4 ส ค 2555 14.20 น. ธรรมะ โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
พระผู้มีพระภาคเจ้าสอนให้เราได้รู้ว่า การฝึกในโลก ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่ากับการฝึกจิต การรักษาในโลก ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่าการรักษาจิต ไม่มีอะไรประเสริฐยิ่งกว่าการรักษาจิต
(กราบ)
เมื่อเช้า ได้กำไรไปแล้ว คนละหน่อย
ได้สังเกตุไม๊ ลูก ว่า พอเรา...จิต ประคับประคองจิต ฝึกจิต ปรับจิตให้มันเป็นผู้ซื่อตรงอยู่เนืองๆ โดยใช้เวลาสะสมมา ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เมื่อเวลาเราจะรวมจิต จะรวมได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องเสียเวล่ำเวลาตั้งท่านานมาก แล้วเวลาจิตมันแนบแน่นรวมตัวกัน มันจะรู้สึกว่า มันมั่นคงเยอะขึ้น ความละเอียดของจิตก็เยอะขึ้น
แต่ก็มีหลายคนที่ปล่อยให้จิตนี้มัน เค้าเรียกว่า เนื้อมันพรุน มันมีราคะ มีโทสะ มีโมหะ มีโลภะ หรือมีอากาศเข้าไปอยู่ เหมือนกับแก้ว เหมือนกับพลอย ที่มีอากาศเข้าไปอยู่ มันก็จะทำให้เป็นพลอยเนื้อพรุน พลอยร้าว พลอยแตก
จิตนี้ก็เหมือนกัน ถ้าปล่อยให้ความฟุ้งซ่าน ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ โทสะ โมหะ เข้าไปอยู่บ่อยๆๆ แล้วไม่ยอมไล่มันออก ไม่ยอมล้างมันทิ้ง มันก็จะแสดงอาการ เวลาเราต้องการจะรวม มันแสดงอาการออกมา เช่น พาเราง่วงบ้าง พาเราฟุ้งซ่านบ้าง พาเราไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สับสนวุ่นวาย งั้น ระยะเวลาในการฝึกจิต มันต้องทำต่อเนื่อง
พระผู้มีพระภาคเจ้าสอนพวกเราให้ได้รู้ว่า การฝึกในโลก ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่ากับการฝึกจิต การรักษาในโลก ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่าการรักษาจิต ไม่มีอะไรประเสริฐยิ่งกว่าการรักษาจิต
งั้น ฝึกจิต รักษาจิต มันสามารถมีคุณูปการ เป็นเหมือนภูมิคุ้มกันข้ามภพข้ามชาติได้ มันทำให้เราสามารถอยู่ได้เป็นเอกเทศ เรียกว่า ไม่ต้องเป็นทาสของกิเลส ไม่ต้องเป็นทาสของตัณหา ไม่ต้องเป็นทาสของอุปาทาน เพราะเรามีปัญญามีจิตแข็งแรง เป็นผู้ชาญฉลาดที่จะใช้กิเลส เหมือนกับบทโศลกที่หลวงปู่เขียนเอาไว้ว่า ลูกรัก คนฉลาดใช้กิเลส คนโง่โดนกิเลสใช้ แต่มันจะฉลาดอย่างนี้ได้ มันต้องอาศัย เค้าเรียกว่า อาศัยการฝึกบ่อยๆ ฝึกถี่ๆ ฝึกนานๆ ฝึกอยู่ตลอดเวลา มีโอกาส ฝึก ขณะยืนอยู่ เดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ แล้ววิธีฝึก ก็ไม่ต้องเต๊ะท่า ไม่ต้องตั้งท่า ไม่ต้องทำท่า ทำได้ทันที เพราะวิถีแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี่มันต้องมีมาดไม๊
ไม่มี ลูก ในวิถีแห่งมรรคาปฏิปทา ไม่มีมาด ไม่มีท่า ในวิถีพระผู้มีพระภาคเจ้า แค่เราเอาจิตรวมกับกาย ก็เป็นสัมมาสติละ เรียกว่า กายานุปัสนาสติปัฏฐาน หรือ กายานุสติกรรมฐาน เอาจิตมารวมกับกาย เดินๆ ไป นั่งรถไป รถมันติด เอาจิตรวมกาย ไม่ต้องไปด่าคนข้างหน้า มันจะรถติด ไม่ต้องไปสับสนวุ่นวาย เราก็เจริญกายานุปัสนาสติปัฏฐาน หรือ กายานุสติกรรมฐาน
เอาจิตรู้ลมหายใจ ปกติ ดูไปรอบโลก รอบแผ่นดิน รอบประเทศ รอบตัว ก็หันมาดูลมหายใจ ก็เป็นอานาปานุสติกรรมฐาน
เดินๆไป กลัวว่าเราจะเพลี้ยงพล้ำ จะเผลอไผล ตกหลุม ตกร่อง หรือไม่ก็ ไปเหยียบแก้ว เหยียบของ ก็มีกายกับจิตรวมกัน มีสติภายในกาย ควบคุมระมัดระวังการเดินเหิน เหมือนกับเมื่อเช้าที่สอนให้เดินขั้นที่ 2 เท้ากระทบพื้น ให้รู้ชัดว่า เท้ากระทบพื้นในส่วนไหน ปลายเท้ากระทบก่อน หรือว่า ส้นเท้ากระทบก่อน หรือ สันเท้ากระทบก่อน หรือ ถ้ามันกระทบแล้วแตกต่างกัน แยกไม่ออก ก็ต้องแยกให้ได้ ปกติแล้ว ธรรมชาติมันเป็นไปได้ไม๊ ที่กระทบกันทีเดียวทั้งหมดทั้งส้น ฝ่าเท้า ปลายเท้า มันต้องมีอะไรซักอย่างที่กระทบก่อน
บางคน ถามว่า แล้วจะรู้ได้ยังไง เพราะแต่ละคนมันไม่เท่ากัน มันไม่เท่ากันจริงๆ เพราะบางคนมันเอาปลายเท้าลง บางคนมันเอาส้นเท้าลง แต่บางคนยังเอาสันเท้าลง
มีไม๊ อ้ายคนเอาสันเท้าลง
มี พวกโมหะจริตนี่ จะเอาสันเท้าลง
พวกเอาปลายเท้าลง ก็พวก โทสะจริต
พวกเอาส้นเท้าลง ก็ราคะจริต
เออ เค้ามีวิธีดูอย่างชัดเจน แล้วถ้าไม่มีเท้าล่ะ ก็แสดงว่า ไม่มีโมหะ ไม่มีราคะ กูก็ยังมี อย่านึกว่าตีนขาด เลยไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ
ไม่ใช๊ มันยังมีอยู่ เพราะว่า ราคะมันไม่ได้มาจากเท้า โทสะก็ไม่ได้มาที่ฝ่าเท้า เออ โมหะก็ไม่ได้มาที่สันเท้า แต่มันมาที่ไหน มันมาที่ใจ แต่เพราะอะไร ก็เพราะมันหมักดองจนเป็นสันดาน มันกลายเป็นสันดาน มันก็กลายเป็นเหมือนกับระบบของกายที่จะแสดงออกมาแบบนั้น เช่นนั้น ทำอย่างนั้น พูดอย่างนั้น แล้วก็เดินแบบนี้
