8 กย 56 13.20 น. ธรรมะอาทิตย์ที่ 2 ณ.
วัดอ้อน้อย โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
(กราบ)
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนใฝ่ดีที่รักทุกท่าน
ท่านผู้รับชมรายการอาทิตย์สดใส ลูกหลานชาวบ้าน ที่
มาประชุมพร้อมกันในอาวาสวัดอ้อน้อย ซึ่งถือว่า วันนี้
เป็นวันแสดงธรรมประจำเดือน ในสัปดาห์ที่ 2 คุณ
แทนคุณ จิตอิสระ ผู้ดำเนินรายการ
วันนี้ ดูจะเคร่งๆ เครียดๆ กันหน่อยหรือเปล่า
สถานการณ์มันไม่ปกติ สถานการณ์มันไม่ปกติตรงที่
คงจะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เรากำลังจะเผชิญต่อ
ศึกสงคราม
พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ว่า ภิกษุผู้ปรารถนาวิโมกข
ธรรม หรือ บุคคลผู้ปรารถนาวิมุติธรรม หรือสัจธรรม
ปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ และปัญญา เปรียบประดุจดั่งช้าง
ศึก ที่เข้าไปสู่สนามรบ มันเป็นไปไม่ได้เลยว่า ช้างมัน
จะไม่โดนคมหอก คมดาบเลย มันต้องโดนบ้าง
พระศาสดาทรงตรัสว่า ภิกษุหรือบุคคลผู้ปรารถนา
ความเพียร ผู้ตั้งอยู่ในความเพียร ปรารถนาที่จะ
บำเพ็ญตามวิถีทางแห่งโพธิธรรม พุทธธรรม ผู้มีศีล
สมาธิ ปัญญา เป็นธรรมดาที่ต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อบุคคล
ผู้ทุศีล บุคคลผู้ไม่มีศีล และต้องโดนบุคคลผู้ทุศีล และผู้
ไม่มีศีล หาเหตุ หาเล่ห์เพทุบาย เปรียบประดุจดั่งช้าง
ศึกที่เข้าไปสู่สนามรบ
เพราะงั้น ช้างศึกนั้น ก็ต้องอดทน อดกลั้น ที่จะต่อสู้
ฝ่าฟัน เพื่อจะเอาชนะ ต่อคมหอก คมดาบ หรือคำกล่าว
เท็จ กล่าวใส่ร้าย ใส่ไคล้ ทำร้าย ทำลาย ย่ำยีบีทาของ
บุคคลผู้ทุศีล ฉันใดก็ฉันนั้น
พระศาสดาทรงแสดงว่า ผู้ประพฤติธรรม ผู้ปฏิบัติใน
ธรรม ผู้ตั้งมั่นอยู่ในธรรม โดยเฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา
ต้องมีคุณลักษณะพิเศษ คือ ต้องมีความเพียรอย่างยิ่ง
มีขันติธรรมอย่างยิ่ง มีปัญญาอย่างยิ่ง มีความตั้งมั่นใน
อุดมการณ์ของตนอย่างยิ่ง เหมือนดั่งช้างศึก ที่เพียรที่
จะเอาชนะต่อข้าศึกศัตรู
และในขณะเดียวกัน เราท่านทั้งหลายก็คงจะทราบดีว่า
สิ่งที่มันเกิดขึ้นต่อวัดอ้อน้อยเนี่ย มันเป็นการเกิดขึ้นที่
ไม่ปกติ เหตุที่ไม่ปกติ ก็เพราะว่า วัดอ้อน้อยเปรียบ
เหมือนช้างศึกที่กำลังจะเข้าไปสู่สนามรบ มันต้องเจอ
คมหอก คมดาบ คมเขี้ยว คมศาสตรา สารพัดอย่าง ขึ้น
อยู่กับว่า เรามีจุดยืนมั้ย มีธรรมเป็นที่ตั้งมั้ย แล้วตั้ง
มั่นอยู่ในธรรม ในจุดยืนของตนได้อย่างมั่นคงแค่ไหน
แล้วเราหวาดผวา สะดุ้งกลัว
มีคนเค้าแนะนำว่า ให้หลวงปู่เลิกที่จะสู้ ไม่ก็ออกไป
จากวัดซักพักหนึ่ง หรือไม่ก็หนีไปซักชั่วครู่ชั่วยาม
เพื่อให้มันบรรเทาเบาบาง ภัยอันตรายทั้งหลายจะได้
ไม่มากล้ำกราย ย่ำยีบีทา
เราก็เลยบอกเค้าว่า มึงรู้จักกูมานานเท่าไหร่แล้ว บอก
30 กว่าปีละ มึงเคยเห็นนิสัยกู เป็นคนแบบนั้นเหรอ
เพราะงั้น หลวงปู่ก็จะบอกว่า กูมีจุดยืนของกู คือ หลวง
ปู่มีจุดยืนของตัวเอง เราจะเป็นศัตรูกับทุกคนที่มัน
บังอาจมาเอาประโยชน์กับพระศาสนา จะเป็นศัตรูกับ
ทุกคนที่มันมากอบโกย และดูดน้ำเลี้ยงจากศาสนา
เพราะมันไม่ได้ให้ประโยชนต์ต่อศาสนา แต่มันกลับ
กลายมาทำร้ายศาสนา แล้วสิ่งเหล่านี้มันก็มีอยู่เกลื่อน
กล่นในแผ่นดินนี้
งั้น ถ้าหลวงปู่ไม่ทำ ก็คงไม่มีใครกล้าที่จะทำ เพราะไม่
มีใครบ้าเท่า จะบอกว่า ไม่มีใครกล้าเท่า คงจะยกตัว
เองมากไป เอาเป็นว่า ไม่มีใครที่จะบ้าเท่า
แล้วก็ อยากจะบอกท่านที่รักทั้งหลายว่า เหตุการณ์ที่
มันเกิดขึ้นในอาวาสวัดอ้อน้อยเนี่ย มันเกิดจากบุคคล
กลุ่มหนึ่ง ที่มีเจตนาจะทำลาย เจตนาจะทำให้เราเสีย
หาย เพื่อจะได้ทำลายหลักฐานที่เรารวบรวมและมีไว้
เพื่อจะกำจัดคนชั่วที่เป็นมารศาสนา แล้วก็หาเล่ห์ หา
ช่อง ทางเล่ห์เพทุบาย
ยุคนี้มันเป็นยุคสงครามข่าวสาร ไม่ต้องเอาอะไร เมื่อ
ยี่สิบกว่าปีก่อน สร้างวัดอ้อน้อยใหม่ๆ ยังไม่มีสงคราม
ข่าวสาร แค่ 12โมง ตีหนึ่งกว่า ดึกๆ มีตำรวจมาหนึ่ง
คันรถหกล้อ หลวงปู่นอนอยู่ ตาหนิท เณรอีก 3-4
คน มีนักศึกษาแพทย์อยู่ประมาณซัก 25 เกือบ 30
คน เค้ามาช่วยสร้างวัด ปลูกต้นไม้ โดนนายอำเภอ
แกล้ง แจ้งให้ตำรวจมาไล่ ตรวจค้น ซึ่งก็ไม่ได้แสดง
หมายศาลที่จะค้น ก็มาแบบผิดปกติ มาถึง ก็ลุกๆๆๆ ขอ
ตรวจดูหน่อย เค้าแจ้งว่า มียาบ้า ซ่องสุมผู้คน ค้ายาบ้า
เสพยาบ้า
อันนั้นคือ เปิดศักราชแห่งการต่อสู้ เปิดหน้าแห่งการ
เป็นนักสู้ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตรวจ มันก็ไม่มีอะไร
ไม่ได้อะไร เพราะว่า คนที่นี่ เค้าไม่ดูดแม้กระทั่งบุหรี่
แล้วมันก็กลับไป
รุ่งขึ้นเช้า บิณฑบาตร ไม่ได้ข้าว ไม่ได้ข้าวไปเป็น
