หลังจากกลับมาสู่วัดตะลุงแล้ว เย็นวันนั้นหลวงปู่ใช้ให้พระพี่เลี้ยงไปตักเศษอาหารที่ทิ้งอยู่ในถัง และกองขยะ และให้ตัก น้ำอุจจาระมาผสมกับเศษอาหารแล้วสั่งให้พระเณรทั้งหมดเปลื้องจีวรและอังสะออก ให้เหลือแต่ผ้านุ่งคือสบง ท่านออกคำสั่งให้พระเณรทุกองค์ไปนั่งเป็นแถวทิ้งระยะห่างกันประมาณ 2 ศอก ที่บริเวณลานวัดโดย นั่งขัดสมาธิแล้วแต่จะถนัดสิ่งสำคัญคือลำตัวตั้งตรง สายตาทอดลงต่ำ นั่งด้วยความผ่อนคลาย แล้วท่านก็สอนให้เดินลมหายใจเข้าเบา ๆ ลึก หายใจออกนิ่มนวลผ่อนคลาย จนกายกับใจรวมกันเป็นหนึ่งหลวงปู่ท่านสอนว่า ต่อแต่นี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะต้องใช้ความสงบที่ได้จากกายรวมใจสยบความสับสนวุ่นวายและอึดอัดขัดเคือง แล้วท่านก็ใช้ขันตักน้ำอุจจาระกับเศษอาหารราดตัวพระเณรทุกรูปจนครบ สำหรับข้าพเจ้าตอนนั้นยังรู้สึกกังวลว่า ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นขณะกำลังคิดอยู่เช่นนี้ หลวงปู่ท่านก็ตักน้ำอุจจาระและเศษอาหารมาราดลงที่ลำตัวตั้งแต่หัวไหล่ลงไป ตอนนั้นข้าพเจ้าบังเกิดความรู้สึกอึดอัดขยะแขยง อยากจะลืมตาและลุกขึ้นวิ่งไปกระโดดลงในแม่น้ำให้รู้แล้วรู้รอด ดูเหมือนกับว่าหลวงปู่ท่านจะทราบท่านเดินมายืนอยู่ใกล้ๆ ตัวข้าพเจ้า แล้วใช้มือจับที่หัวของข้าพเจ้าแล้วก็กล่าวว่าสงบอารมณ์ไว้ไอ้หนู ช่วงนั้นข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่ามือของหลวงปู่ท่านช่างใหญ่โตเสียจริงๆเพราะ เพียงแค่ฝ่ามือเดียวก็สามารถคลุมศีรษะของข้าพเจ้าได้มิดหมดเลย และมีความรู้สึกว่ามีไอเย็นออกมาจากฝ่ามือของท่าน จนทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกจิตสงบเป็นสุข และอบอุ่น อย่างประหลาด
ครู่ต่อมาก็บังเกิดลมกรรโชกมากระทบตัวอย่างแรง ท้อง ฟ้าแปรปรวน มีเสียงฟ้าร้องคึกคะนองเป็นระยะๆ เวลาต่อมาฝนก็เทลงมาห่าใหญ่ ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าเบาสบายใจอย่างบอกไม่ถูก และเลยไปคิดถึงคำพูดของหลวงปู่ ที่ว่าวิชาขันธมารนี้ถ้าฝึกตอนแดดออก ฝนก็จะตก ถ้าฝึกตอนฝนตก แดดก็จะออก
หลังจากหลวงปู่ฝึกวิชาขันธมารผ่านมาสองวัน ก็ถึงกำหนดวันสึกของสามเณรภาคฤดูร้อน วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกหดหู่มาก รวมทั้งสามเณรองค์อื่นๆด้วย ในเวลาสึกหลวงปู่จัดให้มีพิธีขอขมาต่อพระพี่เลี้ยง สามเณรและพระใหม่ทุกองค์ต่างร่ำไห้อาลัยรักต่อองค์หลวงปู่และพระพี่เลี้ยง หลวงปู่ท่านโปรดเมตตาให้ปัจฉิมโอวาท และส่งมอบเด็กที่จะสึกจากพระเณรแล้ว ให้กลับเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของพ่อแม่ และท่านก็นำให้ทิดสึกใหม่เหล่านั้นกราบฝากตนเอง ต่อพ่อแม่ และขอศีลขอพรต่อพ่อแม่ ทำเอาพ่อแม่ทั้งหลายพากันตื้นตันน้ำตาไหลไปตามๆ กัน เพราะบางคนมาสารภาพต่อหลวงปู่ว่า ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นลูกกราบเท้าพ่อแม่เลย เมื่อลูกได้ผ่านการอบรมตลอด 1 เดือน ทำให้เห็นว่าลูกมีกิริยามารยาทอ่อนน้อม เรียบร้อยน่ารักมากขึ้น ยังมีสามเณรที่ยังไม่สึกอยู่ประมาณ 10 กว่าองค์ เพื่ออยู่ช่วยกันซักผ้าสบงจีวรและผ้าเช็ดตัว รวมทั้งทำความสะอาดสถานที่ทุกแห่งภายในวัดตะลุง และก็ช่วยกันเก็บผ้าพับบรรจุเข้าหีบห่อ
