21กย 56  14.26นาที

ความคืบหน้ากรณีแจ้งความนายน้ำฝน

เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนไอที ที่รักทุกท่าน

วันนี้วันเสาร์ วันเสียวๆ เพราะเสาร์ที่แล้วก็ไปเสียวในบ้านนักการเมืองใหญ่วันนี้ก็มาไม่ได้เสียวที่บ้านนักการเมืองแต่ก็พาท่านทั้งหลายให้เข้าใจถึงความจริงที่มันเกิดขึ้นในสังคมไทยแล้วก็เป็นความจริงที่ทุกคนจะต้องเข้าใจว่ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้และมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

สืบเนื่องก็คงจะเป็นเรื่องจากวันอังคารที่ผ่านมา จริงๆเรื่องนี้ก็เกิดมาประมาณหลายวันแล้ว วันอังคารที่ผ่านมาก็ได้เชิญท่านผู้กำกับ คือหัวหน้าตำรวจของอำเภอกำแพงแสน โรงพักกำแพงแสน แล้วก็รองผู้กำกับเข้ามาพูดคุยถึงเรื่องสถานการณ์ที่มันเกิดขึ้นในอาวาสวัดอ้อน้อยว่า มีนักเลงมีอันธพาล มีมือปืน มีบุคคลมาข่มขู่คุกคาม

งั้น เราจึงจำเป็นต้องป้องกันตัวเราเอง ในสถานการณ์อย่างนี้ ถ้ามันมีเหตุการณ์หรือว่าเข้ามาแล้ว มันมีคนแปลกหน้าเข้ามาเราก็จำเป็นจะต้องตรวจสอบให้ละเอียดถี่ถ้วนเดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะไม่รับรู้รับทราบ จะกลายเป็นว่าเรากำลังซ่องสุมกำลัง หรือว่า กำลังปิดวัด ทำให้วัดร้าง  ก็แจ้งความคืบหน้าและความเป็นไปในสถานการณ์ในท้องถิ่นซึ่งในฐานะที่เค้าเป็นเจ้าหน้าที่ปกครองดูแลความสงบสุขของบ้านเมืองในอำเภอกำแพงแสน

แล้วก็ปรารภถึงเรื่องปัญหาที่มันเกิดขึ้นรอบๆ วัดว่า มันมีทั้งคาราโอเกะมีทั้งยาเสพติด มีทั้งโต๊ะสนุ๊ก มีสถานที่ไม่พึงปรารถนาแล้วทำให้สังคมเสื่อมทรามก็ฝากให้เค้าช่วยดูแล เพราะกลางค่ำกลางคืน พวกนี้ก็มักจะขับรถเสียงดังแสดงความน่ารำคาญหวาดระแวงแก่ชาวบ้านพอสมควร

ก็เลยถือโอกาสถามถึงคดีความที่สมภารไปแจ้งความว่า มันคืบหน้าไปถึงไหนเค้าก็แจ้งด้วยวาจาว่า สำนักพุทธฯและฝ่ายจำเลย ก็ทำหนังสือชี้แจงมาในลำดับหนึ่งเราก็เลยบอกว่า อย่างนั้นก็ ขอดูหนังสือชี้แจงเค้าหน่อย ซึ่งเค้าก็รับปากว่าจะนำหนังสือชี้แจงมาให้

รุ่งขึ้น ก็เลยส่งทนายให้ไปรับหนังสือชี้แจงแต่แทนที่เราจะได้รับหนังสือชี้แจงจากฝ่ายจำเลย หรือผู้ถูกกล่าวหาเราก็ได้รับหนังสือชี้แจง ดำเนินการตรวจสอบกรณีพระครูปลัด หรือว่านายน้ำฝนพระวินยาธิการ เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ในวัดอ้อน้อย กำแพงแสน เป็นหนังสือฉบับนี้(หนังสือแนบ) 

