7 ก ย 2556 10.00 น. แถลงช่าวหลังการประกาศยุบพระวินยาธิการ โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ (22.27 นาที)
(สาธุชนคนไอที)
ก็ต้องสืบเนื่องรื่องก่อนหน้านี้ก่อน 1 เรื่อง ก็คือ มติอัปยศ หรือ มติสิ้นหวัง เท่าที่ทราบกัน
ก็อย่างที่พวกเรารู้กันในสื่อสารมวลชนและสังคมทั่วไปว่า คณะสงฆ์โดยเจ้าคณะจังหวัดองค์ปัจจุบันและพระวินยา
ธิการรวมทั้ง ผ.อ.สำนักพุทธฯ ก็ไปซุบซิบประชุมกัน โดยที่ออกมติอัปยศ ไม่ได้เรียกคู่กรณีเข้าไปสอบถาม
ประชุมกันฝ่ายเดียว แล้วก็ออกมารองรับ หรือรับรองการกระทำของพระวินยาธิการ โดยมีนายน้ำฝนเป็นหัวหน้า
ซึ่งมันผิดธรรมเนียมหลักตุลาการของโลกและคณะสงฆ์ตามพระธรรมวินัย
เพราะพระธรรมวินัยในข้อระงับอธิกร บอกไว้ชัดว่า ในกรณีสังฆวินัย ต้องพร้อมหน้าสงฆ์ พร้อมหน้าพยาน
พร้อมหน้าบุคคล พร้อมหน้าวัตถุ พร้อมหน้าโจทย์ และพร้อมหน้าจำเลย แต่นี่เล่นแอบทำกัน แล้วก็ออกมติ
อัปยศว่า การกระทำนั้น ถูกต้อง
แต่เข้าใจว่า มติที่ 2 ที่ออกมาล่าสุดเมื่อวานนี้ น่าจะมาจากผลกระทบทางสังคม แล้วก็ผลกระทบทางรูปคดี เพราะ
เป็นที่ทราบกันดีว่า สมภารวัดอ้อน้อย ได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษกับเจ้าคณะจังหวัด นายน้ำฝน แล้วก็
ผ.อ. สำนักพุทธฯ ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แล้วก็ผิดจรรยาพระสังฆาธิการ รวมทั้งข่มขู่คุกคาม
ซึ่งเรื่องพวกนี้ ชั้นได้โทรฯแจ้งเลขาฯ จังหวัดก่อนหน้าที่จะมีเรื่องมีราวว่า ช่วยบอกลูกพี่ท่านว่า ถ้าไม่อยากขึ้น
ศาลอีกรอบ ช่วยห้ามปรามลูกน้องหน่อย แต่ดูเหมือนลูกพี่เค้าจะให้ท้ายลูกน้อง อย่างนายน้ำฝน จนกระทั่งเป็น
เรื่องเป็นราวเกิดขึ้น
งั้น มตินี้ ก็เป็นมติที่ออกมาแบบชนิดที่ว่า อยากจะปัดสวะให้พ้นตัว หรืออยากจะแก้ผิด หรือว่า ตัวเองไม่อยากจะ
มีส่วนพัวพันกับกิจกรรมครั้งนี้ หรือว่า การครั้งนี้ มันจะต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอีกรอบหนึ่ง และในขณะเดียวกัน ก็
มองได้อีกเหมือนกันว่า เอ้า อย่างนั้นก็ตัดหางปล่อยวัด
เพราะพวกเราทั้งหลายต้องยอมรับว่า คณะสงฆ์ในจังหวัดนครปฐม ไม่ได้ปลื้มนายน้ำฝนนักหรอก เพราะว่า ทุก
ครั้งที่เค้าเข้าประชุม เค้าก็จะทุบโต๊ะบ้าง หรือไม่ก็ จะโวยวายบ้าง จะแสดงอำนาจบาตรใหญ่ จนคณะสงฆ์เค้า
เอือมระอา
