29 ก ย 56 ณ. วิหารพระโพธิสัตว์ องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ แสดงธรรม เนื่องในโอกาสฉลองท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4
(กราบ)
ขออนุโมทนาในกุศลบุญคุณงามความดี ที่พวกท่านเพียรพยายามกระทำในวันนี้ ถือว่าเป็นการสั่งสมอบรมบารมีของตนๆ ให้มากขึ้น ให้สูงขึ้น ให้เยอะขึ้น ความชั่วเราทำ มันสั่งสมได้ฉันใด ความดีเราทำ ก็สั่งสมได้ฉันนั้น เม็ดทรายหล่นลงในมหาสมุทร แม้วันนี้ไม่เต็ม ถ้ามันหล่นทุกวันทุกนาที วัหนึ่งข้างหน้าก็มันต้องเต็ม
บุญก็เหมือนกัน กุศลก็เหมือนกัน ถ้าสะสมอยู่บ่อยๆ สั่งสมอยู่เนืองๆ อยู่เป็นปกติ อยู่เป็นนิจ ถ้ามีโอกาสทำก็ถือว่าเป็นลาภ มีสักกี่คนที่จะมีลาภอย่างเราที่ได้ทำสิ่งที่งดงาม คนในโลกแผ่นดิน ในประเทศ ในบ้านในเมืองในอำเภอ ในจังหวัด ในตำบล มีจำนวนมาก ยังไม่มีโอกาสได้ทำ เรามีโอกาสได้ทำ เราได้บุญ ได้เปรียบ มีโชค มีลาภ มีความรุ่งเรือง เจริญ
สำหรับหลวงปู่ถือว่า เป็นโชค เป็นลาภของเราที่มีโอกาสได้มาทำความดี เราจะสาธยายกันอย่างนี้ในวันกินเจทั้ง 3 เวลา 10 วัน 10 คืน ปีนี้มีการสวดนพเคราะห์ในวันสุดท้าย แต่เราจะสวดนพเคราะห์กันทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น
พิธีสวดนพเคราะห์ ก็บอกกันไว้ซะตรงนี้ว่า เราจะสวดกัน สมมุติว่า วันนี้สวดเป็นวันอาทิตย์ คนที่เกิดในวันอาทิตย์ ก็เขียนชื่อใส่บาตร ใส่ขัน ใส่กะละมัง ใส่ภาชนะมาให้พระเค้าสวด เช้า กลางวัน เย็น 3 เวลา สมมุติว่า วันถัดไปเป็นวันจันทร์ เราก็สวดนพพระเคราะห์ คือ พระคาถาที่ประจำวันเกิดวันจันทร์ พระปริตรและมนต์หรือพระสูตรที่ตรงกับวันจันทร์ นำเอามนต์บทนั้น ปริตรบทนั้นขึ้นมาสาธยาย มาสวด ให้ตรงกับคนที่เกิดในวันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ อะไร ก็ทำกันอย่างนี้
สวดเช้า กลางวัน เย็น จะนิมนต์พระนำ 10 รูป ทุกมื้อทุกครั้ง เช้า 10 รูป กลางวัน 10 รูป เย็น 10 รูป เอาตามทศบารมี 10 ประการ
แล้วก็ใครจะมาถือศีลกินเจ เค้ามีห้องพักให้ ถ้าไม่มีก็จะนอนจะพักอยู่ในโรงเจ ก็หาเต๊นท์ หาอะไรมากางกันเอง อย่าเกะกะก็แล้วกัน ถ้าห้องมันเต็มไม่มี มาอยู่ก็อย่าเป็นภาระให้แก่คนอื่น แล้วก็ช่วยแบ่งเบาภาระคนอื่น ทำตนให้เป็นคนมีภาระ อย่าทำตนเป็นคนที่เปลื้องภาระ แล้วเราเกิดภพชาติต่อๆ ไป จะได้ไม่กลายเป็นภาระของใคร อีกทั้งก็ยังเป็นคนที่แข็งแรง มั่นคง องอาจ งดงามที่จะช่วยแบ่งเบาภาระให้กับสังคม สิ่งแวดล้อม คนรอบข้าง และตัวเองได้อย่างแข็งแรง