เดือน อันนั้น คือ สงครามข่าวสารที่มันไม่รุนแรง
เหมือนสมัยนี้ นั่นคือ วิธีกลั่นแกล้ง วิธีหาเล่ห์เพทุบาย
แล้ววันนั้น ถ้าสมภารไม่ได้ฟังคำสั่งหลวงปู่ ไม่ห้าม คือ
ไม่ยับยั้งการตรวจเยี่ยว ตรวจฉี่ของพระ แล้วก็ฝ่าย
ตรงข้าม ก็เอากล้องโทรทัศน์มา เอาขี้ยามา เอา
นักเลงหัวไม้มา มาแสดงอาการข่มขู่คุกคาม แล้วถ้า
ยอมให้ตรวจ ป่านนี้ลงหน้าหนึ่งไปแล้ว
แล้วพอลงหน้าหนึ่ง แล้วแก้ได้มั้ย ไม่ได้ เพราะคน
ไทยเชื่อในข่าวสาร เชื่อไม่เชื่อก็เสพเข้าไปแล้วล่ะ ก็
มันเสียไปแล้ว มันเหมือนกับผ้าสีขาว ที่มันโดนสีดำ
ป้ายเข้าไปแล้ว มันจะไปแก้ตัวแก้ต่าง ก็เดี๋ยวจะหาว่า
อ้าว แก้ผ้าเอาหน้ารอดไปอีก
งั้น เราก็ต้องสะกัด ต้องระวัง ต้องป้องกัน
แต่ทำไปทำมา ก็อย่างที่ทราบว่า เค้าก็มีเจตนาอยู่แล้ว
ตั้งแต่เริ่มเจ้าคณะจังหวัด จนถึงพวกของนายน้ำฝน
แล้วก็มีกลุ่มการเมืองสนับสนุน จนกระทั่งเป็นที่มาของ
มติอัปยศ ที่บอกว่า การกระทำของผู้ทำ ผู้ตรวจนั้น ไม่
ผิด ทั้งที่ในมติเดิม เค้าบอกว่า ต้องมาขอความร่วมมือ
ขออนุญาตสมภารก่อน ถ้าสมภารไม่อนุญาต ก็ไม่มี
สิทธิก้าวล่วงอำนาจของสมภาร
ในขณะเดียวกัน ก่อนที่จะมา หลวงปู่ก็ได้ประสานไป
แล้วว่า ถ้านายคนนี้ อันเป็นที่รังเกียจของพระธรรม
วินัย และคณะสงฆ์วัดอ้อน้อยเข้ามา เราจะไม่ยินยอม
ให้ตรวจ เพราะรังเกียจ เพราะอะไร
เพราะเป็นผู้มีศีลวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ อาจารวิบัติ โจทย์ไป
ด้วยวาจาแล้วครั้งหนึ่ง แล้วก็โจทย์ไปด้วยอักษรครั้ง
หนึ่ง โดยธรรมเนียมปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัย
ภิกษุ เมื่อมีการโจทย์กันด้วยอาบัติ จัดว่า เป็นอาปัตตา
ธิกรณ์ ภิกษุผู้เป็นเจ้าคณะปกครอง จะต้องประชุมสงฆ์
แล้วก็สอบถามว่า อ้ายที่ว่าวิบัติน่ะ มันวิบัติข้อไหน
อาจารวิบัติ มันวิบัติเรื่องอะไร ทิฏฐิวิบัติ เพราะความ
เห็นเป็นอย่างไร
เจ้าคณะปกครองก็เพิกเฉย ไม่ใส่ใจในพระธรรมวินัย
แต่สนใจแต่หน้าของพวกพ้อง จนเป็นที่มาของ มติ
อัปยศ ดังกล่าว ไอ้มติอัปยศดังกล่าว คือ มติว่า การ
กระทำของพระวินยาธิการ ซึ่งไม่มีกฎหมายรองรับ
แต่เป็นไปด้วยคำสั่งเจ้าคณะจังหวัด ถูกต้องชอบธรรม
ต่อมา สมภารก็นำเรื่องขึ้น พร้อมที่จะเตรียมขึ้นสู่ศาล
แจ้งความร้องทุกข์ทางเจ้าหน้าที่บ้านเมือง และ
เตรียมทนายที่จะสู้
ก็อย่างที่ทราบ จังหวัดนี้ทั้งจังหวัด มันอยู่ในอำนาจ
ของนักการเมือง ไม่ว่าจะเป็นภารโรงโรงเรียน ก็ยัง
ต้องเชื่อฟังนักการเมือง พระจะขึ้นเป็นสมภาร ไม่
เป็นสมภาร แเค่เข้าไปหานักการเมือง ยกหูกริ๊งเดียว
ก็ได้เป็นแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
มันก็เลยเป็นที่มาของการที่ลูกหลานทั้งหลาย ไป
แสดงพลังทวงคืนความยุติธรรม ด้วยแรงบีบทั้งภาย
นอก แล้วก็แรงบีบทั้งภายใน คือ คณะสงฆ์หลายคน
โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าคณะพระสังฆาธิการ ก็ไม่เห็นด้วย
กับมติอัปยศ ก็ไปรวมประชุมกัน เรียกประชุม ก็เป็นที่
มาของการออก มติเอาตัวรอด เรียกอีกอย่างว่า มติตัด
หางปล่อยวัด ถึงขนาดนายน้ำฝนพูดในที่ประชุมว่า อ้าว
อย่างนี้มันก็หลอกใช้กันนี่หว่า ประมาณนี้
ทั้งหลายทั้งปวงนี่แหละ มันเป็นที่มาของความไม่ปกติ
ของอาวาสวัดอ้อน้อย ที่มันเกิดขึ้นอย่างที่ทราบกัน
มีคนถามว่า ทำไมหลวงปู่เป็นพระ สอนลูกหลาน ลูก
ศิษย์ ให้เป็นผู้สงบ เป็นผู้สะอาด ฉลาด สว่าง แล้วยัง
ไปวุ่นวาย หาเรื่องหาราวใส่หัวใส่ตัวใส่ใจไปทำอะไร
ก็ปล่อยให้กรรมมันกำหนดไป ต่างคนต่างอยู่ อยู่กัน
แบบตัวใครตัวมัน ก็น่าจะจบแล้ว
ถ้าคิดกันอย่างนี้ก็ ไม่มีพระธรรมวินัยแล้ว
ถามว่า เพราะอะไร
ก็เพราะเมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน พระมหากัสสปะ
พระอนุรุทธะ พระอานนท์ พระพุทธเจ้านิพพานใหม่ๆ
ก็มีพระโจทย์ว่า ท่าน อย่ามาร้องไห้เสียเวลาเล๊ย พระ
ศาสดานิพพานแล้ว ก็ดีแล้ว เราจะได้ไม่ต้องโดนใคร
ด่าว่า ตำหนิ ติฉินนินทา เราชอบใจที่จะทำอะไรก็ทำ
ชอบใจที่จะพูดอะไรก็พูด ชอบใจที่จะคิดอะไรก็คิด ชอบ
ใจที่จะกินอะไรก็กิน จะมานั่งเสียใจให้โง่ไปทำไม
พระมหากัสสปะ พระอนุรุทธะ พระอานนท์ ท่านเห็น
ความบิดเบี้ยวของทิฏฐิมนุษย์ ที่มีต่อพระธรรมวินัย
แม้ท่านจะเป็นพระอรหันต์แล้วก็ตามที มีองค์เดียวที่
ไม่ได้เป็น คือ พระอานนท์ ขนาดเป็นพระอรหันต์ ซึ่ง
เป็นผู้เข้าถึงสภาวะธรรม ฉลาด สะอาด สว่าง สงบ
ความว่างเป็นอารมณ์ ท่านก็ยังเห็นว่า ภัย กำลังจะเกิด
ขึ้นในพระศาสนาและพระธรรมวินัย
ขอความอนุเคราะห์จากพระเจ้าอชาติศัตรู เพื่อทำการ
ร้อยกรอง เรียกว่า ปฐมสังคายนา จัดหมวดหมู่พระ
ธรรมวินัยให้ถูกต้อง ชัดเจน กำจัดคนที่เห็นผิด ทำให้
เห็นถูก อะไรอย่างนี้เป็นต้น
