26 ส ค 2555    13.00 น. ถอดซีดี ธรรมะสัปดาห์ที่ 4 ของเดือน โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
(กราบ)

เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนพุทธบริษัทผู้รับชมรายการ มันไปตั้งซะไกล กูจะอ่านออก

ไม๊เนี่ยอะไรล่ะหว่า เออ  รายการปุจฉา วิสัชนา เอ๊อ เขียนตัวเล็กแล้วไปตั้ง ที่จริงเค้าไม่ได้

ตัวเล็ก แต่ตาเรามันไม่ดีเอง
 เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนพุทธบริษัทผู้รับชมรายการ ปุจฉา วิสัขนา ญาติโยมท่าน

ผู้รวมอยู่สถานที่ ศาลาวัดอ้อน้อย เป็นการแสดงธรรมประจำเดือนในสัปดาห์สุดท้ายของ

เดือนคือ สัปดาห์ที่ 4 คุณ คุณอะไรล่ะ เปลี่ยนเยอะเหลือเกินพิธีกร
พิธีกร    สืบสกุล พันธุ์ดี ครับ
หลวงปู่     เออ คุณสืบสกุล พันธุ์ดี เค้าเปลี่ยนหน้ากันมา แหม รุม กะว่าเปลี่ยนหน้ากันมารุม
ก่อนอื่นที่จะเริ่มเข้าสู่รายการ ก็ขอพูดถึง 2 เรื่อง
เรื่องแรกก็คือเรื่อง เมื่อเช้า ตอนสายๆ ได้เห็น ได้ยิน ไม่ใช่ ได้ยินพวกลูกหลานชาวบ้าน

พูดถึงเรื่อง วิชาสมาธิพระโพธิสัตว์ มันหายไปนาน แล้วพักหลังไปเห็นปรากฏอยู่ใน

โทรทัศน์ มหาอะไรก็ไม่รู้ วัดอยู่แถวๆ ไหนก็ไม่รู้ เอาไปสอน ไปอะไรล่ะไปแสดงไปสอน

ชาวบ้าน อ้ายที่สอนก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าอะไร
ที่แย่ก็คือ แถมอวดอีกว่า เค้าคิดค้นขึ้นเอง อ้ายเรามันเป็นงง อ้ายนี่มันของกูทั้งแท่ง มึงคิด

เอาไปยังไงที่จริงวิชานี้ เค้ามีไปจดทะเบียนลิขสิทธิ์นะ สมาธิพระโพธิสัตว์นี่จำได้ว่า มูลนิธิฯ

รู้สึกจะยุคอ้ายนพพรหรือไง เค้าไปจดลิขสิทธิ์ ตอนนั้น...ยังเป็นเลขาฯ มูลนิธิฯ แล้วเค้า

ไปทำการจดทะเบียนลิขสิทธิ์ สมาธิพระโพธิสัตว์ 84 ท่า แต่สอนไปยังไม่ได้ถึง 84 เลย

สอนท่านั่ง กับท่ายืน ท่าเดินกับท่านอน ยังไม่ทันได้สอน ก็แค่ 2 ท่าก็หากินได้ตั้งเยอะแล้ว

ขนาดมีคนมาลอกเลียนแบบเอาไปทำกิน ก็ถือว่า ดีแล้วล่ะ
แต่ก็เล่าให้ฟังว่า ไม่รู้ว่า เค้าเอาไปได้อย่างไร มันเผยแพร่กันแบบไหนก็ไม่เข้าใจ แต่บาง

เรื่อง เค้าก็ทำไม่ถูก เผอิญ วันนั้นประมาณซักตี 2 กว่าๆ เปิดเจอเข้า มันเข้าใจออกด้วยนะ

มันออกตอนคนอื่นหลับหมดแล้ว
อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่อง วิวาทะทางพระพุทธศาสนา คือ เรื่อง นายอะไร สตีฟ จ๊อบ สตีฟ จั๊บ

อะไรเนี่ยะน่ะ มันก็เป็นเรื่องที่ต้องยกเอาเรื่องของวิชาการขึ้นมาพูด เรื่องวิชาการที่ควรจะ

ยกขึ้นมาพูด ก็คือ อยากจะบอกให้ท่านทั้งหลายได้รับรู้รับฟังว่า ที่มีสำนักบางสำนัก ที่เป็น

เจ้าสำนักออกมาพูดถึง เรื่องอดีตชาติของนายสตีฟ จ๊อบ แล้วก็อนาคต คือ อนาคตชาติของ

นายสตีฟ จ๊อบ แล้วก็ปัจจุบันชาติของนายสตีฟ จ๊อบ
ที่จริง มันก็ไม่ได้ผิดอะไร เป็นสิทธ์ที่เค้าจะพูดถ้ามันไม่ได้เกาะเกี่ยวกับพระธรรมวินัย แต่

ในหลักของธรรมของวินัย พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ชัดใน จตุตถปราชิก
จตุตถปราชิก ก็คือ ปราชิกสิกขาบทที่ 4 ว่าด้วยเรื่อง ภิกษุอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีใน

ตนซึ่งเป็นธรรมอันยิ่ง คำว่า มนุสธรรม คือ ธรรมอันยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วไป คือ มนุษย์สามัญ

