พอเย็นของวันใหม่ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงเกราะ และส่วนหนึ่งที่นำอาหารมาถวายหลวงปู่ตอนเช้า พร้อมกับได้รู้ข่าวจากปากหลวงปู่ ว่าเย็นนี้จะแสดงธรรม ก็ไปป่าวประกาศชักชวนกันมา วันที่สองนี้รู้สึกว่าญาติโยมจะมากันมากกว่าวันแรก เมื่อชาวบ้านมาพร้อมแล้ว หลวงปู่ก็ชวนให้ชาวบ้านร่วมสวดมนต์ไหว้พระ ในตอนเย็นของทุกวัน พร้อมกับได้มีการแสดงธรรมและเปิดโอกาสให้ทุกคนสอบถามปัญหาต่างๆ ได้อย่างเสรี
โยมเล่าว่า ดูทุกคนยินยอมทำตามหลวงปู่ อย่างง่ายดายบางคนที่ในชีวิตไม่เคยสวดมนต์เลยก็มาร่วมสวด แล้วทุกครั้งก่อนที่ท่านจะนำสวดมนต์ ท่านจะหันมาดูการนั่งของชาวบ้าน เมื่อเห็นว่ายังมีการนั่งแยกเป็นกลุ่มๆ อยู่
ท่านก็จะบอกว่า "นี่น้องหนู การสวดมนต์ก็คือการได้มีโอกาสอยู่ใกล้กับพระพุทธเจ้า เราต้องดัดกาย วาจา ใจ ให้เป็น ระเบียบ ต้องนั่งเป็นแถวเป็นแนว ไม่ถึงกับแยกหญิง แยกชาย แยกแก่ แยกสาว เอาเป็นว่านั่งให้ดูแล้วมันเป็นแถวก็แล้วกัน"
ได้ผล ทุกคนก็ขยับจัดระเบียบของตัวเอง จนนั่งกันเป็นแถวเสร็จแล้ว หลวงปู่ก็นำสวดมนต์ ทำเช่นนี้อยู่ประมาณ 3-4 คืน
พอคืนที่ 5 ท่านก็บอกว่า "ท่านที่รักทั้งหลาย พวกเราเข้ามาในวัดได้มองไปรอบๆ วัด รอบๆ ตัวเราบ้างหรือเปล่า ว่ามันเกิดอะไรขึ้น"
ทุกคนก็ตอบว่าเห็น ท่านจึงถามว่าเห็นอะไร ชาวบ้านก็ตอบ ว่า "วัดรก สกปรก" ท่านจึงกล่าวว่า "มันหน้าอายขายหน้านะ ที่ ชาวตะลุงปล่อยให้วัดตะลุงสกปรกรกรุงรัง แขกไปใครมา เค้าจักตำหนิพวกเราได้ว่า ไม่รู้จักรักษา ดูแลให้เรียบร้อย หลายวัน มานี้ในช่วงกลางวันถ้าใครมาทางเรือ มาจอดเรืออยู่ท่าน้ำวัด ก็จะเห็นว่ามันผิดหูผิดตา มันดูสะอาดไม่รกรุงรัง ต้นหญ้า ต้น บอน ก็ได้ถูกกำจัดตัดเก็บจนหมด ที่เป็นเช่นนี้เพราะหลวงปู่กับพระติดตามพร้อมเจ้าอาวาสได้ช่วยกันถากถางจัด เก็บ เพราะเช่นนั้นวันพรุ่งนี้ถ้าใครมีเวลาว่างๆ ก็มาช่วยกันทำความเป็นระเบียบ เรียบร้อย ให้เกิดขึ้นกับวัดของเราหน่อย หรือถ้าใครไม่ว่าง แต่ถ้ามีเครื่องมืออุปกรณ์เครื่องใช้ เช่น มีด จอบ คราด รถเข็น ก็นำมาให้ยืมด้วยก็ดี"
ครั้นเมื่อหลวงปู่กล่าวเช่นนี้ รุ่งเช้าก็มีผู้คนและชาวบ้านมาช่วยเหลือพร้อมนำอุปกรณ์มาให้ยืมใช้มากมาย เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่สองสัปดาห์ ทุกอย่างภายในวัดตะลุงดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด หญ้าที่เคยขึ้นรกรุงรังก็ได้รับการตัดแต่งให้สม่ำเสมอ ท่าน้ำที่เต็มไปด้วยผักตบและกอหญ้าปล้องก็ถูกกำจัด เก็บขนขึ้นมาเผาและสุมไว้โคนต้นไม้ ที่โล่งแจ้งและที่ว่าง ก็ได้รับการบำรุงรักษาปลูกต้นไม้ยืนต้นและไม้ผล ผู้คนที่แตกแยกกันเป็นพรรคเป็นพวกกลับมารักใคร่ปรองดองกัน มีกิจกรรมน้อยใหญ่ภายในหรือนอกวัดก็ได้รับความร่วมไม้ร่วมมือกันเป็นอย่างดี ทั้งนักบวชและคฤหัสถ์ ซึ่งผิดกับเมื่อก่อนราวฟ้ากับดิน หลวงปู่ท่านได้นำเอาความเป็นมงคลสูงสุดมาสู่แดนดินถิ่นตะลุงนี้โดยแท้
