วันที่ 3 เม.ย.หลวงปู่ได้จัดบวชพระเณรภาคฤดูร้อนอีกครั้งแต่ เที่ยวนี้ บวชที่วัดตะลุง ต.งิ้วราย อ.เมือง จังหวัดลพบุรี ได้ทราบจากญาติโยมภายในวัดเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่ได้เดินทางมาธุดงค์ ที่เขาบันไดสามแสน อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ขณะที่ท่านพักอยู่ในถ้ำหลังเขาบันไดสามแสน และออกมาบิณฑบาตที่ตลาดท่าวุ้งบ้าง หน้าวัดพระศรีอริยเมตไตรย์บ้างเมื่อชาวบ้านผู้ใส่บาตรถามว่าพระคุณเจ้าอยู่ วัดไหน ท่านก็ตอบว่าอยู่ในถ้ำหลังเขาบันไดสามแสนชาวบ้านถามต่อว่าพระคุณท่านมาถึงที นี่ได้อย่างไร ท่านตอบว่าเดินมา ต่างฝ่ายต่างก็โจษจันกันไปทั่วด้วยสาเหตุสองประการ
ประการแรก ก็คือ เขาบันไดสามแสนห่างจากตัวอำเภอและตลาดหลายสิบกิโล ท่านเดินมาได้ยังไง จะว่าท่านนั่งรถหรือขึ้นพาหนะอะไรมา ก็ไม่เห็น เห็นแต่พอรุ่งสางท่านก็เดินมาถึงหน้าบ้านชาวบ้านแล้ว ชาวบ้านเรียนถามท่านว่า พระคุณเจ้าออกจากที่พักเวลาเท่าไร ท่านตอบว่าประมาณตีห้าเศษๆ แต่ท่านเดินทางมาถึงตลาดและหน้าอำเภอตอน 6 โมงเช้าพอดี และอีกประการหนึ่ง การที่ท่านได้เข้าไปอาศัยอยู่ในถ้ำหลังเขาบันไดสามแสน พวกชาวบ้านท่าวุ้งคนเก่าๆ เค้ารู้กันว่าภายในถ้ำนี้มีเครื่องถ้วยโถโอชาม และแก้วแหวนเงินทอง ซ่อนอยู่มากมาย บางคนพลัดหลงเข้าไปยังเคยได้สมบัติเหล่านี้ติดตัวออกมาก็ยังมีแต่หลายคน เพียรพยายามหาทางเข้าปากถ้ำ เพื่อจะไปเอาสมบัติ เดินหาอยู่เป็นอาทิตย์ ก็ยังหาทางเข้าถ้ำไม่เจอ แต่หลวงปู่ตอบชาวบ้านว่า อยู่ถ้ำหลังเขาบันไดสามแสน จึงทำให้ชาวบ้านสนใจถึงขนาดที่มีคนเดินสะกดรอยตามท่าน แต่ก็ไม่มีใครเดินตามทันท่านสักคน
จนมีอยู่วันหนึ่ง เวลาประมาณบ่ายแก่ๆ หลวงปู่ท่านได้เดินออกมาจากที่พัก และเดินลัดเลาะมาทางหน้าเขาซึ่งเป็นวัด ก็ได้เห็นผู้คนพากันมาถามหาท่าน และรอที่จะพบท่านเป็นจำนวนมาก และในจำนวนผู้คนเหล่านี้ก็มีทั้งบรรดาผู้ที่ใส่บาตรท่านในตอนเช้า และคนที่แปลกหน้ารวมทั้งพระเณรมาในกลุ่มนี้ด้วย มีอยู่คนหนึ่ง เหลือบเห็นท่านเดินลัดมาทางหลังเขา ก็ร้องบอกพรรคพวกว่า หลวงปู่ท่านออกมาหาแล้ว ไม่ต้องไปค้นหาให้เหนื่อยแล้ว แล้ว ทุกคนก็นั่งลงกราบกับพื้นโดยพร้อมเพรียงกันด้วยความลิงโลด มีผู้อาวุโสใน กลุ่ม นิมนต์ให้ท่านนั่งลงตรงก้อนหินก้อนหนึ่ง โดยเอาผ้าขาวม้าที่เตรียมมาปูรองให้ท่านได้นั่ง แล้วก็ต่างฝ่ายต่างนำเครื่องบูชานานาสารพันถวายต่อหลวงปู่พร้อมมีผู้หนึ่ง พูดขึ้นว่า พวกผมมาถึงที่นี่ตั้งแต่ก่อนเพล หวังว่าจะนำเอาอาหารมาถวาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปถวายพ่อปู่ได้ที่ไหน เพราะช่วยกันเดินหาอยู่หลายรอบ ก็หาไม่เจอ และไม่มีใครรู้ว่าถ้ำอยู่ที่ไหน เห็นว่าเลยเพลมานานแล้ว และเหนื่อยกับหิวด้วย ก็เลยกินอาหารเหล่านั้นหมดแล้ว กราบขอขมา ต่อพ่อปู่ด้วย