ธรรมดาจะไม่มีธรรมเหล่านี้ เช่นอวดว่า ตัวเองมีฌาน ได้ปฐมฌาน ทุติฯ ตติฯ จตุฯ หรือ

อวดว่าตัวเองมีสมาบัติ มีหูทิพย์ มีตาทิพย์ มีความรู้ใจคน  อวดว่าตัวเองรู้ภาษาสัตว์ ภาษาคน

ภาษาสารพัดภาษา อวดว่ามีปฏิภาณเชี่ยวชาญ
การอวดเหล่านี้ ถ้าอวดแล้ว เจตนาเพื่อต้องการ เพื่ออยากได้ และ เพื่อให้ได้มา ในภาษา

วินัยเค้าเรียกว่า เรียกสกุล เรียกสกุล ก็คือ เอาใจเค้า ทำให้เค้ารู้สึกผูกรักสมัครใจเรา ทำให้

เค้าชอบใจเรา หรือว่า ทำให้เค้ารู้สึกศรัทธาในตัวเราว่า เราเป็นผู้มีภูมิความรู้ มีธรรมอันยิ่ง

กว่ามนุษย์ทั้งปวง มนุษย์อื่นไม่มีเหมือนที่เรามี แล้วก็อวดเพราะเจตนาต้องการลาภสักการะ

ต้องการให้คนอื่นเค้าไหว้ เค้าชม เค้านิยม เค้ายกย่อง
จะเป็นการอวดด้วยเจตนาอย่างนี้ ดังกล่าวมานี้ พระพุทธเจ้าท่านปรับเป็นอาบัติปราชิก นั่น

หมายถึงต้องไม่มีนะ
แต่ถ้ามีจริง แล้วอวด ท่านก็ปรับเป็นอาบัติอีก เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่พระจะต้องมาอวด ด้วย

เหตุผลว่า อวดแล้วมันไม่ทำให้คนผู้รับการอวดนั้นพ้นทุกข์ อวดแล้ว มันไม่ได้ทำให้ผู้ฟังมี

สติปัญญารุ่งเรืองเจริญ กลับตรงกันข้าม จะมีโมหะ คือ มีความหลงงมงาย
พระพุทธเจ้า ท่านก็ปรับอาบัติไว้ แม้มีจริงแล้วอวด เจตนาที่จะอวด ตั้งใจอวด ต้องการอวด

ปรารถนาที่จะอวด อวดแล้วสำเร็จประโยชน์ คือ ผู้ฟังเชื่อ ต้องสำเร็จประโยชน์ด้วยนะ คือ

ผู้ฟังเชื่อถือ ก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์
แล้วถ้าอวดแล้วเพื่อให้มาซึ่งลาภ อวดอุตริมนุสธรรม คือ ธรรมอันยิ่งของมนุษย์ที่ไม่มีใน

ตนแล้วให้ได้มาซึ่งลาภสักการะ แม้ลาภนั้นได้มา พระพุทธเจ้าท่านก็ปรับอาบัติไว้เป็น นิ

สสัคคีย์ คือ ของนั้นเป็นของเสีย ถ้าเป็นของกินของดื่ม ก็ปรับอาบัติทุกคำกลืน ข้าวนี่ปรับ

อาบัติทุกเม็ด กลืนไปกี่เม็ด ก็นับไปเฮอะ เป็น 1 อาบัติ 
ท่านก็ว่าเอาไว้ว่า อย่างนั้นก็ให้สู้กินเหล็กแดงๆ ให้มันตายซะชาติเดียวจะดีกว่า เพราะว่า

ถ้าปรับอาบัติทุกคำกลืน ข้าวชามหนึ่ง อวดแล้วให้ได้มาซึ่งข้าวชามหนึ่ง สมมุตินะ ข้าวชาม

นั้นน่ะ มีข้าวกี่เม็ด มันได้กี่คำกลืน ก็ต้องเวียนตาย เวียนเกิด ใช้หนี้เค้าจนครบทุกคำกลืนทุก

เม็ด แล้วการเวียนตายเวียนเกิด ก็ไม่ใช่เวียนเกิดเวียนตายเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญนะ ต้อง

เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือไม่ก็เป็นสัตว์นรก นี่คือ พระวินัย นี่คือ วินัย

ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอน
ที่หลวงปู่พูดอย่างนี้ ก็ไม่ได้หมายถึงว่า ผู้ที่ออกมาวิภาควิจารณ์ หรือ ออกมาทำนายทายทัก

อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ อนาคตชาติของนายสตีฟ จ๊อบ จะเป็นผู้อยากได้ อยากดี อยากมี

อยากเป็น อยากอวด แต่เล่าให้ฟังว่า พระวินัยท่านว่าอย่างนี้ เพราะเราก็ไม่รู้เจตนาของเค้าว่า

เค้าจะเจตนาอวดหรือไม่อวด
แต่ที่แน่ๆ ก็คือว่า อาการที่เค้าพูดออกมา มันเทียบเคียงได้ว่า ทำให้เห็นว่า แสดงให้รู้ว่า ทำ

ให้เราเข้าใจว่า หรือไม่ ก็เชื่อว่า  เค้าเป็นผู้มีคุณอันวิเศษ เค้าเป็นผู้มีคุณอันวิเศษกว่ามนุษย์