การบวชเณรภาคฤดูร้อน ที่วัดตะลุงครั้งนี้ก็เพื่อทำการปลูก ฝังจริยธรรมศีลธรรมให้แก่เยาวชนลูกหลานของชาวตะลุง หลังจากบวชสามเณรภาคฤดู ร้อนจำนวน 180 รูป แล้วก็พักอบรม เรียนภาควิชาการอยู่ที่วัดตะลุง 2 สัปดาห์ หลวงปู่ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนสามเณรทั้งหมด ทั้งเช้าและเย็น โดยให้พระพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือเรื่องการปกครอง หลวงปู่ท่านนอกจากจะต้องสอนสามเณรและพระแล้ว ทุกวันท่านยังจะต้องคอยตอบปัญหาของชาวบ้านญาติโยม ที่เดินทางมาจากทิศต่างๆ ท่านตรากตรำงานจนท่านล้มป่วยอีก อาการป่วยของท่านมีเลือดออกจากคอ จนเจ็บระบมไม่สามารถพูดได้ ท่านจึงประชุมพระเณรทั้งหมดแล้วขอลาพักชั่วคราว ท่านพักได้ประมาณ 2 วัน ก็มีเหตุให้ท่านต้องออกมาจากกลดของท่าน โดยมีโยมผู้เฒ่าคนหนึ่งพยุงท่านเดินมาที่ศาลา แล้วท่านก็ตีสัญญาณประชุม เมื่อพระเณรมาประชุมกันพร้อมแล้ว ท่านก็หยิบกระดาษมาเขียนข้อความว่า
"สองวันมานี้ขณะที่หลวงปู่พักอยู่ในกลด มีพระพี่เลี้ยง และ สามเณร แอบดูดบุหรี่ ซึ่งถือว่าผิดข้อตกลงในการอยู่ร่วมกับหลวงปู่ ขอให้ผู้ที่ดูดบุหรี่ทั้งหมด ออกมานั่งข้างหน้า"
พระเณรทั้งหมดต่างพากันมองหน้ากันและกัน เพื่อจะหาคน ทำผิด เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ พระพี่เลี้ยง 3 รูป ได้ลุกออกจากแถวมานั่งตรงหน้าหลวงปู่ ต่อมาก็มีเณรลุกเดินออกมาจากแถวอีก 6 รูป
หลวงปู่เขียนข้อความใส่กระดาษว่า "ดีมาก ลูกผู้ชายกล้าทำ ต้องกล้ารับ" แล้วท่านก็เขียนข้อความต่อมาว่า ให้พระพี่เลี้ยงรูปหนึ่งไปหาไม้เรียวมา 1 อัน เมื่อได้ไม้เรียวมาแล้ว ท่านก็ให้ผู้ที่จะถูกทำโทษนอนคว่ำหน้าลง แล้วท่านก็เฆี่ยนคนละ 3 ที หลังจากที่หลวงปู่ได้ทำโทษพระพี่เลี้ยงและเณรที่สูบบุหรี่แล้ว มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นแก่หลวงปู่ หลวงปู่เริ่มพูดและมีเสียงแปลกประหลาด เหมือนกับเสียงของระฆังเงิน ใสและดังกังวานยิ่ง ท่านนำสวดมนต์ด้วยในเย็นวันนั้น พวกเรารู้สึกว่าเคลิบเคลิ้ม และรัญจวนใจอย่างประหลาด เมื่อท่านนำสวดมนต์เย็นจบลงแล้ว ท่านก็อบรมพระเณรต่อ ข้าพเจ้าจำได้แม่นยำว่า หลวงปู่บอกว่าท่านไม่สบายอยู่หลายวัน และก็ไม่มีเสียงพูด แต่ที่ท่านมีเสียงพูดขึ้นมาได้ เพราะท่านทนดูลูกชาวบ้านที่ท่านเพียรพยายามอบรมสั่งสอนมาเองแล้วดันมาทำผิด ระเบียบ