ที่จริง ชั้นทำเรื่องนี้ให้เป็นที่ประจักษ์ ก็เพื่อให้โอกาสคณะสงฆ์ว่า จะบริหารจัดการยังไงต่อการปกครองคณะสงฆ์
ให้เหมาะสม แต่คณะสงฆ์โดยท่านเจ้าคณะจังหวัด ครั้งแรกก็อาจจะเอียงๆ ไป
แต่ครั้งนี้ ถามว่า ควรจะยกย่องไม๊
ก็ไม่รู้จะยกย่องยังไง เพราะว่าไม่มีเหตุปัจจัยอะไรให้ยกย่อง เพราะปัจจุบันนี้ คณะสงฆ์วัดอ้อน้อยก็ประชุมกัน
เพื่อจะคว่ำบาตรท่าน โดยไม่ยอมรับการปกครองของท่าน แต่จะยอมรับมติคณะสงฆ์
เพราะงั้น อะไรที่เป็นคำสั่งของเจ้าคณะจังหวัดองค์ปัจจุบัน คณะสงฆ์จะไม่ปฏิบัติตาม แต่ถ้าเป็นมติของคณะสงฆ์
โดยองค์รวม คณะสงฆ์จะยอมปฏิบัติตาม เพราะเราเคารพมติคณะสงฆ์
แต่ที่ผ่านมาถามว่า เมื่อเคารพแล้วทำไมไม่ยอมรับ ก็บุคคลผู้มาทำหน้าที่แทนคณะสงฆ์ เป็นบุคคลผู้มีปัญหาทาง
พระวินัย เป็นที่รังเกียจทางพระวินัย เราเลยไม่ยอมรับ
ทีนี้ ในกรณีนี้ เราก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันเป็นความกระทบกระเทือนทางการปกครองคณะสงฆ์
ที่จริงแล้วเราตกลงกันไว้ในที่ประชุมสงฆ์ไว้ 3 ระดับคือ
ระดับแรก คือ ไม่ยอมรับในการปกครองของท่านเจ้าคณะจังหวัดองค์ปัจจุบัน เพราะเป็นผู้มากไปด้วยอคติ คือ
โทสาคติ และโมหาคติ คือ พูดง่ายๆ เป็นภาษาชาวบ้าน ก็คือ ลำเอียง
ข้อตกลงที่ 2 ก็คือว่า เรา นอกจากไม่ยอมรับแล้ว เรายังโดนบีบอีก เราก็จะต้องบอกกับชาวบ้าน บอกกับคณะ
สงฆ์ทั่วๆ ไปว่า ถ้าอย่างนั้น เราก็คงจะต้องเดินรอยตามโพธิรักษ์เสียล่ะมั๊ง ถ้าหากว่า จำเป็นจะต้องกระทำ แต่ใจ
ชั้นกับคณะสงฆ์ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะเราไม่อยากให้พระศาสนาต้องแตกแยกถึงขั้นนั้น
หลังจากเกิดเรื่องเหล่านี้แล้ว ก็ต้องบอกสื่อสารมวลชน และท่านที่รักทั้งหลายทั่วไปว่า วัดอ้อน้อยกำลังจะตกอยู่
ในอำนาจเถื่อน กระบวนการข่มขู่คุกคาม มีมาเนืองๆ และต่อเนื่องในรูปแบบต่างๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อคืนนี้ 2 ทุ่ม
มากันเป็นคันรถปิกอัพ 4-5 คน 5-6 คนได้ เค้าเรียกว่าอะไร ชายฉกรรจ์ทั้งนั้น มาสมัครบวชตอน 2 ทุ่ม
อย่างนี้เป็นต้น
ก่อนหน้านั้นน หลวงปู่ไปแสดงธรรม ก็มีรถตาม มีรถสะกดรอยตาม หรือว่า ตามไปติดๆ เราก็ลองให้คนขับรถ
ขับสะวี๊ดสะว๊าด คือ ขับหลบซ้ายหลบขวา มันก็ตามไปทุก คือ จะแสดงการคุกคาม หรือว่า ใช้คำว่าอะไร ใช้คำว่า
สงครามประสาทก็ได้ สงครามจิตวิทยาก็ได้
แต่ถามว่า หวั่นหวาดไม๊