ทั่วไป เรียกว่าเป็นมนุสธรรมอันยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วไป
ทีนี้ คุณอันวิเศษ พระพุทธเจ้าท่านยกเอาไว้แค่ 4 บุคคลเท่านั้นที่จะมีคุณวิเศษ
4 บุคคล ก็คือ พระอรหันต์น่ะ ลูก พระอรหันต์ที่มีใครบ้าง ก็มี พระอรหันต์นี่ ท่านแบ่ง

ออกเป็น 2 พวกใหญ่กับ 4 บุคคล 
2 พวกใหญ่ก็คือ พระอรหันต์ที่สำเร็จด้วยปัญญา ท่านเรียกว่า สุกขวิปัสสกะ หรือไม่ก็

เรียกอีกอย่างว่า ผู้เข้าถึงองค์คุณแห่งพระอรหันต์ด้วยสติปัญญา
พระอรหันต์ที่สำเร็จได้ด้วยฤทธิ์ ด้วยอำนาจ ด้วยสมาธิ ด้วยสมถะ ท่านก็เรียกพระอรหันต์

เหล่านี้ว่า ผู้ได้เข้าถึงวิชชา, วิชชา 3, วิชชา 6 แล้วก็ ปฏิสัมภิทา 4 อย่างนี้เป็นต้น
แล้วก็แบ่งพระอรหันต์ออกเป็นได้ 4 กลุ่มใหญ่ๆ ก็คือ
1. สุกขวิปัสสโก
2. เตวิชโช
3. ฉฬภิญโญ
4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต
พระอรหันต์ที่ได้ ต้องงัดเอาตำราขึ้นมาอ้าง เพื่อจะให้มั่นใจว่า ผู้ที่ฟังอยู่ จะได้ไม่มีเครื่อง

โต้แย้ง หรือต่อกรใดๆ ด้วยเหตุผลว่า นี่มันเป็นตำรา เป็นตำหรับ หรือเป็นเครื่องมือ หรือ

เป็นหนทาง หรือเป็นวิถี หรือเป็นพระธรรมคำสั่งสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านทรงสอน

เอาไว้
พระอรหันต์อย่างกล่าวมาที่บอกว่า เป็นอรหันต์ขีณาสพ ท่านหมายเอาว่า สิ้นอาสวะกิเลส

เป็นอเสขบุคคลผู้ไม่ต้องศึกษา และเข้าถึงความบริสุทธิ์สิ้นเชิงแล้ว ท่านจำแนกไว้ 4

ประเภทใหญ่ ก็คือ อย่างที่กล่าวมา
สุกขวิปัสสโก หมายถึง ท่านผู้เจริญวิปัสสนาล้วนๆ คือ มีแต่ปัญญา หรือเรียกอีกอย่างว่า

พระอรหันต์ปัญญาวิมุตติก็ได้ จัดอยู่ในกลุ่มใหญ่ หนึ่งในสองกลุ่ม ก็คือ พวกมีปัญญาวิมุตติ

ท่านเจริญแต่วิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียว จนบรรลุอรหันต์ พวกนี้จะรู้ทุกเรื่อง เพราะท่าน

มีปัญญามากเหมือนดั่งพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน เรียกอรหันต์พวกนี้ว่า สุกขวิปัสสโก
อรหันต์ประเภทที่ 2 ก็คือ เตวิชโช ท่านเป็นผู้ได้วิชชา 3 อรหันต์ประเภทนี้ สำเร็จเป็น

อรหันต์ด้วยการทรงคุณวิชชา 3 ประการ คือ
1. บุพเพนิวาสานุสติญาณ ในวิชชา 3 ที่ท่านสำเร็จเนี่ยนะ มีบุพเพนิวาสานุ

สติญาณ
2. จุตูปปาตญาณ
3. อาสวักขยญาณ
เดี๋ยวค่อยมาขยาย
และพระอรหันต์ในประเภทที่ 3 คือ ท่านผู้ได้อภิญญา 6 พระอรหันต์ประเภทนี้ได้

สำเร็จพระอรหันต์ ด้วยการทรงคุณ คือ อภิญญา 6 อย่าง หลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งใจเรียก

ว่า เจโตวิมุตติ อรหันต์ประเภทที่ 2 ก็เรียกได้ว่า เจโตวิมุตติ คือ พระอรหันต์ดังกล่าวเนี่ย

มีอยู่ 2 กลุ่ม ก็คือ ปัญญาวิมุตติ กับ เจโตวิมุตติ
อรหันต์ที่เป็นเจโตวิมุตติ กลุ่มสุดท้าย ก็คือ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ท่านเป็นผู้เข้าถึงซึ่งปฏิสัมภิทา

4
ปฏิสัมภิทา 4 มีอะไรบ้าง ก็เป็นผู้มีปัญญาแตกฉานมาก
1. อัตถปฏิสัมภิทา สามารถรู้อรรถ รู้พยัญชนะ รอบรู้เข้าใจธรรมะ

84,000 ข้อนี่ ท่านย่นย่อให้เหลือ 2, เหลือ 3, เหลือ 1 แล้วก็จำแนกแจก

แจงออกเป็น 84,000 ได้ด้วยสติปัญญาของท่าน พระอรหันต์อย่างนี้ จะมีอยู่ที่พระผู้

มีพระภาคเจ้าทรงยกย่องก็คือ พระสารีบุตร อย่างนี้เป็นต้น หรือไม่ก็ พระมหากัจจายนะ

เป็นผู้เลิศทางการปฏิสัมภิทา ปฏิสัมภิทา แตกฉานด้วยปัญญา
2.  ก็คือ ธัมมะปฏิสัมภิทา เป็นผู้รู้ธรรม กระจายธรรม จำแนกธรรม สั่งสอน