หลวงปู่ท่านนั่งยิ้มแล้วพยักหน้าแสดงกิริยารับรู้และอนุญาต ในสิ่งที่โยมเหล่านั้น ได้กระทำไป พร้อมกับหันไปมองกลุ่มพระเณร ที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง ก็มีเสียงตอบออกมาจากกลุ่มพระเณรว่า "พวก เกล้าพึ่งจะเดินทางมาถึงได้ครู่ใหญ่ ก็พอดีพระเดชพระคุณออกมา พอดี" แล้วเวลาต่อมาหลวงปู่ได้แสดงธรรมอยู่เป็นเวลาพอสมควร แล้วก็บอกให้ญาติโยมพร้อมกับพระเณรกลับได้แล้วประเดี๋ยวจะมืดค่ำเดินทาง ลำบาก เพราะทุกคนก็อยู่ไกลๆ กันทั้งนั้น ทุกคนก็ยังไม่อยากกลับแต่ก็มิกล้าขัดขืน พร้อมกับได้อาราธนาหลวงปู่ให้ออกมาโปรดอีกในตอนบ่ายของวันพรุ่งนี้ ซึ่งตรงกับวันพระ ท่านก็ยิ้มรับโดยดุษฎี
คุณโยมเล่าว่า เจ้าอาวาสวัดตะลุง ก็ได้ไปฟังธรรมจากหลวงปู่และถามปัญหา หลวงปู่ก็ตอบปัญหา จนเจ้าอาวาสวัดตะลุง เข้าใจและศรัทธา แสดงเจตนาที่จะขอเป็นศิษย์ท่าน ท่านมองหน้าเจ้าอาวาสวัดตะลุง แล้วก็ยิ้ม พร้อมกับพูดว่า
"ท่านแน่ใจที่จะมาเป็นศิษย์ผมหรือ มันลำบากนะ แล้วผมก็ เป็นคนโง่ ปัญญาทราม ส่วนท่านเป็นถึงมหาเปรียญมีความชาญฉลาด ผมคงไม่มีอะไรจะสอนท่านได้"
เจ้าอาวาส กล่าวตอบว่า "ผมแน่ใจครับ และผมคิดว่า ด้วย สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ พร้อมทั้งประสบการณ์ทางวิญญาณ ที่มีอยู่ในตัวของหลวงปู่ สามารถสอนเกล้ากระผมได้แน่นอนครับ" หลวงปู่เห็นความตั้งใจจริงของเจ้าอาวาสวัดตะลุงเช่นนั้น จึงรับปากที่จะรับเจ้าอาวาสเป็นศิษย์ แต่ต้องมีข้อแม้ว่า เจ้าอาวาสจะต้องตักน้ำล้างเท้าของหลวงปู่พร้อมกับเช็ดหน้า และกราบเท้าท่านก่อน ถ้าทำได้ดังนี้ ท่านก็ยินดีรับสมภารวัดตะลุงเป็นศิษย์ สมภารวัดตะลุงก็ยินดียอมรับทำตาม ท่านจึงกล่าวว่า
"ท่านอยู่วัดไหน จงกลับไปที่วัดของท่าน แล้วอีก 1 อาทิตย์ ตรงกับวันนี้ เวลา 1 ทุ่มตรง จงเรียกประชุมกรรมการ วัดและชาวบ้านให้มาพร้อมกันที่ ศาลาการเปรียญ และผมจะเดินทางไปรับท่านเป็นศิษย์ ด้วยวิธีกรรมของผม"