ไม่ได้หวั่นหวาด ไม่ได้สะดุ้งกลัว
แล้วก็ยังอยากจะฝากเสียงนี้ เรียกร้องไปยังบรรดานักการเมือง วิงวอนนักการเมืองทั้งหลาย ทั้งระดับใหญ่ระดับ
น้อยว่า พวกคุณจะทำอะไรก็ทำไปเถอะ เราไม่ว่า เราไม่ได้เข้าไปยุ่ง ไม่ได้ละลาบละล้วงล่วงเกิน แต่อย่ามาดึง
เอาคนในศาสนาไปทำเรื่องไม่ดี หรือว่า อย่ามาทำให้คนในศาสนา หรือว่า อย่ามาปกป้องคนในศาสนาที่อัปรีย์
หรือไม่ดี เพราะมันจะทำให้ไม่มีที่พึ่งทางสังคมได้เลย
งั้น ให้เว้นไว้สักสังคมหนึ่งเถอะ ให้บุคคลในศาสนาเป็นผู้บริสุทธิ์ บริบูรณ์โดยปราศจาก เค้าเรียกว่า ผล
ลประโยชน์ต่างๆ อย่ามาพัวพัน เอาเกี่ยวกับเรื่องตำแหน่งแห่งที่ เรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ เรื่องเงินทอง เรื่องอำนาจ
เรื่องธุรกิจ ธุรกรรม อันจะเป็นนอกและในกฏหมายทั้งหลาย
อย่ามาดึงเอาบุคคลในศาสนาเข้าไปร่วม ถ้าคุณหวังดีและเอ็นดูต่อพระศาสนา แล้วต้องการให้ศาสนาเป็นที่พึ่ง
ทางจิตใจอย่างบริสุทธิ์ บริบูรณ์
แล้วก็ขอร้องเถอะ เว้นศาสนาเอาไว้ อย่ามาก้าวล่วงบุคคลากร หรือบุคคลในศาสนา ไปเป็นสมัครพรรคพวกอยู่
ในอำนาจ ในฐานอำนาจ หรือสะสมอำนาจ อะไรพวกนี้
อยากขอร้อง วิงวอน นักการเมืองทั่วประเทศนะ ไม่ใช่เฉพาะในจังหวัดนครปฐม ทั่วประเทศเลยว่า ขออย่าได้มา
ใช้บุคคลากรในศาสนา เป็นเครื่องมือ เครื่องมืออะไรก็ตามทีเถอะ จะเป็นเครื่องมือหากิน เครื่องมือฐานเสียง
เครื่องมืออำนาจ เครื่องมือสารพัดเครื่องมืออะไรเนี่ย ขออย่าได้มาใช้เลย เพราะมันจะไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว
เพราะอ้ายการที่พวกท่านใช้บุคคลากรในศาสนาในทางที่ผิดนี่แหละ มันก็เลยทำให้อ้ายคนผิดๆ เข้ามาแฝงเป็น
เหลือบหากินในศาสนา เกาะกินน้ำเลี้ยง ดูดน้ำเลี้ยงของศาสนาให้แห้งลงๆ แล้วไม่เป็นประโยชน์ต่อศาสนาเลย
แล้วสุดท้าย ศาสนานี้ ก็ไม่เหลืออะไร
อันนี้ อยากวิงวอนจริงๆ
แล้วก็อยากบอกว่า ไม่ต้องมาข่มขู่คุกคามวัดอ้อน้อยหรอก ไม่ได้สะดุ้งผวา ไม่ได้หวาดกลัว เพราะถ้ากลัว ก็คง
ไม่ทำ
งั้น ก็เลยอยากวิงวอน ท่านนักเมืองน้อยใหญ่ทั้งหลายเนี่ยนะ เหมือนกับเมื่อวานนี้ ชาวบ้านเค้าเห็นความ
อยุติธรรม เค้าพากันไปประชุมเรียกร้องความเป็นธรรม คนที่ชวนเค้า พวกเค้าไป หรือว่า เป็นผู้รู้จักจากหมู่
ชาวบ้าน ก็ยังโดนสกัด ใช้คำว่า โดนหิ้วคงไม่ถูก