และก็เช่นเคย การกระทำทุกอย่างงานทุกชนิด หลวงปู่จะต้องเป็นผู้นำในการลงมือทำเสมอ เมื่อเก็บทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ก็ชวนพระ เณรทั้งหมด มีประมาณ 15 รูป เดินทางไปจังหวัดนครปฐม พวกเรามาถึงที่ที่คุณโยมทองห่อ ถวายให้หลวงปู่ได้สร้างวัด พอมาเห็นสภาพสถานที่ ทุกคนก็เริ่มแสดงอาการกังวลต่อความลำบากที่จะเกิดขึ้นในวันที่จะมาถึงข้าง หน้า และพวกเราก็แอบคุยกันว่า มองไม่เห็นแววว่าจะเป็นวัดได้เลย โดยไม่ทราบว่าหลวงปู่ท่านมายืนอยู่ข้างหลัง ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วท่านก็กล่าวว่า
"แล้วข้าจะทำให้พวกเอ็งได้เห็นว่า แววของวัดนี้จะเกิดขึ้นได้ อย่างไร"
นับแต่นั้นมาทุกวันหลังจากฉันภัตตาหารเช้าแล้ว หลวงปู่จะ เป็นผู้นำพาพวกเราทำงาน ถางหญ้า ขุดดิน ปลูกต้นไม้ จนถึง 6 โมงเย็นหรือบางวันก็พระอาทิตย์ตกดินแล้ว หลวงปู่จึงจะเลิกทำงาน ตอนพวกเรามาอยู่ที่สถานที่จะสร้างวัดอ้อน้อยแห่งนี้ สภาพพื้นที่ทั่วไป ส่วนใหญ่จะมีแต่ที่ลุ่มมีน้ำขังแค่ เอวบ้าง หัวเข่าบ้าง บางช่วงก็ลึกถึงหน้าอก จะมีที่ดอนอยู่หน่อยก็ตรงโรง ครัวหรือหอฉัน คะเนก็คงจะมีเนื้อที่ที่น้ำไม่ท่วมอยู่ประมาณ 1 ไร่เศษๆนอกนั้นเป็นที่ที่มีน้ำท่วมทั้งนั้น แรกๆ พวกเราก็มาปักกลดอยู่ ต่อมาหลวงปู่เรียกช่างพื้นบ้านมาปลูกกระต๊อบให้ เป็นทั้งที่พัก ศาลาสวดมนต์ ที่ประชุมสวดมนต์ และต้อนรับผู้คนที่มานมัสการหลวงปู่ รวมทั้งเป็นโรงครัวไปในตัวด้วย ไม่ว่าจะทำงานเหนื่อยและหนักขนาดไหน ทุกเย็นตอนหัวค่ำ หลวงปู่ ท่านจะนำพวกเราสวดมนต์โดยอาศัยแสงสว่างจากตะเกียงและเทียนพรรษา เป็นเครื่องส่องให้เห็นตัวหนังสือ หลังจากสวดมนต์แล้วท่านก็จะอบรมขจัดขัดเกลานิสัย และแก้ไขพฤติกรรมของพวกเรา ท่านจะคอยชี้บอกพวกเราว่าใครมีนิสัยและพฤติกรรมอย่างไร และมีอะไรต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขบ้าง ท่านจะอบรมพวกเราทุกวันไม่เว้นจนถึงเวลา 3 ทุ่มเศษ ท่านก็จะบอกให้แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นหลวงปู่เดินออกมายืนนอกที่พัก แล้วก็มองไปทางที่ที่มีน้ำท่วม แล้วก็พึมพำว่า
"ดูท่าคงจะต้องขุดเพื่อจำกัดน้ำให้อยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ถ้าไม่พอ คงต้องซื้อดินมาถมเอง แล้วเราจะเอาสตางค์ที่ไหนหละหว่า"
แล้วท่านก็ยืนเงียบๆ อยู่เช่นนั้นพักใหญ่ แล้วท่านก็เดินเข้า ไปจำวัด รุ่งขึ้นเช้าหลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว ตอนสายๆ มีรถแล่นเข้ามาจอดยังที่พัก คนที่ลงจากรถก็คือคุณโยมทองห่อ วิสุทธิผล ท่านได้เข้ามาสนทนากับหลวงปู่ ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่ท่านกำลังนั่งเย็บหมวกเจ็กอยู่ แล้วท่านก็ทักว่า "อ้าวมาแต่เช้าเชียว ไปไหนมาหละ" คุณโยมทองห่อก็แจ้งต่อหลวงปู่ว่าจะนำเงินมาถวาย สำหรับเป็นค่าถมที่ดิน ประมาณ 3 แสนบาท หลวงปู่ก็กล่าวว่า"ขอบใจ" แล้วก็เรียกหลวงตาสนิทมารับเงินที่คุณโยมทองห่อนำมาถวายแล้ว เอาไปเก็บนับแต่วันนั้นมาท่านก็ทำงานหนักเพิ่มขึ้น โดยที่จะต้องไปคอยดูรถขุดดินขุดตามที่ท่านกำหนด พร้อมกับปลูกต้นไม้ไปด้วย หลวงปู่ท่านเป็นนักบริหารเวลาได้อย่างยอดเยี่ยม ท่านจะคอยเตือนพวกเราอยู่เสมอว่า