งั้น สิ่งที่หลวงปู่ทำ มันเป็นเรื่อง กำลังจัดทำสังคายนา
สังฆมณฑล โดยเฉพาะสังฆมณฑลที่โดนอำนาจการ
เมืองครอบ เพราะการเมืองไม่ใช่เฉพาะในจังหวัด
นครปฐม ทั่วไปทั้งหมดแหละ หลายพรรค หลาย
นักการเมือง มาอาศัยบุคคลากรในศาสนา แสวงหาผล
ประโยชน์
การเมืองต้องไม่มายุ่งกับศาสนา ศาสนาต้องปลอดจาก
การเมือง ศาสนาไม่ต้องอิงอาศัยการเมือง จะเป็นท่าน
เจ้าคุณ พระครู เจ้าประคุณ หรือว่า ประสมเสร็จ
ประสมเด็จ อะไรก็แล้วแต่ หรือจะเป็นสมภาร เจ้า
อาวาส ไม่ต้องไปหานักการเมือง ไม่ต้องวิ่งเต้น ไม่
ต้องให้นักการเมืองคอยช่วยสนับสนุนส่งเสริม
การเมือง จะต้องไม่เข้ามาวุ่นวายต่อการปกครองของ
คณะสงฆ์และศาสนา
ศาสนา จะต้องปลอดจากการเมือง
เพราะที่ผ่านมา การเมืองกับศาสนา มันเข้าไปยุ่ง จน
กระทั่งกลายเป็นสร้างมาเฟีย ทำให้เกิดมาเฟียในสังฆ
มณฑล
เวลามีการประชุมกัน ถ้านายน้ำฝนไม่ชอบใจ ก็แค่ทุบ
โต๊ะ โวยวาย ทุกคนในที่ประชุมก็เงียบได้ เงียบ ไม่มี
ใครกล้าหือ เพราะอะไร
ก็เพราะมีการเมืองหนุนอำนาจ ก็เลยแสดงอำนาจ
บาตรใหญ่ได้ตลอดเวลา อย่างนี้เป็นต้น
ถ้าปล่อยให้ศาสนาเป็นอย่างนี้เนี่ย มันล่มมั้ย มันเน่า
มันเน่าสนิท มันเน่าสนิท
เพราะงั้น หลวงปู่จึงบอกว่า ไม่ยอมที่จะก้มหัวให้กับ
อำนาจนอกพระธรรมวินัย และกฎหมายบ้านเมือง แม้
จะตายก็ไม่ได้เสียดาย แต่พระธรรมวินัยและความ
บริสุทธิ์ของพระศาสนา ต้องดำรงค์อยู่ให้ได้ ใครจะมา
แสวงหาผลประโยชน์ สร้างความร่ำรวยในธรรมวินัย
ไม่ได้
ถ้าอยากรวย มันต้องออกไปอยู่ข้างนอก อยากรวย
อยากดี อยากเด่น อยากรุ่งเรือง เจริญ ก็ต้องไปหาที่
อยู่ข้างนอก
แต่พระธรรมและวินัยนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าสอนไว้
เพื่อให้คลายความกำหนัด
สอนเอาไว้เพื่อให้เราต้องเป็นผู้ไม่สะสม พอกพูน
สอนเอาไว้ให้เราเป็นผู้ไม่รัดรึง ไม่ผูกพัน ไม่รัดรึง
ไม่มีพันธนาการทั้งภายใน แล้วก็ภายนอก
พระธรรมวินัยนี้ พระศาสดาทรงสอนเอาไว้ให้เป็นผู้
มีความอยากอันน้อย
พระธรรมวินัยนี้ พระศาสดาทรงสอนให้เรามีปฏิบัติ
แล้วให้เป็นบุคคลผู้สันโดษ ยินดีในสิ่งที่พึงมีพึงได้
พระธรรมวินัยนี้ พระศาสดาทรงสอนให้เราเป็นผู้ที่
ไม่ระคนปนเปื้อนด้วยหมู่คณะ เป็นผู้ปลีก หาความ
สงบสงัด ทางกิเลส ทางกาย วาจา ใจ
พระธรรมวินัยนี้ พระศาสดาทรงสอนให้เราเป็นผู้
มากไปด้วยความเพียร เพียรยังกุศลให้เกิด เพียรละ
อกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว เพียรยังกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
ที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญ ละอกุศลที่เกิดขึ้น แล้วก็ ระวัง
ไม่ให้อกุศลเกิดต่อไป อย่างนี้เป็นต้น
และพระธรรมวินัยนี้ พระศาสดาทรงสอนไว้เพื่อให้
บุคคลที่เลี้ยงง่าย ไม่ใช่กินข้าวเย็น แต่งตัวไปเที่ยว
เล่นกะหรี่ ตีกลองชุด ร้องคาราโอเกะ อะไรก็ว่าไป หรือ
เป็นบุคคลที่คอยหาอาชีพ เพื่อจะเป็นถุงเงินของ
นักการเมืองทั้งหลาย
คือ บ้านเราเวลานี้ มันเป็นพันธุ์นี้ล่ะ นักบวชเรา
หลายรูป ประพฤติตนนอกรีดนอกรอย แล้วก็ลอยตัว
อยู่พ้นน้ำ
ถามว่า แล้วออกมาประจานทำไม ออกมาพูดทำไม
ทำไมไม่ทำกันลับๆ ทำไมไม่จัดการกันภายใน
ก็ตุลาการเบื้องต้นของฝ่ายสงฆ์ ก็เน่าเสียแล้ว จะไป
อาศัยใคร
ตุลาการเบื้องต้นของฝ่ายสงฆ์ เพราะประสบการณ์ 20
กว่าปีในการที่สร้างวัดอ้อน้อยมา แล้วก็เป็นอดีตเจ้า
คณะปกครอง เป็นอดีตสมภาร ทำให้รู้ว่า ตุลาการสงฆ์
อาศัยไม่ได้ เพราะอะไร
เพราะว่า ไม่ว่าจะมีเหตุเภทภัยอะไรเกิดขึ้นในหมู่
สงฆ์นี่ เขาจะกลบ จะปกปิดกัน จะอำพรางกัน ไม่อยาก
ให้เปิดเผย อ้างว่า กลัวจะเสียหายภาพพจน์ กลัวว่า ผู้
คนจะไม่ศรัทธา กลัวว่า จะทำลายภาพลักษณ์ของพระ
ศาสนา กลัวว่า จะอับอายขายขี้หน้าประชาชน
เพราะงั้น ก็เลยต้องนั่งทับขี้กันไป นั่งทับขี้กันไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งขี้แห้งคาตูด ตายไปบ้างก็มี ไม่ตายก็มี แต่ก็
ต้องนั่งทับขี้กันไป จนบางคนไอ้ที่เลวร้าย ก็ตายหนี
ความเลวร้าย หรือความเลวร้าย ก็ตายตามตัวบุคคลผู้
ตายไปแล้ว
เพราะว่า ประสบการณ์อย่างนี้มันมีมาแล้วไง จึงไม่
สามารถที่จะละเลยและนิ่งเฉยได้
อีกทั้งพระธรรมวินัยในสุราปานวรรค ว่าด้วยเรื่อง
ภิกษุเห็นอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น แล้วปกปิด ไม่
โจทย์ขึ้น เป็นอาบัติปาจิตตีย์ แม้นจะมีอยู่ใน สัปปาณก
วรรค อีกข้อหนึ่งว่า ภิกษุผู้กล่าวโจทย์อาบัติชั่วหยาบ
แก่อนุปสัมปัน เป็นอาบัติปาจิตตีย์
เว้นเสียแต่ได้สมมติ นี่คือ อีกสิกขาบทหนึ่ง หมายถึงว่า
ถ้าเราเอาเรื่องไม่ดีของคณะสงฆ์มาพูด โดยเจตนาจะ
ใส่ไคล้ ใส่ร้าย หรือโพนทะนาให้เกิดความเสียหาย