มนุษย์ฝึกอย่างไร ก็ได้อย่างนั้น ฝึกอ่อนแอ มันก็ได้ความอ่อนแอ ฝึกแข็งแรง มันก็ได้ความแข็งแรง ฝึกองอาจ งดงาม แกล้วกล้า ก็ได้ความองอาจ งดงาม แกล้วกล้า คือ ฝึกความหวาดกลัว สะดุ้งผวา ความขี้ขลาด ความสันหลังยาว ก็ได้ความหวาดกลัว สะดุ้ง ผวา ขี้ขลาด สันหลังยาว
พระพุทธเจ้า จึงเรียกมนุษย์ผู้ฝึกอย่างนั้นว่าเป็น เป็นอะไรล่ะ เป็นมนุษย์ชั้นเลิศที่เรียกว่า มนุษย์สุดยอด หรือว่า เทวะมนุษย์ หรือ มนุสเทโว คือ มนุษย์เหมือนดั่งเทวดา มนุษย์ที่ฝึกไม่ได้ เลอะเทอะเปรอะเปื้อน เราก็เรียกว่า มนุสเดรัจฉาโน มนุษย์เหมือนดั่งสัตว์เดรัจฉานที่พึ่งไม่ได้ ฝึกเท่าไหร่ๆ มันก็ไม่เอา เพราะว่า มันไม่มีปัญญาจะทำ
งั้น เราต้องฝึก ขยันฝึก
มากินเจก็ แต่ละวัน ก็ต้องสมาทานบารมีทั้ง 10 ให้ครบ สมมุติว่า วันนี้วันแรก ก็สมาทานอะไร
ทานบารมี
ทำทานอย่างไร ไม่ต้องให้จนกระทั่งแก้ผ้าเดินกลับไป ก็ความสุขของตัวเรา ก็แบ่งปัน หยิบไม้กวาดๆ พื้น เป็นทานมั้ย เอ้อ เช็ดกวาด ไม่ใช่เช็ดจนกระทั่งสีภาพกูหายไปหมด บอกว่า หลวงปู่ให้ทาน ก็เลยเช็ดมันทองเทิงหายเกลี้ยง กลับมา อ้าว มาพระกูดำปื้น ทำทานล่ะค่ะ เช็ดตั้งแต่เช้ามืดยันค่ำ อย่างนั้นไม่ใช่
อย่างนี้คือ ลักษณะการทำทาน แบ่งปันความสุขของตัวเองให้คนอื่นก็เป็นทานอย่างหนึ่ง เสียสละประโยชน์ตนให้กับคนอื่นเค้า ก็เป็นทานอย่างหนึ่ง
กินเจปีนี้ ก็ขอให้ทำให้เคร่งครัด ทำให้จริงๆ จังๆ กินทั้งกายและใจ 10 วัน 10 คืน อุ๊ย เป็นบารมีมหาศาล ทำได้ ก็เป็นประโยชน์ต่อตน เป็นประโยชน์ต่อคนรอบข้าง เรียกว่า ถ้าเป็นลูก ก็ถือว่า เป็นอภิชาตบุตร เป็นพ่อเป็นแม่ ก็เป็นอภิชาติของลูก ก็คือ บุตรหรือบุรุษ สตรี หรือ ลูก ของพ่อแม่ที่ยิ่งกว่า มีความดียิ่งกว่า ประเสริฐกว่า เลิศกว่า เป็นที่พึ่งของตนได้ ของคนรอบข้าง
