่จะทำกุศลกรรมคือกรรมที่ยัง ให้เกิดแต่ความชาญฉลาด ที่สร้างสรรแต่สิ่งที่ดีงามในสังคม ส่วนคำถามที่ว่าการได้มีโอกาสเกิดเป็นพรหม เป็นเทวดา จะทำอย่างไร ก็ต้องบอกว่า พรหมเป็นชั้นสูงสุดแล้ว ในส่วนของอรูปพรหมนั้น พระพุทธเจ้าไม่สนับสนุนให้เกิด ถามว่าทำไม เพราะว่ามันมีอายุนานมาก จนไม่มีโอกาสพบพระศาสนา และคนที่เกิดเป็นอรูปพรหมจะมีอายุนานมาก อาจจะใช้พระพุทธเจ้าเปลืองไปแล้ว สิบองค์ก็เป็นได้ แล้วจะหมดบุญจากอรูปพรหมได้มาเกิดเป็นอะไรอีก เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในชั้นอรูปพรหมจะเป็นผู้ที่ไม่รู้อะไรนัก บุญทิพย์ที่ตนเองสะสมเอาไว้ แล้วก็ไปกินบุญให้หมดไปไม่แน่เมื่อหมดบุญแล้วต้องตกลงมาจากโลกแห่งพรหม ตอนนั้นว่างพระศาสนาถึงกาลกลียุค เราอาจจะไม่มีโอกาสได้ผุด ได้เกิด ได้เรียนรู้ธรรม มีดวงตามืดบอด สุดท้ายก็ได้รับทุขเวทนาอันแสนสาหัสก็ได้ เมื่อรับทุขเวทนาก็จะไปสร้างกรรมเมื่อเป็นทุกข์ก็ต้องหาวิธีพ้นทุกข์ ด้วยวิธีพ้นทุกข์ที่ไม่มีปัญญาญาณหยั่งรู้ด้วยวิธีพ้นทุกข์ที่ไม่มีความชาญ ฉลาด ด้วยวิธีพ้นทุกข์ที่ไม่มีส่วนที่เป็นกุศล ก็จะแสวงหาวิธีพ้นทุกข์ชนิดที่ตะกรุมตะกราม ตะกาย ตะกละ และต้องการเอาชนะ วิธีเหล่านั้นคือสร้างกรรมที่เป็นอกุศล คือกรรมชั่ว มันก็เป็นเหตุแห่งการสะสมแห่งกรรมชั่ว ในภพภูมิที่ตนเองเกิดในยุคแห่งกลียุคนั้น เกิดมาจากพรหม มาเป็นมนุษย์ก็ตาม เดรัจฉานก็ตาม เปรตก็ตาม อสูรกายก็ตาม หรือสัตว์ทั้งหลายก็ตามอยู่ในยุคกลียุค ก็ต้องหาวิธีเอาตัวรอด ด้วยวิถีทางแห่งความรู้ ไม่ได้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความไม่เข้าใจ ความโง่เขลาเบาปัญญา ความตะกรุมตะกราม ตะกละ ก็จะทำให้ตนเองเสียหายและ เสียสมดุลในการมีชีวิตที่ถูกต้องไป สุดท้ายก็เป็นการสร้างกรรมชั่วให้เพิ่มขึ้น เมื่อพ้นจากอัตภาพนั้นแล้ว เราก็ต้องกลับไปชดใช้กรรมชั่วนั้นอีก เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่สนับสนุนให้พวกเราเกิดเป็นพรหม
หลวงปู่เคยบอกไว้แล้วว่า ลูกรัก.....การทำวิถีชีวิตให้เป็นดั่งน้ำ ถือว่ายอดประเสริฐ มันจับเราใส่ขวดเราก็เป็นรูปขวด มันจับเราใส่แก้ว เราก็เป็นแก้ว มันจับเราใส่โอ่งเราก็เป็นโอ่ง คนที่จะมีบุญที่เกิดเป็นพรหม ต้องสร้างบุญมาก ต้องสร้างอานิสงส์มาก ต้องเจริญพรหมวิหารสี่อย่างมหาศาล และก็มีจิตวิญญาณที่จะพัฒนาตัวเอง อธิษฐานว่าให้เกิดเป็นพรหมพอไปอยู่ในพรหมแล้วต้องใช้เวลาในการตกจากพรหมลงมา เป็นมนุษย์ เป็นคน สัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต อสูรกาย เค้าว่ากันว่าใช้อายุขัยของพระพุทธเจ้าสิบองค์ด้วยกันกว่าจะพ้นจากพรหม และก็ไม่แน่ว่าลงมาจาพรหมแล้ว อาจไม่ได้เจอพระพุทธเจ้าเลย ไม่ได้เจอนักปราชญ์ หรือนักสอนศาสนาใดๆ เลย ก็จะทำผิดบ้าง ถูกบ้าง ชั่วบ้าง ดีบ้าง และทำให้ตัวเองเสียหาย เพิ่มพูนมากขึ้น สุดท้ายก็จะตกอยู่ในอเวจี มหานรกอีก เพราะทำชั่วเพิ่มขึ้นอีก
เพราะฉะนั้น การเกิดเป็นพรหมไม่ใช่ดี พระพุทธเจ้า ศาสนานี้ไม่ได้สนับสนุนพระองค์บอกว่า มนุษย์เป็นอุภโตพยัญชนะก็คือ เป็นบุคคลที่มีทั้งทุกข์และสุข มันทำให้คนเรามีนิพพิทาญาณ คือ มีความเบื่อหน่าย เมื่อเกิดความเบื่อหน่ายมันก็จะทำให้เราขวนขวายที่จะคลายความทุกข์เดือดร้อน ความขวนขวายอันนั้นก็เกิดจากการที่เราประสบพบพานกับสมณะสมณา นนฺจทสฺน การได้เห็นสมณะทั้งหลาย กาเลนะ ธมฺมสา กจฺฉา การเจรจาธรรมทั้งหลายเอตมฺมํ คลมุตฺตมํ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
เพราะฉะนั้น เหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องเป็นราว เราเป็นมนุษย์นี้ถือว่าเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ แต่เราไม่ค่อยเชื่อมั่นในบุญของเรา เราพยายามใช้บุญของเรา และไม่สะสมบุญของเรา และทำลายบุญของเราให้หมดไปกับสิ่งไร้สาระ ในการตะกรุมตะกราม ตะกละ และในความอยากมากเกินไป เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามว่าทำอย่างไรให้เป็นพรหมนั้น คำตอบคือ ทำบุญ อุทิศผลบุญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และปรารถนาว่า ขอข้าเกิดเป็นพรหม ก็ได้เป็นพรหมแล้ว แต่ถามว่าดีไหมในสายตาของพุทธบริษัท และทำอย่างไรให้เป็นเทวดา เทวดานี่ต่ำกว่าพรหมนะ ต้องเทวดา แล้วพรหม ไม่ใช่พรหมแล้วเทวดา
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า สัตว์ที่จะเกิดเป็นมนุษย์นั้นหายาก จากมนุษย์เป็นเทวดาก็หายาก จากเทวดาไปเป็นพรหมก็หายาก จากพรหมและเทวดามาเป็นมนุษย์ยิ่งยากกว่า ส่วนใหญ่คนที่จะหมดกรรมจากเทวดา จากมนุษย์ จะจุติมาเป็นเปรต อสูรกาย ซะส่วนใหญ่เพราะอะไร เพราะการได้เกิดเป็นเทวดา เป็นมนุษย์ มันก็คือการไปใช้เงินหรือใช้บุญของตนเองไปใช้คุณงามความดีของตัวเอง พอใช้หมดแล้วเค้าก็เขี่ยลงมา เหมือนเรามีเงินแล้วไปเช่าบ้านเค้าอยู่ เมื่อใดที่ไม่มีตังค์จ่ายค่าเช่า เจ้าของบ้านก็ไล่ออกจากบ้าน เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องดี การเป็นมนุษย์น่ะดีที่สุดตรงที่เรามีปัญญาญาณ รู้จักสุข ทุกข์ และก็อยู่ใกล้กับสมณะ อยู่ใกล้กับนักบวช ใกล้กับพระ ใกล้กับพุทธบริษัท ใกล้กับนักปราชญ์ บัณฑิต ท่านก็จะถ่ายทอดหรือสั่งสอนอบรมสิ่งที่เป็นปรัชญา ปัญญา และก็สิ่งที่เป็นวิชาการที่จะทำให้เรา ลด ละ เลิก ที่เป็นอกุศลกรรมได้ แต่ระหว่างพรหม เทวดาเนี่ย ไม่มีสิทธิ์เลย เว้นเสียแต่ว่าพระเป็นเจ้ารูปใดหรือพระอริยะ พระอรหันต์รูปใด มีความปรารถนาดีจะขึ้นไปแสดงธรรมให้ฟัง ก็ไม่บ่อยนัก
รวมความแล้วเทวดาฟังธรรมน้อยมาก พรหมก็ไม่มีสิทธิ์ได้ฟังธรรมเลยหรือฟังก็น้อยมาก เมื่อไม่มีโอกาสจะได้ฟังสิ่งที่เป็นการทำดี ไม่มีโอกาสฟังปรัชญาของวิถีชีวิตในการทำความดี และรักษาความสมดุลแห่งชีวิตได้ มันก็หลงระเริงและได้ปลื้มกับ กินกาม เกียรติ โกรธ ที่เป็นของตนเอง เป็นของโปรดที่ตนเองปรารถนา เพราะฉะนั้น ก็ถือว่าเป็นสภาวะของผู้มัวเมา อย่าคิดว่าดีนะ เทวดากับพรหมเนี่ย สำหับพระพุทธที่ยิ่งใหญ่ ท่านบอกว่าเป็นสภาวะของผู้มัวเมา ผู้หลง ผู้งมงาย
เพราะฉะนั้น เราเป็นมนุษย์น่ะดีแล้วลูกพยายามสร้างสิ่งดีๆ ให้แก่ตนเองให้เกิดสาระให้มากขึ้น ได้มาก็รู้จักให้ ใช้สมมติ ให้เกียรติในสมมติ ยอมรับในสมมติ ให้ประโยชน์ในสมมติ ได้ประโยชน์ในสมมติ และสุดท้ายอย่ายึดติดในสมมติ ทั้งหมดนี้มนุษย์เท่านั้นถึงจะทำได้ พรหมไม่มีสิทธิทำ เทวดาก็ไม่มีสิทธิทำ เปรต อสูรกาย ผีสาง นางไม้ ไม่มีสิทธิ์ทำ ไม่รู้จักสัจจธรรมของความเป็นสมมติ และเข้าใจด้วยว่าเกิดเป็นคนน่ะดีที่สุดแล้ว
ปุจฉา : ผู้ที่ไม่ยอมทำบุญ หรือทำแบบขัดไม่ได้ ไปอ้างว่าตนเองไม่ได้ทำความชั่ว ก็ถือว่าดีแล้ว มันอยู่ที่ใจ โดยเน้นว่าบุญมันอยู่ที่ใจ เราจะอธิบายเรื่องของการทำบุญอย่างไร
วิสัชนา : ไม่ต้องอธิบายอะไรเลย ปล่อยให้มันตายไปเอง ถือว่าคนพวกนี้ไม่รักตัวเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตของตนเองได้มาจากอะไร เค้าคิดว่าพ่อแม่ผสมพันธุ์กันก็ออกมาเป็นตัวเค้าแค่นี้ก็จบ คนพวกนี้มีมิจฉาทิฐิ ถ้าจะช่วยเค้าด้วยความเอื้ออาทร บริสุทธิ์ใจจริง ๆ ก็ต้องบอกเค้าว่าสิ่งที่คุณเป็นอยู่นี้ เพราะมีของติดตามคุณมา คุณใช้ของเก่าหมดไป คุณก็ไม่เหลืออะไร สุดท้ายคุณก็ไม่มีอะไรจะใช้ และก็ตกเป็นทาสของอะไรๆ เยอะแยะที่คุณเผลอทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะฉะนั้น คนที่มีมิจฉาทิฐิ อย่างนี้เป็นคนที่ค่อนข้างที่ยากจะชักจูงและก็จำไว้ว่าบุญที่บริสุทธิ์นั้น เค้าไม่ชักจูงกันหรอก