อย่างนี้ต้องเป็นอาบัติปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่สมมติ คือ
สมมติว่า สถานภาพของภิกษุนั้น เป็นที่น่าเชื่อถือได้
แล้วโจทย์ โจทย์แล้วโพนทะนา เพื่อความหวังดีเอ็นดู
ต่อพระธรรมวินัย และได้รับการแต่งตั้งจากคณะสงฆ์
หรือ เป็นบุคคลผู้ได้รับการยอมรับจากคณะสงฆ์ว่า
เป็นวินัยธรณ์ เป็นธรรมกถึก ถ้าอย่างนี้ ไม่เป็นอาบัติ
ใดๆ
เพราะงั้น ความหมายของพระธรรม และวินัย พระ
พุทธเจ้าสอนไว้ชัดว่า เปรียบดั่งทะเล หมาเน่าลงทะเล
มันก็โดนซัดขึ้นฝั่ง แต่ไม่ใช่ปล่อยให้คลื่นมันซัดเอง
มันต้องมีพลังลม แรงคลื่น ถ้าทะเลเงียบๆ มันก็ไม่มี
สิทธิ์ซัดขึ้นฝั่ง ถ้าทะเลนิ่งๆ ไม่ไหล ไม่เคลื่อนไหว มัน
ก็ไม่มีสิทธิ์ซัดขึ้นฝั่ง
เพราะงั้น ทะเลต้องมีคลื่นลม มันก็ต้องอาศัยทั้งคลื่นทั้ง
ลม เพื่อจะช่วยกันพัดหมาเน่าขึ้นฝั่ง ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้ว
ก็จะบอกให้ ทะเล หรือ กระแสน้ำที่มันนิ่งๆ ไม่พัด
อะไรขึ้นฝั่งเลย ไม่ได้
กว่าจะขึ้น ก็พอดีมันเน่าอยู่ในทะเล และจมลงก้นทะเล
ไปเสียแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
งั้น ธรรมชาติของคนไม่ดี มันก็จะหาพวก เพื่อป้องกัน
และพวกที่มันหา ก็ต้องเป็นพวกที่ไม่ดี ถ้าพวกดีๆ ก็คง
ไม่ป้องกันคนไม่ดี
และในมุมกลับกัน เมื่อพวกไม่ดีรวมกับพวกไม่ดี มันก็
เหมือนกับการที่พวกไม่ดีรวมตัวกัน กลายเป็นอำนาจ
รวมกันเป็นอำนาจใหญ่ ซึ่งมีพวกดีอันน้อยนิด ก็จะ
โดนทำร้ายทำลายกลั่นแกล้ง ย่ำยีบีทา ตามเหตุปัจจัยไป
มีคณะตุลาการบางท่าน โทรฯ มาบอกให้หลวงปู่ระมัด
ระวังตัวให้มาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร เรื่องน้ำ
เรื่องคนแปลกหน้า เพราะ คนกลุ่มนี้ ไม่ใช่นักเลง แต่
เป็นอันธพาล เพราะนักเลงนี่เค้าไม่ทำกันลับหลัง ก็
เป็นอันธพาล แล้วอันธพาลนี่มันทำได้ทุกอย่าง
ทุกอย่างที่ขวางหน้า ที่ขัดผลประโยชน์ มันจะทำได้
งั้น หลวงปู่ก็เลยอยากประกาศในที่นี้ว่า อยากวิงวอน
บรรดานักการเมืองที่รักทั้งหลาย อย่ามาทำตัวเป็น
บุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์กับพระศาสนา และ
นักการศาสนาทั้งหลายก็อย่าอิงอาศัยนักการเมือง เพื่อ
จะส่งฐานะตัวเองให้โดดเด่น ยิ่งใหญ่ และมีอำนาจ
บรรดาศักดิ์วาสนา
ถ้าอย่างนี้ ศาสนามันจะไม่เหลืออะไรให้เป็นที่พึ่ง มัน
จะไม่มีที่พึ่งอันบริสุทธิ์บริบูรณ์ เพราะถ้าอะไรเป็น
ความต้องการของการเมือง ถ้าบุคคลากรในศาสนา
มันเติบโตได้เพราะอำนาจการเมือง แล้วถ้าอะไรเป็น
ความต้องการของนักการเมือง แม้มันจะผิดธรรมผิด
วินัย ก็ต้อง ใช่ครับพี่ ดีครับผม นิยมครับท่าน ถูกต้อง
แล้วคุณ ทำได้จ้าโยม เหมือนอย่างที่เป็นอยู่
เดี๋ยวนี้ นักการเมืองไม่ได้ไหว้พระ เพราะอ้ายคนที่
แต่งไม่เรียกว่า พระ อ้ายที่แต่งเหลือง ห่มเหลือง พอ
เห็นนักการเมืองมา ก็ยกมือไหว้ได้ทันที
ก็นี่ไง อำนาจการเมืองมันเข้ามาอิงอาศัย มาเป็นแบ
คให้กับบุคคลากรในศาสนา
นี่ไม่ได้พูดเกินเลยไป มันเป็นความจริงที่ใครก็ไม่
กล้าปฏิเสธ เว้นว่า จะกล้าที่จะแสดง และพูดกันหรือ
เปล่า
งั้น ถ้าขืนปล่อยให้ความเน่าอย่างนี้ มันลุกลามจน
กระทั่งเติบใหญ่ วันข้างหน้า พระพุทธศาสนาจะเหลือ
อะไร
งั้น หลวงปู่จึงบอกว่า ตายก็ไม่เสียดายชีวิต แล้วชีวิตนี้
จะไม่ยอมก้มหัวให้กับอำนาจเถื่อน อธรรม และความ
เลวร้าย อำนาจใดที่มันอยู่นอกธรรม นอกวินัย นอก
กฏหมายบ้านเมืองที่ถูกต้อง จะไม่ยอมศิโรราบเด็ดขาด
มันก็เลยเป็นที่มาว่า ต่อไปนี้ เข้าวัดอ้อน้อย ก็ต้อง
ลำบากกันนิดนะจ๊ะ อาจจะมีรายการขอตรวจ ฉี่ เอ๊ยไม่
ใช่ ตรวจอาวุธ ตรวจบัตรประจำตัวประชาชน หรือ
ตรวจอะไรต่ออะไร สารพัดตรวจ ก็ถือว่า ถ้าเราอยู่
ด้วยศรัทธา ด้วยความเชื่อมั่นในครูบาอาจารย์ อยู่ด้วย
ความดี อยู่เพราะว่า เราจะช่วยกันปกป้องคุ้มครองภัย
ก็อย่าบ่น อย่าว่า ก็ถือว่า ให้ความอุปถัมภ์บำรุงปกป้อง
เพราะอะไร
ก็เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องมา อย่างวันดีคืนดี วันนั้นที่
พวกท่านทั้งหลายไปแสดงพลัง พอตกเย็น 2 ทุ่ม ก็มี
นั่งรถปิกอัพมา 4-5 คน 6 คน มาถามหาหลวงปู่
ชายฉกรรจ์ทั้งคันรถ คนเค้าว่า มาทำไม จะมาสมัคร
บวช เวลา 2 ทุ่มน่ะ เอ่อ มันจะมาบวชชีหรือเปล่า ก็
ไม่รู้
วันดีคืนดี ก็มีรถวิ่งเข้าไปถึงนา คนเค้าถามว่า อ้าว
มาทำไม ขับรถเล่นๆ ขับรถมาเล่นๆ อย่างนี้เป็นต้น
วันดีคืนดี ก็มีมาถามหา อีหวงเค้ารับแขก เค้ารับหน้า
มาหาใคร มาหาหลวงปู่ มาทำไม จะมาบวช บวชก็ไป
หาสมภาร อยากเจอหลวงปู่ เอ้อ หนวดเคราเฟิ้ม ใส่
หมวก ดูกะเลอะกะเลิง ขี่มอเตอร์ไซด์ วนรอบ 2 รอบ
3 รอบ
แต่ว่าไม่ได้กลัว แต่ก็เล่าให้เห็นสถานการณ์ สงคราม