ท่านกล่าวว่า สำหรับคนที่ดีอยู่แล้วไม่ต้องอบรมสั่งสอนมากเพราะจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทำให้ ใครได้รับความเดือดร้อน แต่สำหรับคนที่ยังไม่ดี คนเหล่านี้ ถ้าจะไปอยู่ที่ไหน อาจจะทำ ให้ใครๆ ได้รับความเดือดร้อน จึงจำเป็นที่หลวงปู่จะต้องหัดดัด กาย วาจาใจขยำขยี้ เพื่อจะสกัด ขจัด ตัดแบ่ง ส่วนที่ไม่ดีๆในตัวตนให้หมดสิ้นไป เมื่อจะไปอยู่ที่ใด นอกจากจะไม่ทำให้ใครๆ เดือดร้อนแล้ว ยังสามารถทำสาระประโยชน์ให้แก่คนทั้งหลายและสังคมคนดี 100 คนจะไปอยู่ในที่ใดๆ ก็ไม่มีใครเดือดร้อน คนไม่ดี 1 คน ไปปะปนกับคนดี อาจจะทำให้คนดีทั้ง 100 เดือดร้อนได้
หลังจากวันที่ลงโทษพระเณรผ่านมาได้หนึ่งวัน หลวงปู่ก็สั่งให้พระเณร ทุกรูปเตรียมตัวออกธุดงค์ไปยังป่าพุแค จังหวัดสระบุรี แล้วหลวงปู่ ก็จัดขบวนแถวพระเณรให้เป็นหมวดหมู่พร้อมทั้งมอบหมายให้พระพี่เลี้ยง ควบคุมดูแล แล้วกำหนดทิศทางให้แต่ละหมู่ ให้ไปปักกลดห่างกันอย่างน้อยคนละ 10 ก้าว
พอถึงช่วงเย็น หลวงปู่ให้สัญญาณร่วมสวดมนต์เย็น หลังจากสวดมนต์เย็นแล้ว ท่านก็ทำพิธีเปิดป่าโดยสั่งให้พระเณรทั้งหมด ก้มลงกราบลงที่พื้น และอย่าเงยหน้า จนกว่าจะได้ยินเสียง วัตถุตกถึงพื้น หลังจากเสร็จพิธีเปิดป่าแล้ว ท่านก็สอนให้พระเณรรู้ถึงอำนาจของป่า และวิธีเอาชนะอำนาจของป่า อำนาจของป่าก็คือความเงียบและความมืด วิธีเอาชนะอำนาจของป่าก็คือ ต้องสงบจิต สยบอารมณ์ของตนให้เงียบยิ่งกว่าป่าที่เงียบแล้ว เมื่อสยบอารมณ์ สงบจิตแล้ว ความสว่างก็จะปรากฏขึ้นแก่จิตเอง จึงจะสามารถเอาชนะความมืดของป่าได้ ผู้ที่เอาชนะอำนาจของป่าได้ย่อมมีอิสระเสรีภาพในการเดินป่า ไม่ว่าจะเป็นวันและเวลาใดเราจะดูคล้ายเป็นหนึ่งเดียวกับป่า เป็นส่วนหนึ่งของป่าและป่าก็จะดูแลรักษาเรา ให้อยู่รอดปลอดภัยจากความทุกข์เดือดร้อนทั้งปวง ก่อนที่จะอนุญาตให้พระเณรไปจำวัด ท่านสอนให้พระเณรสวดมนต์และแผ่เมตตาที่กลดก่อนนอนอีกครั้ง แล้วให้นอนภาวนาว่าขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข จนกว่าจะหลับไปเอง
ปักกลดธุดงค์อยู่ในป่าพุแคอยู่ 3 วัน หลวงปู่ท่านสังเกตเห็นสีหน้า และแววตาของพระเณรหลายองค์กระวนกระวาย ท่านก็เรียกมาจับชีพจรหมดทุกคน แล้วท่านก็ถามว่าตั้งแต่ธุดงค์นี้ ยังไม่ได้ขี้กันเลยใช่ไหม พระเณรก็รับว่าเป็นจริง ท่านเลยหันมาสั่งหัวหน้าเณร ให้ไปเก็บมะขามในป่ามาแจกให้พระเณรฉันพร้อมกับเกลือทุกคน แล้วท่านก็สั่งให้หัวหน้าเณรแต่ละ กลุ่มต้มน้ำร้อนให้ดื่มตามไปด้วย เวลาผ่านมาสักครู่ใหญ่ พระเณรหลายรูปต่างลุกขึ้นไปหาที่ถ่ายกันเป็นแถว