เมื่อใดที่มีคนมาชวนเราทำบุญ เราทำแบบเสียไม่ได้ ทำไปหนึ่งร้อยอาจได้บุญหนึ่งสลึง แต่ถ้าเมื่อใดที่เราคิดเห็นคนอื่นทำบุญแล้วเกิดศรัทธา ปรารถนาจะทำ ถึงแม้ไม่มีอะไรเลย แค่มีข้าวมื้อเดียว ที่เหลือจานสุดท้าย หรือทัพพีสุดท้าย ถ้าทำไป ก็จะได้บุญมหาศาล จำได้ว่า สมัยที่หลวงปู่อยู่แถวสลัมคลองเตย ตอนนั้นออกบิณฑบาตตอนเช้ามืดตีห้ากว่า มีคนขาขาดข้างหนึ่งและแขนขาดข้างหนึ่ง มีอาชีพขอทานอยู่แถวๆ ทางรถไฟ หลวงปู่ก็เดินนับหมอนรถไฟไปบิณฑบาต พอเค้าเห็นหลวงปู่เดินผ่านมา เค้านึกยังไงไม่รู้ บอก นิมนต์เจ้าค่ะ ขออภัยด้วย ท่าทางจะไม่ประณีตนัก เหลือไข่เค็มครึ่งลูก กับข้าวต้มร้อนๆ หนึ่งชาม นี้มื้อสุดท้าย เดี๋ยวค่อยหาเอาใหม่ แล้วก็ใส่บาตร สิ่งที่หลวงปู่อธิษฐานตอนนั้นในใจก็คือ ขอท่านผู้มีคุณจงสำเร็จสมหวังดังท่านปรารถนา ตอนนั้นเค้าตั้งจิตอธิษฐานว่าลูกที่ทิ้งเค้าไป พลัดพรากจากกันไป ขอให้ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข หลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ ผลปรากกฏว่าลูกที่หายไปนั้นกลับมาหาและก็พาเค้าไปอยู่บ้านหลังใหม่ ใหญ่โตมโหฬาร
แสดงให้เห็นว่า บุญน่ะทำด้วยหัวใจ ก่อนทำเต็มใจ ขณะที่ทำตั้งใจ ทำแล้วสบายใจ เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ มหาศาล ถึงแม้จะเป็นเพียงไข่เค็มเหลือๆ ข้าวต้มชามน้อย ก็เป็นบุญมหาศาล ตรงกันข้ามกับการที่ไปทอดกฐิน เดี๋ยวใส่บาตร ใส่ซองหน่อย บ่น โอ๊ย! เอาอีกแล้ว วันทั้งวันเจอแต่ซอง จะถือเคล็ดอยู่แล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น เอาเงินมันมาก็ไม่ได้ประโยชน์ แล้วหลวงปู่ว่าเป็นบุญของคนพวกนี้ก็จะไม่เอา หรือย่างมีคนเอาสตางค์มาวางไว้ข้างหน้าเป็นล้านบอกหลวงปู่ครับมาถวายเงิน หนึ่งล้านบาท แต่เขียนชื่อผมด้วยบนหน้าบัน หลวงปู่บอกเลยว่า มึงเก็บคืนไป แล้วถามว่าจะเอาบุญหรือเอาชื่อถ้าเอาบุญที่นี่มีแต่บุญให้ แต่เอาชื่อที่นี่ไม่รับ ทำบุญที่นี่เป็นบุญบริสุทธิ์ ที่ไม่ได้มุ่งหวังขอให้อะไรกลับมา ให้เงินมากกว่าล้าน ให้เป็นสิบล้าน ร้อยล้าน ที่นี่ก็ไม่รับ แต่ไม่ใช่อวดรวย อวดมั่ง อวดมี ตอนหลวงปู่สร้างวัดก็มีสตางค์ ๓ บาทติดกระเป๋า ถึงวันนี้ก็มี ๓ บาทไม่เคยเพิ่ม ไม่เคยลด และก็ไม่เคยได้ใช้มัน เพราะฉะนั้นก็มีอยู่แค่นี้ ก็ไม่เคยคิดว่าตนเองต้องการหรือตะกละในความไร้สาระของคนที่มาทำบุญ อยากจะมียศ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
เพราะฉะนั้น คนทำบุญที่นี่ต้องบุญบริสุทธิ์ บุญที่เกิดจากการชักชวน เป็นบุญที่ไม่บริสุทธิ์ บุญที่เกิดจากความตั้งใจ เป็นบุญบริสุทธิ์ ถึงจะเป็นทานที่ไม่ประณีตนักเป็นทานที่ค่อนข้างจะหยาบ ตัวอย่างเช่น มีนางทาสีท่านหนึ่งในสมัยพระศาสดายังมีชีวิตอยู่ นางทาสีโดนเศรษฐีใช้ให้ไปเก็บข้าวที่เค้าเกี่ยวเอาไว้และวางที่หัวคันนานาง เดินผ่านมาเห็นพระศาสดา บิณฑบาต แต่นางไม่รู้จัก นางเป็นแค่คนรับใช้ของเศรษฐีอาหารอย่างดีก็คือแป้วจี่ที่ทำด้วยรำหยาบกับ แป้ง ทำเป็นโรตีพกมาไว้กินตอนกลางวัน เห็นพระศาสดามาบิณฑบาต ก็ขอนิมนต์รับอาหาร แล้วนางก็หยิบแป้งจี่จากชายพกถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเห็นว่านางผู้นี้จะมีอายุสั้น แล้วนางก็มีบุญที่จะได้ฟังธรรม มีโอกาสจะได้เกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดา วันนี้นางก็จะตาย ก็เลยเปิดฝาบาตรรับ รับแป้งจี่อันนั้น แค่แป้งจี่ที่เป็นอาหารชั้นหยาบ ทำด้วยรำหยาบ นางใส่บาตรด้วยความรู้สึกที่เป็นสุข หลังจากใส่แล้วพระศาสดาก็ทรงอนุโมทนา พอนางเดินไปหัวคันนาก็โดนงูกัดตาย แต่บุญที่นางได้ทำไว้เมื่อครู่นี้ยังเต็มเปี่ยมในหัวใจ นางไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดกับพิษงูร้ายที่กัดข้อเท้าทำให้จิตวิญญาณของนางไปสู่ สุคติ โลกสวรรค์ไปเกิดเป็นเทพธิดาที่มีบริวารมากมายมหาศาล มีแสงสว่างพุ่งออกมาจากกายของนาง นี่แค่แป้งจี่แผ่นเดียวเท่านั้นเอง แต่เพราะทำด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมที่จะทำให้
เพราะฉะนั้น เวลาที่หลวงปู่ทำบุญนั้น หลวงปู่จะไม่ใส่ใจหรอกว่าใครจะคิดอย่างไรแต่ถ้าเป็นบุญแล้วหลวงปู่จะเป็นคน ชอบทำบุญ คิดว่าเราทำ เราได้เราจะอาศัยคนอื่นมาทำให้เราคงทำไม่ได้ ถามว่าทำไมหลวงปู่ต้องไปทำกับข้าวเอง เลี้ยงเด็กตั้งสัปดาห์ละ ๖,๐๐๐ คน ต้องไปนั่งทำกับข้าวเองทุกวัน ตั้งแต่เช้าจนถึงสิบโมงเช้า ก็ถ้าให้คนอื่นทำคนอื่นก็ได้บุญไปหมดเราทำเอง เราก็ยังได้บุญของเราบ้าง เราทำเองเราก็สบายใจ
การที่หลวงปู่เลี้ยงเด็กสัปดาห์ละตั้ง ๖,๐๐๐ คน ไม่ใช่เลี้ยงเพื่ออยากเอาชื่อเสียงเกียรติยศ แต่เลี้ยงเพื่อที่จะเป็นข้อต่อรองของโรงเรียน มีโครงการเยอะแยะที่หลวงปู่คิดขึ้นเพื่อที่จะทำให้ศาสนามันเจริญรุดหน้า รุ่งเรือง สมัยก่อนไปขอโรงเรียนบอกว่าฉันจะส่งพระมาช่วยสอนในโรงเรียนนะ เค้าบอกว่าไม่ว่าง ไม่มีเวลา ตารางสอนไม่มี แต่หลังจากที่เราเอาอาหารไปเลี้ยงเค้าทั้ง ๑๗ โรงเรียน ๔ อำเภอ เค้าบอกว่ามีเวลาว่าง พร้อมที่จะจัดตารางสอนให้เราเพราะฉะนั้นเมื่อเค้าว่าง มีเวลาพร้อมจะจัดตารางสอนให้เรา ก็ทำให้เราสามารถที่จะเผยแพร่ธรรมในโรงเรียนได้ เราก็จะมีโอกาสไปสอนเด็กนักเรียน ให้รู้จักเรียนธรรมะชั้นนักธรรมตรี โท เอก ได้ ขณะเดียวกันเรามีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสชีวิตเด็ก ก็จะได้รู้ว่าเราจะช่วยเหลือ สนับสนุนการศึกษาเด็กอย่างไร จะให้เงินไปเป็นทุนปลูกผักสวนครัวปลูกรั้วกินได้ เลี้ยงสัตว์ ถ้าเราให้ไปโดยไม่ได้ไปดูแล คิดว่าเดี๋ยวก็สูญ นี่คือวิธี
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ มานั่งคุยกับหลวงปู่ ถามว่า แล้วท่านจะเลี้ยงอย่างนี้ไปตลอดชาติเหรอ หลวงปู่บอก ไม่ใช่! แต่มีวิธีที่จะต้องเลี้ยงคือหาเรื่องต่อรอง ไม่งั้นเราจะไม่ได้รับความร่วมมือจากโรงเรียนเท่าที่ควร ส่วนใหญ่เวลาจะไปขอเข้าไปสอนในโรงเรียนเค้ามักบอกไม่ว่าง ไม่มีเวลา ไม่มีโอกาส ตารางสอนเต็ม แต่พอเรามีบทต่อรองกับโรงเรียนได้นี่เค้าเปิดโอกาสให้เรา ทุกโรงเรียนก็แจ้งความจำนงว่าปีหน้าเค้ายินดีให้เราไปสอนเด็กนักเรียนได้ สัปดาห์ละ ๓ ชั่วโมง อย่างนี้เป็นต้น
นี่คือวิธีการ หลายคนดูหลวงปู่ทำกับข้าวแล้วก็สมเพช สงสารและก็ไม่เข้าใจว่าทำทำไม แต่นี่คือคำตอบแล้วล่ะ หลวงปู่ทำเพื่อให้มีโอกาสได้เผยแผ่ธรรมะในโรงเรียน พวกเค้าจะได้ปลดปล่อยตัวเองจากวิถีชีวิตอันเลวร้าย ที่ต้องตกเป็นทาสของยา ตกเป็นทาสของความฉุดกระชากลากถู จากสิ่งต่างๆ จากสังคมรอบข้าง และได้มีโอกาสพบเห็นชีวิตจริงๆ ของพวกเค้าด้วย จะได้แก้ไขได้ถูกต้อง แก้ปัญหาได้ถูกจุด
ปุจฉา : การบริจาคอวัยวะร่างกายให้กับสภากาชาดไทย จะเป็นบุญกุศลอย่างไร และมีผลต่อชีวิตในอนาคตในชาติหน้าได้อย่างไร
วิสัชนา :ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ใครทำได้ถือว่าเป็นเรื่องดี คนบริจาคตา เกิดชาติหน้าก็จะเป็นคนที่มีตาปัญญาญาณหยั่งรู้ อาจจะทำให้ถึงขั้นมีทิพยจักษุ บริจาคหัวใจก็จะทำให้ใจเต็มเปี่ยมไปด้วยพระธรรมและแสงสว่างและก็ไม่ทำให้มี ทุกข์เดือดร้อนใจในที่สุด คือจะชนะความทุกข์เดือดร้อนทั้งปวงได้ และก็จะมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง บริจาคไต บริจาคตับก็สามารถทำให้ตนเองขจัด กำจัดสิ่งสกปรก รกรุงรัง และโสโครกทั้งหลาย เพราะหน้าที่ของไตและตับมันเป็นตัวการกำจัดสิ่งที่เป็นมลภาวะในร่างกาย ในชีวิตตนเองในชาติต่อไป ก็จะสามารถมีอำนาจเหนือมารและซาตาน ทั้งหลายทั้งปวงได้ ถือว่าเป็นเรื่องดีทั้งนั้นในการบริจาคสิ่งที่เราไม่ได้ใช้แล้ว คือเราตายแล้วไม่ได้ใช้ ก็ให้กับคนที่เขาจำเป็นต้องใช้ก็เป็นเรื่องดี ขอสนับสนุน และอนุโมทนา ถ้าใครทำได้ถือว่าเป็นเรื่องดี ยอดมหาทานทีเดียว