ซึ่งหลวงปู่ก็ได้อ่านข้อสรุปชี้แจงของเค้า แล้วก็ทำให้รู้ว่ามันไม่เป็นธรรมต่อเรา เพราะในบทสรุปชี้แจงเนี่ยเดี๋ยวจะให้ช่างกล้องเค้าถ่ายให้พวกคุณได้อ่าน เหมือนกับว่าตำรวจทำหน้าที่เป็นตุลาการแก้ต่างให้ฝ่ายจำเลย แล้วก็ชี้แจงไปแบบประมาณว่าไม่มีอะไร แม้กระทั่งผู้คนที่มาจำนวน 4-5คนที่มากับนายน้ำฝนกับคณะตำรวจเค้าก็ชี้แจงว่า เป็นลูกศิษย์ เอาไว้ซื้อน้ำ ยกของ ประมาณนั้น เป็นลิ่วล้อ

หลวงปู่ พออ่านหนังสือชี้แจงของตำรวจซึ่งก็ลงนามโดยหัวหน้าตำรวจของสถานีก็เลยโทรฯไปหาหัวหน้าตำรวจคือ ผู้กำกับ ถามว่า สิ่งที่คุณทำมาเนี่ยมันเป็นการชี้แจงของคุณ หรือว่าเป็นการชี้แจงของฝ่ายจำเลย แรกๆ เค้าก็ว่าลอกมาจากการชี้แจงของฝ่ายจำเลย เราก็เลยถามว่า อ้าว เมื่อเป็นอย่างนี้ทำไมคุณถึงไปลงนาม เมื่อมันเป็นการชี้แจงของฝ่ายจำเลยห้วหน้าตำรวจทำไมถึงได้ไปลงนาม เพราะชั้นถือว่าหนังสือชี้แจงนี้ไม่เป็นธรรมสำหรับชั้น

ถามว่า ไม่เป็นธรรมอย่างไร

ก็สิ่งที่เราสงสัย มันไม่ได้รับการชี้แจงตอบโดยตรง ตัวอย่างเช่น เราอยากจะรู้ว่าการที่จะเข้ามาสู่วัดต่างๆ มันจะต้องการประสานมาตามสมภารต่างๆ ก่อนมั้ย นั่นคืออันดับที่ 1

งั้น การประสานก็คือ 1. ประสานด้วยวาจา 2. ประสานด้วยหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งที่ผ่านมา ถามสมภารวัดอ้อน้อยแล้วไม่มีการประสาน 

นอกจากไม่มีการประสานแล้วเนี่ย หลวงปู่รู้ก่อนล่วงหน้า 1 วันก่อนที่เค้าจะมาตรวจฉี่ ก็โทรฯไปประสานบอกว่า ถ้าหากจะมาตรวจยินดีให้ตรวจแต่มีข้อแม้ว่า นายน้ำฝนซึ่งเป็นบุคคลต้องห้ามทางพระธรรมวินัยไม่ควรจะทำหน้าที่มาตรวจสอบความบริสุทธิ์ของพระ เราขอปฏิเสธนายคนนี้ซึ่งเราก็ได้ประสานไป แต่แทนที่จะได้รับความร่วมมือ ผ.อ.สำนักพุทธฯ กับพวกก็พากันมาพร้อมนายน้ำฝน

งั้น หลวงปู่ก็เลย ประเด็นที่ 2ถือว่า เราได้ประสานแล้วแต่ฝ่ายนู้นไม่ได้ประสานกับเรา ก็ถามไปว่า เมื่อเราประสานแล้ว ท่านผู้กำกับหรือว่าหัวหน้าตำรวจ ทำไมไม่ทำข้อซักถามอย่างนี้กลับไปที่ฝ่ายจำเลยว่า อ้าวเมื่อทางวัดอ้อน้อยเค้าไม่ต้องการคณะบุคคลกลุ่มนี้ หรือคนนี้มาตรวจขอเปลี่ยนเป็นคนอื่นซึ่งใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญและตามพระธรรมวินัย ทำไมยังฝืนขืนมาซึ่งหัวหน้าตำรวจก็ไม่ได้ตอบ ตอบไม่ได้ เพราะอ้างว่าใบนี้ เป็นใบชี้แจงของฝ่ายจำเลย