ธรรม อธิบายธรรม ของว่ายากก็ทำให้ง่าย ของสั้นก็ทำให้ยาว ของยาวก็ย่อให้ลงเหลือเล็ก

น้อย นิดหน่อย พระอรหันต์ประเภทนี้ ก็อยู่ในปฏิสัมภิทัปปัตโตเหมือนกัน แต่มีคุณลักษณะ

คือ ธรรมะปฏิสัมภิทา คือ อรหันต์ประเภทนี้ มีคุณอยู่ 4 อย่าง
3. ก็คือ นิรุตติปฏิสัมภิทา พวกนี้จะรู้ทุกภาษาของภาษาพูด ภาษาคน ภาษา

สัตว์ ภาษามนุษย์ที่อยู่ในโลก ไม่ว่าจะซีกโลกไหน เหลือบไหน มุมไหนของโลกใบนี้ แผ่น

ดินนี้ จักรวาลนี้ พระอรหันต์ผู้นี้ ท่านนี้ จะเป็นผู้รอบรู้หมด แม้ท่านไม่ได้เรียน ท่านก็จะรู้
4. ปฏิภาณปฏิสัมภิทาสุดท้าย พระอรหันต์ปฏิสัมภิทัปปัตโตข้อสุดท้ายก็คือ

มีปฏิภาณฉับไวมาก ท่านว่า สามารถแม้กระทั่งจับสายฟ้าบนอากาศได้ ไวได้ขนาดนั้น

ท่านเปรียบเอาไว้ว่าปัญญาของท่านเนี่ย สามารถไว แม้กระทั่งจับสายฟ้าบนอากาศได้
ในพระสูตร มีตำนานเล่าว่า พระอรหันต์ผู้เจริญปฏิสัมภิทานี่ ครั้งหนึ่งโดนงูฉก แล้วท่านก็

หลบ งูนั้นไปฉกเอาขอนไม้ แล้วทำให้ปากเจ่อ งูมันโง่ ปากเจ่อ งูนั้นมันก็อาฆาตพยาบาท

พระอรหันต์ เออ แต่ความอาฆาตนั้นมันเป็นสูญ เพราะเป็นกรรมอันไม่เจตนา ไม่มีเจตนา

แต่งูนั้นก็มาเวียนเกิดเวียนตาย นี่ไม่ใช่ศาสนายุคปัจจุบันนะ ศาสนายุคสมัยพระมหากัส

สปคือ พระพุทธเจ้ามีนามว่า พระมหากัสสป เพราะมีพระอรหันต์รูปหนึ่งที่ท่านสำเร็จ

ปฏิสัมภิทา แล้วท่านมีปฏิภาณ มีวิธีการแก้ปัญหาได้ฉับไว เฉียบคม ว่องไว สติปัญญา

ของท่านกล้าแข็งดั่งวัชระ หรือ ท่านเรียกอย่างหนึ่ง ท่านยกเอาอรหันต์ประเภทนี้ได้อีกอย่าง

ในมหายาน ท่านเรียกว่า พระวัชระปัญญา เค้าจัดไว้เป็นพระสูตรเลย เรียกว่า วัชรปัญญา

ปารมิตาสูตร คือ ผู้มากไปด้วยปัญญา คือ ผู้ก่อกำเนิดเกิดพระสูตร เรียกว่า วัชรปัญญาปาร

มิตาสูตร
ทีนี้ มาขยายความวิชชา 3 มีอะไรบ้าง เมื่อครู่บอกแล้วว่า
1. ก็คือ เตวิชโช พระอรหันต์ผู้มีเตวิชโช หรือ เตวิชชะ มีวิชชา 3 ประการ
1.1 อันได้แก่ บุพเพนินิวาสานุสสติญาณ คือ การระลึกชาติได้ ได้แก่ การเกิด

ของตน และของสัตว์ที่ผ่านมาแล้วในอดีตโดยไม่อาจจะนับประมาณได้ ญาณเหล่านี้ เกิด

ขึ้นได้จากการปฏิบัติธรรมให้สมบูรณ์ในระดับของศีล ระดับสมาธิ และระดับปัญญาที่

เหมาะสม จนปรับจิตของตนให้อยู่ในสภาพที่แสดงรู้สภาพปรากฏของสัตว์ได้ ที่ว่า สัตว์ตน

นี้เกิดมากี่ภพกี่ชาติ แต่ละชาติเป็นอะไรบ้าง อย่างนี้เป็นต้น ระลึกชาติได้ตั้งแต่ 1 ชาติขึ้น

ไป จนนับประมาณมิได้
1.2  ก็คือ จุตูปปาตญาณ รู้จักการกำหนด จุติและการเกิดของสัตว์ในโลกนี้ คือ

เกิดแล้วตาย อายุขัยจะตายเมื่อไหร่, รู้, แล้วจะไปเกิดเป็นอะไร, รู้, อย่างนี้ เค้า

เรียกว่า จุตูปปาตญาณ
1.3  ก็คือ อาสวักขยญาณ ญาณนี้สำคัญมาก, 2 ญาณข้างบนนี่เป็นโลกียะ

แต่ญาณสุดท้ายนี่ เป็นโลกุตตระ ถ้าเป็นฌาน ก็เรียกว่า โลกียฌาน แต่สุดท้ายนี่ อาสวัก