สิ่งที่มีค่าที่สุด มิใช่แก้วแหวนเงินทอง หรือ เพชรนิลจินดา แต่เป็นเวลาต่าง หาก เหตุเพราะ แก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดาสูญหายยังหาใหม่ได้ แต่เวลาที่สูญเสียไปเราเรียกคืนมาไม่ได้ เหตุนี้ผู้มีปัญญาจะต้องบริหารเวลาเป็น จึงจะถือว่ามีกำไรในการดำรงชีวิต คงเป็นเพราะเหตุนี้ละกระมัง พวกเราจึงไม่เคยเห็นท่านนอนกลางวันเลย และยังไม่เคยเห็นท่านนั่งหรือนอนอยู่เฉยๆ เลย ตลอดเวลา 7 ปี ที่ได้มีโอกาสอยู่ร่วมกับท่าน
หลังจากหลวงปู่ได้ให้รถขุดดินกักน้ำไว้ในที่หนึ่งแล้ว ดินที่ขุดขึ้นมา ก็นำมาถมในที่ที่ท่านกำหนด เพียงเวลาไม่ถึงเดือน ท่านสามารถทำให้ที่ดินที่มีแต่น้ำท่วมมาตลอดเป็นระยะเวลาหลายสิบปี เป็นที่ดอนที่น้ำไม่ท่วมและยังมีบ่อกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ในทุกฤดูได้อีก
หลังจากนั้นวันหนึ่งตอนเย็นท่านได้เรียกพระเณรมาประชุม และแจ้งให้ทราบว่าตอนนี้ดินที่รถขุดขึ้นมาถม ยังไม่ทรุดตัวดี คงยังก่อสร้างสิ่งใดที่เป็นถาวรไม่ได้ เดี๋ยวจะทรุดตามดินไปด้วย คงจะทำได้ก็คงแค่ปลูกสร้างโรงเรือนชั่วคราว เราคงต้องไปจัดหาไม้ไผ่มาทำที่พักชั่วคราวกันก่อน ก่อนที่จะถึงฤดูเข้าพรรษา และขณะนี้ดินก็กำลังเปียกชื้นอยู่ เหมาะแก่การปลูกต้นไม้ ที่อุ้มน้ำโตไวเช่นต้นกล้วย ถ้าจะปลูกไม้เนื้อแข็ง โตช้าคงจะทนแล้งไม่ได้แน่ในที่ประชุมก็ตกลงกันว่าจะปลูกต้นกล้วยก่อน ปลูกไปพร้อมๆ กับการสร้างที่พักไม้ไผ่ พอเริ่มที่จะจัดทำที่พัก เณรและพระที่เดิมเคยมีจำนวน 15 รูป ก็หนีหาย เดินทางไปอยู่ที่อื่นคงเป็นเพราะทนลำบากมิได้ ยังเหลือแต่หลวงปู่ หลวงตาสนิท อาจารย์เปา อาจารย์เพชร เณรจกและข้าพเจ้า หลังจากที่พระ เณรไปแล้ว หลวงปู่ท่านกล่าวว่า พวกเค้าคงทนลำบากไม่ได้ และคงจะไม่เชื่อ ว่าที่นี้จะเป็นวัดได้ ไม่เป็นไรถึงจะไม่มีใครเลยมีแต่ตัวหลวงปู่องค์เดียว ท่านก็จะทำ ให้ที่นี้เป็นวัดให้ได้ ด้วยความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยวของหลวงปู่ ทำให้พวกเราเริ่มฟื้นฟูกำลังใจขึ้นมาได้อีกครั้ง หลังจากที่ต้องเสียไปกับการที่เพื่อน พระเณรทิ้งพวกเราไป ถัดจากวันนั้นมาอีกประมาณ 2 วันมีคนมาบอกขายกอไผ่สีสุก ให้กับหลวงปู่ 3 กอในราคา 1,200 บาท ท่านก็ตกลงซื้อเอาไว้ ซึ่งคนขายได้มีข้อแม้ว่าจะต้องไปตัดและ ขนไม้ไผ่ให้แล้วเสร็จภายใน 3 วัน เพราะเขาจะเอารถไถมาไถที่เพื่อจะปลูกอ้อย หลวงปู่กล่าวกับเขาว่า "ไม่ต้องห่วง ข้าจะตัดแล้วขนให้เสร็จภายใน 2 วัน"