หลวงปู่ได้ยินว่า เขามีหลักการในการบริจาคนะพวกนี้จะต้องเป็นคนไข้ที่ไม่เป็นโรคเป็นคนไข้ที่ มีร่างกายไม่ทุพพลภาพ คือไม่เสียหายทางร่างกาย เช่น ไม่ติดโรคทางกระแสเลือด คือ ตายโดยอุบัติเหตุสาเหตุจากปัจจุบันทันด่วน ป่วยตาย แก่ตาย นี่จะด้วยหรือไม่ ไม่แน่ใจเพราะแก่ตายก็คือศักยภาพมันหมดไปแล้ว จะใช้อะไรไม่ได้แล้ว ลงหลุมไปเถอะโยม ไม่ได้ว่าคนแก่นะพูดให้ฟัง แต่ว่าส่วนใหญ่เค้าจะเน้นเอาเฉพาะคนที่ป่วยทางสมอง พวกที่มีอุบัติเหตุทางสมองไม่สามารถทำงานได้ เพราะถือว่าศักยภาพในการทำงานของอวัยวะอื่นๆ ยังสูงอยู่ แต่ต้องใช้ในเวลาไม่เกิน ๑๗ หรือ ๒๐ ชั่วโมง นี่จากที่รู้ๆ มานะ
ปุจฉา : ในทางธรรมที่หลวงปู่สอนไว้ อย่าไปแบกลูก แบกผัว แบกเมีย แบกพ่อ แบกแม่ แต่ในทางโลกแห่งความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ เวลาสามีไปไหนยังไม่ทันได้แบกหรอก ภรรยาก็เดินตามมาแล้ว วิสัชนา : มันเป็นเรื่องของคนโง่ คุยกับคนโง่ จริงๆ แล้วหลวงปู่ไม่ทราบและไม่รู้ว่าพวกเราคิดอย่างไร แต่ในความคิดของหลวงปู่ ยกตัวอย่างให้ดูก็ได้ว่า เมื่อห้าปีที่แล้วที่หลวงปู่ออกไปจากวัดนี้ มีคนถามว่า ไม่ห่วงเหรอ สร้างวัดซะสวยงามใหญ่ยังกะวัง ไม่กลัวว่าวัดเสียหายเหรอ ไม่กลัวว่าอะไรมันจะเป็นไป และไม่คอยดูแลเหรอ
ตอนที่หลวงปู่คิดสร้างวัด ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเจ้าของอยู่แล้ว ตอนที่เราปลูกต้นไม้ เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะเป็นนายมันอยู่แล้ว ไม่ได้คิด ทุกครั้งที่หลวงปู่ปลูกต้นไม้ ก็จะพูดในใจ อธิษฐานในจิตว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงมารับเอาผลแห่งต้นไม้เหล่านี้ให้เป็นสุขด้วยเถิด ไม้ทั้งหลายที่ข้าปลูกจงอุทิศให้แก่คน สัตว์ อสูรกาย ที่มาจากทิศทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ทำอะไรด้วยความรู้สึกที่จะอุทิศ ด้วยความรู้สึกจะให้เนี่ย มันจะวิเศษกว่าทำอะไรด้วยความรู้สึกตะกละ และอยากได้ ถ้ารู้จักคิดแบบนี้เราก็จะบอกว่า ขณะที่ทำกับข้าวเลี้ยงผัว เราก็บอกว่า ฉันทำเพื่อให้ผัวฉันสบายใจ ทำเพื่อให้ผัวฉันอยู่ได้เป็นสุข ทำเพื่อให้ผัวภูมิใจ และมีชีวิตอยู่อย่างไม่ต้องไปตะกรุมตะกราม ตะกละที่ไหน นี่คือการทำหน้าที่แบบอุทิศ ไม่ใช่ทำเพื่อให้ผัวมารักเราชนิดที่ไปที่อื่นไม่ได้ ต้องมาตายรังตลอด หรือไม่ก็ตกเป็นทาสเราตลอดสมัย นั้นเป็นการกระทำที่เข้าไปครอบงำเค้ามากเกินไป เป็นวิถีทางที่ไม่ค่อยถูกนัก
จริงๆ แล้ว คำสอนบทนี้จำได้ว่าสอนอยู่ในถ้ำสิงโตทอง ก็อยากให้รู้สภาวะความเป็นจริงของร่างกายเรา ว่าความจริงแล้วเราไม่มีอะไรมา เรามาด้วยมือเปล่า แต่เราก็มาสร้างอะไรซะเยอะแยะ ในขระที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ยึดถือมาว่านี้ของเรา นี่ของกูแต่ข้อเท็จจริงแล้วถ้าเราไม่โง่เกินไป ไม่หลอกตัวเองเกินไป เราก็จะรู้ว่านี้มันไม่ใช่ของเรามันไม่ใช่ของกู สรรพสิ่งในโลกหล้า วัตถุทาสทั้งหลายรอบกายเรามันเป็นของกลาง ใครที่มือยาวก็ไปสาวเอามาใช้ ใครที่มือสั้นก็สาวเอามาได้น้อย มือยาว มือใหญ่ ก็สาวมาได้เยอะ แต่พอถึงเวลาใช้แล้ว เค้าบอกว่าวาง คือวางให้ได้ วางลงให้เป็นวางให้ถูกจุด วางให้ถูกทิศ ถูกทาง ถูกที่ และถูกสถานการณ์ที่ควรวาง
เพราะฉะนั้น ความหมายของหลวงปู่ที่บอกว่าชีวิตคือการเดินทาง มันเป็นเรื่องเป็นราวของการทำให้เรารู้ว่า ทุกวันนี้เรากำลังเดินทางไกล วิธีขีวิตเป้าหมายในการเดินทางก็คือพระนิพพาน แปลว่าดับแล้วเย็น คนที่เข้าไปสู่ความหมายของคำว่าดับแล้วเย็นที่เรียกว่านิพพาน ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกนั้นน่ะ ต้องทำตัวเราเองให้เป็นที่น่าดูของตัวเราเองให้ได้ ในวิถีทางของความเป็นอิสระ เสรีภาพปลดปล่อย และเป็นเอกภาพของตัวเอง รวมกับเอกภพได้ โดยที่ไม่มีขั้นตอนของความเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นเมีย เป็นผัว เป็นครอบครัว หรือเป็นสมบัติพัสถาน เข้ามาเป็นเครื่องขวางกั้น หรือขีดกั้นระหว่างเรากับเอกภพนั้นๆ
ความหมายของเอกภพที่หลวงปู่กล่าว หรือความหมายของคำว่า นิพพานทีหลวงปู่แจ้งนั้น คือความดับแล้วเย็น แล้วสลัดหลุด ไม่มีใครฉุดเราอยู่ได้ แล้วถ้าจะถามถึงวิถีทางของมันก็คือ การรู้จักว่าทุกอย่างในโลกเป็นสมมติ เราใช้มันก็ถือว่าเราให้เกียรติสมมติ ใช้สมมติให้เป็น และสุดท้ายต้องยอมรับว่าเหล่านี้คือ สมมติ เมื่อถึงเวลาแล้วมีโอกาสให้ประโยชน์กับสมมติได้ไหม ก็ให้มันตามควรตลอดกาล ตามสมัย และสุดท้ายถึงเวลาก็อย่าไปยึดติดกับสมมตินั้น
เมื่อเราทำวิถีชีวิตของเราให้ได้ตามกระบวนการเหล่านี้ มันก็จะตรงกับคำสอนของพระศาสดาในหลักของปฏิจสมุปบาท อริยสัจ ๔ หรือหลักโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ หรือหลักอริยธรรมทั้งหลายทั้งปวงรวมความสรุปคือ รู้จักใช้สมมติ ให้เกียรติในสมมติ ยอมรับในสมมติ ให้ประโยชน์จากสมมติ สุดท้ายอย่ายึดติดในสิ่งที่เป็นสมมติ แล้วเราก็จะเข้าใจความหมายของคำว่าดับแล้วเย็น นั่นคือนิพพาน
วิสัชนา : ต้องเริ่มต้นจัดระเบียบของกาย จนเป็นระบบของความคิด ความหมายของการจัดระเบียบของกายคือเริ่มต้นจากเรื่องพื้น ๆ ใกล้ ๆ ตัวอาจจะมาจากการที่เราเคยใช้ของแบบสุรุ่ยสุร่าย ทิ้งไว้ไม่เป็นที่เป็นทาง ก็รู้จักเก็บให้เป็นที่เป็นทาง จะต้องรักษาสิ่งเหล่านั้นให้อยู่ คือมีอายุยืนยาวต่อการใช้สอย ปกติเคยอาบน้ำ ผลัดผ้า แล้วโยนกอง ก็หันไปเก็บพับหรือไม่ก็มาผึ่งถ้าไม่งั้นก็ซักเลย แล้วตากปกติลุกจากที่นอน เคยบิดขี้เกียจ ๓ ที ก็ลุกขึ้นมาอย่างกระฉับกระเฉงดื่มน้ำหนึ่งแก้วใหญ่ ๆ เสร็จแล้วก็ทำตัวทำชีวิตจิตวิญญาณให้สดชื่น แจ่มใส และตื่นขึ้นมาด้วยความเบิกบาน พร้อมกับหันไปเก็บที่นอนให้เรียบร้อยเหล่านี้เป็นการจัดระเบียบของกาย
เมื่อเรารู้จักที่จะสร้างระเบียบให้กับกายอย่างนี้ ถือว่าเป็นการรักษากฎเกณฑ์ กติกา และวินัยของสังคมไปในตัว วินัยมี ๒ ประเภท ประการแรก คือวินัยโดยสามัญสำนึก เรียกว่า จริยา จริยาของการเป็นคน เป็นมนุษย์ หรือการมีชีวิต ประเภทที่สอง คือ วินัยโดยสังคมกำหนด ระเบียบ หรือกติกาใดๆ หรือกฎหมายใด ๆ เป็นเรื่องของสังคมกำหนด วินัยข้อที่สองนี้อยู่ห่างใกลตัวมาก ถ้าเราไม่สามารถปฏิบัติวินัยโดยสามัญสำนึกเราได้ เราก็จะปฏิเสธวินัยที่เป็นกติกาของนอกกาย เป็นวินัยของโลกของสังคม เราจะยอมรับมันไม่ได้ และ รู้สึกอึดอัดที่จะทำตาม แต่ถ้าเมื่อใดเราปฏิบัติ ทำตนให้เป็นคนมีวินัยโดยหลักการโดยสถานะที่จัดกาย วาจา ใจ ของตนให้เป็นระเบียบจนมีความคิดเป็นระบบก็จะยอมรับ และ เคารพต่อระเบียบวินัยของสังคม และก็คนอื่นๆ สำหรับในส่วนนี้คงจะต้องมีความละเอียดรอบคอบ จัดระเบียบของตัวเองให้ดีดังที่ท่านบอก
ปุจฉา: การที่วัดบางวัดได้มีการจัดสร้างพระพุทธรูปจำนวนมาก โดยบอกว่า ผู้ที่ได้ร่วมสร้างพระพุทธรูปเมื่อตายแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ มีที่อยู่ เช่นได้มีที่อยู่ในพระพุทธรูปที่ตนสร้าง หลวงปู่มีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้ และเรื่องนี้เป็นจริงแค่ไหน?