ขยญาณนี่ จัดว่าเป็นโลกุตตรฌาน โลกุตตรญาณ อาสวักขยญาณ คือ ทำอาสวะให้สิ้นไป ทำ

ให้กิเลสของตนหมดไป เครื่องหมักดองในสันดานก็อันตรธานพินาศไปด้วยอำนาจแห่ง

ฌานนะ ไม่ใช่ปัญญา ด้วยอำนาจแห่งฌานเพราะเป็นพระอรหันตเตวิชชะ คือ เป็นผู้เจริญเจ

โตวิมุตติ คือมีอำนาจจิตเหนืออำนาจกิเลส พวกนี้จะเจริญสมาธิมาก เจริญสมถะมาก ปฏิบัติ

ตนเพ่งจิตอย่างมาก แต่มีปัญญาไม่เท่ากับพระอรหันต์พวกแรก คือ สุกขวิปัสสกะ พวกนี้

จะมีปัญญามหาศาลมากดุจดั่งพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน
ถ้าเปรียบปัญญาของพระอรหันต์เตวิชชะนี่ก็ เปรียบประดุจดั่งแสงดาว ไม่ใช่แสงหิ่งห้อย

แสงดาว แสงดาวที่พอเอาตัวสว่างได้ แต่พาคนอื่นไปไม่ได้ ประมาณนั้นแหละ
2. ข้อต่อมา พระอรหันต์ที่จัดว่าเป็น ฉฬภิญญะ คือ ฉฬภิญโญ หรือ มีวิชชา

6 วิชชา 6 อภิญญาแปลว่า รู้ยิ่ง รู้ชัดซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากการบำเพ็ญทางจิต คือ

การกระทำสมาธินั่นเอง เมื่อจิตสงบระงับจากกิเลสทั้งหลาย ก็สามารถมีความรู้ถึงขั้น

อภิญญาได้
2.1 อิทธิวิธี ข้อที่ 1 ความรู้ที่ทำให้แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ หมายถึงความรู้ ความ

สามารถที่จะเหาะเหินเดินบนอากาศ เดินบนน้ำได้ อาตมาเคยทดลองทำ แต่เดินแล้วมัน

หล่นลงไปในน้ำ ไม่ใช่อรหันต์ เคยทดลอง สมัยก่อน ตอนเจริญกสิน ต่อมา
2.2  ทิพยโสตะ คือ ญาณที่ทำให้มีหูทิพย์ หมายถึงฟังเสียงที่อยู่ห่างไกล แม้ใน

จักรวาลอื่น ทิพยโสตเนี่ยนะ ไม่ใช่เฉพาะในโลกนี้เท่านั้น แม้ในจักรวาลอื่น ก็สามารถฟัง

ได้ต่อมา
2.3  เจโตปริยญาณ คือ ญาณที่กำหนดใจคนอื่น คือ รู้ใจคนอื่น รู้ใจคนอื่น ดัก

ใจคนอื่นได้ รู้ว่าคนอื่นคิดอะไร นึกอะไร ด่ากูหรือไม่ อะไรประมาณนี้
2.4  บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้ สามารถระลึกชาติหน

หลังต่างๆ ได้ เดี๋ยวนี้ มีพวกนี้เกลื่อนมาก อ้างว่า ระลึกชาติได้ ระลึกชาตินู้นชาตินี้ ส่วนใหญ่

คนที่มันระลึกได้ คนรวยทั้งนั้น คนจนๆ มันไม่พยายามระลึก
2.5  ทิพยจักษุญาณ ญาณที่ทำให้ตาทิพย์ หมายถึงว่า สามารถมองเห็น คำว่า

มองเห็นนี่ไม่ใช่เห็นแค่ที่มุงที่บัง หรือที่อยู่ในที่มืดเท่านั้นนะ ลูก แม้นใต้แผ่นดิน บน

อากาศก็จะเห็นได้ ที่เค้าบอกว่า สวรรค์อยู่บนฟ้า นรกอยู่ใต้ดิน ผู้มีทิพยจักษุ สามารถใช้

ตาชำแรก มองเห็นสัตว์นรกทุกขุมได้ รู้ว่า มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร
2.6  สุดท้ายเลย  ญาณทั้งหมด ทั้ง 5 เนี่ย เป็นโลกียญาณ หรือโลกียฌาน ข้อ

สุดท้าย โลกุตตระฌาน พระอรหันต์ต้องมี อาสวักขยญาณ อย่างที่กล่าว เราทำอาสวะให้สิ้น
นี่คือ คุณลักษณะของพระอรหันต์ ฉฬภิญญะ คือ มีวิชชา 6
แล้วสุดท้ายคือ พระอรหันต์ที่เมื่อครู่กล่าวไป ก็คือ ปฏิสัมภิทา 4 ก็ยกขึ้นเป็นเบื้องต้นเมื่อ

ครู่นี้ว่า มีอะไรบ้างล่ะ มีธัมมะปฏิสัมภิทา มีนิรุตปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภืทา และ

ปัญญาปฏิสัมภิทา นี่คือ พระอรหันต์ประเภทสุดท้าย พวกนี้ ก็ถามว่ามีฤทธิ์ไม๊ ยังมีฤทธิ์

