บารมี 10 ทัศ
บารมี 10 ทัศ ...ถอดความจากซีดีชุด บารมี 10 ทัศ
สาเหตุที่วันนี้เจริญพระพุทธมนต์น้อย ก็เพราะวันนี้มีเรื่องจะคุยอะไรต่ออะไรให้ฟัง แล้วก็พอดีมีวิทยากรจากข้างนอกมาอบรมเรื่องเกษตรอินทรีย์ ไปทานข้าวกันแล้วหรือยัง ระหว่างที่รอวิทยากรไปทานข้าว จริง ๆ แล้วมีเรื่องจะคุยเยอะแต่ก็จะเอาสักครึ่งชั่วโมงแล้วก็ให้ท่านวิทยากรทำหน้าที่ต่อ
เรื่องที่จะคุยก็คือเรื่องที่ให้พวกเราทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิถีพุทธให้กระจ่างขึ้นอีกสักนิดหนึ่ง ถ้าพวกเราได้ฟังพระชาดกจากพระโอษฐ์หรือนิทานชาดกแต่ละวัน ๆ ที่ผ่านมานี้ เราจะเห็นว่าการได้เป็นพระพุทธเจ้านี่ได้มายาก ผู้ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้านี่เป็นได้ยาก เมื่อเป็นได้ยากแล้วกว่าจะได้เป็นก็ทุกข์เดือดร้อนลำบากแสนสาหัส ถ้าไม่มีความจริงจังไม่ตั้งใจที่จะปลดเปลื้องสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ภัยอย่างจริง ๆ แล้วก็คงไม่สำเร็จ ไม่สมประสงค์ ไม่สมความปรารถนา งั้นพระพุทธเจ้าของเราหรือของชาวโลกทั้งหลายของสรรพสัตว์ทั้งปวง เป็นพระพุทธเจ้าที่อุบัติขึ้นมาโดยตั้งปณิธานและความปรารถนาตั้งแต่เบื้องต้น
คำว่าเบื้องต้นคือ พื้นฐานของการมีชีวิตเล็ก ๆ ตั้งแต่เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นนกคุ้ม เป็นพญาเหี้ย เป็นอะไรแต่อะไรต่าง ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ นิด หน่อย ๆ ตั้งแต่เป็นสัตว์เลื้อยคลาน เป็นสัตว์เล็ก ๆ ก็ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นผู้นำของมหาสัตว์ ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นผู้ที่ปลดปล่อยสรรพสัตว์ ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นผู้ช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งปวงให้พ้นจากทุกข์ภัย เมื่อเราตั้งความปรารถนาแล้ว พระโพธิสัตว์นั้นก็พยายามบำเพ็ญบารมี
บารมีต่าง ๆ ที่บำเพ็ญก็เช่น พระเตมีย์ใบ้บำเพ็ญอะไรขันติบารมี จับไปอยู่ในห้องที่เป็นโลหะมีไฟลุกท่วมก็ยังไม่กระดุกกระดิก โดยอ้างเอาว่าไฟนรกยังร้อนกว่าไฟในโลก ก็เลยทำให้คงทนยืนหยัดตั้งมั่นนั่งอยู่ได้ โดยไม่หวั่นไหวไม่สะดุ้งกลัว เพราะเกลียดกลัวภัยพิบัติอันเกิดจาก ชาติ ชรา มรณะ พยาธิ และหลงใหลได้ปลื้มกับทรัพย์สมบัติญาติวงศ์ทั้งหลาย แล้วเราจะเห็นว่าแต่ละครั้งที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น หรือว่าพระโพธิสัตว์อุบัติขึ้นและบำเพ็ญบารมี ไม่ว่าจะเป็นปัญญาบารมี สัจจะบารมี ขันติบารมี อธิษฐานบารมี เนกขัมมะบารมี บารมีทั้งหลายเหล่านี้ แม้กระทั่งทานบารมี ให้แม้กระทั่งเนื้อของตนเองเพื่อเลี้ยงลูกเสือ เสือแม่ลูกอ่อนที่อดหิวผอมโซใกล้จะตาย มีลูก 5 ตัว พระมหาโพธิสัตว์ก็ยังสู้อุตส่าห์เฉือนเนื้อน่องของตนเองเพื่อเลี้ยงเสือแม่ลูกอ่อนนั้นให้มีกำลังวังชา ให้มีกำลังเพื่อที่จะมีน้ำนมไปเลี้ยงลูกอีก 5 ตัว ไม่ให้ตาย