วันรุ่งขึ้น ท่านก็พาพวกเราไปตัดไผ่ ซึ่งจะต้องเดินข้ามทุ่งนา และบ่อปลาของชาวบ้านไป 2-3 หลังคาเรือน พอดีวันนั้นคุณโยมสมหมายและโยมต๊ะ ภรรยาเจ้าของโรงโอ่งดินทองราชบุรี พาลูกๆ และแม่ นำเอาอาหารมาทำบุญ พวกเค้าพอเห็นหลวงปู่และพระเณร ไปตัดต้นไผ่เพื่อจะนำมาทำกุฏิที่พัก พวกเค้าก็เดินตามไปช่วยด้วย หลวงปู่ท่านก็บอกแก่พวกเราว่าวันแรกนี้พวกเราไม่ต้องขน ตัดและลิดกิ่งเอาไว้เฉยๆ พรุ่งนี้แต่เช้าหลังจากบิณฑบาตแล้ว ห่อข้าวมาฉันเช้าที่นี้ ฉันแล้วก็ช่วยกันลากต้นไผ่ข้ามทุ่งไปโยนลงบ่อน้ำที่ขุดเอาไว้ก่อน ขืนทิ้งเอาไว้ประเดี๋ยวแดดเผาแตกหรือไม่ก็ตัวมอดกินหมด แล้วท่านก็หันไปทางคุณสมหมายสั่งว่า"พวกเอ็งถ้าจะช่วยก็ช่วยลากไม้ไผ่ลำที่ พอลากได้ เอาไปทิ้งไว้กลางทาง หรือลากได้ไกล แค่ไหนก็เอาแค่นั้นก็แล้วกัน จะได้ไม่ลำบากเกินไป" ดูเอาเถอะ ช่างเป็นคำสั่งที่รวบรัดเรียบร้อยเบ็ดเสร็จเสียจริงๆ นี้แหละคือหลวงปู่หละ
พวกเราต่างช่วยกันตัดและลากขนไม้ไผ่ 3 ทั้งกอประมาณ 100 กว่าลำ เสร็จภายใน 2 วัน เร็วกว่าที่เจ้าของไม้ไผ่กำหนด และตรงต่อเวลาที่หลวงปู่ท่านรับปากเอาไว้ว่าจะตัดและขนไม้ไผ่ให้เสร็จภายใน เวลา 2 วัน เท่านั้น แล้วก็จริงอย่างที่ท่านพูด วันที่ขนเสร็จเวลาตอนเย็น หลวงปู่ท่าน ได้สอนพวกเราหลังจากเวลาสวดมนต์เสร็จแล้วว่าพลังแห่งความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ย่อมยังให้สำเร็จประโยชน์ ทั้งปวง
หลังจากได้ไม้ไผ่มาแล้ว หลวงปู่ท่านก็นำพวกเราสร้างกุฏิคนละหลังบ้าง สองคนต่อหลังบ้าง โดยที่ท่านจะสอนพวกเราให้สร้าง รู้จักการกะระยะ ตัดไม้ และการปลูกสร้าง ท่านจะบอกว่าพยายามไม่ให้ทิ้งเศษไม้หรืออย่าตัดไม้ให้เหลือเศษมากนัก ถ้าจำเป็นต้องเหลือให้เก็บกองเอาไว้ ท่านจะนำมาใช้สร้างกุฏิและที่นอนของท่าน
ขณะที่ท่านสอนและคุมพวกเราสร้างกุฏิอยู่นั้น ท่านก็จะทำการสร้างกุฏิของท่านไปพร้อมกับเราด้วยโดยท่านจะบอกและเสนอให้ทำ อย่างนั้นอย่างนี้ พอให้พวกเราเข้าใจแล้ว ท่านก็จะปล่อยให้ทำเอง แล้วท่านก็จะเดินไปสร้างกุฏิของท่าน ครั้นเมื่อกุฏิทุกหลังเสร็จแล้ว ปรากฏว่ากุฏิของหลวงปู่ ดูดีและแข็งแรงกว่าของพวกเราทั้งที่กุฏิของท่านสร้างด้วยเศษไม้ที่เหลือจาก พวกเราเสียด้วยซ้ำ อยู่ๆ วันดีคืนดี ท่านก็จะเดินมาปลุกพวกเราในตอนเช้าโดยการตักน้ำสาดทางเข้าข้างฝาบ้าง ผลปรากฏว่า ผ้าและที่นอนในกุฏิเปียกหมด พอหลวงตาสัพยอกว่าท่านชอบแกล้ง ท่านก็ตอบว่า "ใครว่าข้าแกล้งเอ็ง ข้าแกล้งฝากุฏิของเอ็งต่างหาก เองดันทำกุฏิไม่ดีต่างหาก มันไม่สามารถคุ้มลม ฝน ฟ้าได้ ถือว่าไม่สำเร็จประโยชน์ของที่อยู่อาศัย" แล้วท่านก็จะทำการสาดน้ำเช่นนี้อยู่บ่อยๆ จนต้องหาวิธีป้องกันเช่น หลวงตา และพวกเราก็จะหาผ้าจีวรเก่าๆ มาขึงปิดตามข้างฝา ท่านเห็นดังนั้นท่านก็เข้ามาแนะนำว่าใช้ผ้าอย่างเดียว มันไม่คงทน แถมยังกันน้ำและอากาศได้ไม่ดีนัก ท่านให้ไปตักขี้เลนมาผสมกับขี้วัว และก็เอามาทาที่ข้างฝา ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ปล่อยไว้ให้แห้ง แห้งแล้วก็ทาใหม่ ผลปรากฏว่า สามารถกันทั้งน้ำและอากาศหนาวได้ดี และสามารถกันมอดหรือแมลงที่มากัดกินไม้ไผ่ได้อีกด้วย
หลังจากสร้างที่พักอาศัยเสร็จเรียบร้อยพร้อมทั้งมีห้องน้ำในตัว หลวงปู่ท่านได้นำพวกเราปลูกต้นไม้ต่อ การปลูกต้นไม้ครั้งนี้ ท่านได้นำต้นโพธิ์ตรัสรู้ มาปลูกนำก่อนเป็นต้นแรก พวก เราถามท่านว่า ท่านไปเอาต้นโพธิ์นี้มาจากไหน ท่านได้เมตตาเล่าให้พวก เราฟังว่า