แม้แต่ตัวชั้นเอง นายทหารผู้ใหญ่ก็ยังโทรฯมาเตือนว่า ระวังจะเป็นเหมือนเอกยุทธ เพราะบุคคลใกล้ชิดเอกยุทธ
เนี่ย ฆ่านายเอกยุทธเสียเอง
งั้นก็ อ้ายเงินนี่ มันไม่เข้าใครออกใคร เพราะคนใกล้ชิด นี่ก็กินข้าวเหมือนกัน อาจจะมีรายการ ชั้นไม่กลัวโดนอุ้ม
ไม่กลัวโดนหิ้ว แต่เค้าก็จะจ้องหาวิธีการที่จะทำลายความเชื่อถือด้วยรูปลักษณ์ รูปแบบต่างๆ ฆ่าไม่ได้ ทุบไม่ได้
ก็หาวิธีทำลายมัน ด้วยเหตุปัจจัย ซึ่งมันมีมา
ที่พูดนี่ ไม่ได้พูดเกินเลยจากความเป็นจริง ซึ่งมันมีมา แล้วก็มีอยู่เนืองๆ มีอยู่ต่อเนื่อง จนทำให้เกิดความรู้สึกว่า
เราจะยืนอยู่บนถนนเส้นนี้อย่างท้อแท้ไม่ได้ อย่างพ่ายแพ้ก็ไม่ได้ อย่างเป็นบุคคลที่ไม่สู้ ไม่ฝ่าฟันก็ไม่ได้ เพราะ
ว่า มีคนเตือนเยอะมาก
เตือน จนกระทั่งเรารู้สึกว่า ถนนเส้นนี้ มันไม่ปลอดภัยเอาจริงๆ ถึงขนาดบางคนเตือนว่า ให้หนีไปอยู่ป่าสักพัก
หนึ่งด้วยซ้ำไป เพราว่าะเค้าได้ข่าวข้อมูลมาในทางลับ ในทางลึกพอสมควร
เราก็บอกว่า ไม่ได้ เพราะถ้าเราไป พระศาสนาจะมีอะไรเป็นที่พึ่ง แล้วก็ลูกหลาน ลูกศิษย์ลูกหา สมภารเจ้าอาวาส
รวมทั้งวัดวาอาราม จะอยู่กันอย่างไร
งั้นก็ จำเป็นจะต้องอยู่ ไม่ใช่อยู่เพราะว่า อดทนอยู่ แต่อยู่เพราะสมัครใจอยู่ เพราะคิดว่า สิ่งที่เราอยู่นั้น คือ ความ
ถูกต้องชอบธรรม
มีคนมาบอกให้หลวงปู่ถอยสัก 2 ก้าวได้ไม๊ ปล่อยให้ทุกอย่างมันกินตัวมันเอง
ก็อยากบอกว่า สมัยครั้งพุทธกาล พระมหากัสสป พระอนุรุทธะ รวมทั้งพระอานนท์ ท่านคิดแบบนี้ คงไม่มีปฐม
สังคายนา เพราะสมัยนั้น ก็มีคนจ้วงจาบพระธรรมวินัย ท่านเป็นพระอรหันต์แท้ๆ ท่านยังไม่ยอมอยู่เฉย ท่านยัง
ต้องลุกขึ้นมาสังคายนาพระธรรมวินัยว่า อะไรถูก อะไรผิด
งั้น สิ่งที่หลวงปู่กำลังทำนี่ คือ กำลังทำในฐานะผู้กำลังสังคายนาพระธรรมวินัยว่า อะไรควร ไม่ควร ถูกต้อง ไม่ถูก
ต้อง แล้วก็แจกแจงให้ชัดเจน บุคคลที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องโดนกำจัดออกไป
งั้น ขอประกาศ ณ.ที่นี้เลยว่า หลวงปู่จะเป็นศัตรูกับคนทุกคน ที่มาแสวงหาผลประโยชน์ในศาสนา และมาสร้าง
ความร่ำรวยจากศาสนา ไม่ว่า อ้าย อี คนนั้น มันจะเป็นใคร
อันนี้ คือ สิ่งที่อยากจะประกาศให้รับรู้ เพราะศาสนานี้ ไม่ได้ให้ใครคนใดคนหนึ่ง บังอาจมาลบหลู่หรือว่ามากอบ
โกย โดยไม่คำนึงถึงความผิดชั่วหยาบ หรือว่า ความบาปที่จะเกิดขึ้น และไม่คำนึงถึงประโยชน์อันแท้จริงที่