เพราะงั้นท่านบารมีสูงสุดนี่มีใครกล้าจะเอามีดเฉือนเนื้อน่องของตนโยนให้กับสัตว์กินเพื่อหวังให้สัตว์นั้นมีชีวิตรอดจากความหิว ไม่มียาฉีด ไม่มียาชาอะไรกล้าที่จะเฉือน สิ่งเหล่านี้ก็ได้อาศัยความเด็ดเดี่ยวเด็ดขาด มั่นคง และความจริงใจที่จะบำเพ็ญตนให้เป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ในทานบารมีชาติสุดท้ายนี่ยังให้แก้วตาดวงใจของตน เมียอันเป็นที่รัก สมบัติอันเป็นที่รัก ลูกอันเป็นที่รัก แม้แต่ดวงตาอันเป็นที่รักก็กล้าที่จะให้ เรียกว่าบำเพ็ญบารมีถึงขั้นสูงสุด เมื่อทำได้ขนาดนี้เนี่ยมันก็ต้องผ่านกระบวนการบีบคั้น เดือนร้อนทุกขเวทนาแสนสาหัสเหมือนกัน หลวงปู่มานึกย้อนหลังสมัยอดีตของตัวเองได้ทำเรื่องที่เป็นการบำเพ็ญบารมี คนทั้งแผ่นดินมุ่งหวังจะให้ปลดปล่อยให้พ้นจากอะไร ปลดปล่อยให้พ้นจากภัยสงคราม ภัยของชาติที่ตกอยู่ในอำนาจของต่างชาติ โดยไม่คำนึงว่าใครจะมีความทุกข์เดือนร้อนอย่างไร แต่ความมุ่งหวังของตนทั้งแผ่นดินต้องการให้เราช่วยเหลือ งั้นก็ต้องทำต้องบำเพ็ญบารมี ต้องทำต้องสร้างขวัญสร้างกำลังใจ สร้างอำนาจวาสนา พาแกล้วทหารออกรบฆ่าฟันทำลายล้างศัตรู สุดท้ายความภาคภูมิใจของแผ่นดินก็อยู่บนความมืดบอด คือความตาย ความทุกข์เดือดร้อน แล้วก็ความเศร้าโศกเสียใจของสรรพสัตว์ แล้วก็หมู่ญาติทั้งหลาย ฮีโร่ตายไปแล้วที่อยู่ก็เป็นฮีโร่อะไรประเภทนั้น แต่มันก็ทำได้ ทำได้ยาก ไม่ใช่ทำได้ง่าย การที่คน ๆ หนึ่งจะทำดีเพื่อคนอื่นนาน ๆ ถ้าทำเป็นประจำทกเป็นนิจศีล ทำจนไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทนเนี่ยมันหาได้ยาก บุคคลที่หาได้ยากคือพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์
ที่พูดเรื่องนี้ก็เพื่อให้ตระหนักสำนึกว่าเราเรียนพุทธศาสนา เรียนพุทธประวัติก็เพื่อให้รู้ให้เข้าใจว่า พระพุทธเจ้าทรงมีคุณอันประเสริฐ ไม่ใช่เรียนพุทธประวัติเพื่อให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นลูกใคร ชื่ออะไร บ้านช่องอยู่ที่ไหน คนชนชาติอะไร เกิดที่ใด มีลูกมีเมียมีญาติอยู่แค่ไหน ไม่ใช่เรียนแค่นั้น และก็ไม่ใช่เรียนพุทธประวัติเพื่อให้รู้เพียงแค่ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร บอกอะไร และเราฟังอะไรแล้วได้อะไร เรียนพุทธประวัติก็เพื่อให้สำนึกว่าการได้เป็นพระพุทธเจ้า การได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้มีพระคุณอันประเสริฐนั้นน่ะไม่ใช่ได้มาง่าย เมื่อได้มาแล้วผู้ที่ได้รับพระคุณอันประเสริฐนั้นก็ควรตระหนัก สำนึกรู้สึกถึงความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อพระคุณอันประเสริฐนั้นที่เราต้องเทิดทูน ยกย่องเคารพเทิดทูนบูชาไว้เหนือเศียรเกล้า ด้วยการทำตาม ปฏิบัติตาม ระลึกรู้ตาม นั่นจึงเรียกว่าเป็นผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ เราระลึกถึงคุณอันประเสริฐของท่านด้วย