เมื่อถึงเวลากำหนด หลวงปู่ได้เดินทางมาที่วัดตะลุง พร้อมพระติดตาม อีก 4 รูป หลวงปู่ได้เข้าไปกราบพระพุทธรูปในศาลาท่ามกลางสายตาคณะกรรมการและชาวบ้าน เป็นร้อยๆ คู่ หลังจากกราบพระพุทธรูปเรียบร้อย ท่านได้นั่งในที่ที่สมภารจัดให้ แล้วหลวงปู่ก็ประกาศแนะนำตัวหลวงปู่ พร้อมกับบอกจุดประสงค์ในการมาของหลวงปู่ให้กรรมการและชาวบ้านได้ทราบ แล้วก็บอกถึงวิธีรับศิษย์ของท่านคือ สมภารต้องล้างเท้าและเช็ดเท้า พร้อมกับกราบเท้าท่าน ต่อหน้ามหาชนทั้งหลายพร้อมทั้งประกาศตนว่าเป็น ศิษย์ของหลวงปู่พุทธะอิสระ
แล้วหลวงปู่ก็หันมากล่าวกับเจ้าอาวาสวัดตะลุงว่า "ท่านกล้า ทำตามนี้ไหม" สมภารวัดตะลุงกล่าวตอบว่า "กล้าครับ"
ท่านจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า ถ้างั้นก็เริ่มพิธีได้แล้ว พิธีรับสมภารเป็นศิษย์ ได้ผ่านพ้นไปด้วยดี พร้อมด้วยเสียงสาธุ สาธุ ของ มหาชนชาววัดตะลุง ดังลั่นศาลา
หลวงปู่จึงกล่าวกับชาวบ้านทั้งหลายว่า "เมื่อฉันรับเจ้าอาวาสวัดนี้เป็น สานุศิษย์ ฉันก็จะทำหน้าที่ของครูที่ดีคือ อบรมสั่งสอน สนับสนุนส่งเสริมและป้องกันภัย ส่วนสาเหตุที่ฉันต้องกำหนดพิธีรับศิษย์แบบพิสดารเช่นนี้ เหตุเพราะฉันต้องการที่จะทำลายมานะ ความถือตัวถือตนของผู้ที่เป็นมหาเปรียญ และเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ของคนที่จะมาเป็นศิษย์ฉัน เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นตัวกางกั้นขัดขวางความดี ขัดขวางปัญญาที่จะหยั่งรู้ในสรรพวิทยาทั้งปวงและสิ่งที่สานุศิษย์ของฉันควร จะมี ก็คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน พึ่งตนเองได้และทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่นได้"
คุณโยมได้เล่าต่อให้ข้าพเจ้าฟังว่า หลังจากที่หลวงปู่ได้รับสมภารเป็น ศิษย์แล้วท่านได้ให้โอวาทและอบรมธรรมให้มหาชนทั้งหลายฟังอยู่จนถึง เวลา 4 ทุ่มครึ่ง ซึ่งดูจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์สำหรับชาวบ้านวัดตะลุง เพราะโดยปกติชาวบ้านมาวัดทำบุญรับศีลแล้วก็กลับ ถ้าจะมีการฟังเทศน์ก็จะเหลือแต่คนแก่ ๆ นั่งฟังอยู่ไม่กี่คน จนบางทีเสาศาลายังจะมีมากกว่าโยมที่ฟังเทศน์เสียอีก แต่คืนนี้ทุกคนประมาณร่วม 200 ชีวิต ซึ่งมีทั้งคนแก่ปานกลาง คนหนุ่มสาวและเด็ก ต่างคนต่างนั่งนิ่งเงียบ รับฟังธรรมหลวงปู่อยู่จนกระทั่ง หลวงปู่ท่านไล่ให้กลับบ้านไปนอน ชาวบ้านจึงจะยอมกลับ หลังจากชาวบ้านกลับไปหมดแล้ว ท่านก็เรียกสมภารวัดตะลุงเข้ามาหาแล้วก็กล่าวว่า
"ผมสังเกตดูชาวบ้านที่มานั่งฟังธรรมแยกกันเป็นกลุ่ม เป็น ก๊กเป็นเหล่าดูถ้าจะไม่ลงรอยกัน"