ในวันมาฆบูชาของปีหนึ่ง ท่านได้ไปเวียนเทียนรอบต้นโพธิ์ พร้อมกับได้เห็นต้นโพธิ์แผ่ขยายกิ่งก้านสาขาใหญ่โต ให้ร่มเงาเป็นที่อาศัยของสัตว์ และมนุษย์ทั้งหลาย ดูช่างมีประโยชน์มากมาย ท่านก็รำพึงกับตนเองว่า ถ้าเราจะสร้างวัด จะไปเอาต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มาจากไหนหว่า
พอเช้ามืดของรุ่งขึ้นอีกวัน ท่านตื่นขึ้นมาล้างหน้า เตรียมตัว จะปฏิบัติธรรมก็มีเสียงดังพรึบๆ อยู่บนอากาศ ท่านได้เงยหน้าขึ้นดู ก็ได้เห็นนกตัวใหญ่ บินวนไปมาอยู่เหนือบริเวณหน้าต่าง ที่ปากก็คาบอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อมันเห็นหลวงปู่เงยหน้ามองมัน มันก็ปล่อยสิ่งที่คาบอยู่ให้ตกลงมา แล้วมันก็ส่งเสียงร้องดังกังวานเหมือนเสียงระฆังเงิน แล้วก็บินหายไปทางทิศ อุดร หลวงปู่ท่านได้เดินไปดู ก็เห็นเป็นต้นโพธิ์เล็ก ๆ 3 ต้นตกอยู่ ท่านก็เก็บเอามาปลูกรวมกันลงในกระถาง แล้วนำดอกไม้แห้งมาใส่แทนดิน
ครู่ต่อมาก็บังเกิดลมกรรโชกมากระทบตัวอย่างแรง ท้อง ฟ้าแปรปรวน มีเสียงฟ้าร้องคึกคะนองเป็นระยะๆ เวลาต่อมาฝนก็เทลงมาห่าใหญ่ ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าเบาสบายใจอย่างบอกไม่ถูก และเลยไปคิดถึงคำพูดของหลวงปู่ ที่ว่าวิชาขันธมารนี้ถ้าฝึกตอนแดดออก ฝนก็จะตก ถ้าฝึกตอนฝนตก แดดก็จะออก
หลังจากหลวงปู่ฝึกวิชาขันธมารผ่านมาสองวัน ก็ถึงกำหนดวันสึกของสามเณรภาคฤดูร้อน วันนี้ข้าพเจ้ารู้สึกหดหู่มาก รวมทั้งสามเณรองค์อื่นๆด้วย ในเวลาสึกหลวงปู่จัดให้มีพิธีขอขมาต่อพระพี่เลี้ยง สามเณรและพระใหม่ทุกองค์ต่างร่ำไห้อาลัยรักต่อองค์หลวงปู่และพระพี่เลี้ยง หลวงปู่ท่านโปรดเมตตาให้ปัจฉิมโอวาท และส่งมอบเด็กที่จะสึกจากพระเณรแล้ว ให้กลับเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของพ่อแม่ และท่านก็นำให้ทิดสึกใหม่เหล่านั้นกราบฝากตนเอง ต่อพ่อแม่ และขอศีลขอพรต่อพ่อแม่ ทำเอาพ่อแม่ทั้งหลายพากันตื้นตันน้ำตาไหลไปตามๆ กัน เพราะบางคนมาสารภาพต่อหลวงปู่ว่า ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นลูกกราบเท้าพ่อแม่เลย เมื่อลูกได้ผ่านการอบรมตลอด 1 เดือน ทำให้เห็นว่าลูกมีกิริยามารยาทอ่อนน้อม เรียบร้อยน่ารักมากขึ้น ยังมีสามเณรที่ยังไม่สึกอยู่ประมาณ 10 กว่าองค์ เพื่ออยู่ช่วยกันซักผ้าสบงจีวรและผ้าเช็ดตัว รวมทั้งทำความสะอาดสถานที่ทุกแห่งภายในวัดตะลุง และก็ช่วยกันเก็บผ้าพับบรรจุเข้าหีบห่อ
และก็เช่นเคย การกระทำทุกอย่างงานทุกชนิด หลวงปู่จะต้องเป็นผู้นำในการลงมือทำเสมอ เมื่อเก็บทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ก็ชวนพระ เณรทั้งหมด มีประมาณ 15 รูป เดินทางไปจังหวัดนครปฐม พวกเรามาถึงที่ที่คุณโยมทองห่อ ถวายให้หลวงปู่ได้สร้างวัด พอมาเห็นสภาพสถานที่ ทุกคนก็เริ่มแสดงอาการกังวลต่อความลำบากที่จะเกิดขึ้นในวันที่จะมาถึงข้าง หน้า และพวกเราก็แอบคุยกันว่า มองไม่เห็นแววว่าจะเป็นวัดได้เลย โดยไม่ทราบว่าหลวงปู่ท่านมายืนอยู่ข้างหลัง ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วท่านก็กล่าวว่า
"แล้วข้าจะทำให้พวกเอ็งได้เห็นว่า แววของวัดนี้จะเกิดขึ้นได้ อย่างไร"