เพราะงั้นเมื่อเรารู้ถึงความหมายของที่มาของการได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐแล้ว ต่อไปเราก็จะเรียนรู้เรื่องพุทธประวัติ หรือประวัติของพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐนั้นได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ชัดแจ้ง และก็เต็มไปด้วยอรรถรสบทบาท แล้วก็สำนึกในบุญคุณอย่างล้นพ้น เราจะตั้งอกตั้งใจที่จะสดับฟังไปถึงตอนถึงกระบวนการ ถึงลักษณะที่พระพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ หรือพระประทีปแก้วของเราต้องจากเราไปแล้วเนี่ย เราจะรู้สึกเศร้าโศกหรือใจหายถึงตอนที่พระองค์ทรงประกาศสัจธรรมแสดงธัมมจักกัปวัตนสูตร เราก็จะรู้สึกปลาบปลื้มปิติเป็นสุขถึงตอนที่พระองค์ทรงเอาชนะพญามาร ทรงโปรดพุทธบิดา พุทธมารดา ชนะนิคนนาถบัตร ตอนที่พระองค์ทรงชนะพญานาค ชนะช้างนาราคีรี เราก็จะรู้สึกภาคภูมิยินดีต่อวิถีพุทธที่มีชัยชนะต่อสรรพมารทั้งปวงได้
แต่ถ้าเรียนแล้วฟังแล้วผ่านไปแล้วเราก็ยังเฉย ๆ ยังไม่ได้อะไร ทำให้เกิดอะไรขึ้นมาเลย การเรียนพุทธประวัติอันนั้นมันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ มันไม่ได้ทำให้เราตระหนักสำนึกถึงคุณค่าของความเป็นผู้มีพระคุณอันประเสริฐของพระพุทธะพระองค์นั้น แค่เรียนแต่ว่าพระพุทธเจ้าเกิดที่ไหน เป็นลูกของใคร ชนชาติอะไร รู้อะไร สอนอะไร เราก็แทบจะไม่ได้อะไรเพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เราจะคิดกันไปอย่างนั้น แต่ถ้าตระหนักสำนึกถึงความได้มาซึ่งความหมายของคำว่าพระพุทธเจ้า เราจะรู้ว่าเป็นความยิ่งใหญ่ เป็นความเกรียงไกร เป็นความมีอำนาจ มีความการุณย์ เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่มีต่อมหาชนคนทั้งหลาย ไม่งั้นคุณของพระพุทธเจ้านอกจากจะเป็นผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐแล้วก็ยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันประเสริฐ มีพระมหาปัญญาอันเลิศ มีพระมหาเมตตาอันล้นพ้น เรียกว่าขณะที่พญามารมาเอาชนะพระพุทธเจ้าด้วยกรรมวิธีที่จะผจญ ในคืนวันวิสาขปุณมีที่พระองค์ทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ มารมาถามพระศาสดาพระพุทธผู้ประเสริฐพระองค์นั้นว่า รัตนบัลลังก์อันนี้ท่านมีสิทธิอะไร เราเป็นพญามารเป็นผู้มีอำนาจเหนือพรหมและเทพทั้งปวง มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายอยู่ในอำนาจของเรา เราจึงคู่ควรต่อการนั่งรัตนบังลังก์อันนี้ต่างหาก