ในช่วงที่ธุดงค์อยู่นี้ หลวงปู่ท่านได้เล่าถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่ท่านได้ไปเจอมาในขณะที่ออกไปธุดงค์อยู่ป่าคนเดียว ซึ่งพระเณรทุกองค์ก็สนใจฟังอย่างใจจดจ่อ บางคืนท่านอบรมและเล่าเรื่องประสบการณ์ของท่านอยู่จนดึก แต่พระเณรทั้งหลายก็ยังตา สว่างพร้อมตั้งใจฟัง เมื่อใกล้จะเดินทางกลับสู่วัดตะลุงท่านได้เรียกประชุมพระพี่เลี้ยงทั้งหมด แล้วท่านก็กล่าวว่า
"ผมพิจารณาดูการทำงานของพวกเราที่ผ่านมา ต่างก็ช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆจนสามารถทำให้งานสำเร็จเรียบร้อยด้วยดีทุก ครั้ง แต่ที่ผมคิดว่า ตัวเราจะป้องกันปัญหาบางอย่างไม่ให้มันเกิดเป็นอุปสรรคในการทำงาน การทำงานนั้นๆ ก็ดูจะสำเร็จเรียบร้อยได้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างอุปสรรคเรื่องสถานที่สำหรับใช้ทำงาน พวกเราจำเป็นต้องมี เพราะเราจัดอบรมจริยธรรม เผยแผ่สัจธรรมแก่ประชาชนผู้คนทั้งหลายเป็นประจำอยู่แล้ว โดยเฉพาะงานบวชพระเณรภาคฤดูร้อนเป็นร้อยๆ รูป จำเป็นต้องใช้สถานที่ที่เหมาะสม กว้างขวาง สะอาดร่มเย็น และเป็นระยะเวลาแรมเดือน ถ้าเราตะลอนไปอาศัยวัดโน้นบ้างวัดนี้บ้างก็ดูจะเป็นเรื่องยุ่งยาก และต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งยังไปรบกวนกิจกรรมของสมภารเจ้าวัดอีก ถ้าเขาพอใจเห็นด้วยมิจิตใจกว้างยอมรับได้ก็ดีไป แต่ถ้าเค้าไม่พอใจการทำงานนั้นๆ ก็จะเพิ่มปัญหามากขึ้น ซึ่งปัญหาปกติของการงานก็หนักหนาสำหรับพวกท่านอยู่แล้ว ถ้าจะมาเพิ่มปัญหาเกี่ยวกับสถานที่อยู่ขึ้นอีก ผมเกรงว่า พวกท่านจะทนไม่ไหว และจะหมดศรัทธาต่อพระศาสนานี้เสียก่อน ด้วยเหตุผลทั้งหลายเหล่านี้ ผมจึงมีความคิดว่า จะรับที่ดินที่คุณโยม (ทองห่อ วิสุทธิผล) เค้าได้ถวายให้ สร้างวัดประมาณ 19 ไร่ พวกท่านเห็นว่ายังไง ถ้าเห็นด้วย ก็จงสาธุ ถ้าไม่เห็นด้วยก็ให้นิ่งเสีย"
เมื่อหลวงปู่พูดจบพระพี่เลี้ยงทุกรูป ก็ประนมมือเปล่งสาธุการขึ้นพร้อมกันหลวงปูกล่าวว่า "ดีแล้ว หลังจากบวชเณรภาคฤดูร้อนรุ่นนี้ผ่านไปแล้ว เดินทางกลับวัดตะลุงแล้ว ผมจะสอนวิชาขันธมารให้พวกเค้าก่อนจะสึก เพื่อให้พวกเค้าได้เข้าใจถึงความอดทน อดกลั้นชั้นสูง เวลาสึกออกไปเมื่อไปประสบกับปัญหาและเหตุการณ์ใด เขาจะได้รู้จักคิด ยับยั้ง ชั่งใจ และอดทนอดกลั้น ต่อการยั่วยวนต่างๆ ได้โดยไม่ต้องตกไปเป็นทาสของอะไรมากไป แต่วิชาขันธมารนี้ ครั้งใดที่ผมสอนออกไป และผู้ฝึกสามารถเข้าถึงอารมณ์เอกคตาจะทำให้ดินฟ้าอากาศแปรปรวน ซึ่งผมก็หวังว่าการสอนวิชาขันธมาร ในครั้งนี้คงจะเป็นผลดีแก่พวกพระพี่เลี้ยงด้วย" แล้วหลวงปู่ก็แจ้งให้พระพี่เลี้ยงได้ทราบว่า อีก 2 วันเราจะเดินทางกลับวัดตะลุง