วิสัชนา: ถ้าเป็นจริงอย่างนั้น หลวงปู่ก็ไม่ทราบ ถามว่าทำไมก็มันคับแคบจะตาย ดูสิ! ถ้าเราคิดว่าตัวเราคนหนึ่งแล้วไปนั่งทับพระพุทธรูป หรือไปอยู่ในองค์พระพุทธรูปมันจะรู้สึกอึดอัดและคับแคบ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็กลายเป็นว่าใครไม่มีปัญญาจะสร้างพระพุทธรูป ก็ตกนรก มันก็ไม่น่าจะถูก แสดงว่าบุญครั้งนี้มันเกิดขึ้นได้เฉพาะคนที่มีเงิน มีอัฐ มีกะตังค์ เท่านั้น จึงมีสิทธิ์ขึ้นสวรรค์ คนจนไม่มีสิทธิ์ แสดงว่ามันไม่ใช่สากล ไม่ใช่หลักการของศาสนานี้
วิธีทำบุญนั้นพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ๑๐ ประการ ๑ ใน ๑๐ ประการก็มีเพียงแค่บริจาคทาน ที่เหลือ ๙ ประการก็เริ่มจาก ทำดี ทำหน้าที่ถูกต้องไม่บกพร่อง แผ่เมตตา ทำบุญ ฟังธรรม และก็อุทิศผลบุญของตนเองให้กับคนอื่น สนับสนุนให้คนอื่นแสดงธรรมและฟังธรรม ทำสมาธิภาวนา และ รวมไปถึงกระบวนการเชื่อถ้อยฟังคำ รักษาหน้าที่ในการเป็นลูกที่ดี เป็นครอบครัวที่ดี เป็นผัวที่ดี เหล่านี้เป็นวิธีทำบุญ รวมความแล้วก็คือ ๙ ใน ๑๐ อย่างนั้น เป็นการทำบุญได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องลงทุน มีแค่ข้อเดียวก็คือ บริจาคทาน ซึ่งเป็นข้อแรกในวิะการทำบุญสิบอย่างการทำบุญของพวกนั้นเพิ่มต้นจาก ข้อแรกบริจาคทาน ข้อที่สองรักษาศีล ข้อที่สามเจริญภาวนา ข้อที่สี่แผ่เมตตา ข้อที่ห้าทำหน้าที่ถูกต้อง ข้อที่หกฟังธรรม ข้อที่เจ็ดสนับสนุนให้ผู้อื่นฟังธรรม ข้อที่แปดพยายามสร้างสัมมาทิฐิให้เกิดขึ้น สัมมาทิฐิตัวนี้ก็มีความเห็นที่ตรงและถูกต้อง และข้อที่เก้าเห็นคนอื่นเค้า ทำความดีแล้วก็อนุโมทนากับความดีของเค้าด้วย ดีใจกับเค้าด้วย ไม่ใช่อิจฉาตาร้อน ตาเหลือก ตาดำ ตาขาวแล้วก็ข้อสุดท้าย ข้อที่สิบคือ ต้องรู้จักเอื้ออาทรแบ่งปันและก็ให้อภัย เหล่านี้เป็นเรื่องเป็นราวในวิธีทำบุญสิบประการที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่า เป็นการทำให้เกิดบุญ จะไม่เห็นเลยว่า ตัองสร้างพระพุทธรูปแล้วไปอยู่สวรรค์ไม่ใช่ แต่มันเป็นวิธีโฆษณาชวนเชื่อของคนตะกละที่อยากได้ของชาวบ้าน อย่าไปคิดอะไรมากเลยลูก
ปุจฉา : ในกรณีถ้าสร้างพระแล้วเราจะขึ้นสวรรค์หรือว่ารอดจากน้ำท่วมไหม เพราะมีคนบอกว่าปี ๒๐๐๐ น้ำจะท่วมโลก
วิสัชนา : ถ้าน้ำท่วมก็คงจะไม่รอดหรอก พระก็คงจะจมเหมือนกัน หลวงปู่พูดเรื่องนี้ว่าไอ้เรื่องโลกแตก น้ำท่วมน่ะพวกเราเกิดๆ ตายๆ อีกร้อยชาติ ร้อยรอบ ร้อยชีวิต มันเป็นเรื่องลำบาก เรื่องยากมากกับการที่จะทำให้ปรากฏการณ์ธรรมชาติมันเกิดปัจจุบันทันด่วนขนาด นั้น ไอ้ที่น้ำท่วม ไฟบรรลัยกัลป์เกิดขึ้น เว้นเสียแต่เหตุการณ์จะมีเหตุจำเป็น หรือเหตุปัจจุบันทันด่วนที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็คือมีดาวหางดวงใหญ่วิ่งเข้ามาชน หรือใกล้โลก ทำให้โลกเสียแรงโน้มถ่วง เสียแรงดึงดูดแรงดึงดูดของโลกสูญเสียไป ทำให้ชั้นบรรยากาศของโลกเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว และทำให้น้ำแข็งละลายภายใน ๓-๕ ปี แต่ถ้าเราจะให้เวลาในการบอกว่าน้ำจะท่วมโลกภายในปี พ.ศ. ๔๒ หรือ ๔๓ แสดงว่าปัจจุบันนี้น้ำแข็งมันละลายใกล้จะหมดแล้วในขั้วโลกเหนือ แต่ข้อเท็จจริงมันไม่ใช่
การวิเคราะห์จากหลักการของธรรมชาติ จากการสะสมสภาวะแห่งสสารในบรรยากาศ โดยจิตวิญญาณของหลวงปู่นะ หินก้อนหนึ่งมันต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมอณู อณูของสสารนี้เป็นร้อยๆ ปี พันๆ ปี กว่าจะได้หินสักก้อนหนึ่ง และน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือมันต้องใช้กระบวนการสะสมเป็นพันๆ หมื่นๆ ปีกว่าจะได้ภูเขาน้ำแข็งสักลูกหนึ่ง แล้วข้อสันนิษฐานที่นักวิทยาศาสตร์ ทั้งหลายตาเหลือก เค้าบอกว่าน้ำแข็งที่ขั้นโลกเหนือละลาย และทำให้น้ำท่วมนั้น มันจะต้องใช้ความร้อนของพระอาทิตย์ถึง ๑๗ ดวง หรือ ๒๗ ดวงกับการเผาน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือให้ละลายภายในหนึ่งเดือน หรือหนึ่งปี มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ไหม กับพระอาทิตย์ ๒๗ ดวง ที่จะต้องมาเผาน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือให้ละลายภายในปีเดียว มันเป็นเรื่องตลก เพราะฉะนั้น จะมีปรากฎการณ์พิเศษอีกชนิดหนึ่งก็คือมีดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลที่ เสียการทรงตัว โคจรเข้ามาใกล้โลก แล้วเกิดการชนโลก หรือทำให้เกิดเสียแรงดึงดูดของโลก อันนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากมากและไม่ใช่เป็นง่ายนัก
เพราะฉะนั้น จึงได้บอกว่า พวกเราตายแล้วเกิดอีกหลายรอบกว่าจะได้มีโอกาสเห็นน้ำท่วมโลก อย่าเพิ่งคิดมากลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว จะมีโอกาสเห็นถึงพรุ่งนี้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นอย่าไปคิดมาก ทำใจสบายๆ เดี๋ยวจะตกเป็นเครื่องมือของคนที่ฉลาดกว่าเรา และก็หาเหตุ หาวิธี เพราะไอ้น้ำท่วมโลกนั่นแหละคนทั้งหลายเลยพากันขายที่ทางเหนือ ทางอีสานกันง่ายๆ หรือไม่ก็หาเครื่องรางมาหลอกขายกัน เราเป็นพุทธบริษัทจะเชื่ออะไร ก็ต้องมีกระบวนการจำกัดไว้ในวงว่า ต้องวิจารณ์พิจารณา ใคร่ครวญเสียก่อน หาเหตุผลให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยเชื่อ
ปุจฉา : เมื่อหลวงปู่เจ็บ หรือทำงานหนักมาก รุมเร้าด้วยเวทนาต่างๆ หลวงปู่เอาชนะเวทนานั้นอย่างไร เวทนามีอยู่หรือไม่ และทำอย่างไร คนที่ทำงานหนักทำดีเพื่อช่วยคนอื่นแล้วเหนื่อย เพราะต้องต่อสู้กับความชั่ว จึงจะทำงานได้ต่อเนื่องต่อไป
วิสัชนา : อันดับแรก เราต้องทำตัวให้เป็นกลาง ทำใจให้เป็นกลางกับการที่จะระงับเวทนาก่อน ถ้าหลวงปู่ป่วยและป่วยมากๆ ถ้าลูกหลานใกล้ชิดจะรู้ว่า หลวงปู่จะไม่มองหน้าใครคือ จะไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ อยากจะมีชีวิตอยู่แบบตัวคนเดียว โดดๆ อยู่ในธรรมชาติถ้าเป็นไปได้ เดินแก้ผ้าในป่าก็จะดีมากๆ นี่คือวิถีชีวิตที่อยากทำ ถ้าป่วยนะ แล้วก็ผ่อนคลายอิริยาบถทั้งหลายในตัวเองที่ถมึงตึงเครียด ที่เกิดจากระบวนการสะสมของร่างกายที่ต้องทำงานหามรุ่ง หามค่ำ ตลอดเวลา ก็เป็นวิธีที่จะเอาชนะเวทนาได้
ส่วนคำถามที่ว่า ในสถานการณ์ที่บีบคั้น เราต้องทำงานให้กับสังคมและส่วนรวม และต้องเจอกระบวนการทั้งหลายบีบคั้น เราจะแก้ไขและเอาชนิดมันได้อย่างไรก็ต้องตั้งปณิธานเอาไว้ในที่สูงสุดว่าเรา มีสภาวะอย่างไร เรามีสถานะอย่างไร เราต้องทำอะไร เพื่ออะไร และใครได้รับอะไรจากสิ่งที่เรากระทำ ถ้าเราเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำ และมีความปรารถนาสูงสุดอย่างนั้น ไม่ต้องให้ใครมาให้กำลังใจเรา แต่เราจะปลุกปลอบจิตของเราให้รุกเร้าที่จะทำงานได้อย่างต่อเนื่อง เราจะไม่รู้สึกท้อแท้ หรือท้อถอยต่อกระบวนการที่เกิดขึ้น ขณะที่ทำงาน