นับแต่นั้นมาทุกวันหลังจากฉันภัตตาหารเช้าแล้ว หลวงปู่จะ เป็นผู้นำพาพวกเราทำงาน ถางหญ้า ขุดดิน ปลูกต้นไม้ จนถึง 6 โมงเย็นหรือบางวันก็พระอาทิตย์ตกดินแล้ว หลวงปู่จึงจะเลิกทำงาน ตอนพวกเรามาอยู่ที่สถานที่จะสร้างวัดอ้อน้อยแห่งนี้ สภาพพื้นที่ทั่วไป ส่วนใหญ่จะมีแต่ที่ลุ่มมีน้ำขังแค่ เอวบ้าง หัวเข่าบ้าง บางช่วงก็ลึกถึงหน้าอก จะมีที่ดอนอยู่หน่อยก็ตรงโรง ครัวหรือหอฉัน คะเนก็คงจะมีเนื้อที่ที่น้ำไม่ท่วมอยู่ประมาณ 1 ไร่เศษๆนอกนั้นเป็นที่ที่มีน้ำท่วมทั้งนั้น แรกๆ พวกเราก็มาปักกลดอยู่ ต่อมาหลวงปู่เรียกช่างพื้นบ้านมาปลูกกระต๊อบให้ เป็นทั้งที่พัก ศาลาสวดมนต์ ที่ประชุมสวดมนต์ และต้อนรับผู้คนที่มานมัสการหลวงปู่ รวมทั้งเป็นโรงครัวไปในตัวด้วย ไม่ว่าจะทำงานเหนื่อยและหนักขนาดไหน ทุกเย็นตอนหัวค่ำ หลวงปู่ ท่านจะนำพวกเราสวดมนต์โดยอาศัยแสงสว่างจากตะเกียงและเทียนพรรษา เป็นเครื่องส่องให้เห็นตัวหนังสือ หลังจากสวดมนต์แล้วท่านก็จะอบรมขจัดขัดเกลานิสัย และแก้ไขพฤติกรรมของพวกเรา ท่านจะคอยชี้บอกพวกเราว่าใครมีนิสัยและพฤติกรรมอย่างไร และมีอะไรต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขบ้าง ท่านจะอบรมพวกเราทุกวันไม่เว้นจนถึงเวลา 3 ทุ่มเศษ ท่านก็จะบอกให้แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นหลวงปู่เดินออกมายืนนอกที่พัก แล้วก็มองไปทางที่ที่มีน้ำท่วม แล้วก็พึมพำว่า
"ดูท่าคงจะต้องขุดเพื่อจำกัดน้ำให้อยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ถ้าไม่พอ คงต้องซื้อดินมาถมเอง แล้วเราจะเอาสตางค์ที่ไหนหละหว่า"
แล้วท่านก็ยืนเงียบๆ อยู่เช่นนั้นพักใหญ่ แล้วท่านก็เดินเข้า ไปจำวัด รุ่งขึ้นเช้าหลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว ตอนสายๆ มีรถแล่นเข้ามาจอดยังที่พัก คนที่ลงจากรถก็คือคุณโยมทองห่อ วิสุทธิผล ท่านได้เข้ามาสนทนากับหลวงปู่ ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่ท่านกำลังนั่งเย็บหมวกเจ็กอยู่ แล้วท่านก็ทักว่า "อ้าวมาแต่เช้าเชียว ไปไหนมาหละ" คุณโยมทองห่อก็แจ้งต่อหลวงปู่ว่าจะนำเงินมาถวาย สำหรับเป็นค่าถมที่ดิน ประมาณ 3 แสนบาท หลวงปู่ก็กล่าวว่า"ขอบใจ" แล้วก็เรียกหลวงตาสนิทมารับเงินที่คุณโยมทองห่อนำมาถวายแล้ว เอาไปเก็บนับแต่วันนั้นมาท่านก็ทำงานหนักเพิ่มขึ้น โดยที่จะต้องไปคอยดูรถขุดดินขุดตามที่ท่านกำหนด พร้อมกับปลูกต้นไม้ไปด้วย หลวงปู่ท่านเป็นนักบริหารเวลาได้อย่างยอดเยี่ยม ท่านจะคอยเตือนพวกเราอยู่เสมอว่า
สิ่งที่มีค่าที่สุด มิใช่แก้วแหวนเงินทอง หรือ เพชรนิลจินดา แต่เป็นเวลาต่าง หาก เหตุเพราะ แก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดาสูญหายยังหาใหม่ได้ แต่เวลาที่สูญเสียไปเราเรียกคืนมาไม่ได้ เหตุนี้ผู้มีปัญญาจะต้องบริหารเวลาเป็น จึงจะถือว่ามีกำไรในการดำรงชีวิต คงเป็นเพราะเหตุนี้ละกระมัง พวกเราจึงไม่เคยเห็นท่านนอนกลางวันเลย และยังไม่เคยเห็นท่านนั่งหรือนอนอยู่เฉยๆ เลย ตลอดเวลา 7 ปี ที่ได้มีโอกาสอยู่ร่วมกับท่าน