ต่อมาก็ถามอีกว่า ประเด็นที่ 3ก็คือ ถามว่า การตรวจสอบฉี่ตามวัดต่างๆเท่าที่ทราบ ก็ไม่มีการไปบันทึกข้อมูลด้วยกล้องวีดีทัศน์ หรือว่าสื่อสารมวลชนแต่ทำไมมาเฉพาะวัดอ้อน้อย หรือบางวัดเท่านั้น

ข้อต่อมา ขั้นที่ 4ใครเป็นผู้รับรองพฤติกรรม การกระทำของพระวินยาธิการ อันนี้คือข้อที่ 4กระบวนการที่มาเนี่ยมันถูกต้องชอบธรรมตามพระวินัยและกฏหมายบ้านเมืองมั้ย ซึ่งข้อเหล่านี้ เค้าก็ส่งหลักฐานมาใน 2ข้อสุดท้ายว่า ผู้รับรองก็คือเจ้าคณะจังหวัดแล้วก็มีการพูดคุยในระดับหนึ่ง คือใช้อำนาจอ้างอำนาจของเจ้าคณะจังหวัด มาตามอำนาจของเจ้าคณะจังหวัด แต่กฏหมายไม่มีการรับรองแต่มาด้วยอำนาจของเจ้าคณะจังหวัด

สรุปรวมๆ ก็คือ ในหนังสือชี้แจง ไม่สามารถตอบคำถามที่เราสงสัยซึ่งเป็นประเด็นที่เราคิดว่า นี่คือการข่มขู่คุกคามอีกทั้งเราแจ้งความร้องทุกข์เกี่ยวกับข่มขู่คุกคามและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในนี้ก็ไม่มีการชี้แจงเรื่องข้อกล่าวหาที่เรากล่าวหาไป เป็นแต่เพียงพูดมาโดยรวมๆว่า สิ่งที่ทำนั้นถูกต้องแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรก็เดี๋ยวจะให้กล้องเค้าถ่ายหนังสือนี้ไปให้พวกคุณได้อ่านได้ดู

ทั้งหมดนี่แหละ คือ ความจริงที่เกิดขึ้นกับสถานภาพของวัดอ้อน้อย

รวมๆ สรุปก็คือว่า อย่างที่เราเคยปรารภ คุยกันว่า เวลานี้ข้าราชการทุกลำดับชั้นในจังหวัดนครปฐม ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการฝ่ายพลเรือนฝ่ายมีสีมีอะไรทั้งหลาย ก็อยู่ในอาณัติ อำนาจของบุคคลผู้มีอำนาจซึ่งก็จะต้องมีคำถามต่อมาว่า แล้วถ้ามันเป็นอย่างนี้ หลวงปู่จะสู้อย่างไรก็เชื่อว่า จะต้องสู้ต่อไป

หลวงปู่เชื่อว่า ถ้าตายเพราะการสู้กับความอยุติธรรม มันมีคนไหว้ ดีกว่า ต้องยอมก้มหัวศิโรราบให้กับความอยุติธรรม

งั้น เลยต้องเล่าเรื่องเสียวๆ เครียดๆให้พวกท่านสมาชิกไอทีทั้งหลายได้รับทราบว่านี่คือความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ที่มันเกิดขึ้นในสังคมไทย ก็คงจะเหมือนๆกับคดีนายเอกยุทธฯ อะไรอย่างนั้นแหละเจ้าหน้าที่ก็รีบรวบรัดแล้วก็สรุปสำนวนเพื่อจะปิดคดี หรืออะไรก็ไม่รู้ 

แผ่นนี้ไม่แน่ใจว่า เป็นการสรุปสำนวนหรือไม่ แต่เป็นการชี้แจงของฝ่ายตำรวจเพราะหลังจากโทรฯไปคุยกับท่านหัวหน้าตำรวจแล้วว่าอ้ายสิ่งคุณชี้แจงมาหรือฝ่ายจำเลยชี้แจงมานี่มันไม่เป็นธรรมสำหรับชั้นเค้าก็อ้างว่า ทั้งหมดนี้ เค้าลอกมาจากการทำหนังสือชี้แจงมาจากฝ่ายจำเลยแต่พอหลวงปู่ให้ทนายไปขอดู เค้าก็ปฏิเสธในการที่จะให้ดู ทั้งๆที่เรามีสิทธิ์ที่จะขอดู