สมภารวัดจึงกราบเรียนท่านว่า เป็นจริงดังที่ท่านกล่าว ท่านจึงว่า "ผมคงต้องเริ่มทำหน้าที่ครูของท่าน คือช่วยป้อง กันภัยพิบัติ อันจะเกิดจากความแตกแยกของคนภายในวัดและนอกวัด โดยให้พวกเขาสามัคคีกลมเกลียวกันให้ได้ เอาเป็นว่าผมตกลงใจที่จะพักที่นี่สัก 2 อาทิตย์ก็แล้วกัน วันพรุ่งนี้ตอนหัวค่ำสมภารช่วยตีเกราะเรียกประชุมชาวบ้าน และแจ้งเรื่องนี้ที่ผมจะอยู่ที่นี่ให้พวกเค้าได้รับรู้
ประการแรก ก็คือ เขาบันไดสามแสนห่างจากตัวอำเภอและตลาดหลายสิบกิโล ท่านเดินมาได้ยังไง จะว่าท่านนั่งรถหรือขึ้นพาหนะอะไรมา ก็ไม่เห็น เห็นแต่พอรุ่งสางท่านก็เดินมาถึงหน้าบ้านชาวบ้านแล้ว ชาวบ้านเรียนถามท่านว่า พระคุณเจ้าออกจากที่พักเวลาเท่าไร ท่านตอบว่าประมาณตีห้าเศษๆ แต่ท่านเดินทางมาถึงตลาดและหน้าอำเภอตอน 6 โมงเช้าพอดี และอีกประการหนึ่ง การที่ท่านได้เข้าไปอาศัยอยู่ในถ้ำหลังเขาบันไดสามแสน พวกชาวบ้านท่าวุ้งคนเก่าๆ เค้ารู้กันว่าภายในถ้ำนี้มีเครื่องถ้วยโถโอชาม และแก้วแหวนเงินทอง ซ่อนอยู่มากมาย บางคนพลัดหลงเข้าไปยังเคยได้สมบัติเหล่านี้ติดตัวออกมาก็ยังมีแต่หลายคน เพียรพยายามหาทางเข้าปากถ้ำ เพื่อจะไปเอาสมบัติ เดินหาอยู่เป็นอาทิตย์ ก็ยังหาทางเข้าถ้ำไม่เจอ แต่หลวงปู่ตอบชาวบ้านว่า อยู่ถ้ำหลังเขาบันไดสามแสน จึงทำให้ชาวบ้านสนใจถึงขนาดที่มีคนเดินสะกดรอยตามท่าน แต่ก็ไม่มีใครเดินตามทันท่านสักคน
จนมีอยู่วันหนึ่ง เวลาประมาณบ่ายแก่ๆ หลวงปู่ท่านได้เดินออกมาจากที่พัก และเดินลัดเลาะมาทางหน้าเขาซึ่งเป็นวัด ก็ได้เห็นผู้คนพากันมาถามหาท่าน และรอที่จะพบท่านเป็นจำนวนมาก และในจำนวนผู้คนเหล่านี้ก็มีทั้งบรรดาผู้ที่ใส่บาตรท่านในตอนเช้า และคนที่แปลกหน้ารวมทั้งพระเณรมาในกลุ่มนี้ด้วย มีอยู่คนหนึ่ง เหลือบเห็นท่านเดินลัดมาทางหลังเขา ก็ร้องบอกพรรคพวกว่า หลวงปู่ท่านออกมาหาแล้ว ไม่ต้องไปค้นหาให้เหนื่อยแล้ว แล้ว ทุกคนก็นั่งลงกราบกับพื้นโดยพร้อมเพรียงกันด้วยความลิงโลด มีผู้อาวุโสใน กลุ่ม นิมนต์ให้ท่านนั่งลงตรงก้อนหินก้อนหนึ่ง โดยเอาผ้าขาวม้าที่เตรียมมาปูรองให้ท่านได้นั่ง แล้วก็ต่างฝ่ายต่างนำเครื่องบูชานานาสารพันถวายต่อหลวงปู่พร้อมมีผู้หนึ่ง พูดขึ้นว่า พวกผมมาถึงที่นี่ตั้งแต่ก่อนเพล หวังว่าจะนำเอาอาหารมาถวาย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปถวายพ่อปู่ได้ที่ไหน เพราะช่วยกันเดินหาอยู่หลายรอบ ก็หาไม่เจอ และไม่มีใครรู้ว่าถ้ำอยู่ที่ไหน เห็นว่าเลยเพลมานานแล้ว และเหนื่อยกับหิวด้วย ก็เลยกินอาหารเหล่านั้นหมดแล้ว กราบขอขมา ต่อพ่อปู่ด้วย