เค้าก็มีกินเจ ถือศีล 5 ไม่ได้ถือศีล 8 ที่จริงก็อยากให้ถือศีล 8 มันจะได้ไม่เปลือง ลูก ของมันแพง ช่วยๆ กันหน่อย น่าจะดี แต่ก็เอาแค่ศีล 5 ก็พอละ ถือศีล 5 ช่วยกันคนละไม้คนละมือ อาคาร ก็ปัดกวาดเช็ดถู แล้วก็ปีหน้าจะสร้างห้องเพิ่มอีกสัก 20 -30 ห้อง คนจะได้มาอยู่ปฏิบัติธรรม กินเจ แต่ไม่อนุญาตให้คนที่กินเนื้อสัตว์เข้าไปอยู่ หรือไม่มีศีลเข้าไปอยู่ ได้ห้องหนึ่งก็ 3 คน 4 คน พออยู่ได้ เห็นเมื่อคืนเค้าก็ไปอยู่กันละ คณะทำงาน มีอะไรก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ อย่าเกี่ยงงอนกัน เพราะเรามาบำเพ็ญบารมี มาสั่งสมอบรมความดี
เค้าจะเริ่มกันเมื่อไหร่ล่ะ กินเจ เริ่มวันที่ 4 ก็ต้องมากันวันที่ 2 มาล้างทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูก่อน เก็บโต๊ะหมู่บูชา ทำความสะอาดวิหาร สถานที่ อุปกรณ์เครื่องใช้ ตระเตรียม แม้แต่ที่หลับที่นอนตน ก็ต้องเอามาซักมาตาก ทำความสะอาด ทำให้สะอาดทั้งร่างกายและจิตใจ
จำไว้ว่า เมื่อใดที่เรามีสติ มีความระมัดระวัง รู้เนื้อรู้ตัวทั่วพร้อม ชื่อว่า มีศีล แม้เราไม่รู้จักศีลสักข้อก็ชื่อว่า เป็นผู้รักษาศีล
แล้วเมื่อใดที่เราทำสติ และความรู้เนื้อรู้ตัวมั่นคงอยู่กับตัวเราได้อย่างยั่งยืน ตั้งมั่นยาวนาน ก็ชื่อว่า เป็นผู้มีสมาธิ
แล้วคราใดที่เราทำให้ความมั่นคงยั่งยืนยาวนาน ที่เรียกว่า สมาธิ มันสามารถเป็นพละ เป็นพลัง นำเอามาใช้วิจัย วิจารณ์ พินิจ พิจารณาธรรมภายในและภายนอกได้ ก็ชื่อว่า เข้าถึงปัญญา
งั้น ศีล สมาธิ ปัญญา มันอยู่ๆ ตัวเดียว ก็คือ ตัวเรา คือ รู้เนื้อรู้ตัว มีสติ
งั้น การจะทำให้ตนเป็นผู้รู้เนื้อรู้ตัว มีสติ วิธีคิดของพระโพธิสัตว์ ก็จะคิดว่า เวลาเราชอบไปอยู่กับอารมณ์ อารมณ์ที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ
งั้น วิธีคิดของพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญพระโพธิธรรม เค้าก็จะอยู่กับตัวเอง ไม่อยู่กับอารมณ์ ไม่เอาจิต ไม่เอาใจ ไม่เอาวิญญาณ ไปผูกกับอารมณ์ใดๆ ที่ตาเห็น หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส หรือกายสัมผัส
แค่มีความรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา เราจะไม่เลือกอยู่กับสิ่งที่ไม่มั่นคง แม้สิ่งที่อยู่สูงสุด ที่เรียกว่า อยู่กับตัวเอง หรือว่า รู้เนื้อรู้ตัว ก็ถือว่า ไม่มั่นคงเหมือนกัน แต่วิธีคิดของพระโพธิสัตว์ก็ต้องค่อยๆ พัฒนาอย่างนี้ ไม่ละเมิดในศีล ชื่อว่า ไม่..ในศีล ก็คือ ต้องมีสติอยู่เนืองๆ
มีสมาธิตั้งมั่น ก็ชื่อว่า ทำให้สติมั่นคง