โยมเล่าว่า ดูทุกคนยินยอมทำตามหลวงปู่ อย่างง่ายดายบางคนที่ในชีวิตไม่เคยสวดมนต์เลยก็มาร่วมสวด แล้วทุกครั้งก่อนที่ท่านจะนำสวดมนต์ ท่านจะหันมาดูการนั่งของชาวบ้าน เมื่อเห็นว่ายังมีการนั่งแยกเป็นกลุ่มๆ อยู่
ท่านก็จะบอกว่า "นี่น้องหนู การสวดมนต์ก็คือการได้มีโอกาสอยู่ใกล้กับพระพุทธเจ้า เราต้องดัดกาย วาจา ใจ ให้เป็น ระเบียบ ต้องนั่งเป็นแถวเป็นแนว ไม่ถึงกับแยกหญิง แยกชาย แยกแก่ แยกสาว เอาเป็นว่านั่งให้ดูแล้วมันเป็นแถวก็แล้วกัน"
ได้ผล ทุกคนก็ขยับจัดระเบียบของตัวเอง จนนั่งกันเป็นแถวเสร็จแล้ว หลวงปู่ก็นำสวดมนต์ ทำเช่นนี้อยู่ประมาณ 3-4 คืน
พอคืนที่ 5 ท่านก็บอกว่า "ท่านที่รักทั้งหลาย พวกเราเข้ามาในวัดได้มองไปรอบๆ วัด รอบๆ ตัวเราบ้างหรือเปล่า ว่ามันเกิดอะไรขึ้น"
ทุกคนก็ตอบว่าเห็น ท่านจึงถามว่าเห็นอะไร ชาวบ้านก็ตอบ ว่า "วัดรก สกปรก" ท่านจึงกล่าวว่า "มันหน้าอายขายหน้านะ ที่ ชาวตะลุงปล่อยให้วัดตะลุงสกปรกรกรุงรัง แขกไปใครมา เค้าจักตำหนิพวกเราได้ว่า ไม่รู้จักรักษา ดูแลให้เรียบร้อย หลายวัน มานี้ในช่วงกลางวันถ้าใครมาทางเรือ มาจอดเรืออยู่ท่าน้ำวัด ก็จะเห็นว่ามันผิดหูผิดตา มันดูสะอาดไม่รกรุงรัง ต้นหญ้า ต้น บอน ก็ได้ถูกกำจัดตัดเก็บจนหมด ที่เป็นเช่นนี้เพราะหลวงปู่กับพระติดตามพร้อมเจ้าอาวาสได้ช่วยกันถากถางจัด เก็บ เพราะเช่นนั้นวันพรุ่งนี้ถ้าใครมีเวลาว่างๆ ก็มาช่วยกันทำความเป็นระเบียบ เรียบร้อย ให้เกิดขึ้นกับวัดของเราหน่อย หรือถ้าใครไม่ว่าง แต่ถ้ามีเครื่องมืออุปกรณ์เครื่องใช้ เช่น มีด จอบ คราด รถเข็น ก็นำมาให้ยืมด้วยก็ดี"
ครั้นเมื่อหลวงปู่กล่าวเช่นนี้ รุ่งเช้าก็มีผู้คนและชาวบ้านมาช่วยเหลือพร้อมนำอุปกรณ์มาให้ยืมใช้มากมาย เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่สองสัปดาห์ ทุกอย่างภายในวัดตะลุงดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด หญ้าที่เคยขึ้นรกรุงรังก็ได้รับการตัดแต่งให้สม่ำเสมอ ท่าน้ำที่เต็มไปด้วยผักตบและกอหญ้าปล้องก็ถูกกำจัด เก็บขนขึ้นมาเผาและสุมไว้โคนต้นไม้ ที่โล่งแจ้งและที่ว่าง ก็ได้รับการบำรุงรักษาปลูกต้นไม้ยืนต้นและไม้ผล ผู้คนที่แตกแยกกันเป็นพรรคเป็นพวกกลับมารักใคร่ปรองดองกัน มีกิจกรรมน้อยใหญ่ภายในหรือนอกวัดก็ได้รับความร่วมไม้ร่วมมือกันเป็นอย่างดี ทั้งนักบวชและคฤหัสถ์ ซึ่งผิดกับเมื่อก่อนราวฟ้ากับดิน หลวงปู่ท่านได้นำเอาความเป็นมงคลสูงสุดมาสู่แดนดินถิ่นตะลุงนี้โดยแท้