องค์สมเด็จพระจอมไตรพระองค์ทรงอ้างทักษะบารมีคือ บารมีทั้ง 10 ทัศ เริ่มต้นตั้งแต่ ทาน ศีล ภาวนา ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อฐิษฐาน เมตตา และอุเบกขา มารถามว่าแล้วเอาอะไรมาเป็นที่ตั้ง เอาอะไรมาเป็นข้ออ้าง ใคร ๆ ก็พูดได้ ใครมาเป็นพยานให้แก่ท่านว่าท่านทำทานมาจนกระทั่งแม้แต้น้ำในมหาสมุทรยังสู้ทานของท่านไม่ได้ พระศาสดาก็ไม่รู้ว่าจะยกเอาใครมาเป็นมาเป็นผู้อ้าง ก็เลยระลึกได้ว่าทุกครั้งที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมารมี พระองค์ก็ทรงอฐิษฐานจิต ทรงกรวดน้ำแผ่นเมตตาแบ่งบุญครั้งนั้น ๆ ให้แก่สรรพสัตว์ลงสู่ภาคพื้นปฐพีดล เมื่อเป็นดั่งนี้พระธรณีเท่านั้นจึงจะรู้ได้ว่าเราตถาคตบำเพ็ญบารมีมาแค่ไหน เมื่อเป็นดังนั้นแล้วพระองค์ก็ทรงอ้างเอาพระธรณีว่าเป็นพยานให้แก่เราตถาคตได้ พระแม่ธรณีอยู่เฉยไม่ได้เมื่อพระศาสดาพระพุทธะผู้ประเสริฐพระองค์นั้นทรงอ้างเอาพระธรณีเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญทานและบุญบารมีของพระองค์มา พระแม่ธรณีก็ต้องอุบัติปรากฏเฉพาะพระพักษ์ของพระศาสดาและพญามารทั้งปวง แล้วพระธรณีก็แสดงหลักฐานว่าพระศาสดาได้บำเพ็ญบารมีมามากล้นพ้นพระองค์ มากล้นพ้นตัวมารขนาดไหน โดยกล่าวว่า”ทุกครั้งที่พระสุคตเจ้าทรงบำเพ็ญทานบามี หรือสัจจะอธิษฐาน จาคะ ขันติ หรือปัญญาบารมีก็ตามที พระองค์ทรงจารึกทรงอุทิศผลบุญครั้งนี้ให้แก่สรรพสัตว์ โดยทรงหลั่งน้ำทักษิโณทกลงพื้นปฐพีดล เราจะบีบหรือเราจะแสดงให้ดูว่าน้ำที่พระองค์ทรงหลั่งแล้วนั้น รวมทั้งน้ำใจของพระองค์นั้นมีมากมายปานใด” ว่าแล้วพระธรณีก็ทรงบีบมวยผมของนางซึ่งห่อหุ้มเอาน้ำพระทัย พระมหากรุณาธิคุณ พระเมตตาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาคุณ ขันติคุณ อธิษฐานคุณ จาคะคุณ สัจจะคุณ ที่มีอยู่ในคุณของพระพุทธเจ้าทั้งปวงทั้งหมดที่บำเพ็ญบารมีมาแต่หลาย ๆ พันอสงไขย ให้ออกมาจากผมหรือพระวรกายของนาง ผลปรากฎว่าน้ำที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีหรือสักขีพยานหลั่งลงพื้นปฐพีเพื่อเป็นสักขีพยานนั้นน่ะมันมากมายมหาศาล น้ำทีละหยด ๆ ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญแต่ละชาติ แล้วหลั่งลงพื้นปฐพีนั้นรวมกันเป็นอุทกธาราท่วมทันกองทัพพญามาร แม้แต่ช้างของมารก็ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยกระแสน้ำที่พระองค์ทรงอุทิศผลบุญครั้งนี้ให้แก่สรรพสัตว์ กลายเป็นว่าพญามารก็แตกพ่ายด้วยอำนาจสัจจะบารมี อธิษฐานบารมี จาคะบารมี หรือบารมีทั้ง 10 ทัศ ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมา เพราะฉะนั้นเราจะเห็นว่าที่เขาทำรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผมต่อหน้าพระพุทธรูปในวันตรัสรู้ เพื่อแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ที่มาที่ไปว่าทำไมพระธรณีต้องมาบีบมวยผมต่อหน้าพระพุทธรูป