อยู่นะ ยังมีฤทธิ์อยู่เพราะเป็นผู้เข้าถึงเจโตวิมุตติ ก็คือ บรรลุพระอรหันต์ด้วยอำนาจของจิต

เพราะงั้น ก็จะเนรมิตรจิตได้ตามเหตุตามปัจจัย
ท่านว่าเอาไว้ในตำนาน ตำราว่า พระอรหันต์เหล่านี้ โดยเฉพาะปฏิภาณปฏิสัมภิทาเนี่ย

ท่านจะมีสมาบัติ 8
สมาบัติ 8 มีอะไรบ้าง เอ้า ว่าซะให้หมด นี่คือ ฤทธิ์ของผู้ที่อยู่ในพระพุทธศาสนา ถ้าทำ

ได้จริง
1. อิทธิวิธี คือ แสดงฤทธิ์ได้ แปลงกายได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ บันดาลให้

ลมกำเริบ ฝนตก ฝนหยุด ฝนแล้ง ฝนหาย หรือ แสดงคุณวิเศษต่างๆ แปลงกายเหมือน

อย่างพระเทวทัตที่จะไปหลอกพระเจ้าอชาติศัตรูให้มาเป็นมิตร มาเป็นพวก แล้วก็จะได้

เอากำลังทหารของพระเจ้าอชาติศัตรูไปทำร้ายพระพุทธเจ้า หรือฆ่าพระพุทธเจ้า พระเท

วทัตตอนนั้นทรงสมาบัติ 8 ก็แสดงฤทธิ์ แปลงตนเป็น กุมารไฟ ถ้าสมัยนี้ เค้าก็จะเรียก

นาจา ล่ะ แปลงตนเป็นกุมารไฟ มี 8 เศียร , 6 กร, ตัวมีไฟเป็นอาภรณ์ มีงูพันศอ

พันกาย ลอยอยู่บนอากาศ พระเจ้าอชาติศัตรูเห็นดั่งนั้นก็รู้สึกตกใจมาก กลัวมาก มือไม้สั่น

ปากคอค้าง ตาเหลือก พนมมือด้วยความลนลาน หวาดกลัว พอเทวทัตเห็นสบอารมณ์ได้ช่อง

ก็ลอยเหาะลงมา แล้วก็แปลงกายกลับคืนเป็นเทวทัต แต่ได้ครั้งเดียว ได้ครั้งเดียว ต่อไปจะ

แปลงอีก แปลงไม่ได้แล้ว เพราะว่าฤทธิ์มันเสื่อมด้วยเหตุของความลามกไง คือเหตุของ

ความคิดอยากจะฆ่าคน คือ อยากจะฆ่าพระพุทธเจ้า มาชักชวนให้อชาติศัตรูเป็นญาติ เป็น

เพื่อน เป็นพวก เพื่อของกำลังทหาร ขอช้างนาราคิรี ขอนายขมังธนูไปฆ่าพระพุทธเจ้า

เพราะความปรารถนาลามกนี่ สมาบัติ 8 ซึ่งเป็นโลกียฌานก็อันตรธานหายไปในทันที
2. ทิพยโสต มีหูทิพย์ดังกล่าว
3. เจโตปริยญาณ กำหนดใจ รู้ใจคนอื่น
4. บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้
5. ทิพยจักษุ
6. อาสวักขยญาณ
ขออภัย ไม่ใช่ 4. ทิพยโสต 5. เจโตปริยญาณ รู้กำหนดใจคนอื่น 6. บุพเพนิวาสา

นุสสติญาณ  7. ทิพยจักษุญาณ และ 8. อาสวักขยญาณ
งั้น ญาณทั้ง 7 ข้างบนของสมาบัติ 8 จัดเป็นส่วนโลกียะ และญาณสุดท้าย เป็นส่วนโลกุ

ตตระญาณในความหมายของเรื่องที่ยกขึ้นมากล่าวในที่นี้ไม่ว่าจะเป็นวิชชา 8 เค้าจะมีคำ

กล่าวอยู่อย่างหนึ่งว่า มีวิปัสสนาญาณด้วย มีมโนมยิทธิด้วย มีอิทธิวิธีด้วย
ในวิปัสสนาญาณ ท่านจัดเอาไว้ว่า ผู้มีปัญญาเห็นสังขาร นาม รูป ในไตรลักษณ์ นี่สมาบัติ 8

บางตำราก็มีวิปัสสนาญาณใส่เข้าไปด้วย
เพราะงั้น ความหมายของสมาบัติ 8 ถามว่าในศาสนาพราหมณ์มีไม๊
มี ลูก ศาสนาพราหมณ์ก็มีสมาบัติ  เพราะอุทกดาบสกับอาฬารดาบส จำได้ไม๊ ก็ได้สมาบัติ,

อุทกดาบสได้สมาบัติ 7, อาฬารดาบสได้สมาบัติ 8
2 มโนมยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ สามารถอธิษฐานจิตให้แยกกายออกเป็นหมื่น

เป็นแสน เป็นร้อย เป็นพัน หรือเป็นเปลี่ยนรูปร่าง หน้าตาได้ อิทธิวิธี คือ แสดงฤทธิ์ได้

บันดาลทำให้เงินปรากฏ ทำให้เงินหาย ทำให้อาหารกลายเป็นงู อย่างนี้ก็ได้
นี่คือ อีกตำนานหนึ่ง แล้วก็ 4. ทิพยโสต 5. เจโตปริยญาณ 6. บุพเพนิวาสานุ