มนุษยชาติจะได้ เพราะสิ่งที่ท่านกอบโกย คือ สิ่งที่ท่านได้ไปเฉพาะชั่วครู่ชั่วยาม
แต่ในมุมกลับกัน ท่านได้ทำลายศรัทธาของมหาชนไปไม่รู้เท่าไหร่ คนทั้งหลายเค้าจะเบื่อหน่ายศาสนา ไปมาก
น้อยแค่ไหน
นี่คือ สิ่งที่อยากจะพูดออกมาจากหัวใจเลย ถามว่า หลวงปู่รักชีวิตไม๊
รัก แต่ รักพระศาสนามากกว่า
งั้น ใครก็คาม อ้าย อี คนใดที่มันจะมากอบโกยเอาประโยชน์ต่อศาสนา โดยไม่คิดว่า ศาสนานี้ เป็นที่รวมของ
ความบริสุทธิ์บริบูรณ์ แต่เป็นที่รวมของลาภสักการะ ก็มาแฝงตัวหากินหาอยู่ อย่างนี้ไม่ยอม ยอมไม่ได้ๆ
หลวงปู่อาจจะกลายเป็นคนบ้า ดีเดือด หรือว่า หมาบ้าที่กัดใครเค้าไปทั่ว ก็เพราะว่า คนพวกนั้นมันมากอบโกยผล
ประโยชน์ มันมาทำร้ายศาสนา จึงจำเป็นจะต้องกัดไปทั่ว
แต่ถามว่า กลัวไม๊
มนุษย์น่ะ โดยธรรมชาติ ก็ต้องมีความกลัวเป็นปกติ แต่เพราะหลวงปู่มีความรักมากกว่าความกลัว มันก็เลยไม่
รู้สึกว่า หวาดหวั่น หรือว่า หวั่นผวา หรือ สะดุ้ง
งั้น ก็ขอฝากพวกท่านไว้ โดยเฉพาะ เน้นนักการเมืองทั้งหลาย พูดย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า อย่าได้มาแสวงหา หรือว่า
เอาบุคคลากรในศาสนา มาเอื้ออำนวยประโยชน์ให้แก่พวกท่าน หรือ มาแสวงหาประโยชน์กับศาสนา ใน
บุคคลากรของศาสนา มาใช้บุคคลากรของศาสนา ไม่ว่าจะเป็นฐานเสียง อำนาจ ผลประโยชน์ เงินทอง ฟอกเงิน
หรืออะไรก็แล้วแต่เถอะ
อันนี้ ไม่ได้บอกว่า นักการเมืองกลุ่มไหน แต่ต้องบอกว่า ทั้งประเทศ อย่าได้มาใช้ อย่าได้มาใช้บุคคลากรของ
ศาสนา
เจริญธรรม
นักข่าว หลวงปู่ครับ ที่ผ่านมา ตำแหน่งพระวินยาธิการ มีทุกๆ จังหวัดไม๊ครับ
หลวงปู่ ไม่มี คุณ ตำแหน่งพระวินยาธิการ ว่ากันจริงๆ แล้ว ก็เป็นสถานภาพที่ไม่มีกฏหมายรองรับ เป็น
ตำแหน่งที่ตั้งขึ้นลอยๆโดยอำนาจของเจ้าคณะจังหวัด เรียกว่า ผู้ช่วยเจ้าพนักงาน
งั้น ก็อยู่ที่ดุลพินิจของเจ้าพนักงาน แต่เค้ามีข้อจำกัดว่า พระวินยาธิการต้องมีคุณสมบัติ คือ เป็นที่ยอมรับของ
คณะสงฆ์ เป็นผู้ไม่มีอคติ และไม่มีอาจารวิบัติ ไม่มีศีลวิบัติ และไม่มีทิฏฐิวิบัติ
นี่คือ คุณสมบัติของพระวินยาธิการ อ้ายที่ชั้นไม่ยอมรับพระวินยาธิการที่เข้ามาตรวจปัสสาวะในอาวาสนี้ ก็
เพราะว่า เค้าวิบัติทั้งหมด แล้วก็ไม่เป็นที่ยอมรับในธรรมวินัย
มันก็เลยต้องเป็นเรื่องอย่างที่กล่าว ซึ่งก่อนหน้าที่จะมา ชั้นก็ได้โทรฯบอกแล้ว เหมือนกับนายน้ำฝนก็ให้