ทำไมพญามารจึงโดนน้ำที่ไหลจากมวยผมท่วมท้นจนกองทัพต้องแตกพ่ายหนีไป น้ำอันนั้นไม่ใช่น้ำธรรมดา เป็นน้ำที่เกิดจากพระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระเมตตาคุณ ภาวนาคุณ สัจจะคุณ อธิษฐานคุณ เนกขัมมะคุณ ขันติคุณ เป็นน้ำที่ได้มาจากเลือดและเนื้อของพระองค์ที่อุทิศให้แก่สรรพสัตว์ทุกครั้งที่ทรงบำเพ็ญบารมีมา จึงเป็นน้ำที่มีอำนาจครอบงำมารให้พ่ายแพ้และก็ให้สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินต้องแตกพ่ายไป เมื่อการเรียนรู้พุทธประวัติด้วยความรู้สึกสำนึกในความจริง มีความภาคภูมิและความสำนึกว่าพระพุทธะผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐอย่างนี้แล้ว เราก็จะรักที่จะเรียนพุทธประวัติอย่างสนุกสนาน รักที่จะเรียนพุทธประวัติอย่างเบิกบาน สำราญใจ ด้วยความรู้สึกว่ามันเป็นคำสอนที่สำคัญยิ่งที่เราต้องรู้ตาม เพื่อให้เข้าใจถึงพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ พระธรรมอันศักดิ์สิทธิและพระวรกายอันพิเศษศักดิ์สิทธิของพระพุทธะพระองค์นั้นให้ได้อย่างงี้ต่างหากล่ะเขาเรียกว่า “ประโยชน์ที่ได้จากการเรียนพุทธประวัติ” แต่ถ้าเรียนแล้วก็ปล่อยไปให้มันท่องจำหายไปแล้วก็มาทำแบบฝึกหัดอย่างที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้โดยไม่สำนึก มันไม่ได้อะไรหรอก ไม่ได้อะไร นี่คือตัวอย่างให้เห็นว่าเรียนพุทธประวัติแล้วเราจะได้อะไร
อ้าวอีกสักตัวอย่างก็ได้ เรียนศาสนพิธีเพื่อต้องการอะไร เรียนศาสนพิธีก็เพื่อให้รู้ถึงพิธีกรรมของพระศาสนา พูดกันจริง ๆ แล้วศาสนาพุทธนี่ไม่มีพิธีกรรมอะไรเลย พิธีกรรมที่มีอยู่ในพระศาสนาพุทธก็มีแค่สามอย่างเท่านั้น ก็คือ ละชั่ว พิธีกรรมที่ทำดี แล้วก็ทำอย่างไรให้ใจผ่องใสเท่านั้นเองหละ ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส 3 อย่างนี้ เป็นตัวก่อเกิดของกรรมวิธีและพิธีกรรมมากมายมหาศาล พิธีกรรมถวายสังฆทานจัดอยู่ในประเภทไหน ทำดีไหม จัดอยู่ในทำดี การรับศีลอาราธนาศีลจัดอยู่ในประเภทไหน ละชั่วแล้วก็มาทำดี การบูชาพระสวดมนต์ไหว้พระจัดอยู่ในประเภทไหน บูชาพระรัตนตรัยทำใจให้ผ่องใส ง่าย ๆ แค่นี้ไม่มีอะไรเลย งานอวมงคล งานมงคล มันก็อยู่ในละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส 3 อย่างนี้เป็นหัวใจสำคัญของศาสนพิธี ครูสอนอย่างนี้ไหม ก็นั่นตามชั่วโมงไงพอถึงชั่วโมงกูก็เป็นครู ไม่ได้เป็นครูทุกนาทีมันก็เลยไม่ได้สอนอย่างนี้ ยังมีอีกธรรมวิภาคก็เหมือนกัน การเรียนธรรมวิภาคไม่ได้เรียนเป็นภาค ๆ แต่เรียนให้สำนึกว่าไอ้คำว่าธรรมวิภาคนี่ พระธรรมนี่มันจำเป็นสำหรับชีวิตอย่างไร เริ่มต้นตั้งแต่ธรรมมีอุปการะมาก 2 อย่าง อุปการะเปรียบประดุจดังบิดา มารดา เลี้ยงดูบุตรให้เจริญเติบโต ให้กำเนิดแล้วก็คอยเลี้ยงดูด้วย