ประสาท ที่พวกเค้าพยายามที่จะทำให้เราสะดุ้งกลัว
หวาดกลัว มันทำได้ทุกอย่างสำหรับอันธพาล
หมอโทรฯมา บอกว่า หลวงปู่ครับ อาทิตย์นี้ เราจะ
รักษาไข้ไม๊
ถาม ทำไม
ก็สาธารณสุข เริ่มหันมาเพ่งเล็ง
สาธารณสุขไหน
สาธารณสุขจังหวัดนครปฐม
อ้าว เพ่งเล็งอะไร
ก็ เรามีใบอนุญาตไม๊
ก็มึงมีใบอนุญาตหรือเปล่า
มี
วัดมีไม๊
มี
แล้วมึงกลัวอะไร
ก็ เป็นธรรมชาติ บอก หมอ ระวังได้ แต่อย่าถึงขั้น
ระแวง จนกลายเป็นความหวาดกลัว เราก็ระวังตัวของ
เรา
อันนี้แหละ concept อาตมาเลยล่ะ
Concept อะไร
ก็ ลูกรัก ระหว่างมิตรกับศัตรู ถ้าจะให้พ่อเลือกอยู่ จะ
เลือกอยู่กับศัตรูมากกว่ามิตร เพราะมันจะทำให้พ่อ
ระมัดระวัง และเสียวสันหลังตลอดเวลา
ใครที่อยู่วัดอ้อน้อย ถ้าปีไหนไม่เสียวสันหลัง แสดงว่า
วันนั้น กูต้องแก่แล้ว กูต้องหมดเรี่ยวหมดแรง หมดไฟ
ไม่ต้องห่วง ลูก ทำให้ได้เสียวได้ตลอดเวลา ทำเรื่อง
ให้พวกมึงเสียวได้ตลอดเวลา
เอาอีกแล้วเหรอ ลงหน้าหนึ่งอีกแล้วเหรอ อะไร
ประมาณนี้
ก็ เพชรแท้ ไม่กลัวการเจียระไน
ทองแท้ ไม่กลัวการเผาไฟ
เหล็กแท้ ไม่กลัวการทุบตี
คนดีแท้ๆ ไม่กลัวการพิสูจน์
สำคัญ เราต้องดีจริงๆ
ถีงกับมีข่าวว่า เค้ากำลังจะหาบุคคลใกล้ชิดที่จะซื้อตัว
แล้วก็เอาไปสร้างเรื่องให้เกิดขึ้นให้ได้ ทุ่มเงินหลาย
ตังค์ เราก็มอง พวกมึง ก็เอาซิ จะได้เอาไปเลี้ยงลูก
เลี้ยงเมีย ไม่มีลูกมีเมีย ก็จะได้เอาไปหาลูกหาเมีย ทำ
อะไรได้ก็ทำ เพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน ถ้าทำได้ ถ้าพอใจมี
ความสุข ก็ทำไป ตามเหตุตามปัจจัย
เพราะ สุทธิ อสุทธิ ปัจจัตตัง ความบริสุทธิ์ หรือ ไม่
บริสุทธิ์ รู้ได้เฉพาะตนเอง
เราจะไปประกาศให้คนอื่นเค้า บอกว่า ชั้นบริสุทธิ์ ผม
บริสุทธิ์ กูบริสุทธิ์ ไม่ได้
หลวงปู่ มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำและมีอยู่ มีชีวิต
งั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ก็คือว่า พระ เวลานี้ ตาจะ
เหมือนๆ หนมครกไปแล้ว เหมือนๆ กับสมภาร
สมภารนี่ เค้ามีข่าวมาเล่าว่า พอนายน้ำฝนลงจากรถมา
เห็นรูปสมภาร มันบอกว่า โอ๊ย อย่างนี้ ตรวจเมื่อไหร่
ก็เจอ เพราะอะไร
ก็รูปสมภารดำ คล้ำ ผอม หัวโต เกร็ง อย่างนี้ ตรวจ
เมื่อไหร่ก็เจอ
แต่เค้าไม่ได้รู้ถึงว่า พฤติกรรมของพระสงฆ์วัดอ้อ
น้อยว่า ไม่ได้เช้าเอน เพลนอน บ่ายพักผ่อน กลาง
คืนจำวัด ไม่ได้ดึกดูโทรทัศน์ ค่ำซัดเคเอฟซี หรือว่า
ไวไว มาม่า อย่างที่เค้าเป็นอยู่ไง ที่นี่เค้าทำแต่งาน อยู่
กลางแดดตลอดเวลาไง พอเห็นหุ่นสมภาร บอก ตรวจ
เมื่อไหร่ก็เจอ ประมาณนี้
และที่แย่กว่านั้น ก็คือ เวลานี้ ทุก 2 ชั่วโมง ต้องเข้า
เวรกัน มันก็เลยชักเริ่มสงสารเค้า เค้าเริ่มอยู่กัน
อย่างลำบากละ เพราะว่า เค้าก็ห่วงใยครูบาอาจารย์
ห่วงวัด ห่วงสถานที่ และที่สุด ก็ห่วงสุขภาพความเป็น
อยู่ของชีวิตตัวเอง
มีคำขู่มาตลอดแหละ คำขู่สารพัดขู่ มีคำขู่ มีวิธีการที่
จะทำให้เราสะดุ้ง หวาดผวา
หลวงปู่ ก็เลยบอกว่า ให้คนไปเรียก ส.ส. พื้นที่มา
คุยหน่อย เรียกมาคุย ไม่รู้มันจะมาหรือเปล่า เค้าจะมา
หรือเปล่า ให้ไปเชิญมาคุย คุยกันแบบภาษานักเลง ไม่
ใช่ภาษาอันธพาล
สรุปแล้ว เรามีอะไรที่เราจะต้องคุยกันบ้าง ประเดี๋ยว
จะไว้เล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป
แต่ก็บอกให้ลูกหลานรู้ว่า ทั้งหมดนี่ มันเป็นวิถีของนักสู้
หน้าหนึ่งของตำนานวัดอ้อน้อย มันคงจะต้องมีจารึก
ชื่อพวกมึงเอาไว้บ้างล่ะ เหมือนกับอ้ายคนป่วยที่เมื่อ
เช้ามันมา เป็นมะเร็งกรามช้าง รักษามา 5-6 ปี
เกือบจะหายแล้วละ เมื่อเช้าก็มาเปิดให้ดู เนี่ย แดงขึ้น
มาอีกลาะ
อ้าว มึงไปทำอะไรมา แดง ก็วันนั้นน่ะ ไปตะโกน เอ้อ
ไปตะโกนนั่นแหละ เลยนี่ ดูสิ แดงเลยละ
ทีแรก ว่าจะให้มันหยุดยา บอก อย่างนั้น มึงอย่าหยุด
เลย มึงกินต่อไปเฮอะ
เออ ไปตะโกนจนอักเสบขึ้นมาใหม่
เฮอ ก็ขออภัย ลูก ที่ทำให้ลูกหลานลำบาก ทำให้ลูก
หลานต้องไปทุกข์ยาก เพราะแต่ละคนนี่ นักรบของกูนี่
แต่ละคนนี่ พยุงไปบ้าง ยายสุภา ลื้ออ่ะๆ ต้องบอกมา
ให้ชัดเจนน่ะ อั้วอยากรู้ เอ๊อ เห็นมันตัวเล็กๆ อย่าง
นั้นน่ะ แต่ใจมันใหญ่นะ อีนี่ ทั้งแม่ทั้งลูกไปยังไง ถาม
อ้ายท๊อป มึงไปแล้วรู้สึกยังไง ผมก็ไม่รู้ ผมยังมึนอยู่นี่
ผมยังงงๆ อยู่ว่า มาได้ไง เอ่อ เค้าก็บอกว่า อ้ายความ
รักในครูบาอาจารย์ อยากจะช่วยเหลืองานการ
ก็ขอบคุณ ลูก ขอบคุณในน้ำใจของลูกหลานทุกคน มา
จากเพชรบุรี อ้ายผู้การโกสิน เค้าส่งมา เอาอ้ายหน่วย
เรสคิ้ว เอ้อ เอามาช่วยอารักขาหลวงปู่ บอก มึงไม่ต้อง
มาอารักขากูหรอก มึงเอาไปอารักขาสมภารเฮอะ
เพราะกูเอาตัวรอดได้
เราก็เลยนั่งๆ มอง อ้ายคนที่มันส่งมา เฮ้ย หน่วยเรสคิ้ว
(rescue หน่วยช่วยเหลือ ช่วยชีวิต) หรือ