มันแสดงออกมาอย่างนี้ แล้วไม่ใช่ชาติเดียว อ้ายคนเดินด้วยโมหะจริต เดินด้วยโทสะจริต เดินด้วยโลภะจริต ราคะจริต มันไม่ใช่เดินแค่ชาติเดียวนะ ราคะจริต เค้าเดินยังไง พวกเดินย่องๆโหย่งๆ เอ๊ย ไม่ใช่ โลภะจริต จะเดินย่องๆ โหย่งๆ เดินแบบเหยียบไม่ติดดินน่ะ แบบเหยียบไม่เต็มที่
งั้น มันไม่ใช่ชาติเดียวที่สั่งสมอบรมมา มันเป็นไม่รู้กี่ร้อยกี่พันชาติ จนกลายเป็นสันดาน เป็นนิสัยในการเดิน เพราะงั้น การมองคนไม่ยาก เวลาหลวงปู่สอน อบรม สมัยก่อนสอบอารมณ์พระวิปัสนาจารย์ แค่มันเดินมา จะมากราบเราข้างหน้า เรานั่งอยู่ เออ ท่านอยู่ในราคะ.. แหม องค์นี้ศักดิ์สิทธิ์จัง ยังไม่ทันคุยเลย พวกมองเห็นแล้ว กูรู้นี่ มันเดินมา กูเห็นชัด เออ ยังไม่ทันคุย รู้แล้วเหรอว่า ผมมีราคะ
อ้าว ท่านเอาอะไรลงก่อนล่ะ เราก็ไม่บอกมัน เอาอะไรลงก่อน เดี๋ยวมันจะเสียฟอร์มครู
งั้น เอาปลายเท้าลง เป็นอะไร
อ้าว เอาแล้ว เมื่อกี้กูพูดอยู่หยกๆ
ปลายเท้าลง เป็นอะไร
(โทสะ)
เออ ทำไมถึงบอกเป็นโทสะ ก็พวกเดินไวไง พวกปลายเท้าลง มันจะเดินไว แล้วคนใจเร็ว ใจไวเนี่ยมันเป็นคนที่มีโมหะไม่ได้ มีราคะก็ไม่ได้ มันจะต้องเอาโทสะเป็นตัวนำหน้า พวกเอาปลายเท้าลงเนี่ยนะ ก็ไฟนี่ มันไวไม๊
(ไว)
เออ ความร้อนมันเกิดขึ้นในร่างกาย มันทุรนทุราย อยู่ไม่ได้ มันก็ไป เวลาวิ่งอยู่ มันใช้ปลายเท้าวิ่ง หรือส้นเท้าวิ่ง (ปลายเท้า) เออ นั่นแหละ เค้าถึงเรียกพวกโทสะ
อ้าว งั้น เดี๋ยวพวกนักวิ่ง ก็โทสะทั้งหมดสิ
ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ เค้าให้ดู จนเป็นนิสัย
ถ้าวิ่งเป็นนิสัย กินข้าวก็วิ่ง เดินทาง ทำงาน วิ่งหมดอย่างนี้ เออ อ้ายนี่มันโทสะจริต
เอ้า โมหะจริต เอาตรงไหนลง
สันเท้า
ราคะจริต เอาตรงไหนลง
ส้นเท้า
โลภะจริต เอาตรงไหนลง
เดินโหย่งๆ พวกเดินโหย่งๆ เดินแบบไม่ลงส้น เดินแบบเหมือนกับว่า เหยียบไม่ติดดินไม่ติดพื้นน่ะ เออ เค้าเรียกว่า เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ อะไรประมาณนี้
มีไม๊ อ้ายคนพันธุ์นี้ (มี) เอ๊อ มันเดินแบบเดินโหย่งๆ เดินแบบเหมือนไม่ลงน้ำหนัก ไม่ลงพื้น เหมือนกับอ้ายกะหังที่นครราชสีมา