มีปัญญารู้ชัดตามสภาพธรรมที่ปรากฏ ก็ชื่อว่า เราจะต้องรักษาความตั้งมั่นนั้นจนเป็นพลังแห่งปัญญา ทำให้ความชุ่มฉ่ำ ชุ่มเย็นเกิดขึ้นในจิตวิญญาณ จนเป็นพละกำลังในการคิดอ่าน วิเคราะห์ ตรึก ใคร่ครวญ คำนวณพินิจพิจารณา
เท่านี้ก็ถือว่า เป็นผู้เข้าถึงสิกขา หรือสิ่งที่ต้องศึกษา เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา
ไม่งั้น คนโง่ อ่านหนังสือไม่ออก ไม่รู้จักว่า ศีลกี่ข้อ หน้าตาศีลเป็นอย่างไร ทำยังไง ก็คงจะทำอะไรไม่ได้ แต่ในวิถีพุทธซึ่งไม่มีพิษมีภัยต่อโลกข้างนอก เค้าเชื่อกันว่า พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าง่ายๆ ของที่คว่ำ เปิดขึ้น เปิดของที่ปิด หงายของที่คว่ำ นั่นก็ทำให้ปรากฏแสงสว่างได้
นั่นหมายถึงว่า คนโง่ก็สามารถเรียนรู้ได้ เพียงแค่รู้เนื้อรู้ตัวเฉยๆ รู้จักตัวเอง ทำความเข้าใจตัวเอง อยู่กับตัวเอง อย่าอยู่กับอารมณ์ วันทั้งวัน เราจะปล่อยตัวเองให้หลงไปกับอารมณ์ที่มันมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่งั้นก็ อยู่กับอารมณ์ใจ วิตก กังวล ว้าวุ่น ร้อนรุ่ม ทุรนทุราย
ถ้าหลวงปู่เป็นอย่างนั้น ไม่ต้องกินไม่ต้องนอน เพราะมันมีเรื่องให้ว้าวุ่นได้ทั้งวัน มีเรื่องให้ร้อนรุ่มทุรนทุรายได้ทั้งวัน เดี๋ยวมันก็เข้ามาทางตา เดี๋ยวมันก็เข้ามาทางหู คนรอบข้างมันมักจะสร้างปัญหาอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่รู้จักที่จะอยู่กับตัวเอง มาอยู่กับอารมณ์ ชาตินี้คงกินไม่ได้ ขี้ไม่ออก บอกใครไม่เป็น
งั้น ต้องรู้จัก วิธีคิดของพระโพธิสัตว์ต้องรู้จักที่จะยืนอยู่ในท่ามกลางขวากหนาม หอกแหลมหลามทั้งหลาย หรือ สิ่งมีคมทั้งปวงอย่างไม่โดนบาดโดนทิ่มโดนตำ ยืนอยู่ในท่ามกลางพายุร้ายที่โหมกระหน่ำ อย่างมั่นคงองอาจสง่างาม
ต้องฝึกอย่างนี้ ฝึกอยู่กับตัวเอง อย่ามาอยู่กับอารมณ์
อะไร เป็นอารมณ์บ้าง
รักก็เป็นอารมณ์ โลภก็เป็นอารมณ์ โกรธก็เป็นอารมณ์ หลงก็เป็นอารมณ์ อย่างนี้เป็นต้น
เหมือนดั่งสูตรที่ว่าด้วยไฟที่พระพุทธเจ้าสอนภิกษุทั้งหลาย ระหว่างสาวสวย ขาวอึ๊มกับไฟกองหนึ่ง จะเลือกกอดอะไร อะไรชื่อว่าประเสริฐสุด กอดแล้วประเสริฐสุด จับต้องแล้วประเสริฐ ภิกษุทั้งหลายบอกว่า ต้องกอดสาวสิ พระเจ้าค่ะ จึงจะประเสริฐสุด พระพุทธเจ้าบอก นั่นน่ะเลวที่สุด เลวข้ามภพข้ามชาติ กอดไฟอย่างดีก็แค่ตาย