หลวงปู่ท่านนั่งยิ้มแล้วพยักหน้าแสดงกิริยารับรู้และอนุญาต ในสิ่งที่โยมเหล่านั้น ได้กระทำไป พร้อมกับหันไปมองกลุ่มพระเณร ที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง ก็มีเสียงตอบออกมาจากกลุ่มพระเณรว่า "พวก เกล้าพึ่งจะเดินทางมาถึงได้ครู่ใหญ่ ก็พอดีพระเดชพระคุณออกมา พอดี" แล้วเวลาต่อมาหลวงปู่ได้แสดงธรรมอยู่เป็นเวลาพอสมควร แล้วก็บอกให้ญาติโยมพร้อมกับพระเณรกลับได้แล้วประเดี๋ยวจะมืดค่ำเดินทาง ลำบาก เพราะทุกคนก็อยู่ไกลๆ กันทั้งนั้น ทุกคนก็ยังไม่อยากกลับแต่ก็มิกล้าขัดขืน พร้อมกับได้อาราธนาหลวงปู่ให้ออกมาโปรดอีกในตอนบ่ายของวันพรุ่งนี้ ซึ่งตรงกับวันพระ ท่านก็ยิ้มรับโดยดุษฎี
คุณโยมเล่าว่า เจ้าอาวาสวัดตะลุง ก็ได้ไปฟังธรรมจากหลวงปู่และถามปัญหา หลวงปู่ก็ตอบปัญหา จนเจ้าอาวาสวัดตะลุง เข้าใจและศรัทธา แสดงเจตนาที่จะขอเป็นศิษย์ท่าน ท่านมองหน้าเจ้าอาวาสวัดตะลุง แล้วก็ยิ้ม พร้อมกับพูดว่า
"ท่านแน่ใจที่จะมาเป็นศิษย์ผมหรือ มันลำบากนะ แล้วผมก็ เป็นคนโง่ ปัญญาทราม ส่วนท่านเป็นถึงมหาเปรียญมีความชาญฉลาด ผมคงไม่มีอะไรจะสอนท่านได้"
เจ้าอาวาส กล่าวตอบว่า "ผมแน่ใจครับ และผมคิดว่า ด้วย สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ พร้อมทั้งประสบการณ์ทางวิญญาณ ที่มีอยู่ในตัวของหลวงปู่ สามารถสอนเกล้ากระผมได้แน่นอนครับ" หลวงปู่เห็นความตั้งใจจริงของเจ้าอาวาสวัดตะลุงเช่นนั้น จึงรับปากที่จะรับเจ้าอาวาสเป็นศิษย์ แต่ต้องมีข้อแม้ว่า เจ้าอาวาสจะต้องตักน้ำล้างเท้าของหลวงปู่พร้อมกับเช็ดหน้า และกราบเท้าท่านก่อน ถ้าทำได้ดังนี้ ท่านก็ยินดีรับสมภารวัดตะลุงเป็นศิษย์ สมภารวัดตะลุงก็ยินดียอมรับทำตาม ท่านจึงกล่าวว่า
"ท่านอยู่วัดไหน จงกลับไปที่วัดของท่าน แล้วอีก 1 อาทิตย์ ตรงกับวันนี้ เวลา 1 ทุ่มตรง จงเรียกประชุมกรรมการ วัดและชาวบ้านให้มาพร้อมกันที่ ศาลาการเปรียญ และผมจะเดินทางไปรับท่านเป็นศิษย์ ด้วยวิธีกรรมของผม"
เมื่อถึงเวลากำหนด หลวงปู่ได้เดินทางมาที่วัดตะลุง พร้อมพระติดตาม อีก 4 รูป หลวงปู่ได้เข้าไปกราบพระพุทธรูปในศาลาท่ามกลางสายตาคณะกรรมการและชาวบ้าน เป็นร้อยๆ คู่ หลังจากกราบพระพุทธรูปเรียบร้อย ท่านได้นั่งในที่ที่สมภารจัดให้ แล้วหลวงปู่ก็ประกาศแนะนำตัวหลวงปู่ พร้อมกับบอกจุดประสงค์ในการมาของหลวงปู่ให้กรรมการและชาวบ้านได้ทราบ แล้วก็บอกถึงวิธีรับศิษย์ของท่านคือ สมภารต้องล้างเท้าและเช็ดเท้า พร้อมกับกราบเท้าท่าน ต่อหน้ามหาชนทั้งหลายพร้อมทั้งประกาศตนว่าเป็น ศิษย์ของหลวงปู่พุทธะอิสระ