ใครจะมารักบุตรสุดชีวิตเท่าจิตบิดามารดาไม่มี เพราะงั้นคำว่าสติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว มีอุปการะเปรียบประดุจดังบิดามารดาผู้ให้เกิดแล้วก็เลี้ยงดูบุตรให้โต เมื่อให้ความสำคัญตระหนักสำนึกถึงว่า สติความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว เปรียบดังบิดามารดาเกิดดั่งนี้ก็แสดงว่ามันต้องสำคัญเท่าชีวิต จิตวิญญาณ เลือดเนื้อของเราเพราะบิดามารดาให้ชีวิตเราแล้วก็ยังเลี้ยงชีวิตเรา รวมความแล้วเลือดเนื้อจิตวิญญาณและชีวิตของเราเป็นของบิดามารดา เมื่อเลือดเนื้อและชีวิตของเราเป็นของบิดาและมารดา พระศาสดาทรงบัญญัติทรงชี้ว่าสติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัวสำคัญเท่าบิดามารดาผู้ให้เกิดแล้วก็เลี้ยงดูให้โต ก็แสดงว่าเลือดเนื้อของเราทุกหยาดหยดปนเปื้อนไปด้วยสติและสัมปชัญญะ มันจะขาดไปที่ใดที่หนึ่งไม่ได้ ถ้าขาดมันก็ไม่ใช่ชีวิต ถ้าขาดมันก็ผิด ๆ พลาด ๆ ไม่ถูกต้องมีแต่เรื่องบกพร่อง เมื่อเรียนแล้วต้องตระหนักสำนึก นึกถึงความสำคัญดังนี้ เหมือนดั่งบุตรที่ขาดบิดามารดาให้เกิดไม่ได้ ขาดบิดามารดาเลี้ยงดูไม่ได้ ถ้าเราเข้าใจถึงความพึ่งพิงอิงแอบอาศัยการเรียน ธรรมะเนี่ยหัวใจสำคัญของธรรมะพวกศากยบุตรจำไว้เลยว่าจะปฏิเสธคำว่าพึ่งพิงอิงแอบอาศัยไม่ได้ ถ้าเรียนธรรมะแล้วไม่รู้จักความหมายว่ามันคือทฤษฎีหรือกระบวนการหรือกติกา หรือว่ากฎกาลใด ๆ ที่ทำให้สัตว์โลกอยู่ร่วมกันด้วยความพึ่งพิงอิงแอบอาศัย ถ้าปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ธรรมะ สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็นหิริ โอตัปปะ ขันติโสรัจจะ บุคคลหาได้ยาก 3 อย่าง หรือแม้กระทั่งอิทธิบาท 4 คิหิปฏิบัติ รวม ๆ แล้วมันอยู่ในความหมายของคำว่าสอนแล้วเพื่อให้เราอยู่ร่วมกันได้ด้วยความพึ่งพิงอิงแอบอาศัย อยู่ร่วมกันด้วยความอาทรการุณย์ เมตตา และเห็นอกเห็นใจให้อภัยทั้งตนเองและก็ผู้อื่น นี่คือหัวใจสำคัญของการสอนธรรมะ เมื่อเข้าใจถึงหัวใจการบรรยายธรรมะมันก็จะเป็นไปตามกระบวนการของความพึ่งพิงอิงแอบอาศัย ไม่ว่าจะพูดสัก 3 โลก 3 เรื่อง 3 เวลา 3 เดือน 3 ปี มันก็อยู่ในหลักการที่ว่าพึ่งพิงอิงแอบอาศัย แม้กระทั่งวินัยนี่หัวใจสำคัญของพระวินัยก็คือ การได้ทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตนได้ มีชีวิตอยู่เพื่อพึ่งตัวเองได้และทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่นได้ นี่คือหัวใจของการเรียนพระวินัย ถ้าทิ้งหัวใจอันนี้เราจะเรียนวินัยได้ไม่ดี ไม่เข้าใจวินัย เรียนวินัยให้มันหมดเวลาไปวัน ๆ แล้วก็ท่องจำ แล้วก็ไม่ได้อะไร เพราะฉะนั้นหัวใจสำคัญของพระวินัยก็คือ ทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งแก่ตัวเอง พึ่งตัวเองได้ แล้วก็เป็นที่พึ่งแก่คนอื่น ได้ เพราะฉะนั้นอยากจะฝากท่านวิทยากร พิธีกร ศากยบุตร แล้วก็สามเณรหนุ่ม พระน้อยทั้งหลายว่า