สสติญาณ 7. ทิพยจักษุญาณและ 8. อาสวักขยญาณ
7 ญาณบนน่ะ เป็นโลกียะ ญาณสุดท้ายจัดว่า เป็นโลกุตตระ
ยกมาทั้งหมดนี่ เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้เห็นว่า ผู้ที่อวดอ้างตัวเองว่า รู้อดีตชาติคนอื่น แล้วก็

รู้ปัจจุบันชาติ แล้วก็รู้ไปถึงอนาคตชาติ จะต้องเป็นคนเหล่านี้เท่านั้น คนที่เป็นเหล่านี้ คืออะไร

อรหันต์ 3 พวกนี้เท่านั้น
งั้น เมื่ออวดตัวเองได้ถึงขั้นเป็น แม้ไม่ได้บอกตัวเองเป็นอรหันต์ แต่วิชชาที่ท่านเอามาพูด

เรื่องที่ท่านเอามาพูด มันเทียบเคียงได้กับความรู้ที่มีอยู่ในเตวิชชะ ฉฬภิญญะ ปฏิสัมภิทัป

ปัตตะ ก็คือ อรหันต์ 3 ประเภทสุดท้าย ก็แสดงว่าท่านก็อวดว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ หรือ

ว่า ต้องการจะชี้ว่า ท่านเป็นพระอรหันต์
หลวงปู่ก็อยากฝากให้พวกท่านทั้งหลายได้รู้ ได้วิเคราะห์ว่า ท่านเป็นจริงหรือเปล่า แล้วถาม

ว่า อรหันต์เป็นอย่างไรบ้าง ไปศึกษาในคำสอนสุดท้าย หรือ เรื่องอรหันตภูมิที่เคยยกให้ฟัง

ว่า พระอรหันต์ต้องมีจริยวัตรอย่างไร มีจริยาอย่างไร มีจรณะ 15 ต้องละสังโยชน์ 10

ได้ มีศีลสมบูรณ์บริสุทธิ์ ไม่ติดอยู่ในโลกธรรมทั้ง 8 ประการ
ศีลบริสุทธิ์ จรณะ 15 ครบ สังโยชน์ละได้หมด แล้วก็ไม่ติดอยู่ในโลกธรรม 8 ประการ

รวมทั้งต้องเข้าถึงองค์คุณแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ทุกขณะจิต
นี่คือ พระอรหันต์ ธรรมชาติของพระอรหันต์
แถมให้หน่อย ทศพลญาณ คือ ญาณอันเป็นกำลังของพระตถาคต 10 ประการ ได้แก่
1. ฐานาฐานญาณ คือ ปรีชาหยั่งรู้ ฐานะและอฐานะ คือ รู้กฎธรรมชาติที่เกี่ยว

กับขอบเขตและขีดขั้นของสิ่งทั้งหลายว่า อะไรเป็นอะไร เป็นเหตุเป็นปัจจัยของกันและกัน

และมีเหตุปัจจัยนั้นยาวยิ่งใหญ่หรือสั้น แคบเล็กแค่ไหน จึงจะหยุดหรือจึงจะหมดเหตุแห่ง

อะไร และดับเหตุแห่งอะไรนั้นๆ ได้ อย่างนี้เป็นต้น คือ รู้เหตุน่ะ พูดง่ายๆ รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน

รู้ประมาณ รู้กาล รู้สถานที่ รู้ชุมชน รู้บุคคล นั่นแหละ
2. กรรมวิปากญาณ ปรีชาหยั่งรู้ ผลของกรรม คือ สามารถกำหนดแยกแยะ กรรมที่ให้

ผลซับซ้อนแยกให้เห็นชัดเจนได้ กรรมที่สัมพันธุ์ กรรมที่ดี กรรมที่เลว ที่ให้ผลในเวลา

ขณะหนึ่งๆ เพราะบางขณะ มีกรรมดีกำลังให้ผลอยู่ เหมือนอย่างกับนักศึกษากำลังจะไปรับ

ปริญญา กรรมดีไม๊ เดินทางไป ดันโดนรถชนตาย ถามว่า มันเกิดเหตุปัจจัยอะไร เพราะงั้น

พวกชาวบ้านธรรมดาวิจัยไม่ได้ พระอรหันต์ธรรมดาก็วิจัยไม่ได้ แม้พระอรหันต์ เตวิชชะ

ฉฬภิญญะ ปฏิสัมภิทัปปัตตะ ก็ยังวิจัยไม่ได้ เพราะนี่เป็นกำลังของทศพลญาณ คือ เป็น

ปัญญาของพระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงจะวิจารณ์วิจัยได้ ถึงวิจารณ์วิจัยได้ ก็รู้ไม่หมด รู้ไม่

ละเอียดถึงชาติสุดท้าย และชาติแรกของคนๆ นี้ ทำไมมันจะรับปริญญาไม่ได้ คือ กำลัง

ของพระอรหันต์ถอยไปสุดไม่ได้ คือ ลงไปที่สุดไม่ได้ แล้วก็ขึ้นไปที่สุดไม่ได้ แค่เอาตัวเอง

รอดได้
แต่กำลังของทศพลญาณ คือพระพุทธเจ้าย้อยหลังไปชาติสุดท้าย พูดง่ายๆคือ ทศพลญาณ