แต่ถ้าเมื่อใดเราทำอะไรเพื่อตัวเราเอง และก็ทำมันอย่างชนิดที่มอบกายถวายชีวิต เมื่อเจอปัญหาใดๆ มันจะมีความรู้สึก ความคิดมันจะคับแคบ ศักยภาพในความคิดมันจะคับแคบ ศักยภาพในการเรียนรู้ การสืบทอดในการประสานสัมพันธภาพก็จะคับแคบและในที่สุดเราก็จะกลายเป็นคนที่ อยู่ในโลกคับแคบ กีดขวาง หรือกักขังตัวเองไว้ในที่แคบๆ ไม่สามารถจะสื่อหรือสัมพันธภาพกับสิ่งแวดล้อมรอบกายเราได้เมื่อเป็นอย่างนี้ ชีวิตเราเมื่อเจอปัญหา เราจะกลายเป็นคนโดดเดี่ยว เดียวดาย โดนทอดทิ้ง และสุดท้ายก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้เรา เพราะเรามีความคิดอันคับแคบ มีความต้องการอันคับแคบ มีความตะกละตะกรุมตะกรามมากไป สรุปก็คือถ้าเราเห็นแก่ตัวและทำอะไรเพื่อตัวเองเมื่อเผชิญกับปัญหามันจะเป็น การแตกเสียหาย และทำลายไปในที่สุด
หลวงปู่เขียนบทโศลกสอนลูกหลานไว้บทหนึ่งว่า
ลูกรัก....ฟ้ามีอายุยืนยาว ดินมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ เหตุเพราะทั้งสองนั้นไซร้มิใช่อยู่เพื่อตัวเอง ฉะนั้นถ้าเราจะมีศักยภาพเทียบเท่าฟ้ากับดินแล้วนั้น จงมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ของใคร ที่ไหน เมื่อไร และอย่างไร แต่จงอย่ามีชีวิตเพื่อตัวเราเองมากจนเกินไป จนกลายเป็นความคับแคบที่จะเสวนากับสังคม
ที่หลวงปู่ทำงานอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นการทำหน้าที่สืบทอดอุดมการณ์พระ ศาสนา รักษาสกุลของชาวศากยะ ซึ่งแปลว่า ผู้อาจ ผู้กล้า และผู้สามารถ หลวงปู่ทำหน้าที่แทนพระพุทธะที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น ไม่ได้ทำงานเพื่อมุ่งหวังที่จะได้มาซึ่งลาภสักการะเกียรติยศและศักดิ์ศรี ชื่อเสียงใดๆ
ฉะนั้น เมื่อเราทำงานอันมีที่ตั้งอันสูงส่ง ขณะที่เรายังก้าวเดินไม่ถึงจุดหมายอันสูงส่ง แต่เผอิญต้องไปเหยียบขวากหนามปัญหาใดๆ ปัญหาและขวากหนามเหล่านั้นมันไม่สามารถจะฉุดกระชากลากถูเราได้ให้เราล่าช้า และยุติพฤติกรรมเหล่านั้นได้ เหตุผลก็เพราะ เรามีศักยภาพทางความคิดที่กว้างใหญ่ มีศักยภาพในการสัมผัส สำเหนียก และพิสูจน์ทราบประสบการณ์ทางวิญญาณที่ก้าวไกล และมีวิถีชีวิตอันยิ่งใหญ่ ที่สามารถจะบรรจุเอาไว้ในอนันตจักรวาล เพราะฉะนั้น ปัญหาเล็กน้อยมันเป็นแค่เส้นผมบังภูเขา สำหรับผู้ที่มีอุดมการณ์สูงส่งแล้ว เค้าจะถือว่านั่นไม่ใช่ปัญหา
หลวงปู่เขียนบทโศลกสอนลูกหลานไว้อีกบทหนึ่งว่า
ลูกรัก....สำหรับพ่อแล้ว ปัญหาคือการเรียนรู้ ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือครูของเรา
ปุจฉา : อย่างไรคือการสร้างพระในใจตน?
วิสัชนา : ก็ทำให้เกิดสามศักดิ์สิทธิ์ไงลูก กายศักดิ์สิทธิ์ ธรรมศักดิ์สิทธิ์ และก็จิตศักดิ์สิทธิ์แต่หลวงปู่จะสอนพระเณรที่นี่ว่า พวกท่านทั้งหลาย จงอย่าอยู่เพื่อให้คนอื่นเค้ากราบไหว้แต่จงมีชีวิตอยู่ เพื่อจะกราบไหว้ตัวเองให้สนิทใจ การที่เราจะสามารถกราบตัวเองได้อย่างสนิทใจ เพราะว่าเราสร้างความศักดิ์สิทธิ์ทั้ง ๓ อย่าง ให้เกิดขึ้นในตัวเรา คือสร้างสถานะแห่ง ๓ ศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้นในจิตวิญญาณ กมลสันดาน และในกายเรา ข้อแรก กายศักดิ์สิทธิ์ เราต้องทำให้มีความรู้สึกว่าร่างกายทั้งหมด ทั้งหลาย ทั้งปวงของเราศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยวิถีชีวิตของการอุทิศแบ่งปัน เอื้ออาทร และการุณย์ แก่มหาชน สรรพสัตว์ และคนที่อยู่รอบข้าง รวมทั้งสรรพวัตถุ สรรพชีวิต และก็สรรพวิญญาณ ให้โดยไม่มุ่งหวังสิ่งตอบแทน เหล่านี้คือกระบวนการสร้างกายศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเรามีกายศักดิ์สิทธิ์ คนทั้งหลายก็ยอมรับเราได้ เราก็ยอมรับตัวเราเองได้ กราบตัวเองได้อย่างสนิทใจ ถือว่านั่นคือวิถีทางแห่งกายศักดิ์สิทธิ์
เมื่อกายศักดิ์สิทธิ์แล้ว มันก็จะเป็นกระบวนการ แนวทางให้เราขวนขวายแสวงหาธรรมศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตอยู่ภายในกาย ชั่วชีวิตหลวงปู่ใช้วิถีชีวิตของตัวเองใน ๓ ศักดิ์สิทธิ์ และแสวงหาธรรมศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่จากตำรา ไม่ใช่จากคำภีร์ ไม่ใช่อักษรภาษา หนังสือหรือกลบทใดๆ แสวงหาได้ในจิตวิญญาณของตัวเอง และเมื่อเราพบธรรมศักดิ์สิทธิ์ก็จะทำให้จิตวิญญาณของเราที่เต็มเปี่ยมไปด้วย พลานุภาพ และพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย
ทั้ง ๓ ศักดิ์สิทธิ์นี้แหละเป็นการสร้างสรรค์และหล่อหลอมพระผู้ศักดิ์สิทธิ์เป็นพระ บริสุทธิธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นภายในใจ จิตวิญญาณของตัวเอง
ปุจฉา : เมื่อมนุษย์สิ้นชีวิตแล้ว ไปอยู่ที่ไหน ทันทีที่สิ้นชีวิต ข้อแรก ถ้าไปเกิดเลยนั้น อยากเกิดเป็นคนต้องปฏิบัติตนอย่างไร และถ้าอยากเกิดเป็นเทวดาหรือสูงกว่านั้นจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร ข้อที่สอง หรือว่าเมื่อตายไปแล้วไปหายมบาล เพื่อจัดคิวการเกิด ตามกรรม ข้อสาม เคยได้ยินในเทปของหลวงปู่ว่า จะอยู่ตรง ณ ที่เสียชีวิต เช่น ที่โรงพยาบาล หรือตอนที่ประสบอุบัติเหตุ และข้อที่สี่ ถ้ามนุษย์ตายไปแล้วไปเกิดเลยจิตของมนุษย์หรือนามเริ่มต้นตรงไหน เมื่อไร เช่น เริ่มต้นเมื่อมีการผสมระหว่างไข่และสเปิร์มของแม่หรือว่าขณะเด็กกำลังคลอด ออกจากครรภ์มารดา หรือว่าในระหว่างการตั้งครรภ์ในเดือนใด
วิสัชนา : ไว้ตายแล้วจะรู้ ก็ทั้งหมดที่ถามนี่เรื่องของคนตาย หลวงปู่ยังไม่ตายแล้วจะรู้ได้อย่างไร คงจะตอบได้ข้อสุดท้ายว่า การปฏิสนธิคือ การเกิดของจิตวิญญาณในร่างกายมนุษย์นั้น มีอยู่ ๒ หลักการคือ หลักการที่ใช้กับหลักสรีระร่างกาย ที่เรียกว่าใช่ หรือการผสมเชื้อระหว่างเสปิร์มของฝ่ายพ่อกับฝ่ายแม่ นั่นคือหลักการหนึ่ง อีกหลักการหนึ่งคือ จุติ และ ปฏิสนธิ คือการเคลื่อน และการเกิด
ขอตอบหลักการที่สอง คือการจุติ และปฏิสนธิก่อนว่า โดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว เมื่อสิ้นสุดจากเวรกรรม หรือบ่วงแห่งกรรมที่พ้นจากสภาวะภพชาติใดชาติหนึ่งก็จะล่องลอย คือไปหาที่อยู่ใหม่ การที่ตนเองจะมีสิทธิ์ไปหาที่อยู่ในไข่ หรือในรังของมารดาหรือที่อยู่ของมนุษย์ในครรภ์มารดาได้นั้น ก็ต้องมีบุพกรรมเรียกว่า กุศลกรรม กรรมที่เป็นความฉลาด กรรมที่เป็นความดี กรรมที่เป็นกุศล กรรมที่สร้างสมและจรรโลงให้เกิดความเจริญ กรรมอันนั้นจะทำหน้าที่เป็นนายนฤบาล หรือผู้รักษาจิตวิญญาณตรงนั้นให้เข้าไปจุติ และ ปฏิสนธิ คือเกิดในครรภ์ของมารดา
ทีนี้ถามว่าระหว่างที่จุติของไข่ คือสเปิร์มของพ่อแม่ผสมกัน กับระหว่างจุติของวิญญาณ เกิดพร้อมกันหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าไม่พร้อมกัน เมื่อใดที่สเปิร์มของพ่อและแม่ได้รับการเลือกสรรแล้ว สภาวะของร่างกายที่สมบูรณ์ และขจัดสเปิร์มที่ไม่สมบูรณ์ออกไปสเปิร์มตัวนั้นจะได้รับเลือกสรรให้ไปเกิด ในรังไข่ของมารดา เมื่อเข้าไปอยู่ในรังไข่ของมารดาเรียบร้อยแล้วเท่านั้น จิตวิญญาณจึงจะเข้าไปจุติ และปฏิสนธิในสเปิร์มตัวนั้นที่เข้าไปอยู่ในไข่ของมารดา นี้คือวิธีการเกิด