งั้น เรา ตถาคต สรรเสริญผู้กอดไฟ ประเสริฐสุด งั้น ตายแล้วก็ ภพชาติต่อไป ก็ไปสู่สุคติ คนกอดสาว ตายแล้ว ภพชาติต่อไป ไม่รู้จะลงไปอยู่ที่ไหน นึกได้มั้ย เอ่อ มันมีราคะ มีโทสะ มีโมหะ มีตัณหา มีอวิชชา แล้วมันกี่ภพกี่ชาติ อ้ายกอดไฟอย่างดีก็ร้อนแล้วตาย ตายไปก็จบแล้ว ไม่มีอะไรละ เพราะถือว่า เราเลือกกอดในสิ่งที่มอดไหม้
พระพุทธเจ้าจึงเรียกพระสูตรแห่งไฟว่า เป็นทางประเสริฐ พูดอย่างนี้ ก็ไม่ได้สอนให้พวกมึงฆ่าตัวตาย แต่สอนชี้ให้เห็นว่า การที่เราเห็นควันร้อนๆ มันร้อนไม่เท่าไฟที่เย็น ไฟเย็นที่เป็นเนื้อเป็นหนังแตะต้องแล้วมันร้อนไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ กี่หมื่นกี่พันกัปด้วยความหลงงมงาย
เรื่องนี้ก็ชี้ให้เห็นว่า ถ้าเราจะอยู่ด้วยลำพังตัวเอง ก็ต้องอย่าเอาจิตไปฝากไว้กับอะไร ต้องไว้กับตัวเอง แล้วเราจะแข็งแรง มันจะแข็งแรงขึ้นทุกวันๆๆ จนแยกออกระหว่างขี้กับทอง ระหว่างถูกกับผิด ผิดกับชั่ว ได้กับเสีย ใช่กับไม่ใช่ แล้วสุดท้ายจะได้ไม่หลง ตกเป็นทาสของอะไร
บางครั้งถ้าเราไปเจอกับบุคคลที่เค้ารู้จักจะอยู่กับตัวเอง เราอาจจะมองเค้าเป็นที่คนวิกลจริต พิกลพิการ แต่สำหรับคนที่อยู่กับตัวเอง ก็จะมองอ้ายคนที่อยู่กับอารมณ์น่ะ วิปลาส วิกลจริตต่างหาก
งั้น เราลองเปรียบเทียบดูตัวเราเอง ฟังแล้วคิด อย่าเชื่อไปหมด ฝึกที่จะอยู่กับตัวเอง แล้วก็ลองเปรียบกับคนที่มันไปอยู่กับรูป กับรส กับกลิ่น กับเสียง กับสัมผัส ดูว่า มันทุรนทุรายมั้ย ใจมันเห่อเหิมทะเยอทะยาน ฟุ้งเฟ้อไปมั้ย มันทำให้คนๆ นั้นมันทุรนทุราย ไม่เป็นสุขมั้ย
ถ้าอยู่กับตัวเอง มันจะสงบ เย็น นิ่ง ผ่อนคลาย โปร่งเบา สบาย มีพลัง มีอานุภาพ มีอิสรภาพมากมั้ย ต้องรู้จักวิเคราะห์ ต้องตรึก
เอ้า พอสมควรแก่เวลา เดี๋ยวก็จะได้เดินทางพรุ่งนี้จะไป อ้าว แสนหนึ่ง ไปทำอะไร (ช่วยน้ำท่วม เจ้าค่ะ) เอ้า อุ๊ย เมื่อเช้า กูเพิ่งจะจ่ายไปแสนหนึ่ง บุญนะเนี่ยไปแสนหนึ่ง มาแสนหนึ่ง สาธุ เฮ้ย มันเช็คนะ ดูมันเด้งหรือเปล่า (ไม่เด้ง เจ้าค่ะ)
มันเป็นลาภ เป็นโชค สำหรับหลวงปู่ถือว่า เป็นโชค ไม่ใช่เอาความทุกข์ชาวบ้านมาเป็นโชค แต่เป็นโชคที่เรามีโอกาสได้ทำ ไม่ใช่เห็นความทุกข์ชาวบ้านแล้วมันเป็นโชคของเรา ไม่ใช่ แต่ว่า ความทุกข์ของชาวบ้านทำให้เราได้มีโอกาสได้ทำการช่วยเหลือเกื้อกูล