สัมภาษณ์นั่นแหละว่า เมื่อเราโทรฯบอก เค้ายิ่งอยากมา ก็คือ เค้าบอกว่า เค้าได้เตรียมการมาพร้อมแล้ว อะไร
ประมาณนี้
แล้วพระวินยาธิการ มีอยู่ในจังหวัดไหนบ้าง
ก็มีจุดเริ่มต้น ก็มาจากกรุงเทพมหานคร เพราะว่า ที่นั่นก็จะมีบิณฑบาตรเกินเวลา พวกเรี่ยไร พวกอะไรที่มันมา
จากต่างจังหวัด แล้วก็มาปักกลดตามสะพานลอย หากิน หรือไม่ก็ ไปเช่าบ้านอยู่ ถึงเวลาเช้าก็ออกไปบิณฑบาตร
เย็นก็นุ่งกางเกง ออกไปเที่ยว อะไรประมาณนี้
เค้าก็ตั้งพระวินยาธิการให้มาตรวจสอบ แต่ว่าไม่ได้มีอำนาจที่จะไปก้าวล่วงในอาวาสต่างๆ ยกเว้นจะได้รับการ
ร้องขอ
แต่ในกรณีของนครปฐม รู้สึกพระวินยาธิการนี่ อำนาจล้นฟ้ามาก ได้ยินว่า บางวัดนี่ ไปจับรองสมภารตรวจฉี่
ด้วยซ้ำ ทั้งที่ในกำหนด เค้าห้าม ต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจ บางวัดนี่ถึงกับไปตบเค้าด้วย ไปตบพระลูกวัด ตบ
เณรลูกวัด
อย่างนั้น มันก็เป็นอะไรที่ คือ เค้ากล้าทำ เพราะเค้าอ้างอำนาจเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดให้ท้าย
งั้น ก็อย่างที่กล่าวล่ะ ล้มพระวินยาธิการแล้วสิ่งที่กล่าว ที่ทำนั่น ถือว่า โมฆะทั้งหมด ก็เป็นการแก้ต่างแก้ตัวไป
เพราะเห็นว่า สังคมกำลังเฝ้ามองและบีบคั้น แล้ววัดอ้อน้อยก็เอาจริง จะดำเนินคดีทางกฏหมาย ตามประมวล
กฏหมายอาญามาตราทั้ง 3 มาตรา มีมาตราอะไรบ้าง จำไม่ได้ละ แล้วก็จรรยาบรรณพระสังฆาธิการ
เค้าก็เลยไม่อยากขึ้นศาลอีกรอบ ก็เลยต้องเป็นที่มาของมติ
แล้วเที่ยวนี้ น่าจะเป็นมติจริงๆ เพราะเจ้าคณะอำเภอ ตำบล แล้วก็จังหวัด มาพร้อมกัน แต่คราวก่อนนั้น ไม่ได้
เป็นมติ เพราะเค้าสุมหัวกัน
นักข่าว ถ้าอย่างนี้ พระผู้ใหญ่ ผิดด้วยไม๊ครับ
หลวงปู่ ถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว ถ้าตำรวจ สมมุติว่า ผู้กำกับมีลูกน้อง ทำเลอะเทอะเปรอะเปื้อน แล้วก็รังแกชาว
บ้านนี่ เค้าก็ต้องเล่นงานผู้กำกับ
ถ้าพระผู้ใหญ่มีสำนึกรับผิดชอบ มีความละอายชั่วกลัวบาป ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ แต่ทีนี้เค้าก็ปัดสวะพ้นตัว
แล้วไง เวลานี้ ก็คือ รู้สึกเหมือนๆกับ เห็นข่าววงใน เค้าแจ้งมาว่า นายน้ำฝนก็รู้สึกตัดพ้อพอสมควรว่า อย่างนี้ก็
หลอกใช้กัน อะไรประมาณนี้
นักข่าว หลวงปู่พอใจไม๊คะ
หลวงปู่ ชั้นไม่ได้พอใจหรือไม่พอใจ เพราะชั้นรู้อยู่แล้ว มันต้องออกมารูปนี้ เมื่อเราสร้างกระบวนการบีบคั้น