สรุปตรงนี้อีกนิดหนึ่งว่า เราเป็นมนุษย์ได้เพราะกุศลกรรม กรรมนำมาให้เราเกิด แต่ในส่วนที่ไม่ใช่มนุษย์ล่ะ ที่เป็นเดรัจฉาน เป็นอสูรกาย เป็นเปรตก็เหมือนกันเมื่อเราพ้นจากสภาวะ สถานะตรงนี้แล้วก็คือใช้กรรมตรงนี้หมดแล้ว ก็ยังมีกระบวนการที่เป็นส่วนดีก็ตาม ไม่ดีก็ตาม ยังต้องผลักดันเอาจิตวิญญาณตัวนี้เข้าไปปฏิสนธิ และจิตในที่ใดที่หนึ่งอีกครั้งหนึ่ง อีกหลายๆ ครั้ง ขึ้นอยู่ว่าเรามีทุนอะไรไปเป็นตัวผลักดัน ทุนตัวนี้ก็คือความดี หรือความชั่ว ถ้าเรามีความดีอยู่ก็มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพรหมเทวดาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสังคม ในสายตาชาวบ้านที่ยอมรับได้ แต่ถ้ามีความชั่วอยู่ก็จะเกิดจะเป็นลูกหมู ลูกหมา ลูกปลา ลูกไก่ เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือตกนรกอเวจีหมกไหม้ในภูมิภพต่อๆ ไปอีก นี่คือกระบวนการ
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงพยายามสอนให้เรามุ่งมั่นหมายใจที่จะทำกุศลกรรมคือกรรมที่ยัง ให้เกิดแต่ความชาญฉลาด ที่สร้างสรรแต่สิ่งที่ดีงามในสังคม ส่วนคำถามที่ว่าการได้มีโอกาสเกิดเป็นพรหม เป็นเทวดา จะทำอย่างไร ก็ต้องบอกว่า พรหมเป็นชั้นสูงสุดแล้ว ในส่วนของอรูปพรหมนั้น พระพุทธเจ้าไม่สนับสนุนให้เกิด ถามว่าทำไม เพราะว่ามันมีอายุนานมาก จนไม่มีโอกาสพบพระศาสนา และคนที่เกิดเป็นอรูปพรหมจะมีอายุนานมาก อาจจะใช้พระพุทธเจ้าเปลืองไปแล้ว สิบองค์ก็เป็นได้ แล้วจะหมดบุญจากอรูปพรหมได้มาเกิดเป็นอะไรอีก เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในชั้นอรูปพรหมจะเป็นผู้ที่ไม่รู้อะไรนัก บุญทิพย์ที่ตนเองสะสมเอาไว้ แล้วก็ไปกินบุญให้หมดไปไม่แน่เมื่อหมดบุญแล้วต้องตกลงมาจากโลกแห่งพรหม ตอนนั้นว่างพระศาสนาถึงกาลกลียุค เราอาจจะไม่มีโอกาสได้ผุด ได้เกิด ได้เรียนรู้ธรรม มีดวงตามืดบอด สุดท้ายก็ได้รับทุขเวทนาอันแสนสาหัสก็ได้ เมื่อรับทุขเวทนาก็จะไปสร้างกรรมเมื่อเป็นทุกข์ก็ต้องหาวิธีพ้นทุกข์ ด้วยวิธีพ้นทุกข์ที่ไม่มีปัญญาญาณหยั่งรู้ด้วยวิธีพ้นทุกข์ที่ไม่มีความชาญ ฉลาด ด้วยวิธีพ้นทุกข์ที่ไม่มีส่วนที่เป็นกุศล ก็จะแสวงหาวิธีพ้นทุกข์ชนิดที่ตะกรุมตะกราม ตะกาย ตะกละ และต้องการเอาชนะ วิธีเหล่านั้นคือสร้างกรรมที่เป็นอกุศล คือกรรมชั่ว มันก็เป็นเหตุแห่งการสะสมแห่งกรรมชั่ว ในภพภูมิที่ตนเองเกิดในยุคแห่งกลียุคนั้น เกิดมาจากพรหม มาเป็นมนุษย์ก็ตาม เดรัจฉานก็ตาม เปรตก็ตาม อสูรกายก็ตาม หรือสัตว์ทั้งหลายก็ตามอยู่ในยุคกลียุค ก็ต้องหาวิธีเอาตัวรอด ด้วยวิถีทางแห่งความรู้ ไม่ได้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความไม่เข้าใจ ความโง่เขลาเบาปัญญา ความตะกรุมตะกราม ตะกละ ก็จะทำให้ตนเองเสียหายและ เสียสมดุลในการมีชีวิตที่ถูกต้องไป สุดท้ายก็เป็นการสร้างกรรมชั่วให้เพิ่มขึ้น เมื่อพ้นจากอัตภาพนั้นแล้ว เราก็ต้องกลับไปชดใช้กรรมชั่วนั้นอีก เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่สนับสนุนให้พวกเราเกิดเป็นพรหม
หลวงปู่เคยบอกไว้แล้วว่า ลูกรัก.....การทำวิถีชีวิตให้เป็นดั่งน้ำ ถือว่ายอดประเสริฐ มันจับเราใส่ขวดเราก็เป็นรูปขวด มันจับเราใส่แก้ว เราก็เป็นแก้ว มันจับเราใส่โอ่งเราก็เป็นโอ่ง คนที่จะมีบุญที่เกิดเป็นพรหม ต้องสร้างบุญมาก ต้องสร้างอานิสงส์มาก ต้องเจริญพรหมวิหารสี่อย่างมหาศาล และก็มีจิตวิญญาณที่จะพัฒนาตัวเอง อธิษฐานว่าให้เกิดเป็นพรหมพอไปอยู่ในพรหมแล้วต้องใช้เวลาในการตกจากพรหมลงมา เป็นมนุษย์ เป็นคน สัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต อสูรกาย เค้าว่ากันว่าใช้อายุขัยของพระพุทธเจ้าสิบองค์ด้วยกันกว่าจะพ้นจากพรหม และก็ไม่แน่ว่าลงมาจาพรหมแล้ว อาจไม่ได้เจอพระพุทธเจ้าเลย ไม่ได้เจอนักปราชญ์ หรือนักสอนศาสนาใดๆ เลย ก็จะทำผิดบ้าง ถูกบ้าง ชั่วบ้าง ดีบ้าง และทำให้ตัวเองเสียหาย เพิ่มพูนมากขึ้น สุดท้ายก็จะตกอยู่ในอเวจี มหานรกอีก เพราะทำชั่วเพิ่มขึ้นอีก
เพราะฉะนั้น การเกิดเป็นพรหมไม่ใช่ดี พระพุทธเจ้า ศาสนานี้ไม่ได้สนับสนุนพระองค์บอกว่า มนุษย์เป็นอุภโตพยัญชนะก็คือ เป็นบุคคลที่มีทั้งทุกข์และสุข มันทำให้คนเรามีนิพพิทาญาณ คือ มีความเบื่อหน่าย เมื่อเกิดความเบื่อหน่ายมันก็จะทำให้เราขวนขวายที่จะคลายความทุกข์เดือดร้อน ความขวนขวายอันนั้นก็เกิดจากการที่เราประสบพบพานกับสมณะสมณา นนฺจทสฺน การได้เห็นสมณะทั้งหลาย กาเลนะ ธมฺมสา กจฺฉา การเจรจาธรรมทั้งหลายเอตมฺมํ คลมุตฺตมํ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
เพราะฉะนั้น เหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องเป็นราว เราเป็นมนุษย์นี้ถือว่าเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ แต่เราไม่ค่อยเชื่อมั่นในบุญของเรา เราพยายามใช้บุญของเรา และไม่สะสมบุญของเรา และทำลายบุญของเราให้หมดไปกับสิ่งไร้สาระ ในการตะกรุมตะกราม ตะกละ และในความอยากมากเกินไป เพราะฉะนั้น ถ้าจะถามว่าทำอย่างไรให้เป็นพรหมนั้น คำตอบคือ ทำบุญ อุทิศผลบุญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และปรารถนาว่า ขอข้าเกิดเป็นพรหม ก็ได้เป็นพรหมแล้ว แต่ถามว่าดีไหมในสายตาของพุทธบริษัท และทำอย่างไรให้เป็นเทวดา เทวดานี่ต่ำกว่าพรหมนะ ต้องเทวดา แล้วพรหม ไม่ใช่พรหมแล้วเทวดา
พระพุทธเจ้ากล่าวว่า สัตว์ที่จะเกิดเป็นมนุษย์นั้นหายาก จากมนุษย์เป็นเทวดาก็หายาก จากเทวดาไปเป็นพรหมก็หายาก จากพรหมและเทวดามาเป็นมนุษย์ยิ่งยากกว่า ส่วนใหญ่คนที่จะหมดกรรมจากเทวดา จากมนุษย์ จะจุติมาเป็นเปรต อสูรกาย ซะส่วนใหญ่เพราะอะไร เพราะการได้เกิดเป็นเทวดา เป็นมนุษย์ มันก็คือการไปใช้เงินหรือใช้บุญของตนเองไปใช้คุณงามความดีของตัวเอง พอใช้หมดแล้วเค้าก็เขี่ยลงมา เหมือนเรามีเงินแล้วไปเช่าบ้านเค้าอยู่ เมื่อใดที่ไม่มีตังค์จ่ายค่าเช่า เจ้าของบ้านก็ไล่ออกจากบ้าน เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องดี การเป็นมนุษย์น่ะดีที่สุดตรงที่เรามีปัญญาญาณ รู้จักสุข ทุกข์ และก็อยู่ใกล้กับสมณะ อยู่ใกล้กับนักบวช ใกล้กับพระ ใกล้กับพุทธบริษัท ใกล้กับนักปราชญ์ บัณฑิต ท่านก็จะถ่ายทอดหรือสั่งสอนอบรมสิ่งที่เป็นปรัชญา ปัญญา และก็สิ่งที่เป็นวิชาการที่จะทำให้เรา ลด ละ เลิก ที่เป็นอกุศลกรรมได้ แต่ระหว่างพรหม เทวดาเนี่ย ไม่มีสิทธิ์เลย เว้นเสียแต่ว่าพระเป็นเจ้ารูปใดหรือพระอริยะ พระอรหันต์รูปใด มีความปรารถนาดีจะขึ้นไปแสดงธรรมให้ฟัง ก็ไม่บ่อยนัก
รวมความแล้วเทวดาฟังธรรมน้อยมาก พรหมก็ไม่มีสิทธิ์ได้ฟังธรรมเลยหรือฟังก็น้อยมาก เมื่อไม่มีโอกาสจะได้ฟังสิ่งที่เป็นการทำดี ไม่มีโอกาสฟังปรัชญาของวิถีชีวิตในการทำความดี และรักษาความสมดุลแห่งชีวิตได้ มันก็หลงระเริงและได้ปลื้มกับ กินกาม เกียรติ โกรธ ที่เป็นของตนเอง เป็นของโปรดที่ตนเองปรารถนา เพราะฉะนั้น ก็ถือว่าเป็นสภาวะของผู้มัวเมา อย่าคิดว่าดีนะ เทวดากับพรหมเนี่ย สำหับพระพุทธที่ยิ่งใหญ่ ท่านบอกว่าเป็นสภาวะของผู้มัวเมา ผู้หลง ผู้งมงาย