หน่วยเลิกคิ้ววะ หรือหน่วยป้องคิ้ว เพราะว่า ฟันก็ไม่
ค่อยมีเลย แถมผมหงอกเต็มกะบาล แก่อีกต่างหาก
กูก็เลยบอกว่า อ้ายนี่มันหน่วยป้องคิ้วมั๊ง ใครอ่ะ มึง
มาทำไม
หา
มึงจะอารักขากู หรือ กูจะอารักขามึง
โอ้โห แล้วบวกกับกองพล พละกำลังของวัดอ้อน้อยนะ
วันนั้น เห็นเค้าว่า นับไปนับมา น่าจะได้ร่วมพัน ไม่
ใช่จำนวน แต่อายุ เกินพัน กูกลัวว่า ตะโกนอีกซักครึ่ง
ชั่วโมงแหละ ต้อง เฮ้ย น้ำมันหม่อง ยาดม เว้ย
แหม พลัง พลังมึงพยุงกูไปหน่อย ฟังอ้ายวารินทร์เค้า
บอกว่า เค้ากำลังระดมพล นี่ มานะ ลูกก็พา ผัวก็พา เอ้อ
ผัวป่วย ป่วยก็ให้มันหิ้วน้ำเกลือมาเลย เอ้อ กูก็เลยบอก
อย่าลืมเอาอ้ายคนที่ตายมาด้วย
ก็ มันเป็นอะไรที่มันน่าอนาจเหมือนกัน ถ้าเรามีนัก
ปกครอง คณะสงฆ์ที่ไม่อิงการเมือง ที่อาศัยธรรมวินัย
เป็นหลัก ที่ยึดถือหลักการณ์และอุดมการณ์ของพระ
ศาสดา และกฏหมายบ้านเมืองอย่างซื่อตรง เราก็ไม่
ต้องไปทำอะไรมากมายขนาดนี้ เราก็คิดว่า คนชั่วคง
จะลอยนวลไม่ได้
แต่เพราะว่า เราไม่มีนักปกครองแบบนี้ เรามีแต่นัก
ปกครอง ที่เค้าเรียกว่า ปากว่าตาขยิบ ลูบหน้าปะจมูก
แล้วก็ก้มหัวให้กับอำนาจเถื่อน คนถ่อย จนปล่อยให้
อันธพาลเต็มพระศาสนา
ถ้าขืนหลวงปู่ไปยอมศิโรราบ ที่จริง พระทั้งหลายเค้า
ชอบใจนะ
ชอบใจยังไง เอาเลย ท่าน เอาเลย แล้วท่านอยู่ไหน
ผมเชียร์ แหม มึงเชียร์ไกลเหลือเกิน
ก็ถือว่า เป็นอะไรที่ เป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง แล้ว
ก็ประสบการณ์นี้ ไม่รู้ว่า มันจะจบได้อย่างไร เลยเป็น
ที่มาของอ้ายการที่เป็นห่วงวัด ห่วงพระ หลวงปู่เลย
ต้องขอพึ่งพระบารมีปกเกล้า
เกิดมาในชีวิตไม่เคยร่างฎีกาถวายเจ้านาย ก็ต้องมานั่ง
ร่างฎีกา ขอพึ่งบารมี พระราชทานจากสมเด็จพระบรม
โอรสาธิราช ในฐานะที่ท่านเคยประทานไม้มาให้สร้าง
วัด แล้วเราก็ใช้ไม้ของท่านที่รื้อมาจากวังอะไรล่ะ วัง
เก่าที่อยู่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ เมื่อ 20 กว่าปี
ที่แล้ว ปีพ.ศ. 2531-2532 ท่านรื้อมา ก็พระ
ราชทานมาให้หลวงปู่สร้างวัด เป็นทุนเดิม
ปกติ ก็ไม่เคยคิดที่จะอาศัยพระบารมี แต่เห็นท่า ว่า
มันจะเหลือบ่ากว่าแรง
ลำพังหลวงปู่น่ะ สบาย กลดคันหนึ่ง บาตรใบหนึ่ง ก็ไป
ไหนๆ ไกลแล้ว
ทำให้กลับมาสำรวจตัวเอง สำรวจตัวเองว่า ถ้าเป็น
สมัยก่อนนี้ หลวงปู่จะแกล้วกล้ามาก คือ แกร่งกล้ามาก
ว่องไวมาก ฉับพลันทันทีได้มาก เพราะมันไม่มีห่วง
ไม่มีภาระ ไม่มีห่วงไม่มีภาระ เลยทำให้ต้องมานั่งสวด
บท
ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้า เป็นของหนักเน้อ
ภาระหาโร จะ ปุคคะโล บุคคลนั้นแหละเป็นผู้ แบก
ของหนักพาไป
ภาราทานัง ทุกขัง โลเก การแบกถือของหนัก เป็น
ความทุกข์ในโลกเน้อ
ภาระนิกเขปะนัง สุขัง การสลัดของหนักทิ้งลงเสีย
เป็นความสุขจริงหนอ
เพราะงั้น ทุกวันนี้บิณฑบาตรกลับมาเสร็จก็ต้องมาคิด
กลยุทธ์ มาทบทวนกลยุทธ์ คิดกลยุทธ์ เราจะรุกอย่างไร
จะรับแบบไหน จะวางกำลังอย่างไร จะสู้กับ ด้วยกลวิธี
ยุทธวิธีแบบไหน
มันเป็นภาระอย่างยิ่ง มันทำให้จิตนี้ กระเพื่อมอยู่
เนืองๆ เป็นความทุกข์พอสมควร ก็ต้องหาวิธีปลด
เปลื้องความทุกข์ เพราะนี่มันคือหน้าที่ ต้องแยกให้
ออกว่า มันก็ต้องอาศัยอะไร
อาศัยสติ อาศัยปัญญา ที่จะต้อง รู้ให้ทันตามความเป็น
จริง แล้วความทุกข์มันก็จะอันตรธาน ภาระทั้งหลาย
มันก็จะได้รับการวาง
นี่คือ ประโยชน์จากการปฏิบัติธรรม เล่าให้ลูกหลาน
ฟังให้เป็นประสบประการณ์ ว่า เวลาเรามีทุกข์ถาโถม
ความกังวลเดือนร้อน ทุรนทุรายใดๆ เนี่ยน่ะ
หลวงปู่คิดได้ถึงขนาดว่าไปแสดงธรรมที่ อะไรวะ สอง
วันนี้ เอ๊อ ช. การช่าง อืม เดี๋ยวเขาประท้วงมาให้อีก
ช. การช่าง โตคิว นายปลิวกับบริวาร เค้าก็ถวายเงิน
มา ก็เป็นล้านล่ะ เราก็เลยบอก เฮ้ย กูไม่เอาไปหรอก
เค้าถาม ทำไมล่ะ ฝากพวกมึงไว้ก่อน เดี๋ยวมึงไปวัด
แล้วค่อยเอาไป
เค้าก็ งง ทำไมไม่เอาตังค์ไป
เพราะ มึงรู้มั้ยว่า กูคิดอะไร กูคิดว่า เกิดถ้ากูเอาเงิน
มาแล้ว กูโดนยิงกลางถนนเนี่ย เดี๋ยวหาเจ้าภาพไม่ได้
เพราะไอ้เงินเป็นล้านนี่ มันเป็นเครื่องล่อให้คนยิงได้
มั้ย เอ๊อ เพราะฉะนั้น ถ้ากูไม่มีเงินให้ยิงนี่มันมีเจ้า
ภาพแน่นอน กูก็เลยต้อง เออ คนเค้า แหม คิดลึกจัง
อ้าว ไม่ได้ ต้องรู้จักรักษาตัวรอด
ไอ้คำว่า รักษาตัวรอดเนี่ย ไม่ใช่รอดแบบบัณฑิตยุค
ปัจจุบันนะ มีเรื่องอะไรทำนิ่ง เฉย ไม่สนใจ พูดถาก
ไปถากมาไม่กล้าชี้ บอกว่า ถูกผิดอะไร เพื่อเอาตัวรอด
ไปวันๆ ไอ้บัณฑิตอย่างนี้ไม่ใช่ บัณฑิตที่ ที่ดูเหมือน
ไม่ใช่บัณฑิตยุคนี้ อย่าง ท่านอาจารย์พุทธทาสที่มีวิวา
ทะกับหม่อมคึกฤทธิ์ อ้ายนั่น เค้าเป็นบัณฑิตจริงๆ