การบวชเณรภาคฤดูร้อน ที่วัดตะลุงครั้งนี้ก็เพื่อทำการปลูก ฝังจริยธรรมศีลธรรมให้แก่เยาวชนลูกหลานของชาวตะลุง หลังจากบวชสามเณรภาคฤดู ร้อนจำนวน 180 รูป แล้วก็พักอบรม เรียนภาควิชาการอยู่ที่วัดตะลุง 2 สัปดาห์ หลวงปู่ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนสามเณรทั้งหมด ทั้งเช้าและเย็น โดยให้พระพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือเรื่องการปกครอง หลวงปู่ท่านนอกจากจะต้องสอนสามเณรและพระแล้ว ทุกวันท่านยังจะต้องคอยตอบปัญหาของชาวบ้านญาติโยม ที่เดินทางมาจากทิศต่างๆ ท่านตรากตรำงานจนท่านล้มป่วยอีก อาการป่วยของท่านมีเลือดออกจากคอ จนเจ็บระบมไม่สามารถพูดได้ ท่านจึงประชุมพระเณรทั้งหมดแล้วขอลาพักชั่วคราว ท่านพักได้ประมาณ 2 วัน ก็มีเหตุให้ท่านต้องออกมาจากกลดของท่าน โดยมีโยมผู้เฒ่าคนหนึ่งพยุงท่านเดินมาที่ศาลา แล้วท่านก็ตีสัญญาณประชุม เมื่อพระเณรมาประชุมกันพร้อมแล้ว ท่านก็หยิบกระดาษมาเขียนข้อความว่า
"สองวันมานี้ขณะที่หลวงปู่พักอยู่ในกลด มีพระพี่เลี้ยง และ สามเณร แอบดูดบุหรี่ ซึ่งถือว่าผิดข้อตกลงในการอยู่ร่วมกับหลวงปู่ ขอให้ผู้ที่ดูดบุหรี่ทั้งหมด ออกมานั่งข้างหน้า"
พระเณรทั้งหมดต่างพากันมองหน้ากันและกัน เพื่อจะหาคน ทำผิด เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ พระพี่เลี้ยง 3 รูป ได้ลุกออกจากแถวมานั่งตรงหน้าหลวงปู่ ต่อมาก็มีเณรลุกเดินออกมาจากแถวอีก 6 รูป
หลวงปู่เขียนข้อความใส่กระดาษว่า "ดีมาก ลูกผู้ชายกล้าทำ ต้องกล้ารับ" แล้วท่านก็เขียนข้อความต่อมาว่า ให้พระพี่เลี้ยงรูปหนึ่งไปหาไม้เรียวมา 1 อัน เมื่อได้ไม้เรียวมาแล้ว ท่านก็ให้ผู้ที่จะถูกทำโทษนอนคว่ำหน้าลง แล้วท่านก็เฆี่ยนคนละ 3 ที หลังจากที่หลวงปู่ได้ทำโทษพระพี่เลี้ยงและเณรที่สูบบุหรี่แล้ว มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นแก่หลวงปู่ หลวงปู่เริ่มพูดและมีเสียงแปลกประหลาด เหมือนกับเสียงของระฆังเงิน ใสและดังกังวานยิ่ง ท่านนำสวดมนต์ด้วยในเย็นวันนั้น พวกเรารู้สึกว่าเคลิบเคลิ้ม และรัญจวนใจอย่างประหลาด เมื่อท่านนำสวดมนต์เย็นจบลงแล้ว ท่านก็อบรมพระเณรต่อ ข้าพเจ้าจำได้แม่นยำว่า หลวงปู่บอกว่าท่านไม่สบายอยู่หลายวัน และก็ไม่มีเสียงพูด แต่ที่ท่านมีเสียงพูดขึ้นมาได้ เพราะท่านทนดูลูกชาวบ้านที่ท่านเพียรพยายามอบรมสั่งสอนมาเองแล้วดันมาทำผิด ระเบียบ