เพราะฉะนั้น เราเป็นมนุษย์น่ะดีแล้วลูกพยายามสร้างสิ่งดีๆ ให้แก่ตนเองให้เกิดสาระให้มากขึ้น ได้มาก็รู้จักให้ ใช้สมมติ ให้เกียรติในสมมติ ยอมรับในสมมติ ให้ประโยชน์ในสมมติ ได้ประโยชน์ในสมมติ และสุดท้ายอย่ายึดติดในสมมติ ทั้งหมดนี้มนุษย์เท่านั้นถึงจะทำได้ พรหมไม่มีสิทธิทำ เทวดาก็ไม่มีสิทธิทำ เปรต อสูรกาย ผีสาง นางไม้ ไม่มีสิทธิ์ทำ ไม่รู้จักสัจจธรรมของความเป็นสมมติ และเข้าใจด้วยว่าเกิดเป็นคนน่ะดีที่สุดแล้ว
ปุจฉา : ผู้ที่ไม่ยอมทำบุญ หรือทำแบบขัดไม่ได้ ไปอ้างว่าตนเองไม่ได้ทำความชั่ว ก็ถือว่าดีแล้ว มันอยู่ที่ใจ โดยเน้นว่าบุญมันอยู่ที่ใจ เราจะอธิบายเรื่องของการทำบุญอย่างไร
วิสัชนา : ไม่ต้องอธิบายอะไรเลย ปล่อยให้มันตายไปเอง ถือว่าคนพวกนี้ไม่รักตัวเอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชีวิตของตนเองได้มาจากอะไร เค้าคิดว่าพ่อแม่ผสมพันธุ์กันก็ออกมาเป็นตัวเค้าแค่นี้ก็จบ คนพวกนี้มีมิจฉาทิฐิ ถ้าจะช่วยเค้าด้วยความเอื้ออาทร บริสุทธิ์ใจจริง ๆ ก็ต้องบอกเค้าว่าสิ่งที่คุณเป็นอยู่นี้ เพราะมีของติดตามคุณมา คุณใช้ของเก่าหมดไป คุณก็ไม่เหลืออะไร สุดท้ายคุณก็ไม่มีอะไรจะใช้ และก็ตกเป็นทาสของอะไรๆ เยอะแยะที่คุณเผลอทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะฉะนั้น คนที่มีมิจฉาทิฐิ อย่างนี้เป็นคนที่ค่อนข้างที่ยากจะชักจูงและก็จำไว้ว่าบุญที่บริสุทธิ์นั้น เค้าไม่ชักจูงกันหรอก
เมื่อใดที่มีคนมาชวนเราทำบุญ เราทำแบบเสียไม่ได้ ทำไปหนึ่งร้อยอาจได้บุญหนึ่งสลึง แต่ถ้าเมื่อใดที่เราคิดเห็นคนอื่นทำบุญแล้วเกิดศรัทธา ปรารถนาจะทำ ถึงแม้ไม่มีอะไรเลย แค่มีข้าวมื้อเดียว ที่เหลือจานสุดท้าย หรือทัพพีสุดท้าย ถ้าทำไป ก็จะได้บุญมหาศาล จำได้ว่า สมัยที่หลวงปู่อยู่แถวสลัมคลองเตย ตอนนั้นออกบิณฑบาตตอนเช้ามืดตีห้ากว่า มีคนขาขาดข้างหนึ่งและแขนขาดข้างหนึ่ง มีอาชีพขอทานอยู่แถวๆ ทางรถไฟ หลวงปู่ก็เดินนับหมอนรถไฟไปบิณฑบาต พอเค้าเห็นหลวงปู่เดินผ่านมา เค้านึกยังไงไม่รู้ บอก นิมนต์เจ้าค่ะ ขออภัยด้วย ท่าทางจะไม่ประณีตนัก เหลือไข่เค็มครึ่งลูก กับข้าวต้มร้อนๆ หนึ่งชาม นี้มื้อสุดท้าย เดี๋ยวค่อยหาเอาใหม่ แล้วก็ใส่บาตร สิ่งที่หลวงปู่อธิษฐานตอนนั้นในใจก็คือ ขอท่านผู้มีคุณจงสำเร็จสมหวังดังท่านปรารถนา ตอนนั้นเค้าตั้งจิตอธิษฐานว่าลูกที่ทิ้งเค้าไป พลัดพรากจากกันไป ขอให้ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข หลังจากนั้นอีกสองอาทิตย์ ผลปรากกฏว่าลูกที่หายไปนั้นกลับมาหาและก็พาเค้าไปอยู่บ้านหลังใหม่ ใหญ่โตมโหฬาร
แสดงให้เห็นว่า บุญน่ะทำด้วยหัวใจ ก่อนทำเต็มใจ ขณะที่ทำตั้งใจ ทำแล้วสบายใจ เป็นบุญอันยิ่งใหญ่ มหาศาล ถึงแม้จะเป็นเพียงไข่เค็มเหลือๆ ข้าวต้มชามน้อย ก็เป็นบุญมหาศาล ตรงกันข้ามกับการที่ไปทอดกฐิน เดี๋ยวใส่บาตร ใส่ซองหน่อย บ่น โอ๊ย! เอาอีกแล้ว วันทั้งวันเจอแต่ซอง จะถือเคล็ดอยู่แล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น เอาเงินมันมาก็ไม่ได้ประโยชน์ แล้วหลวงปู่ว่าเป็นบุญของคนพวกนี้ก็จะไม่เอา หรือย่างมีคนเอาสตางค์มาวางไว้ข้างหน้าเป็นล้านบอกหลวงปู่ครับมาถวายเงิน หนึ่งล้านบาท แต่เขียนชื่อผมด้วยบนหน้าบัน หลวงปู่บอกเลยว่า มึงเก็บคืนไป แล้วถามว่าจะเอาบุญหรือเอาชื่อถ้าเอาบุญที่นี่มีแต่บุญให้ แต่เอาชื่อที่นี่ไม่รับ ทำบุญที่นี่เป็นบุญบริสุทธิ์ ที่ไม่ได้มุ่งหวังขอให้อะไรกลับมา ให้เงินมากกว่าล้าน ให้เป็นสิบล้าน ร้อยล้าน ที่นี่ก็ไม่รับ แต่ไม่ใช่อวดรวย อวดมั่ง อวดมี ตอนหลวงปู่สร้างวัดก็มีสตางค์ ๓ บาทติดกระเป๋า ถึงวันนี้ก็มี ๓ บาทไม่เคยเพิ่ม ไม่เคยลด และก็ไม่เคยได้ใช้มัน เพราะฉะนั้นก็มีอยู่แค่นี้ ก็ไม่เคยคิดว่าตนเองต้องการหรือตะกละในความไร้สาระของคนที่มาทำบุญ อยากจะมียศ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
เพราะฉะนั้น คนทำบุญที่นี่ต้องบุญบริสุทธิ์ บุญที่เกิดจากการชักชวน เป็นบุญที่ไม่บริสุทธิ์ บุญที่เกิดจากความตั้งใจ เป็นบุญบริสุทธิ์ ถึงจะเป็นทานที่ไม่ประณีตนักเป็นทานที่ค่อนข้างจะหยาบ ตัวอย่างเช่น มีนางทาสีท่านหนึ่งในสมัยพระศาสดายังมีชีวิตอยู่ นางทาสีโดนเศรษฐีใช้ให้ไปเก็บข้าวที่เค้าเกี่ยวเอาไว้และวางที่หัวคันนานาง เดินผ่านมาเห็นพระศาสดา บิณฑบาต แต่นางไม่รู้จัก นางเป็นแค่คนรับใช้ของเศรษฐีอาหารอย่างดีก็คือแป้วจี่ที่ทำด้วยรำหยาบกับ แป้ง ทำเป็นโรตีพกมาไว้กินตอนกลางวัน เห็นพระศาสดามาบิณฑบาต ก็ขอนิมนต์รับอาหาร แล้วนางก็หยิบแป้งจี่จากชายพกถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเห็นว่านางผู้นี้จะมีอายุสั้น แล้วนางก็มีบุญที่จะได้ฟังธรรม มีโอกาสจะได้เกิดเป็นเทพบุตร เทพธิดา วันนี้นางก็จะตาย ก็เลยเปิดฝาบาตรรับ รับแป้งจี่อันนั้น แค่แป้งจี่ที่เป็นอาหารชั้นหยาบ ทำด้วยรำหยาบ นางใส่บาตรด้วยความรู้สึกที่เป็นสุข หลังจากใส่แล้วพระศาสดาก็ทรงอนุโมทนา พอนางเดินไปหัวคันนาก็โดนงูกัดตาย แต่บุญที่นางได้ทำไว้เมื่อครู่นี้ยังเต็มเปี่ยมในหัวใจ นางไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดกับพิษงูร้ายที่กัดข้อเท้าทำให้จิตวิญญาณของนางไปสู่ สุคติ โลกสวรรค์ไปเกิดเป็นเทพธิดาที่มีบริวารมากมายมหาศาล มีแสงสว่างพุ่งออกมาจากกายของนาง นี่แค่แป้งจี่แผ่นเดียวเท่านั้นเอง แต่เพราะทำด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมที่จะทำให้
เพราะฉะนั้น เวลาที่หลวงปู่ทำบุญนั้น หลวงปู่จะไม่ใส่ใจหรอกว่าใครจะคิดอย่างไรแต่ถ้าเป็นบุญแล้วหลวงปู่จะเป็นคน ชอบทำบุญ คิดว่าเราทำ เราได้เราจะอาศัยคนอื่นมาทำให้เราคงทำไม่ได้ ถามว่าทำไมหลวงปู่ต้องไปทำกับข้าวเอง เลี้ยงเด็กตั้งสัปดาห์ละ ๖,๐๐๐ คน ต้องไปนั่งทำกับข้าวเองทุกวัน ตั้งแต่เช้าจนถึงสิบโมงเช้า ก็ถ้าให้คนอื่นทำคนอื่นก็ได้บุญไปหมดเราทำเอง เราก็ยังได้บุญของเราบ้าง เราทำเองเราก็สบายใจ
การที่หลวงปู่เลี้ยงเด็กสัปดาห์ละตั้ง ๖,๐๐๐ คน ไม่ใช่เลี้ยงเพื่ออยากเอาชื่อเสียงเกียรติยศ แต่เลี้ยงเพื่อที่จะเป็นข้อต่อรองของโรงเรียน มีโครงการเยอะแยะที่หลวงปู่คิดขึ้นเพื่อที่จะทำให้ศาสนามันเจริญรุดหน้า รุ่งเรือง สมัยก่อนไปขอโรงเรียนบอกว่าฉันจะส่งพระมาช่วยสอนในโรงเรียนนะ เค้าบอกว่าไม่ว่าง ไม่มีเวลา ตารางสอนไม่มี แต่หลังจากที่เราเอาอาหารไปเลี้ยงเค้าทั้ง ๑๗ โรงเรียน ๔ อำเภอ เค้าบอกว่ามีเวลาว่าง พร้อมที่จะจัดตารางสอนให้เราเพราะฉะนั้นเมื่อเค้าว่าง มีเวลาพร้อมจะจัดตารางสอนให้เรา ก็ทำให้เราสามารถที่จะเผยแพร่ธรรมในโรงเรียนได้ เราก็จะมีโอกาสไปสอนเด็กนักเรียน ให้รู้จักเรียนธรรมะชั้นนักธรรมตรี โท เอก ได้ ขณะเดียวกันเรามีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสชีวิตเด็ก ก็จะได้รู้ว่าเราจะช่วยเหลือ สนับสนุนการศึกษาเด็กอย่างไร จะให้เงินไปเป็นทุนปลูกผักสวนครัวปลูกรั้วกินได้ เลี้ยงสัตว์ ถ้าเราให้ไปโดยไม่ได้ไปดูแล คิดว่าเดี๋ยวก็สูญ นี่คือวิธี