ผู้ที่ช่วยเหลือเกื้อกูล ถือว่า เป็นโชคดีของบุคคลผู้นั้น แต่เราไม่ได้กระทำให้เค้าเป็น เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะตอนนี้ พายุลูกใหม่กำลังเข้าอีกแล้ว เห็นรัฐบาลเค้าบอกว่า ไม่มากเท่าไหร่ ไม่มากแต่มิดหัวไปแล้ว เอ่อ ไม่มาก อ้ายคนที่พูดส่วนใหญ่มันไม่ได้ท่วม มันไม่ได้ทุกข์ อ้ายของแพง ก็คิดไปเอง มันไม่ได้เป็นทุกข์เดือดร้อนอะไร
อ้ายที่ปราจีนฯ ที่กบินทร์ฯ มันท่วมก็เพราะว่า เค้าไม่ได้เปิดประตูระบายน้ำทั้งหมด ถ้าเปิดหมด มันก็จะเข้ามาที่คลองบางน้ำเปรี้ยว มาทางฉะเชิงเทรา แล้วก็บ่าเข้ามาที่สุวรรณภูมิ เค้าก็พยายามจะปิดประตูระบายน้ำ เพราะคลองมันมาติดต่อกัน คลองสาขามันติดต่อกัน บางน้ำเปรี้ยวก็เข้ามาทางหัวตะเข้ คลองอะไรต่ออะไร มีนบุรี เค้าก็ต้องปิดเอาไว้ ไม่ให้มาทางนี้ ก็ผลักไปทางแม่น้ำบางปะกง เหมือนทางเขมร ปีนี้ เขมรมันรู้แกว ปีที่แล้วปล่อยให้มันท่วม ปีนี้มันเลยปิด ไม่ยอมให้เข้า เอ่อ ไม่ยอมให้เข้าเขมร ปีก่อนนู้นปล่อยเข้ามา กูแย่ เขมรมันต่ำกว่า ถ้าน้ำทะเลมันไม่หนุนดัน มันก็น่าจะระบายได้ดี พักหลังนี่น้ำทะเลมันก็เยอะ คลื่นในทะเล คือ ฝนตกในทะเลจำนวนมาก พายุมันเข้า มันก็เลยระบายยาก กบินทร์บุรี ศรีมโหสพ ลำบาก
ก็ท่วมอย่างนี้ทุกปี ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลเค้าทำยังไง อีสานว่าไม่เคยท่วม เมื่อวาน หลวงปู่ไปไม่ทัน ให้สมภารไปแทน เค้าก็แจ้งว่า น้ำเยอะพอสมควร ว่าแห้งแล้งๆ ก็ยังเกือบเมตรห้าสิบ ร่วมๆ 2 เมตร รอบๆนอกตัวเมืองสุรินทร์ คุยกับผู้พิพากษาเล่าให้ฟัง ปรากฏว่า มันท่วมอยู่เพราะว่า มันมีฝนรุ่นใหม่เข้ามา น้ำบางส่วนก็ไหลลงมารวมอยู่ที่บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ มันก็มากขึ้น ตอนนี้ก็เข้าสู่อุบลฯ มาทางอีสานใต้ มันก็จะไหลมาสมทบกันที่กบินทร์ เพราะเส้นนั้นมันจะมาทางปราจีนฯ ทางกบินทร์ฯ ก็น่าห่วงพอสมควร นี่ก็แถวๆ ปทุมฯ ก็เริ่มปริ่มๆ แล้ว ใครอยู่แถวปทุมฯ เตรียมตัวไว้บ้างก็ดี อย่าไปประมาท อย่าไปฟังมาก เอาอยู่ๆ มันน่ะอยู่ แต่เราน่ะไม่อยู่ละ เชื่อมันนัก พลาดพลั้งไปแล้ว มันเสียหายไปแล้ว ได้ไม่คุ้มเสีย อะไรที่มีค่า ก็เก็บไว้สูงๆ บ้าง บ้านเดี๋ยวนี้ เค้าก็ไม่ค่อยทำใต้ถุนสูง มันก็เลยไปขวางทางน้ำ