ท่านกล่าวว่า สำหรับคนที่ดีอยู่แล้วไม่ต้องอบรมสั่งสอนมากเพราะจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ทำให้ ใครได้รับความเดือดร้อน แต่สำหรับคนที่ยังไม่ดี คนเหล่านี้ ถ้าจะไปอยู่ที่ไหน อาจจะทำ ให้ใครๆ ได้รับความเดือดร้อน จึงจำเป็นที่หลวงปู่จะต้องหัดดัด กาย วาจาใจขยำขยี้ เพื่อจะสกัด ขจัด ตัดแบ่ง ส่วนที่ไม่ดีๆในตัวตนให้หมดสิ้นไป เมื่อจะไปอยู่ที่ใด นอกจากจะไม่ทำให้ใครๆ เดือดร้อนแล้ว ยังสามารถทำสาระประโยชน์ให้แก่คนทั้งหลายและสังคมคนดี 100 คนจะไปอยู่ในที่ใดๆ ก็ไม่มีใครเดือดร้อน คนไม่ดี 1 คน ไปปะปนกับคนดี อาจจะทำให้คนดีทั้ง 100 เดือดร้อนได้
หลังจากวันที่ลงโทษพระเณรผ่านมาได้หนึ่งวัน หลวงปู่ก็สั่งให้พระเณร ทุกรูปเตรียมตัวออกธุดงค์ไปยังป่าพุแค จังหวัดสระบุรี แล้วหลวงปู่ ก็จัดขบวนแถวพระเณรให้เป็นหมวดหมู่พร้อมทั้งมอบหมายให้พระพี่เลี้ยง ควบคุมดูแล แล้วกำหนดทิศทางให้แต่ละหมู่ ให้ไปปักกลดห่างกันอย่างน้อยคนละ 10 ก้าว
พอถึงช่วงเย็น หลวงปู่ให้สัญญาณร่วมสวดมนต์เย็น หลังจากสวดมนต์เย็นแล้ว ท่านก็ทำพิธีเปิดป่าโดยสั่งให้พระเณรทั้งหมด ก้มลงกราบลงที่พื้น และอย่าเงยหน้า จนกว่าจะได้ยินเสียง วัตถุตกถึงพื้น หลังจากเสร็จพิธีเปิดป่าแล้ว ท่านก็สอนให้พระเณรรู้ถึงอำนาจของป่า และวิธีเอาชนะอำนาจของป่า อำนาจของป่าก็คือความเงียบและความมืด วิธีเอาชนะอำนาจของป่าก็คือ ต้องสงบจิต สยบอารมณ์ของตนให้เงียบยิ่งกว่าป่าที่เงียบแล้ว เมื่อสยบอารมณ์ สงบจิตแล้ว ความสว่างก็จะปรากฏขึ้นแก่จิตเอง จึงจะสามารถเอาชนะความมืดของป่าได้ ผู้ที่เอาชนะอำนาจของป่าได้ย่อมมีอิสระเสรีภาพในการเดินป่า ไม่ว่าจะเป็นวันและเวลาใดเราจะดูคล้ายเป็นหนึ่งเดียวกับป่า เป็นส่วนหนึ่งของป่าและป่าก็จะดูแลรักษาเรา ให้อยู่รอดปลอดภัยจากความทุกข์เดือดร้อนทั้งปวง ก่อนที่จะอนุญาตให้พระเณรไปจำวัด ท่านสอนให้พระเณรสวดมนต์และแผ่เมตตาที่กลดก่อนนอนอีกครั้ง แล้วให้นอนภาวนาว่าขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข จนกว่าจะหลับไปเอง
ปักกลดธุดงค์อยู่ในป่าพุแคอยู่ 3 วัน หลวงปู่ท่านสังเกตเห็นสีหน้า และแววตาของพระเณรหลายองค์กระวนกระวาย ท่านก็เรียกมาจับชีพจรหมดทุกคน แล้วท่านก็ถามว่าตั้งแต่ธุดงค์นี้ ยังไม่ได้ขี้กันเลยใช่ไหม พระเณรก็รับว่าเป็นจริง ท่านเลยหันมาสั่งหัวหน้าเณร ให้ไปเก็บมะขามในป่ามาแจกให้พระเณรฉันพร้อมกับเกลือทุกคน แล้วท่านก็สั่งให้หัวหน้าเณรแต่ละ กลุ่มต้มน้ำร้อนให้ดื่มตามไปด้วย เวลาผ่านมาสักครู่ใหญ่ พระเณรหลายรูปต่างลุกขึ้นไปหาที่ถ่ายกันเป็นแถว