รอบๆ เค้าจะต้องหลุดออกมารูปนี้แน่ เพราะคาดเดาอยู่แล้วล่ะ คุณ เพราะชั้นกับเค้าสู้กันมา 20 กว่าปี เค้า
เรียกว่า รู้เขารู้เรามาตลอดเวลาอยู่ละ เค้าต้องหาทาง.. หาทางออก เพื่อปัดสวะให้พ้นตัว เรียก มติตัดหาง
ปล่อยวัด ก็ได้ จะใช้คำว่า มติลอยแพนายน้ำฝน มันก็คงไม่เชิงนัก
ถามว่า พอใจไม๊
คณะสงฆ์ เค้าก็ไม่หยุดนะ เดี๋ยวเค้าก็ทำหนังสือแจ้งความร้องทุกข์ไปยังสมภารต่างๆ แจ้งเหตุที่มา ให้รู้ว่า เพราะ
เหตุใดเราจึงไม่ยอมรับอำนาจของเจ้าคณะจังหวัดองค์นี้ แต่เรายังยอมรับอำนาจของคณะสงฆ์ แต่ไม่ยอมรับ
อำนาจของบุคคลผู้มีอคติ
ก็มันเป็นเรื่องตลกไม๊ล่ะ ตัวเองเป็นอยู่ในฐานะเจ้าคณะจังหวัด มีสถานภาพเปรียญธรรม 9 ประโยค เป็นเจ้า
คุณฯ เป็นมหาบัณฑิต วันนี้พูดอย่าง แล้วก็ อีกวันมาพูดอีกอย่าง กลับไปกลับมา เพราะ ต้องการจะเอาตัวรอด
มันไม่สง่างามในสายตาของผู้รับการปกครอง เพราะไม่มีจุดยืนที่มั่นคง
ได้ทราบว่า วันนั้นที่ประชุม มติแรก พระวินยาธิการกับเลขาฯ จังหวัด เค้าไม่เอานายน้ำฝนนะ แต่พอนายน้ำฝน
ทุบโต๊ะเท่านั้นแหละ ยอมรับ ออกเป็นมติ ยอมรับการกระทำว่า ถูกต้อง
เที่ยวนี้ นายน้ำฝนก็มีปฏิกิริยาเหมือนกัน แต่เพราะอาศัยอำเภอมาทุกอำเภอ ตำบลมาทุกตำบล แล้วจังหวัดนั่งหัว
โต๊ะ นายน้ำฝนคนเดียว ก็ไม่กล้าทำอะไรมาก ก็ได้แค่บ่นๆ ไปนิดๆ
แล้วชั้นก็ถามปฏิกิริยาของเจ้าคณะจังหวัดว่า เมื่อนายน้ำฝนทุบโต๊ะ แล้วก็บอกว่า จะต้องอยู่เพื่อพิสูจน์ตัวเอง
จังหวัดว่าไง
จังหวัดเงียบ เฉยๆ
ก็แสดงว่า จังหวัดก็กลัวเค้า เกรงใจเค้า
นักข่าว จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายๆ เหตุการณ์ นี่ชาวบ้านเค้ารู้สึก ..ศาสนาเสื่อม..
หลวงปู่ เอือม ไม่เสื่อม คุณ ศาสนาไม่ได้เสื่อม แต่เราต้องช่วยกำจัดอลัสชีในศาสนา ช่วยกันกำจัดเหลือบ
พระศาสนา ศาสนายังมีส่วนที่ดีเยอะแยะ ส่วนที่เค้า ทำดี พูดดี คิดดี แล้วทำเรื่องดีๆ ก็ยังมีอยู่เป็นที่พึ่งของสังคม
และจิตวิญญาณได้
แต่อ้ายส่วนที่อัปรีย์ นี่มันเสียงดังมาก เพราะมันมีอำนาจมาก มันมีพลังมาก เพราะอำนาจมาก เสียงดังมาก มีพลัง
มาก มีเงินมาก มีบริวารมากนี่แหละ มันเลยทำให้ดูเหมือนมันมีจำนวนมาก ที่จริงแล้วมันไม่ได้มีจำนวนมาก
นักข่าว หลวงปู่ครับ ในการตัดสินเมื่อวานที่ผ่านมา ความพอใจของหลวงปู่มีมากน้อยขนาดไหน