2 ปีก่อนนี้ มันก็ยังมีนิคมอุตสาหกรรมเฉลี่ยๆ รับๆ กันไป เที่ยวนี้ นิคมอุตสาหกรรมทำเครื่องบล๊อกน้ำ สูงเป็นกำแพง ทีนี้ปีนี้ก็ไม่มีที่เฉลี่ย พอไม่มีที่เฉลี่ยแล้ว มันก็จะไหลแรง บ่าเข้ามามาก แล้วก็เห็นว่า เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ปริ่มๆ อยู่เขื่อนแล้ว เขื่อนป่าสักฯน้ำปริ่ม พวกมึงก็เตรียมตัว อ้าว มันก็มาอีกเที่ยว เพราะเขื่อนป่าสักฯ นี่มันต้องมากรุงเทพฯใช่มั้ย แม่น้ำเจ้าพระยา ปทุมธานี รังสิต มันเข้ามาทางลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มาแม่น้ำแม่กลอง เขื่อนป่าสักฯ เต็ม เค้าก็ต้องเปิด เห็นว่าเปิดแล้วนี่ เมื่อเช้า เปิดแล้ว เริ่มเปิดมากขึ้น ถ้าฝนมันไม่ตกซ้ำ มันก็จะระบาย นี่ก็เห็นว่า ฝนก็ตกแล้วกรุงเทพฯ ปทุมฯก็ตก
อยู่กำแพงแสน สบาย น้ำไม่ท่วม กูบอกแล้ว เวลากูมา กูสร้าง กูดูฮวงจุ๊ยดี กูเช็คฮวงจุ๊ย สบาย
เอ้า ให้เดินทางปลอดภัย ลูก ให้ทุกคนร่ำรวย อายุยืน สุขภาพแข็งแรง รับพร
..........
(สาธุ)
อ้อ เอาบุญมาฝาก ลูก เงินที่ใส่บาตรทุกวันๆ กูไปจ่ายซื้อน้ำไป 2,000 โหล เค้าคิดเท่าไหร่วะ 50,000-60,000 บาท เงินที่พวกมึงใส่บาตร ก็แบ่งบุญให้ลูกหลานด้วย (สาธุ) แล้ววันนั้นไปปลูกป่า เอาไป 50,000 กว่าบาท จ่ายหมด กลับมาเหลือ 2,000
น้ำวัดก็ต้องซื้อ ขวดไม่ได้มาฟรี กูซื้อเค้า กูไม่ได้ขอเค้า น้ำใจ กูก็ซื้อเค้า ซื้อพระโต๊ด ไปเอามันฟรีๆ เป็นพันๆ โหล เดี๋ยวมันบ่น กูซื้อเค้า ไม่ได้เอาเค้าฟรี กูเอา “น้ำใจ” นั่นแหละ ไปส่งไปสุรินทร์ เอ่อ แต่กูซื้อเค้า ไปเอาเค้าฟรีได้ไงบ่อยๆ พระโต๊ดเค้าก็บ่น ขาดทุนๆ เอ้า เจอของฟรีมากกว่าของขาย นี่ก็ ชุด gift set 1,000 กว่าชุด ไปกบินทร์ฯ มีทั้งยารักษาโรค ทั้งสบู่ ทั้งขี้ผึ้งเทพโอสถ 1,500 ชุด นั่นก็หลายตังค์ แล้วก็ไปสุรินทร์อีก 500-600 ชุด เอ่อ ผู้จัดการโรงงานบ่น น้ำอย่าท่วมเลยปีนี้ ถ้าท่วมเจ๊งแน่
ไป ลูก เดินทางปลอดภัยทุกคน
(กราบ)
เค้ามีข้าวเจใส่ถุงแจก ไปดูซิ ไป
เอ้อ ให้เดินทางปลอดภัย โชคดี ร่ำรวยทุกคน ลูก
(สาธุ)
อนุโมทนากับครอบครัวยายสุภาฯ เค้าพากันมาทำกิจกรรมใหญ่โต สาธุ อนุโมทนา
(สาธุ)
(กราบ)
ห้องสมุดธรรมอิสระ
แสดงธรรม เนื่องในโอกาสฉลองท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ณ. วิหารพระโพธิสัตว์ วันที่ 29 ก.ย.56
- Details
- Written by พระธนุส กิตฺติญาโณ (พระจูเนียร์)
- Hits: 3064