เพราะเค้าชี้ว่า ใครถูกใครผิด ถ้าไม่ถูก ก็ต้องมาว่ากัน
ต่อหน้าให้ชัดเจน ว่าไม่ถูกอย่างไร แล้วที่ถูก ควรทำ
อะไร
แต่บัณฑิตสมัยนี้ไม่กล้า อยู่ข้างหลังๆ ไว้ รักษาภาพ
พจน์เอาไว้ ไม่กล้าปะทะ
รวมๆ ก็คือ เดี๋ยวนี้ต้องระวังทุกเรื่อง แม้กระทั่ง การ
จะฟ้องร้องต่อศาล อาศัยเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ตำรวจ
คงจะพึ่งยาก คงจะพึ่งลำบาก เพราะอะไร
ก็เพราะว่า มันก็เป็นที่รู้กันว่า พวกนี้ก็วิ่งเข้านอกออก
ใน เข้าหานักการเมืองเป็นอาชีพ เป็นอาจิณ เราจะ
ไปพึ่งพาอาศัยอะไรพวกเขา ที่จะมารบทัพจับศึกกับ
นักการเมืองคงจะยาก ก็เมื่อเช้า ก็มีคนมาถามว่า
หลวงปู่ไม่ ไม่ต่อสายเข้าไปหาพวกนายทหารใหญ่ๆ
บ้าง
บอก ยังไม่ถึงเวลา ถ้ามันเหลือบ่ากว่าแรง ก็คงจะต้อง
ขอแรงกันบ้าง แต่ตอนนี้เอาเพียงแค่ว่า เอากำลังของ
พระตาโหลๆ ในวัดไปก่อนก็แล้วกัน เออ ถ้ามันถึง
ขั้นนั้น ก็คงจะต้องขอล่ะ เพราะว่า เราไม่ได้ทำ คือ
หลวงปู่พยายามจะไม่ ไม่อะไร ไม่ทำตัวเป็นคนอ่อนแอ
เพราะที่นี่ เขามีบทโศลกเขียนไว้ว่า อยู่ที่นี่ ต้องพึ่งตัว
เองได้ แล้วเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้
เมื่อเราเขียนสอนเค้าได้ เราก็ต้องทำให้ได้ ก็จะไม่
พยายามที่จะทำอะไรที่มัน กลายเป็นว่า เราเป็นคน
อ่อนแอซะ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เวลานี้เดินบิณฑ
บาตรข้างนอก พรรคพวกเค้าก็บอกว่า ลูกหลานก็
บอกว่า อย่าออกไปเลย เพราะว่า มันมีคนมาซุ่มโป่งดู
อยู่ ก็ให้บิณฯ เฉพาะแค่ปากประตูวัดพอ ไอ้บ้านที่จะ
ใส่บาตรข้างนอกๆ ก็ให้มันย้ายเข้ามาใส่หน้าประตูวัด
อย่าออกไป
เอ้า เรื่องของมึง ไปก็ไป เอา แค่ไหนก็แค่นั้น แต่ให้
บิณฯ ให้ได้ทุกวันแล้วกัน ให้ทำภาระกิจ ทำหน้าที่ของ
ตนให้ได้ทุกวัน ก็ มันก็เป็นกระบวนการหนึ่ง
ว่าจะหวังพึ่งนักการเมืองฝ่ายค้านก็ยังนั่งก้มหน้านิ่งอยู่
เลย ไม่รู้ว่าจะพึ่งได้หรือเปล่า
เอ้า เปิดโอกาสให้พิธีกรฝ่ายค้าน เค้าทำหน้าที่หน่อย
ก็แล้วกัน
8 ก ย 56 15.15 น. ระหว่างปฏิบัติธรรม
เดินขั้นที่ 1 ภาค 1,2,3, ดูจิต ใน ท่ายืน, นั่ง,
เดิน โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
เตรียมปฏิบัติธรรม
(กราบ)
ขั้นที่ 1 ภาคที่ 1
หูฟังเสียง เท้าก้าวเดิน ใจรับรู้ อย่างมีสติ
.............
ขั้นที่ 1 ภาคที่ 2
...........
ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3
.............
หยุดอยู่กับที่
สำรวจดูภายในกาย สูดลมหายใจเข้า
มีสติอยู่ในกายตน
คำว่า มีสติ ก็คือ ความรู้สึกตัว รู้เฉพาะภายในกายตน
รู้ตั้งแต่ไหนบ้าง
ก็รู้ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า รู้ให้ทั่ว
..............
ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เท้าจนถึงหัว
..............
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
.........
หายใจออก เบา ยาว หมด
..........
เอ้า อีกที
เข้า กว้าง ลึก เต็ม
.............
แล้วก็ออก เบา ยาว หมด
...........
ทำความรับรู้ไว้
รู้แบบชนิดที่ จดจ่อ จับจ้อง อยู่กลางกระหม่อม
..............
รู้เฉพาะ กลางกระหม่อม
สัมผัสได้ที่ กลางกระหม่อม
ตั้งมั่นอยู่ กลางกระหม่อม
อย่าหลับตา ลืมตา
สายตา ทอดต่ำลง
................
ไม่ให้ ตัวรู้ เคลื่อนออกจากกลางกระหม่อม
ไม่มีเรื่องอื่นให้รับรู้ นอกจากกลางกระหม่อม
..............
ผู้ที่ไม่สามารถรู้ได้
ความรู้ไม่ตั้งมั่น ก็แสดงว่า เรายังมีสติที่อ่อนแอ เรา
ฝึกน้อยไป
สติ สมาธิ ปัญญา วิริยะ ศรัทธา
ทั้งหมด นี่คือ พละ เรียกว่า พลังของการเจริญ..
...........
เมื่อใดที่เรามีศรัทธา แต่ไม่มีปัญญา ก็ใช้ไม่ได้
มีสติ แต่ไม่มีสมาธิ ก็ไม่ตั้งมั่น
...............
มีศรัทธา แต่ขาดความเพียร
ก็ทำบ้าง หยุดบ้าง ทำๆ หยุดๆ
...........
ทั้งหลายทั้งปวง นี่เป็น พละ ที่เราจะต้องเติมให้มันเต็ม
ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
เป็นสิ่งที่เกื้อกูลกรรมฐานให้ตั้งอยู่ได้
................
เคลื่อนจาก กลางกระหม่อม มาดูที่ จิต
..............
ดูซิว่า เวลานี้ เรามีอารมณ์อะไร
...............
ค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งช้าๆ อย่างชนิดที่เฝ้าดูจิตตัวเอง
..............
เรามีกุศล หรือ อกุศล เราทุรนทุราย เราฟุ้งซ่าน เรา
ว้าวุ่น
เรากลัดกลุ้ม เราร้อนรุ่ม เรามีแต่ปัญหา หรือ ตัณหา
หรือ เรามีกุศล มีบุญ มีความอิ่มเอม
มีความผ่อนคลาย มีความโปร่ง เบา สบาย
หรือ ความสงบนิ่ง ตั้งมั่น
ดูที่ จิต
...............
หลายคนอาจจะไม่รู้จัก คำว่า ดูอย่างไร ดูที่จิต
ก็คือ เวลานี้ มีอะไรเกิดขึ้นล่ะ
เรามีกาย แล้วเราเอา ใจ อยู่ตรงไหน
...............