งั้น คนที่มีอาการอย่างนี้ๆ เนี่ย หลวงปู่สอนไว้เมื่อวานซืน ที่เราสาธยายมนต์เรื่องธัมมะจักรกัปปะวัตตะนะสูตร เมื่อสาธยายมนต์ธัมมจักรกัปปะวัตตะนะสูตรแปล เราจะเห็นว่า พวกนี้เป็นตัณหา เป็นภวตัณหา เป็นวิภวตัณหา แล้วการจะดับตัณหาได้ ก็ต้องใช้ปัญญา ใช้ปัญญาในการใคร่ครวญพินิจพิจารณา ตัณหามันดับได้ มันก็สามารถที่จะพ้นจากบ่วงแห่งทุกข์ที่มันครอบงำเรา ได้ในระดับหนึ่ง
แม้เราจะบอกว่า นานๆ ทำที ไม่ได้ทำถี่ๆ แต่ฝึกบ่อยๆ จนเป็นนิสัย ก็ได้ไปเองแหละ ลูก เพราะว่ากิเลส กามคุณ เบญจพิษกามคุณ มันไม่ได้วันเดียวเกิดกับเรา มันเกิดมาเป็นร้อยเป็นพันๆ ปี เป็นแสนชาติ พันชาติ แล้วใช้เวลาวันเดียว รักษามัน กำหราบมัน ล้างมัน ฟอกมัน ขัดมัน คงเป็นเรื่องตลก ก็ต้องค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ไป
สำคัญที่สุด วิริเย ทุกขมัต เจติ บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร ต้องขยัน ต้องมั่นฝึก เดิน บางทีหลวงปู่บิณฑบาตร ก็ทำ บิณฑบาตรก็เจริญสติ มีสติอยู่ในกาย นั่งรถไปแสดงธรรม ทุกครั้ง เรามีโอกาส ทำบ่อยๆ ทำถี่ๆ ทำจนเหมือนกับว่า ตีเหล็ก ตอนที่หลวงปู่ตีกริช ถ้าตีถี่ๆ ตีน้ำหนักเสมอกัน เสมอต้น เสมอปลาย กริชจะแข็ง ไม่ต้องชุบก็คม เพราะอะไร เพราะมันไล่อากาศและสนิมออกเสมอกัน ถ้านานๆ โป๊ก นานๆ โป๊ก อ้า อย่างนี้ กริชก็จะเปราะ ไปชุบก็จะหักกลาง
งั้น กิเลสมนุษย์ก็เหมือนกัน การตีกิเลสมนุษย์ ก็ต้องมีวิธีในการฝึกจิต ขัดเกลาจิต คัดเอาของเสียออกจากจิต เหมือนกับการคัดพลอย คัดหินคัดทรายออกจากพลอย แล้วพลอยมันก็มีอากาศ มีหิน มีทราย มีแร่ต่างๆ อยู่ข้างใน ถ้าจำนวนเนื้อแร่มันมากกว่าเนื้อพลอยที่บริสุทธิ์ มันก็ทำให้พลอยนั้น มีตำหนิมาก
จิตนี้มันก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้จักฝึกมันบ่อยๆๆ คือ คัดเอาของเสียออกจากจิตนี้บ่อยๆๆๆ เข้า จิตมันก็จะมีตำหนิเหลือ น้อยลงๆๆๆ ทีนี้ สุดท้ายก็จะถึงคำว่า ประภัสสร หรือ ผ่องแผ้วไปเอง
พระพุทธเจ้าจึงสอน บอกพวกเราว่า ผู้ฝึกจิต ถือว่า เป็นผู้ฝึกในโลก ไม่มีการฝึกอื่นยิ่งกว่านี้แล้ว ผู้รักษาจิต จึงชื่อว่า เป็นผู้รักษาอันประเสริฐ เป็นการรักษาอันเจริญ ไม่มีการรักษาอะไรยิ่งใหญ่เท่านี้แล้ว ประเสริฐเท่านี้แล้ว เจริญเท่านี้แล้ว เพราะมันเจริญข้ามภพข้ามชาติ ใหญ่ข้ามภพข้ามขาติ