มันก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวว่า เราเหมือนถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมแล้วก็มีสิ่งแวดล้อมที่น่าจะเป็นเครื่องมือของความยุติธรรม รักษาความยุติธรรมสถิตย์ความยุติธรรม ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมกลายเป็นไม่ยุติธรรมสำหรับบุคคลผู้โดนกระทำ

ก็เลยต้องมาเล่าสู่กันฟังว่า ต่อไปนี้ ถ้ามันจะเกิดสถานการณ์ หรือเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอาวาสนี้เราก็คงหวังพึ่งไม่ได้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในเขตจังหวัดนี้หรืออาจจะรวมถึงในประเทศนี้ด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่ก็เป็นการเล่าสู่กันฟังแล้วก็เดี๋ยวให้เค้าถ่ายภาพหนังสือนี้ให้พวกคุณได้อ่าน

ก็อย่าเพิ่งเครียดๆ จะเห็นว่า หลวงปู่ก็ไม่ได้เครียดอะไรก็พยายามที่จะใช้สติปัญญา ยืนหยัด ตั้งมั่นแล้วก็หาวิธีแก้ไขทุกปัญหาอย่างชนิดที่รอบคอบ ละเอียดถี่ถ้วนอย่างไม่เป็นคนระแวงจนกลายเป็นความหวาดกลัว แต่ระแวงเพื่อให้เกิดสติเกิดปัญญาในการที่จะตั้งรับ หรือว่ารุกรบในโอกาสต่อๆ ไปได้

พระพุทธเจ้าทรงให้เครื่องมือในการต่อสู้กับอธรรม ก็คือ สติกับปัญญาหลวงปู่เชื่ออย่างนั้น งั้น สิ่งที่หลวงปู่มีก็คือเครื่องมือสำหรับการต่อสู้กับอธรรม นั่นคือ สติและปัญญา

ขอให้ทุกท่านได้เข้าใจถึงความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นในสังคมไทยและเรื่องราวที่เกืดขึ้นในอาวาสวัดอ้อน้อยว่าเวลานี้เราเหมือนกับโดนปล่อยเกาะจากเจ้าหน้าที่ผู้ทำหน้าที่ปกปักษ์รักษา บำบัดทุกข์บำรุงสุข และผู้ดูแลรักษากฏหมายบ้านเมืองก็ไม่ได้ให้ความร่วมมืออะไรกับเรานักสักเท่าไหร่

หลวงปู่ก็ไม่ได้บอกว่า เค้าเป็นพวกเดียวกันนะ แต่เท่าที่ทราบเค้าก็ไปร่วมงานวันเกิดเหมือนกัน วันเกิดใคร ก็คงจะทราบกันดีงั้น ก็ลองไปหาข้อมูลข่าวสารกันดู ก็เป็นสิ่งที่คาดหวังได้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นต่อไป

ถ้าหากว่า มันมีอะไรที่จะต้องเกิดขึ้นกับอาวาสวัดอ้อน้อย หรือว่า หลวงปู่หรือคณะสงฆ์ หรือคนใกล้ชิด ก็ต้องถือว่า ต้องพยายามรักษาตัวรอด พยายามรักษาตัวรักษาสถานการณ์ รักษาความถูกต้องยุติธรรมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ขอบคุณที่อุตส่าห์ติดตาม แล้วก็เป็นห่วงเป็นใย ถ้าจะห่วงกันจริงๆก็อยากให้ทุกคนได้รวมตัวกันเป็นปึกแผ่นแน่นหนา แล้วก็รักษาความสุจริต ยุติธรรมถูกต้อง ชอบธรรมเอาไว้ในใจจนกลายเป็นพลังยิ่งใหญ่เมื่อถึงคราวที่จะต้องแสดงความสุจริตยุติธรรม ความถูกต้องชอบธรรมออกมาเพื่อปกป้องบุคคลที่ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ก็ควรจะต้องกระทำต่อไป

เจริญธรรม