ในช่วงที่ธุดงค์อยู่นี้ หลวงปู่ท่านได้เล่าถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่ท่านได้ไปเจอมาในขณะที่ออกไปธุดงค์อยู่ป่าคนเดียว ซึ่งพระเณรทุกองค์ก็สนใจฟังอย่างใจจดจ่อ บางคืนท่านอบรมและเล่าเรื่องประสบการณ์ของท่านอยู่จนดึก แต่พระเณรทั้งหลายก็ยังตา สว่างพร้อมตั้งใจฟัง เมื่อใกล้จะเดินทางกลับสู่วัดตะลุงท่านได้เรียกประชุมพระพี่เลี้ยงทั้งหมด แล้วท่านก็กล่าวว่า
"ผมพิจารณาดูการทำงานของพวกเราที่ผ่านมา ต่างก็ช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆจนสามารถทำให้งานสำเร็จเรียบร้อยด้วยดีทุก ครั้ง แต่ที่ผมคิดว่า ตัวเราจะป้องกันปัญหาบางอย่างไม่ให้มันเกิดเป็นอุปสรรคในการทำงาน การทำงานนั้นๆ ก็ดูจะสำเร็จเรียบร้อยได้มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างอุปสรรคเรื่องสถานที่สำหรับใช้ทำงาน พวกเราจำเป็นต้องมี เพราะเราจัดอบรมจริยธรรม เผยแผ่สัจธรรมแก่ประชาชนผู้คนทั้งหลายเป็นประจำอยู่แล้ว โดยเฉพาะงานบวชพระเณรภาคฤดูร้อนเป็นร้อยๆ รูป จำเป็นต้องใช้สถานที่ที่เหมาะสม กว้างขวาง สะอาดร่มเย็น และเป็นระยะเวลาแรมเดือน ถ้าเราตะลอนไปอาศัยวัดโน้นบ้างวัดนี้บ้างก็ดูจะเป็นเรื่องยุ่งยาก และต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งยังไปรบกวนกิจกรรมของสมภารเจ้าวัดอีก ถ้าเขาพอใจเห็นด้วยมิจิตใจกว้างยอมรับได้ก็ดีไป แต่ถ้าเค้าไม่พอใจการทำงานนั้นๆ ก็จะเพิ่มปัญหามากขึ้น ซึ่งปัญหาปกติของการงานก็หนักหนาสำหรับพวกท่านอยู่แล้ว ถ้าจะมาเพิ่มปัญหาเกี่ยวกับสถานที่อยู่ขึ้นอีก ผมเกรงว่า พวกท่านจะทนไม่ไหว และจะหมดศรัทธาต่อพระศาสนานี้เสียก่อน ด้วยเหตุผลทั้งหลายเหล่านี้ ผมจึงมีความคิดว่า จะรับที่ดินที่คุณโยม (ทองห่อ วิสุทธิผล) เค้าได้ถวายให้ สร้างวัดประมาณ 19 ไร่ พวกท่านเห็นว่ายังไง ถ้าเห็นด้วย ก็จงสาธุ ถ้าไม่เห็นด้วยก็ให้นิ่งเสีย"
เมื่อหลวงปู่พูดจบพระพี่เลี้ยงทุกรูป ก็ประนมมือเปล่งสาธุการขึ้นพร้อมกันหลวงปูกล่าวว่า "ดีแล้ว หลังจากบวชเณรภาคฤดูร้อนรุ่นนี้ผ่านไปแล้ว เดินทางกลับวัดตะลุงแล้ว ผมจะสอนวิชาขันธมารให้พวกเค้าก่อนจะสึก เพื่อให้พวกเค้าได้เข้าใจถึงความอดทน อดกลั้นชั้นสูง เวลาสึกออกไปเมื่อไปประสบกับปัญหาและเหตุการณ์ใด เขาจะได้รู้จักคิด ยับยั้ง ชั่งใจ และอดทนอดกลั้น ต่อการยั่วยวนต่างๆ ได้โดยไม่ต้องตกไปเป็นทาสของอะไรมากไป แต่วิชาขันธมารนี้ ครั้งใดที่ผมสอนออกไป และผู้ฝึกสามารถเข้าถึงอารมณ์เอกคตาจะทำให้ดินฟ้าอากาศแปรปรวน ซึ่งผมก็หวังว่าการสอนวิชาขันธมาร ในครั้งนี้คงจะเป็นผลดีแก่พวกพระพี่เลี้ยงด้วย" แล้วหลวงปู่ก็แจ้งให้พระพี่เลี้ยงได้ทราบว่า อีก 2 วันเราจะเดินทางกลับวัดตะลุง