งั้น ถ้าเราจะสังเกตุเห็นว่า ที่ผ่านมา ถ้าเราทำบ่อยๆ ทำถี่ๆ ทำอยู่ตลอดเวลา มันก็จะง่ายต่อการฝึกจิต
อีกเรื่องหนึ่งที่เมื่อเช้า ติดเอาไว้ ซึ่งเป็นต้นแบบที่เลวและไม่ดี ที่เล่าให้ฟัง สมัยวัยรุ่นไปไล่ตัดมุ้งเค้า แล้วตีกระบาล อย่าไปคิดว่า นั่นเป็นความยิ่งใหญ่อหังการ เค้าเรียกว่า อะไร อวดอ้างบารมี
นั่นคือ ความเลว จัดเป็นกิเลสชนิดไหน เอ๊อ จัดเป็นพยาบาทเลยนะ เป็นพยาบาท 7 วันผ่านไป ตามไปตีจนครบ แสดงว่า เป็นพยาบาท งั้น อย่าไปเอาต้นแบบ อย่าไปเอาเยี่ยงอย่าง
เอาละ เดี๋ยวให้ถามปัญหา แล้วจะได้ปฏิบัติ ใครมีอะไรจะถามไม๊
ปุจฉา เวลาที่หลวงปู่ให้ใช้จิตจับชีพจรที่กลางกระหม่อมหรือจุดอื่น เช่น ซอกคอ จะรู้สึกถึงชีพจรที่หัวใจด้วยเสมอ จะทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง รู้ตามโจทย์ หรือ รู้ควบคู่กันไปได้
วิสัชนา ไม่เสียหาย เพราะมันก็มาจากที่เดียวกัน แต่มันขยาย มันกระจายออกไปตามจุดต่างๆในร่างกาย ตามปลายนิ้วมือ ปลายนิ้วเท้า ตามซอกคอ กลางกระหม่อม อ้ายความกระเพื่อมของชีพจรมันเท่ากัน มันไม่ใช่ว่า เออ หัวใจอย่าง ซอกคออย่าง ถ้างั้น มึงก็ต้องเป็นตัวอะไรแล้วล่ะ แต่ที่เราสามารถรู้ แม้กระทั่งชีพจรที่เต้นในหัวใจ ก็แสดงว่า เรามีจิตอันผ่องแผ้ว สามารถชำแรก เห็นได้ชัดเจนในอาการกระเพื่อมของกายได้ ก็ถือว่า ใช้ได้ล่ะ จบ (สาธุ)
ปุจฉา ถามต่อว่า อีกอย่าง เวลาเดินป๊อกในจังหวะที่ไม่ต้องปรากฏลม จิตจะเคยชินรับรู้ลมไปด้วย เรียนถามว่า จำเป็นต้องทิ้งลมให้ได้หรือเปล่า ถ้าทิ้งไม่ได้ จะเป็นอุปสรรคต่อการฝึกวิปัสนาหรือไม่
วิสัชนา อืม วิชาปราณโอสถมีทั้งหมดกี่ขั้น สอนไปแล้วกี่ขั้น (10)
ที่จริง ทำทีละขั้นๆๆ นอกจากจะเป็นสมาธิ เป็นปัญญา แล้วยังเป็นขั้นศีลด้วย เพราะในขณะที่เราก้าวเดินตามจังหวะต่างๆ แม้กระทั่งรู้ว่า น้ำหนักตัว ซ้ายมากกว่า ขวามากกว่า ถ่ายเทน้ำหนักไป นั่นมันเป็นลักษณะของศีลอย่างหนึ่ง คือ จัดระเบียบของกาย แม้ที่สุด เราทำตามขั้นตอนนั้นๆ แบบไม่ข้ามขั้น ก็เป็นการรักษาศีลอย่างหนึ่ง เป็นการปฏิบัติศีลอย่างหนึ่ง
อ้ายคนที่มันนอกคอก ก็คือ คนผิดศีล อ้ายคนที่ฝืนกติกา ระเบียบปฏิบัติ ก็คือ คนที่ผิดศีลละ งั้น ถ้าเราอยากเป็นผู้ปฏิบัติทั้งศีล สมาธิ และปัญญา อย่าพยายามไปข้ามขั้น อย่าพยายามไปเลยเถิด