หลังจากหลวงปู่ได้ให้รถขุดดินกักน้ำไว้ในที่หนึ่งแล้ว ดินที่ขุดขึ้นมา ก็นำมาถมในที่ที่ท่านกำหนด เพียงเวลาไม่ถึงเดือน ท่านสามารถทำให้ที่ดินที่มีแต่น้ำท่วมมาตลอดเป็นระยะเวลาหลายสิบปี เป็นที่ดอนที่น้ำไม่ท่วมและยังมีบ่อกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ในทุกฤดูได้อีก
หลังจากนั้นวันหนึ่งตอนเย็นท่านได้เรียกพระเณรมาประชุม และแจ้งให้ทราบว่าตอนนี้ดินที่รถขุดขึ้นมาถม ยังไม่ทรุดตัวดี คงยังก่อสร้างสิ่งใดที่เป็นถาวรไม่ได้ เดี๋ยวจะทรุดตามดินไปด้วย คงจะทำได้ก็คงแค่ปลูกสร้างโรงเรือนชั่วคราว เราคงต้องไปจัดหาไม้ไผ่มาทำที่พักชั่วคราวกันก่อน ก่อนที่จะถึงฤดูเข้าพรรษา และขณะนี้ดินก็กำลังเปียกชื้นอยู่ เหมาะแก่การปลูกต้นไม้ ที่อุ้มน้ำโตไวเช่นต้นกล้วย ถ้าจะปลูกไม้เนื้อแข็ง โตช้าคงจะทนแล้งไม่ได้แน่ในที่ประชุมก็ตกลงกันว่าจะปลูกต้นกล้วยก่อน ปลูกไปพร้อมๆ กับการสร้างที่พักไม้ไผ่ พอเริ่มที่จะจัดทำที่พัก เณรและพระที่เดิมเคยมีจำนวน 15 รูป ก็หนีหาย เดินทางไปอยู่ที่อื่นคงเป็นเพราะทนลำบากมิได้ ยังเหลือแต่หลวงปู่ หลวงตาสนิท อาจารย์เปา อาจารย์เพชร เณรจกและข้าพเจ้า หลังจากที่พระ เณรไปแล้ว หลวงปู่ท่านกล่าวว่า พวกเค้าคงทนลำบากไม่ได้ และคงจะไม่เชื่อ ว่าที่นี้จะเป็นวัดได้ ไม่เป็นไรถึงจะไม่มีใครเลยมีแต่ตัวหลวงปู่องค์เดียว ท่านก็จะทำ ให้ที่นี้เป็นวัดให้ได้ ด้วยความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยวของหลวงปู่ ทำให้พวกเราเริ่มฟื้นฟูกำลังใจขึ้นมาได้อีกครั้ง หลังจากที่ต้องเสียไปกับการที่เพื่อน พระเณรทิ้งพวกเราไป ถัดจากวันนั้นมาอีกประมาณ 2 วันมีคนมาบอกขายกอไผ่สีสุก ให้กับหลวงปู่ 3 กอในราคา 1,200 บาท ท่านก็ตกลงซื้อเอาไว้ ซึ่งคนขายได้มีข้อแม้ว่าจะต้องไปตัดและ ขนไม้ไผ่ให้แล้วเสร็จภายใน 3 วัน เพราะเขาจะเอารถไถมาไถที่เพื่อจะปลูกอ้อย หลวงปู่กล่าวกับเขาว่า "ไม่ต้องห่วง ข้าจะตัดแล้วขนให้เสร็จภายใน 2 วัน"
วันรุ่งขึ้น ท่านก็พาพวกเราไปตัดไผ่ ซึ่งจะต้องเดินข้ามทุ่งนา และบ่อปลาของชาวบ้านไป 2-3 หลังคาเรือน พอดีวันนั้นคุณโยมสมหมายและโยมต๊ะ ภรรยาเจ้าของโรงโอ่งดินทองราชบุรี พาลูกๆ และแม่ นำเอาอาหารมาทำบุญ พวกเค้าพอเห็นหลวงปู่และพระเณร ไปตัดต้นไผ่เพื่อจะนำมาทำกุฏิที่พัก พวกเค้าก็เดินตามไปช่วยด้วย หลวงปู่ท่านก็บอกแก่พวกเราว่าวันแรกนี้พวกเราไม่ต้องขน ตัดและลิดกิ่งเอาไว้เฉยๆ พรุ่งนี้แต่เช้าหลังจากบิณฑบาตแล้ว ห่อข้าวมาฉันเช้าที่นี้ ฉันแล้วก็ช่วยกันลากต้นไผ่ข้ามทุ่งไปโยนลงบ่อน้ำที่ขุดเอาไว้ก่อน ขืนทิ้งเอาไว้ประเดี๋ยวแดดเผาแตกหรือไม่ก็ตัวมอดกินหมด แล้วท่านก็หันไปทางคุณสมหมายสั่งว่า"พวกเอ็งถ้าจะช่วยก็ช่วยลากไม้ไผ่ลำที่ พอลากได้ เอาไปทิ้งไว้กลางทาง หรือลากได้ไกล แค่ไหนก็เอาแค่นั้นก็แล้วกัน จะได้ไม่ลำบากเกินไป" ดูเอาเถอะ ช่างเป็นคำสั่งที่รวบรัดเรียบร้อยเบ็ดเสร็จเสียจริงๆ นี้แหละคือหลวงปู่หละ
พวกเราต่างช่วยกันตัดและลากขนไม้ไผ่ 3 ทั้งกอประมาณ 100 กว่าลำ เสร็จภายใน 2 วัน เร็วกว่าที่เจ้าของไม้ไผ่กำหนด และตรงต่อเวลาที่หลวงปู่ท่านรับปากเอาไว้ว่าจะตัดและขนไม้ไผ่ให้เสร็จภายใน เวลา 2 วัน เท่านั้น แล้วก็จริงอย่างที่ท่านพูด วันที่ขนเสร็จเวลาตอนเย็น หลวงปู่ท่าน ได้สอนพวกเราหลังจากเวลาสวดมนต์เสร็จแล้วว่าพลังแห่งความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ย่อมยังให้สำเร็จประโยชน์ ทั้งปวง