หลวงปู่ ก็ไม่ได้ไม่พอใจ แล้วก็ไม่ได้พอใจ เพราะชั้นรู้อยู่แล้วว่า มันต้องออกมาแบบนี้ไง เพราะคาดเดาได้
อยู่แล้ว ก็อย่างที่บอกว่า ท่านเจ้าคณะองค์ปัจจุบัน สู้กับชั้นมาตั้งเกือบ 20 ปีแล้ว ชั้นรู้ทางออก รู้ทางหนีทีไล่เค้า
ดีว่า เค้าจะต้องหาวิธีปัดสวะให้พ้นตัว ชั้นถึงเรียกว่า มติตัดหางปล่อยวัด หรือ มติลอยแพ คราวที่แล้ว ก็ออก มติ
สิ้นหวัง มติอัปยศ เที่ยวนี้มา ก็ออก มติตัดหางปล่อยวัด มติลอยแพ หรือ มติเอาตัวรอด
นักข่าว ที่ผ่านมา ที่ว่า การเข้ามาตรวจ มีวาระซ่อนเร้นอยู่ เข้ามาแบบไม่บริสุทธิ์ใจ บอกได้ไม๊ครับว่า มันมี
เรื่องอะไร
หลวงปู่ ก็ไปวัดอื่นๆ เค้าไม่มีกล้องไปนะ มาวัดชั้น มีกล้องมา 2 หรือ 3 ตัว แล้วไปวัดอื่นๆ ก็ไม่มีขี้ยาไปนะ
ไม่มีนักเลงหัวไม้ ไม่มีใครพกปืนไปนะ มาวัดชั้น มีทั้งขี้ยา นักเลงหัวไม้ แล้วก็มีการพกปืนมา
แล้วไปวัดอื่นๆ มติที่ประชุมสงฆ์เดิม เค้าบอกว่า ต้องขออนุมัติจากเจ้าอาวาส จึงจะตรวจได้ ไม่ใช่ไปใช้อำนาจ
บาตรใหญ่ แต่นี่มันบ้าอำนาจไง บ้าอำนาจ ไปถึงก็เหมือนๆกับ มีวัดๆ หนึ่งที่บางเลน สมภารไม่อยู่ อยู่แต่รองเจ้า
อาวาส รองเจ้าอาวาสอยู่ในกุฏิ ยังไม่รู้เลยว่า มันไปเกณฑ์พระของเค้ามาตรวจสอบฉี่ ทั้งที่ตามกฏหมายแล้ว ต้อง
มาขออนุญาตเจ้าของสถานที่
ตามคำสั่งของคณะสงฆ์ ก็ต้องมาขออนุญาตเจ้าของสถานที่ เมื่อสมภารไม่อยู่ ก็ต้องมาสมภารรอง แต่สมภารรอง
ไม่รับรู้ แล้วพอสมภารรองลงมาถามก็บังคับให้สมภารรองตรวจฉี่อีก นี่คือ อำนาจ
นักข่าว วัด ชื่ออะไรคะ
หลวงปู่ ก็วัดสว่างอารมณ์ อยู่แถวบางเลน
แล้วก็ยังมีอีกหลายวัด วัดพระงาม หรือ วัดอะไรที่ไปตบเค้า เมื่อเช้า เจ้าคณะตำบลเล่าให้ฟัง
นักข่าว ตบพระหรือตบเณร ครับ
หลวงปู่ ตบพระหรือตบเณร ไม่แน่ใจ เพราะเอาน้ำปนฉี่มา เลยตบเสียเลย ซึ่งมันทำเกินเลยอำนาจสมภาร
ซึ่งสมภารนั่งอยู่ตรงนั้น เราก็เลยมองว่า อือฮือ มันใช้อำนาจบาตรใหญ่
คณะสงฆ์เค้าก็คงจะเอือมนั่นแหละ แต่ทีนี้พอลูกพี่เค้าปกป้องกัน จนกระทั่งคณะสงฆ์ต้องไปบีบลูกพี่ แล้วก็สิ่ง
แวดล้อมก็บีบลูกพี่ ลูกพี่ก็เลยต้องยอมตัดหางปล่อยวัด
ที่จริง ถ้าเค้าฉลาดและใช้สถานการณ์นี้ จัดการแต่เริ่มต้น เรื่องมันจบไปนานแล้ว ก็ปกป้องกันน่ะ อวกเอียวอันน่ะ
ประมาณนั้น ชัดๆ
อวกเอียวอัน เป็นวลีที่คิดปาก สมัยนี้ เค้าใช้กันทั้งนั้น
นี่แหละ สังคมพระ ไม่พ้นจากสังคมการเมือง