แล้วการปฏิบัติที่หลวงปู่สอน ก็บอกแล้วว่า สอนในสิกขา 3
สิกขา 3 มีอะไรบ้าง ก็มี ศีลสิกขา สมาธิสิกขา แล้วก็ จิตสิกขา คือ ปัญญาสิกขานั่นเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำแบบชนิดค่อยเป็นค่อยไป มันมีตั้ง 10 ขั้น ก็ทำไล่ไปทีละขั้นๆ เพราะว่าจิตนี้ถ้าทำทุกวันแล้วให้ครบทั้ง 10 ขั้นเนี่ย จิตมันก็จะเนียน ละเมียดละมัย ละเอียดอ่อนไปเองเมื่อถึงขั้นที่ 10
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ความจริงแล้ว แต่ละขั้นมันก็มีข้อย่อยเหมือนกับ
ขั้นที่ 1 มันก็มีขั้นที่ 1 ภาคที่ 1 ใช่ไม๊ ขั้นที่ 1 ภาคที่ 2, ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3,
แล้วขั้นที่ 2 ก็จะมีข้อย่อยอีก
อ้ายที่เราเห็น เดินผ่อนคลาย เดินสบายๆ แล้วมันก็ยังมีข้อย่อยลงไปอีกว่า
เดินดูการสัมผัส ถูกไม๊ เออ เดินดูการสัมผัส เอาจิตจับไว้ที่ฝ่าเท้า
ต่อมาก็ดูว่า อะไรสัมผัสก่อน
ยังมีข้อย่อยแยกออกไปอีกว่า นอกจากดูสัมผัส ดูอะไรสัมผัสก่อนแล้ว
ก็ดูว่า น้ำหนักตัว ซ้ายหรือขวาที่ทิ้งไป อันไหนมากกว่า
คนทุกคน น้ำหนักตัว 2 ข้าง ซ้ายขวารับไม่เท่ากัน
เพราะเหตุผลว่า ไม่มีสติในกาย การสึกของโครงสร้างในกายจึงไม่เท่ากัน
บางคนเดินเอียงไปข้าง ก็เอา
เดินจนกระทั่งกระดูกมันสึกไม่เท่ากัน แล้วขามันก็รับน้ำหนักได้ไม่เท่ากัน
น้ำหนักตัวมันก็เอียงไปข้างหนึ่ง
ทีนี้ มันจะเสียสมดุลย์ไปหมดเลย ลองหลับตานึกดู เหมือนกับบ้านมี 8 เสา มันสั้นไปซักเสาหรือ 2 เสา บ้านมันก็จะเอียงไปข้างหนึ่ง ข้างที่สั้น
งั้น อ้ายข้างไหนที่รับน้ำหนักมาก อ้ายข้างที่เอียงไป
งั้น การฝึกตามขั้นตอน ถ้าเราปรับว่า เออ เราจะไม่ทำให้มันเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง แต่ให้มันสึกกร่อนเสมอกัน
นั่นคือ ลักษณะของศีล เป็นการจัดระเบียบของกาย เหมือนกับที่หลวงปู่เขียนบทโศลกสอนเอาไว้ว่า
จัดระเบียบของกาย จนเป็นระบบของความคิดและจิตใจ
ทุกวันนี้ เราไม่ค่อยมีระเบียบ สังคมไทยที่มันเสียอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะไม่มีระบียบวินัยไง คนไทยนี่ไร้ระเบียบ ไร้วินัย มันจึงทำให้สังคมว้าวุ่น สับสน วุ่นวาย ดูสิ ที่ญี่ปุ่น ที่เค้าเกิดสึนามิ เค้าไปเข้าแถวกันเอาน้ำ รับแจกอาหาร น้ำ มีใครที่ได้มามาก เค้าก็เอาไปคืน แบ่งปันให้กับคนที่ยังไม่ได้ อ้ายบ้านเราแค่น้ำมันปาล์มขาดตลาดเท่านั้นแหละ มันไปตบกัน ตีกัน แย่งกัน โอ้โห รุมกัน