แล้วหลวงปู่ก็หันมากล่าวกับเจ้าอาวาสวัดตะลุงว่า "ท่านกล้า ทำตามนี้ไหม" สมภารวัดตะลุงกล่าวตอบว่า "กล้าครับ"
ท่านจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า ถ้างั้นก็เริ่มพิธีได้แล้ว พิธีรับสมภารเป็นศิษย์ ได้ผ่านพ้นไปด้วยดี พร้อมด้วยเสียงสาธุ สาธุ ของ มหาชนชาววัดตะลุง ดังลั่นศาลา
หลวงปู่จึงกล่าวกับชาวบ้านทั้งหลายว่า "เมื่อฉันรับเจ้าอาวาสวัดนี้เป็น สานุศิษย์ ฉันก็จะทำหน้าที่ของครูที่ดีคือ อบรมสั่งสอน สนับสนุนส่งเสริมและป้องกันภัย ส่วนสาเหตุที่ฉันต้องกำหนดพิธีรับศิษย์แบบพิสดารเช่นนี้ เหตุเพราะฉันต้องการที่จะทำลายมานะ ความถือตัวถือตนของผู้ที่เป็นมหาเปรียญ และเกียรติยศ ศักดิ์ศรี ของคนที่จะมาเป็นศิษย์ฉัน เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นตัวกางกั้นขัดขวางความดี ขัดขวางปัญญาที่จะหยั่งรู้ในสรรพวิทยาทั้งปวงและสิ่งที่สานุศิษย์ของฉันควร จะมี ก็คือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน พึ่งตนเองได้และทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่นได้"
คุณโยมได้เล่าต่อให้ข้าพเจ้าฟังว่า หลังจากที่หลวงปู่ได้รับสมภารเป็น ศิษย์แล้วท่านได้ให้โอวาทและอบรมธรรมให้มหาชนทั้งหลายฟังอยู่จนถึง เวลา 4 ทุ่มครึ่ง ซึ่งดูจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์สำหรับชาวบ้านวัดตะลุง เพราะโดยปกติชาวบ้านมาวัดทำบุญรับศีลแล้วก็กลับ ถ้าจะมีการฟังเทศน์ก็จะเหลือแต่คนแก่ ๆ นั่งฟังอยู่ไม่กี่คน จนบางทีเสาศาลายังจะมีมากกว่าโยมที่ฟังเทศน์เสียอีก แต่คืนนี้ทุกคนประมาณร่วม 200 ชีวิต ซึ่งมีทั้งคนแก่ปานกลาง คนหนุ่มสาวและเด็ก ต่างคนต่างนั่งนิ่งเงียบ รับฟังธรรมหลวงปู่อยู่จนกระทั่ง หลวงปู่ท่านไล่ให้กลับบ้านไปนอน ชาวบ้านจึงจะยอมกลับ หลังจากชาวบ้านกลับไปหมดแล้ว ท่านก็เรียกสมภารวัดตะลุงเข้ามาหาแล้วก็กล่าวว่า
"ผมสังเกตดูชาวบ้านที่มานั่งฟังธรรมแยกกันเป็นกลุ่ม เป็น ก๊กเป็นเหล่าดูถ้าจะไม่ลงรอยกัน"
สมภารวัดจึงกราบเรียนท่านว่า เป็นจริงดังที่ท่านกล่าว ท่านจึงว่า "ผมคงต้องเริ่มทำหน้าที่ครูของท่าน คือช่วยป้อง กันภัยพิบัติ อันจะเกิดจากความแตกแยกของคนภายในวัดและนอกวัด โดยให้พวกเขาสามัคคีกลมเกลียวกันให้ได้ เอาเป็นว่าผมตกลงใจที่จะพักที่นี่สัก 2 อาทิตย์ก็แล้วกัน วันพรุ่งนี้ตอนหัวค่ำสมภารช่วยตีเกราะเรียกประชุมชาวบ้าน และแจ้งเรื่องนี้ที่ผมจะอยู่ที่นี่ให้พวกเค้าได้รับรู้