หลังจากได้ไม้ไผ่มาแล้ว หลวงปู่ท่านก็นำพวกเราสร้างกุฏิคนละหลังบ้าง สองคนต่อหลังบ้าง โดยที่ท่านจะสอนพวกเราให้สร้าง รู้จักการกะระยะ ตัดไม้ และการปลูกสร้าง ท่านจะบอกว่าพยายามไม่ให้ทิ้งเศษไม้หรืออย่าตัดไม้ให้เหลือเศษมากนัก ถ้าจำเป็นต้องเหลือให้เก็บกองเอาไว้ ท่านจะนำมาใช้สร้างกุฏิและที่นอนของท่าน
ขณะที่ท่านสอนและคุมพวกเราสร้างกุฏิอยู่นั้น ท่านก็จะทำการสร้างกุฏิของท่านไปพร้อมกับเราด้วยโดยท่านจะบอกและเสนอให้ทำ อย่างนั้นอย่างนี้ พอให้พวกเราเข้าใจแล้ว ท่านก็จะปล่อยให้ทำเอง แล้วท่านก็จะเดินไปสร้างกุฏิของท่าน ครั้นเมื่อกุฏิทุกหลังเสร็จแล้ว ปรากฏว่ากุฏิของหลวงปู่ ดูดีและแข็งแรงกว่าของพวกเราทั้งที่กุฏิของท่านสร้างด้วยเศษไม้ที่เหลือจาก พวกเราเสียด้วยซ้ำ อยู่ๆ วันดีคืนดี ท่านก็จะเดินมาปลุกพวกเราในตอนเช้าโดยการตักน้ำสาดทางเข้าข้างฝาบ้าง ผลปรากฏว่า ผ้าและที่นอนในกุฏิเปียกหมด พอหลวงตาสัพยอกว่าท่านชอบแกล้ง ท่านก็ตอบว่า "ใครว่าข้าแกล้งเอ็ง ข้าแกล้งฝากุฏิของเอ็งต่างหาก เองดันทำกุฏิไม่ดีต่างหาก มันไม่สามารถคุ้มลม ฝน ฟ้าได้ ถือว่าไม่สำเร็จประโยชน์ของที่อยู่อาศัย" แล้วท่านก็จะทำการสาดน้ำเช่นนี้อยู่บ่อยๆ จนต้องหาวิธีป้องกันเช่น หลวงตา และพวกเราก็จะหาผ้าจีวรเก่าๆ มาขึงปิดตามข้างฝา ท่านเห็นดังนั้นท่านก็เข้ามาแนะนำว่าใช้ผ้าอย่างเดียว มันไม่คงทน แถมยังกันน้ำและอากาศได้ไม่ดีนัก ท่านให้ไปตักขี้เลนมาผสมกับขี้วัว และก็เอามาทาที่ข้างฝา ทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ปล่อยไว้ให้แห้ง แห้งแล้วก็ทาใหม่ ผลปรากฏว่า สามารถกันทั้งน้ำและอากาศหนาวได้ดี และสามารถกันมอดหรือแมลงที่มากัดกินไม้ไผ่ได้อีกด้วย
หลังจากสร้างที่พักอาศัยเสร็จเรียบร้อยพร้อมทั้งมีห้องน้ำในตัว หลวงปู่ท่านได้นำพวกเราปลูกต้นไม้ต่อ การปลูกต้นไม้ครั้งนี้ ท่านได้นำต้นโพธิ์ตรัสรู้ มาปลูกนำก่อนเป็นต้นแรก พวก เราถามท่านว่า ท่านไปเอาต้นโพธิ์นี้มาจากไหน ท่านได้เมตตาเล่าให้พวก เราฟังว่า
ในวันมาฆบูชาของปีหนึ่ง ท่านได้ไปเวียนเทียนรอบต้นโพธิ์ พร้อมกับได้เห็นต้นโพธิ์แผ่ขยายกิ่งก้านสาขาใหญ่โต ให้ร่มเงาเป็นที่อาศัยของสัตว์ และมนุษย์ทั้งหลาย ดูช่างมีประโยชน์มากมาย ท่านก็รำพึงกับตนเองว่า ถ้าเราจะสร้างวัด จะไปเอาต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มาจากไหนหว่า
พอเช้ามืดของรุ่งขึ้นอีกวัน ท่านตื่นขึ้นมาล้างหน้า เตรียมตัว จะปฏิบัติธรรมก็มีเสียงดังพรึบๆ อยู่บนอากาศ ท่านได้เงยหน้าขึ้นดู ก็ได้เห็นนกตัวใหญ่ บินวนไปมาอยู่เหนือบริเวณหน้าต่าง ที่ปากก็คาบอะไรบางอย่างอยู่ เมื่อมันเห็นหลวงปู่เงยหน้ามองมัน มันก็ปล่อยสิ่งที่คาบอยู่ให้ตกลงมา แล้วมันก็ส่งเสียงร้องดังกังวานเหมือนเสียงระฆังเงิน แล้วก็บินหายไปทางทิศ อุดร หลวงปู่ท่านได้เดินไปดู ก็เห็นเป็นต้นโพธิ์เล็ก ๆ 3 ต้นตกอยู่ ท่านก็เก็บเอามาปลูกรวมกันลงในกระถาง แล้วนำดอกไม้แห้งมาใส่แทนดิน