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ประเวศ มานั่งคุยกับหลวงปู่ ถามว่า แล้วท่านจะเลี้ยงอย่างนี้ไปตลอดชาติเหรอ หลวงปู่บอก ไม่ใช่! แต่มีวิธีที่จะต้องเลี้ยงคือหาเรื่องต่อรอง ไม่งั้นเราจะไม่ได้รับความร่วมมือจากโรงเรียนเท่าที่ควร ส่วนใหญ่เวลาจะไปขอเข้าไปสอนในโรงเรียนเค้ามักบอกไม่ว่าง ไม่มีเวลา ไม่มีโอกาส ตารางสอนเต็ม แต่พอเรามีบทต่อรองกับโรงเรียนได้นี่เค้าเปิดโอกาสให้เรา ทุกโรงเรียนก็แจ้งความจำนงว่าปีหน้าเค้ายินดีให้เราไปสอนเด็กนักเรียนได้ สัปดาห์ละ ๓ ชั่วโมง อย่างนี้เป็นต้น
นี่คือวิธีการ หลายคนดูหลวงปู่ทำกับข้าวแล้วก็สมเพช สงสารและก็ไม่เข้าใจว่าทำทำไม แต่นี่คือคำตอบแล้วล่ะ หลวงปู่ทำเพื่อให้มีโอกาสได้เผยแผ่ธรรมะในโรงเรียน พวกเค้าจะได้ปลดปล่อยตัวเองจากวิถีชีวิตอันเลวร้าย ที่ต้องตกเป็นทาสของยา ตกเป็นทาสของความฉุดกระชากลากถู จากสิ่งต่างๆ จากสังคมรอบข้าง และได้มีโอกาสพบเห็นชีวิตจริงๆ ของพวกเค้าด้วย จะได้แก้ไขได้ถูกต้อง แก้ปัญหาได้ถูกจุด
ปุจฉา : การบริจาคอวัยวะร่างกายให้กับสภากาชาดไทย จะเป็นบุญกุศลอย่างไร และมีผลต่อชีวิตในอนาคตในชาติหน้าได้อย่างไร
วิสัชนา :ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ใครทำได้ถือว่าเป็นเรื่องดี คนบริจาคตา เกิดชาติหน้าก็จะเป็นคนที่มีตาปัญญาญาณหยั่งรู้ อาจจะทำให้ถึงขั้นมีทิพยจักษุ บริจาคหัวใจก็จะทำให้ใจเต็มเปี่ยมไปด้วยพระธรรมและแสงสว่างและก็ไม่ทำให้มี ทุกข์เดือดร้อนใจในที่สุด คือจะชนะความทุกข์เดือดร้อนทั้งปวงได้ และก็จะมีสุขภาพพลานามัยแข็งแรง บริจาคไต บริจาคตับก็สามารถทำให้ตนเองขจัด กำจัดสิ่งสกปรก รกรุงรัง และโสโครกทั้งหลาย เพราะหน้าที่ของไตและตับมันเป็นตัวการกำจัดสิ่งที่เป็นมลภาวะในร่างกาย ในชีวิตตนเองในชาติต่อไป ก็จะสามารถมีอำนาจเหนือมารและซาตาน ทั้งหลายทั้งปวงได้ ถือว่าเป็นเรื่องดีทั้งนั้นในการบริจาคสิ่งที่เราไม่ได้ใช้แล้ว คือเราตายแล้วไม่ได้ใช้ ก็ให้กับคนที่เขาจำเป็นต้องใช้ก็เป็นเรื่องดี ขอสนับสนุน และอนุโมทนา ถ้าใครทำได้ถือว่าเป็นเรื่องดี ยอดมหาทานทีเดียว
หลวงปู่ได้ยินว่า เขามีหลักการในการบริจาคนะพวกนี้จะต้องเป็นคนไข้ที่ไม่เป็นโรคเป็นคนไข้ที่ มีร่างกายไม่ทุพพลภาพ คือไม่เสียหายทางร่างกาย เช่น ไม่ติดโรคทางกระแสเลือด คือ ตายโดยอุบัติเหตุสาเหตุจากปัจจุบันทันด่วน ป่วยตาย แก่ตาย นี่จะด้วยหรือไม่ ไม่แน่ใจเพราะแก่ตายก็คือศักยภาพมันหมดไปแล้ว จะใช้อะไรไม่ได้แล้ว ลงหลุมไปเถอะโยม ไม่ได้ว่าคนแก่นะพูดให้ฟัง แต่ว่าส่วนใหญ่เค้าจะเน้นเอาเฉพาะคนที่ป่วยทางสมอง พวกที่มีอุบัติเหตุทางสมองไม่สามารถทำงานได้ เพราะถือว่าศักยภาพในการทำงานของอวัยวะอื่นๆ ยังสูงอยู่ แต่ต้องใช้ในเวลาไม่เกิน ๑๗ หรือ ๒๐ ชั่วโมง นี่จากที่รู้ๆ มานะ
ปุจฉา : ในทางธรรมที่หลวงปู่สอนไว้ อย่าไปแบกลูก แบกผัว แบกเมีย แบกพ่อ แบกแม่ แต่ในทางโลกแห่งความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้ เวลาสามีไปไหนยังไม่ทันได้แบกหรอก ภรรยาก็เดินตามมาแล้ว วิสัชนา : มันเป็นเรื่องของคนโง่ คุยกับคนโง่ จริงๆ แล้วหลวงปู่ไม่ทราบและไม่รู้ว่าพวกเราคิดอย่างไร แต่ในความคิดของหลวงปู่ ยกตัวอย่างให้ดูก็ได้ว่า เมื่อห้าปีที่แล้วที่หลวงปู่ออกไปจากวัดนี้ มีคนถามว่า ไม่ห่วงเหรอ สร้างวัดซะสวยงามใหญ่ยังกะวัง ไม่กลัวว่าวัดเสียหายเหรอ ไม่กลัวว่าอะไรมันจะเป็นไป และไม่คอยดูแลเหรอ
ตอนที่หลวงปู่คิดสร้างวัด ก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเจ้าของอยู่แล้ว ตอนที่เราปลูกต้นไม้ เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะเป็นนายมันอยู่แล้ว ไม่ได้คิด ทุกครั้งที่หลวงปู่ปลูกต้นไม้ ก็จะพูดในใจ อธิษฐานในจิตว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงมารับเอาผลแห่งต้นไม้เหล่านี้ให้เป็นสุขด้วยเถิด ไม้ทั้งหลายที่ข้าปลูกจงอุทิศให้แก่คน สัตว์ อสูรกาย ที่มาจากทิศทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ทำอะไรด้วยความรู้สึกที่จะอุทิศ ด้วยความรู้สึกจะให้เนี่ย มันจะวิเศษกว่าทำอะไรด้วยความรู้สึกตะกละ และอยากได้ ถ้ารู้จักคิดแบบนี้เราก็จะบอกว่า ขณะที่ทำกับข้าวเลี้ยงผัว เราก็บอกว่า ฉันทำเพื่อให้ผัวฉันสบายใจ ทำเพื่อให้ผัวฉันอยู่ได้เป็นสุข ทำเพื่อให้ผัวภูมิใจ และมีชีวิตอยู่อย่างไม่ต้องไปตะกรุมตะกราม ตะกละที่ไหน นี่คือการทำหน้าที่แบบอุทิศ ไม่ใช่ทำเพื่อให้ผัวมารักเราชนิดที่ไปที่อื่นไม่ได้ ต้องมาตายรังตลอด หรือไม่ก็ตกเป็นทาสเราตลอดสมัย นั้นเป็นการกระทำที่เข้าไปครอบงำเค้ามากเกินไป เป็นวิถีทางที่ไม่ค่อยถูกนัก
จริงๆ แล้ว คำสอนบทนี้จำได้ว่าสอนอยู่ในถ้ำสิงโตทอง ก็อยากให้รู้สภาวะความเป็นจริงของร่างกายเรา ว่าความจริงแล้วเราไม่มีอะไรมา เรามาด้วยมือเปล่า แต่เราก็มาสร้างอะไรซะเยอะแยะ ในขระที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ยึดถือมาว่านี้ของเรา นี่ของกูแต่ข้อเท็จจริงแล้วถ้าเราไม่โง่เกินไป ไม่หลอกตัวเองเกินไป เราก็จะรู้ว่านี้มันไม่ใช่ของเรามันไม่ใช่ของกู สรรพสิ่งในโลกหล้า วัตถุทาสทั้งหลายรอบกายเรามันเป็นของกลาง ใครที่มือยาวก็ไปสาวเอามาใช้ ใครที่มือสั้นก็สาวเอามาได้น้อย มือยาว มือใหญ่ ก็สาวมาได้เยอะ แต่พอถึงเวลาใช้แล้ว เค้าบอกว่าวาง คือวางให้ได้ วางลงให้เป็นวางให้ถูกจุด วางให้ถูกทิศ ถูกทาง ถูกที่ และถูกสถานการณ์ที่ควรวาง
เพราะฉะนั้น ความหมายของหลวงปู่ที่บอกว่าชีวิตคือการเดินทาง มันเป็นเรื่องเป็นราวของการทำให้เรารู้ว่า ทุกวันนี้เรากำลังเดินทางไกล วิธีขีวิตเป้าหมายในการเดินทางก็คือพระนิพพาน แปลว่าดับแล้วเย็น คนที่เข้าไปสู่ความหมายของคำว่าดับแล้วเย็นที่เรียกว่านิพพาน ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกนั้นน่ะ ต้องทำตัวเราเองให้เป็นที่น่าดูของตัวเราเองให้ได้ ในวิถีทางของความเป็นอิสระ เสรีภาพปลดปล่อย และเป็นเอกภาพของตัวเอง รวมกับเอกภพได้ โดยที่ไม่มีขั้นตอนของความเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นเมีย เป็นผัว เป็นครอบครัว หรือเป็นสมบัติพัสถาน เข้ามาเป็นเครื่องขวางกั้น หรือขีดกั้นระหว่างเรากับเอกภพนั้นๆ
ความหมายของเอกภพที่หลวงปู่กล่าว หรือความหมายของคำว่า นิพพานทีหลวงปู่แจ้งนั้น คือความดับแล้วเย็น แล้วสลัดหลุด ไม่มีใครฉุดเราอยู่ได้ แล้วถ้าจะถามถึงวิถีทางของมันก็คือ การรู้จักว่าทุกอย่างในโลกเป็นสมมติ เราใช้มันก็ถือว่าเราให้เกียรติสมมติ ใช้สมมติให้เป็น และสุดท้ายต้องยอมรับว่าเหล่านี้คือ สมมติ เมื่อถึงเวลาแล้วมีโอกาสให้ประโยชน์กับสมมติได้ไหม ก็ให้มันตามควรตลอดกาล ตามสมัย และสุดท้ายถึงเวลาก็อย่าไปยึดติดกับสมมตินั้น
เมื่อเราทำวิถีชีวิตของเราให้ได้ตามกระบวนการเหล่านี้ มันก็จะตรงกับคำสอนของพระศาสดาในหลักของปฏิจสมุปบาท อริยสัจ ๔ หรือหลักโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ หรือหลักอริยธรรมทั้งหลายทั้งปวงรวมความสรุปคือ รู้จักใช้สมมติ ให้เกียรติในสมมติ ยอมรับในสมมติ ให้ประโยชน์จากสมมติ สุดท้ายอย่ายึดติดในสิ่งที่เป็นสมมติ แล้วเราก็จะเข้าใจความหมายของคำว่าดับแล้วเย็น นั่นคือนิพพาน