รู้จัก กาย แล้วก็ต้องรู้จัก ใจ
ใจ ในที่นี้ สำหรับคนที่ไม่เข้าใจ ก็อาจจะเรียกมันได้ว่า
คือ ความรู้สึกนึกคิด ก็ได้ แต่ไม่ใช่ที่ สมอง
หรือ เรียกอีกอย่างว่า อารมณ์ ก็ได้
แต่ไม่ใช่ที่ สมอง อีกเหมือนกัน
...............
อารมณ์เราประกอบไปด้วย กุศล อกุศล หรือ เฉยๆ
..........
อารมณ์เรา มีราคะ มีโทสะ มีโมหะ มีโลภะ มีตัณหา
หรือ อารมณ์เรามันฟุ้งซ่าน ง่วงหงาวหาวนอน
ลืมตา
ไม่ได้ให้หลับตา
.............
อารมณ์ที่จรเข้ามาทางตา เข้ามาที่ จิต หรือเปล่า
เพราะฉะนั้น จึงให้ลืมตา
.............
อารมณ์ที่จรเข้ามาทางหู เข้ามาที่ จิต หรือเปล่า
.............
อารมณ์ที่เข้ามาทางกาย คือ สัมผัส เข้ามาสู่ จิต หรือ
เปล่า
............
อารมณ์ที่อยู่ภายใน ทำให้ จิต ทุรนทุราย ว้าวุ่น ปั่นป่วน
หรือเปล่า
..............
อารมณ์ที่อยู่ภายใน มีอะไรบ้าง
ความเมื่อย ความเปลี้ย ความระเหี่ย ความมึนตึง ความ
เจ็บ
ความง่วง ความเศร้าหมอง ความขุ่นมัว
อยู่ใน จิต ไม๊
ถ้าอยู่ ก็แสดงว่า บ้านนี้มันสกปรก กวาดมันทิ้งออกไป
..............
อย่าหลับตา
.............
ไม่ต้องสนใจ ลมหายใจ
ดูที่ อารมณ์
.............
การดูอารมณ์อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ธรรมารมณ์
ธรรมในส่วนที่เป็นกุศล หรือ ธรรมในสิ่งที่เป็นอกุศล
หรือ อัพยากฤตธรรม
..............
วิตก กังวล หวาดผวา สะดุ้งกลัว มีอยู่ในจิตไม๊
มีอยู่ในอารมณ์ไม๊
เศร้าหมอง ขุ่นมัว ซึมเศร้า กลัดกลุ้ม ว้าวุ่น ร้อนรุ่ม มี
อยู่ไม๊
..............
อย่าหลับตา
...............
ค่อยๆ พยุงตัว ลุกขึ้นยืน ทรงอารมณ์ให้คงที่
รักษาจิต ไม่ให้กระเพื่อม
ไม่กระเพื่อมทางตา ไม่กระเพื่อมทางหู ไม่กระเพื่อม
ทางลิ้น
ไม่กระเพื่อมทางกาย และไม่กระเพื่อมในใจ
เราเป็นผู้มีอารมณ์ไม่กระเพื่อม
..............
พาเอา ความไม่กระเพื่อม ออกเดินไป
ถ้าเมื่อใดที่กระเพื่อม ต้องหยุดทันที
..............
ไม่กระเพื่อม คือ อารมณ์ที่สมดุลย์ของจิต
เรียกว่า เป็น เอกัคคตาจิต
..............
จิตที่ไม่กระเพื่อม นี่แหละ มันจะอยู่ได้ในทุก
สถานการณ์
ไม่ว่า จะทุรนทุราย แร้นแค้น บีบคั้น
หรือ เร่าร้อน สับสน ว้าวุ่น อันตราย ปกติ สงบ
อึมครึม สว่างจ้า
..............
มันจะอยู่ได้อย่าง รักษาสมดุลย์ ที่ไม่กระเพื่อม
.............
เรียกว่า เป็น เอกัคคตาจิต ก็ว่าได้
............
เมื่อใดที่กระเพื่อม ต้องหยุดทันที
...............
หยุดอยู่กับที่ แล้วดูซิว่า กระเพื่อมไม๊
..............
คำว่า เอกัคคตา คือ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ลูก
เพราะไม่มีอารมณ์อื่นเข้าแทรก
.............
ถามว่า เรารู้ไม๊ ยังไม่ถึงขั้นอุเบกขา คือ การวางเฉย
เรารู้ทุกเรื่อง แต่มี อารมณ์เดียวเป็นหนึ่ง ที่เสพอยู่
อารมณ์ที่เป็นหนึ่ง คือ ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุรนทุราย
ไม่เศร้าหมอง
ไม่ว้าวุ่น ไม่สับสน ไม่กลัดกลุ้ม ไม่กลัว ไม่ผวา ไม่สะดุ้ง
...............
พาเอาความไม่กระเพื่อม เข้าที่
...............
ด้วยความไม่กระเพื่อม นี่แหละ มันจะกลายเป็น ผู้กล้า
ในทุกสถานการณ์
เราจะสงบได้ ในเวลาที่คนอื่นทุรนทุราย
เราจะเย็นได้ ในขณะที่คนอื่นเค้าเร่าร้อน ว้าวุ่น
เราจะเป็นสุขได้ ในขณะที่คนอื่นเค้าเป็นทุกข์เหลือเกิน
พระพุทธเจ้าสอนให้พวกเรา ก่อนที่จะชนะคนอื่น
ต้องชนะตัวเองให้ได้ก่อน
ถ้าตัวเองชนะแล้ว ชัยชนะคนอื่นง่ายมาก
การจะเอาชนะคนอื่น ไม่ยากเลย
นี่ก็เป็นวิธีหนึ่งในหลายร้อยวิธี
ที่พระองค์ทรงสอนให้เราเอาชนะคนอื่น หรือว่า ตัวเอง
การชนะตัวเอง เป็นยอดแห่งชัยชนะ
เหมือนดั่งท่าน ทรงสอนพระเจ้าอชาติศัตรูว่า
มหาบพิตร การที่พระองค์ยกทัพไปกำหราบ ชัยชนะทั้ง
10 ทิศ
เราตถาคต ถือว่า เป็นผู้แพ้
เพราะแพ้ในความโลภ ความโกรธ และความหลง
จะทำยังไง พระเจ้าค่ะ จึงเรียกว่า เป็นผู้มีชัยชนะใน 10
ทิศ ใน 3 โลก
ก็ต้องชนะตัวเองให้ได้
และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายวิธี ที่จะทำให้เราชนะตัวเอง
ฝึกความเป็นผู้มีชัยชนะตัวเอง อยู่เนืองๆ
แล้วเราก็จะกล้าในทุกสถานการณ์
แล้วสถานการณ์ ก็จะไม่บีบคั้นเรา ให้ทุรนทุราย เสีย
สติ หรือ เศร้าหมอง ขุ่นมัว
หลับตา กำหนดลมหายใจ
.............
เข้า สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข
...........
ออก สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์
...........
พอ วันนี้ ..ได้เต็มๆ
ยกมือไหว้พระกรรมฐาน
(กราบ)
เตรียมถวายทาน ลูก
............
(สาธุ)
สังฆทานและสิ่งของทั้งหลายรวมทั้งปัจจัย ที่ลูกหลาน
ถวาย หลวงปู่รับแล้ว ยกให้เป็นสมบัติของวัดและ
มูลนิธิฯ เพื่อใช้ในกิจกรรมสาธารณะสงเคราะห์
สาธารณะประโยชน์
ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา (สาธุ)
ตั้งใจกรวดน้ำ แล้วรับพร
..................
ตั้งใจรับพร ลูก
.............
(สาธุ)
เจริญธรรม ลูก ธรรมะรักษาทุกคน ให้รุ่งเรือง ร่ำรวย
อายุยืน สุขภาพแข็งแรง ให้เดินทางปลอดภัย ลูก
(สาธุ)
กราบลาพระ อะระหังสัมมา
..........
เจริญธรรม ลูก
(สาธุ)
(กราบ)