นี่มันเหตุมาจากความไม่ระเบียบ ไม่มีวินัย
พอคนเราไม่มีระเบียบ ไม่มีวินัย อย่าไปถามหาศีล สมาธิ ปัญญา ไม่มี จะไปหาคุณธรรมอะไรก็ไม่เจอ เด็กไทยก็ไม่ค่อยเข้าแถวอีตอนอยู่ในโรงเรียน ก็ไม่ค่อยเข้าแถว วันนี้ยังเล่า หลวงปู่ฉันข้าวในห้อง อ้ายแก้วเค้าพาลูกสาวมากราบ เออ ลูกมึงก็โตแล้วนะ สมัยก่อนนี้ มันมาช่วยหลวงปู่ทำครัว ตั้งแต่ปี 3 เท่าไหร่ตอนที่ฟองสบู่แตก รัฐบาลเค้าให้งบประมาณโรงเรียนหัวละ 5 บาทเป็นค่าอาหารกลางวัน พอฟองสบู่แตกปุ๊บ เค้าไม่ให้
ไม่ให้ เด็กก็อดอาหาร อ้ายเราก็ต้องการจะสอนกรรมฐานในโรงเรียน ก็ไปขอครู ครูก็ไม่ยอมให้ สุดท้ายก็เลยบอก เอาอย่างนี้ เอาอาหารมาแลกก็แล้วกัน ให้วันละ 2 มื้อ เช้ามื้อหนึ่ง กลางวันมื้อหนึ่ง ทำมาให้ฟรีๆเลย แต่ขอเวลาช่วงบ่าย ไปสอนกรรมฐาน สอนธรรมะ สอนธรรมศึกษา
เอ้า เค้ายอม สรุปแล้ว วันหนึ่ง หลวงปู่ทำอาหารเลี้ยงคน เลี้ยงเด็กนักเรียน 6,000 คนต่อวัน ประมาณร่วม 10 โรงเรียน 6,000 คน ทำทุกวัน ทำอยู่เป็นปี จนกระทั่งฟองสบู่มันเลิกแตก อ้ายนี่ เค้าก็มา มาช่วย ช่วยทำข้าว มันก็มาเมียในวัดนี่แหละ เพราะผู้หญิงพวกนี้ก็มาจากตลาด อ้ายแก้วก็มาจากแถวนี้ มานั่งช่วยหั่นผักบ้าง หั่นหมูบ้าง เพราะหลวงปู่ทำ 2 ช่วง เย็นก็ทำไว้ แล้วเช้าอุ่นแล้วก็ไปส่ง บางทีเค้าก็มารับ แล้วหลังจากเช้าส่งเรียบร้อย เช้าขึ้น ทำ แล้วก็มาส่งเพล อย่างนี้ เค้าก็มาช่วยทุกวันๆ เราก็มอง เออ ก็ดีวะ อ้ายห่า ก็หาลูกหาผัวอยู่ในวัดนี้แหละวะ ไม่ต้องไปไหน แต่ฝึกไปเรื่อยๆ เข้าๆ เราก็ เออ ดูลูกหลานมันก็ดีเหมือนกันนะ มันรู้จักมีใจเมตตากรุณา ว่างๆ มันก็ไปหาผักมาใส่ในครัวบ้าง จิตใจมันก็เบิกบานแช่มชื่น ออกลูกมาก็มีความกตัญญู กตเวทิตา
งั้น มนุษย์เราถ้ารู้จักฝึกตน แล้วก็รักษาศีลอยู่เนืองนิจ แล้วไม่ปฏิเสธระเบียบกติกากฏเกณฑ์ของสังคม มันก็จะทำให้ ตัวเราเวลาจะฝึกตัวเราน่ะมันง่าย แล้วมันส่งผลไปถีงลูกหลาน เหลนโหลนด้วย ทำให้ลูกเราเป็นคนว่านอนสอนง่าย รู้จักเชื่อฟังพ่อแม่ อยู่ในระเบียบวินัย ไม่ปฏิเสธระเบียบวินัย ก็เล่าให้ฟังว่า ลูกเค้าไปเจอของที่ไหน ก็ไม่เคยเอา เก็บมา ก็มาส่งให้ครู ส่งให้ผู้ใหญ่ประกาศหาคน มันอยู่ที่ขั้นตอนในการฝึกปรือ