เห็นดูเรียนกันมาเป็นเดือนแล้วก็ยังเหมือนเดิม ยังไม่ได้อะไรเท่าไหร่ ยังไม่ได้อะไร อาจจะเป็นเพราะหลวงปู่ไม่ดีเองที่ได้ได้สอนด้วยตัวเอง ไม่ได้บอกด้วยตัวเอง ไม่ได้ชี้นำด้วยตัวเอง พวกเราก็ดูเหมือนไม่ค่อยได้อะไร เพราะถ้าหลวงปู่สอนอะไรด้วยตัวเอง บอกด้วยตัวเอง ชี้นำด้วยตัวเอง พวกเราก็อาจได้อะไรมาก ๆ ขึ้น ก็ได้แต่มุ่งหวังว่าไอ้คนที่มันอยู่ร่วมกับเรา อยู่ร่วมกับหลวงปู่มาเป็นสิบ ๆ ปีเนี่ย มันน่าจะได้รู้อะไรไปบ้าง เข้าใจอะไรไปบ้าง รู้จักอะไรไปบ้าง ก็รู้ได้ที่เรารู้นั่นแหละ ไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่านั้น เพราะฉะนั้นมันก็เลยเป็นที่มาของหัวมังกุฏท้ายมังกร เหมือนหมูโดนตอนอยู่เพื่อรอวันตายเฉย ๆ ไม่ได้อยู่เพื่อเตรียมตัวโต แล้วก็ตั้งใจตาย จำไว้ว่าไอ้การอยู่เพื่อรอวันตายเนี่ยมันไม่ได้อะไร แต่ถ้าอยู่เพื่อเตรียมตัวที่จะโตแล้วก็ตั้งใจที่จะตายเนี่ยโอมันเตรียมการพร้อมมูลเลย มันได้อะไรเยอะแยะมหาศาลเลย แล้วมันก็มีอะไรมากมายเลย สุดท้ายก็วางอะไรได้ทุกอย่างเลยเพราะมันมีครบหมดแล้ว แต่ไอ้อยู่เพื่อรอวันตายเนี่ยมันจะขาดอะไรไปทุกเรื่องเลย มันจะไม่พออะไรสักอย่างเลย แล้วมันจะไม่เหลืออะไรเลย สุดท้ายก็จะจนจนตายเลย เลยอยากจะบอกท่านที่รักทั้งหลายว่า “หลวงปู่คงผิดเองที่ไม่ได้สอนพวกเรา” แต่งานมันก็มากซะเหลือเกินเยอะซะเหลือเกิน จนไม่สามารถที่จะปลีกตัวปลีกเวลาไปอบรมสั่งสอนได้ทุกเรื่องทุกอย่าง ก็พยายามที่จะทำให้มันงานน้อยลงมันก็เพิ่มขึ้นอยู่ตลอดทุกวัน นี่ขึ้นมาพูดวันนี้ก็หวังว่าจะมาสัก 2 วันพักซักหน่อย ก็ไม่รู้ว่าจะได้ลาจริง ๆ หรือเปล่า เพราะว่าเหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็ก็ต้องจากกันแล้ว ถ้าไม่รีบสอนซะตอนนี้เดี๋ยวก็ไม่รู้จะไปสอนตอนไหน หลวงปู่ไม่กลัวหรอกว่ามีเวลาน้อยแล้วสอนไม่ได้ดี ไม่กลัว นาทีเดียวก็พอแล้วสำหรับเวลาที่หลวงปู่สอน ไม่ต้องหลายนาที ขอให้ตั้งใจฟังก็แล้วกัน ไม่ต้องมีเวลาเป็นเดือนหรอก นี้สำคัญว่ามันจะมีเวลาที่จะสอนหรือเปล่า งั้นก็เอาหละคงจะพอสมควรแก่เวลาแค่นี้ เดี๋ยวให้ไปพัก เข้าห้องน้ำห้องท่าล้างหน้าล้างตา แล้วก็ให้เวลา 5 นาที กลับเข้ามาฟังท่านวิทยากรบรรยาย เขาสู้อุตส่าห์เดินทางมาไกล ไอ้คนแก่สอนลูกหลานเฮ้ยไอ้หนูมึงทำไอ้นั่นทำไอ้นี่ แล้วยายแก่ก็นั่งพูดไปพ่อตาแม่ยายผู้เฒ่าก็นั่งบ่นสอนไป เอ้อทำดีลูก ไอ้นั่นเช็ดอย่างนั้น ไอ้นี่ต้องเจียนอย่างนี้ ไอ้นี่ต้องตัดแบบนั้น แล้วทุกคนก็ช่วยกันออกมาเป็นบายศรี เขาบอกหรือเปล่าบายนี่มาจากภาษาอะไร หา บายนี่มาจากภาษาบาลีเหรอ ไม่ใช่มาจากภาษาเขมรหรือหือ ก็เอาภาษาอะไรก็ได้ทำไปแล้วก็แล้วกัน
..จากซีดีชุดบารมี 10 ทัศ..