เพราะงั้น ขณะที่มีชีวิต ถ้าเรารู้จักที่จะรักษากติกา ระเบียบวินัย กฏเกณฑ์ มารยาทของเรา นั่นแหละคือ การรักษาศีล สังคมไทยเราไม่ค่อยเห็นความสำคัญของเรื่องพวกนี้ พอไม่เห็นความสำคัญของเรื่องศีล เรื่องระเบียบวินัย ทีนี้ มันก็ทำอะไรตามอำเภอน้ำใจได้หมดทุกอย่าง จบ (สาธุ)
ปุจฉา เวลาหลวงปู่ให้เอาจิตจับชีพจร ควรจะรับรู้แค่อาการเต้น หรือ ได้ยินเสียงด้วย ได้เสียงชีพจรเป็นจังหวะ ดังก้องเข้ามาในหู และรู้สึกสั่นสะเทือนถึงใบหน้าด้วย เช่นนี้ ถูกหรือไม่
วิสัชนา ขนาดนั้นเชียวเหร๊อ เอาเฮอะ ทำได้ก็ดีแล้วละ ไม่ใช่สั่นเป็นโทรศัพท์ ยืน หน้าสั่นดึ๊กๆ ไม่ใช่นะ ทำได้ก็ดี จบ (สาธุ)
ปุจฉา ขณะปฏิบัติธรรม รู้สึกตึงมากๆ ที่ขมับทางด้านซ้ายตลอด จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร
วิสัชนา มันเป็นเพราะเหตุไร ต้องหาสาเหตุ บางทีบางครั้งเราไปเผลอกลั้นลมหายใจ ไม่ยอมปล่อยลมหายใจให้เป็นธรรมชาติ ไปเกร็ง ไปขมีงทึงตึงเครียด งั้น สมาธิเพื่อความผ่อนคลาย ไม่ใช่เพื่อความตึงเครียด ต้องถาม ค้นหา หาสาเหตุจากตัวเอง อย่ามัวไปถามคนอื่นว่า มันเกิดจากอะไร
เราฝึกสมาธิ ก็คือ ให้ฝึกสติ เป็นผู้มีสติในกาย กายไม่ลำบาก อ้ายที่มันลำบากอยู่ แสดงว่า ไม่มีสติ ไม่มีสติอยู่ในกาย
เพราะงั้น ถ้าหากมีสติอยู่ในกาย มันจะลำบาก ก็ค้นหาได้ว่า มันเกิดจากอะไร จบ (สาธุ)
ปุจฉา มีถุงน้ำซีสเกาะเส้นประสาทบริเวณหมอนรองกระดูกข้อที่3,4,5 มีอาการปวด หายใจแบบอักษรสวรรค์จะช่วยบรรเทาปวดได้หรือไม่
วิสัชน คนเค้าเคยทำนี่ แล้วได้ผลนะ พวกเป็นโรคไต เค้ายังทำได้ดี ลองทำดูก็ได้
เอ๊ วัดนี้ เค้าไม่มีพระใหม่เหรอ มีไม๊ (มี) กูไม่เห็นมาฟังธรรม ปฏิบัติธรรม หรือมันบรรลุแล้ว หา เหรอ อะไรนะ (เพิ่งบวชเมื่อวันที่ 29 นี้เอง ยังไม่บรรลุ) ไม่บรรลุแล้วทำไมไม่มาศึกษา หรือว่า สมภารสั่ง เออ ดี ว่าของเราต่อไป มันจะทะลุ เราก็บรรลุ
พิธีกร คำถามหมดแล้วเจ้าค่ะ
เอ้า คำถามหมดแล้ว ก็เตรียมตัวปฏิบัติธรรม ไป แยกย้ายขยับขยาย
(กราบ)
นี่ คนมันคิดไม่เป็น แปลก ไม่คิดว่า ชาวบ้านเค้าอยู่ตั้งไกล เค้ายังมา ขวนขวาย แสวงหาธรรม อ้ายห่านี่ กินๆ นอนๆ อยู่ที่นี่แท้ๆ ไม่สนใจ ไม่ขวนขวาย แยกแยะไม่ได้ คิดไม่เป็น คิดไม่ได้
เคลียร์พื้นที่ เตรียมปฏิบัติธรรม