คือ สามารถนับเม็ดทรายเม็ดแรกของมหาสมุทรได้ ปัญญาของพระทศพลญาณ คือ

ปัญญาของพระผู้มีพระภาคเจ้าสามารถนับเม็ดทรายเม็ดแรกและเม็ดสุดท้าย

ของมหาสมุทรได้ เค้าจึงเรียกว่า ทศพลญาณ คือ กำลังของพระทศพลหรือพระผู้มีพระภาค

เจ้า
3. สัพพัตถคามินีปฎิปทาญาณ พระปรีชาหยั่งรู้ ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่คติทั้งปวง สุขคติ

หรือ ทุคติ หรือ พ้นจากคติ คือ รู้เหตุ รู้ปัจจัย หมด คนนี้เป็นสุข เพราะเหตุนี้ คนนั้นเป็น

ทุกข์เพราะเหตุนี้ ถามว่า เป็นทุกข์เพราะเหตุนี้ มันสั่งสมมากี่ชาติ ไม่ใช่ชาตินี้ ไม่ใช่

ปัจจุบันนี้ แล้วมีเศษ มีเดน มีเลย มีกาก มีผง มีธุลีของทุกข์ในชาติแรกๆ สั่งสมมากี่ร้อยกี่

พันชาติ จึงจะถึงมารวมจุดรวมยอดจนมาเป็นทุกข์มหันต์ในปัจจุบัน ทศพลญาณสามารถ

วิจารณ์ได้หมด แม้ที่สุด ท่านผู้นี้มีสุข สุขนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดในชาตินี้ ไม่ใช่เพิ่งเสวยในปัจจุบัน

ชาติ แต่สั่งสม อบรมมาในเศษ ในกาก ในเดน ในธุลี ในชาติแรกๆ เล็กน้อย นิดหน่อย เก็บ

บรมสุข เก็บสุข เก็บอารมณ์สุข เก็บกุศลสุข เก็บกุศลจิต เก็บเอาไว้ทีละนิดทีละหน่อยจน

กลายเป็นอนันตสุขในปัจจุบันมาได้อย่างไร ทศพลญาณสามารถหยั่งรู้ได้
4. นานาธาตุญาณ คือ ปรีชาหยั่งรู้สภาวะของโลกอันประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 มันเกิด

ขึ้นได้อย่างไร รู้การเกิดของโลกและจักรวาลพูดง่ายๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้การกำเนิด

ของโลกและจักรวาล พระองค์จึงทรงพยากรณ์ ทรงพูดถึงเรื่องนิวเคลียร์ อะตอม นิวตรอน

โปรตอนเอาไว้เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน ที่จริงเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก

พระองค์ทรงวิภาควิจารณ์ ทรงพูดถึงเรื่องชีวิตหลังความตาย ชีวิตนอกโลก ชีวิตนอก

จักรวาลไว้อย่างแยบยลแยบคายในหลากหลายคัมภีร์มาก
5. นานาธิมุตติกญาณ ปรีชาหยั่งรู้ อธิมุติ ก็คือ รู้อัธยาศัย ความโนมเอียง

ความเชื่อถือ แนวความสนใจ เป็นต้น เป็นเหตุให้พระองค์ทรงเลือกธรรมที่แสดงแก่คน พูด

ง่ายๆ คือ รู้จริตของคน รู้ว่าคนๆ นี้ มันมีจริตอย่างนี้ มันสั่งสมเอาไว้กี่ชาติๆ แล้ว เหมือน

อย่างมีพระอรหันต์ปางข้างหลังพระพุทธรูปที่ยืนถือดอกบัวประทานดอกบัวนี่ เพราะ

เหตุผลว่า พระสารีบุตรรับลูกชายนายช่างทองมาบวช บวชอยู่กับพระสารีบุตร 3 เดือน

ให้กรรมฐานข้อใดก็ไม่ได้เรื่องเลย ผ่านไป 3 ปีก็ยังไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย จนสุดท้าย พระ

สารีบุตรเห็นว่า ลูกชายนายช่างทอง ทำไมสอนไม่รู้เรื่อง เป็นผู้มีปัญญานะ ระดับพระสารี

บุตรแล้วนะ เป็นผู้เลิศทางปัญญาที่สุดในพระพุทธศาสนา ได้รับการยกย่องจากพระศาสดาว่า

เป็นผู้เลิศทางปัญญา แต่ยังไม่รู้ว่า จะสอนเด็กคนนี้อย่างไร คือ สอนกุลบุตร หรือ สอนพระ

ใหม่องค์นี้ได้อย่างไร จนกระทั่งพระสารีบุตรต้องนำไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์

ก็ทรงใช้ทศพลญาณวิเคราะห์ดู ย้อนหลังไปถึง 500 ชาติ ทำให้เห็นว่า ตลอดระยะเวลา

500 ชาติของกุลบุตรนี้ ไม่ได้ธรรมดาเลย เพราะเกิดในตระกูลช่างทองมาตลอด 500

ชาติ แล้วก็เล่นอยู่กับทอง ตุ๊กตาก็ตุ๊กตาทอง นอนก็ที่นอนทอง ทุกอย่างมันเป็นทองจนติดหู

ติดตา ติดใจ ติดนิสัย ติดในกระดูกและสันดาน
งั้น อะไรที่ไม่ใช่ทอง ไม่สนใจ ไม่ชอบใจ พวกมึงก็ใช่ ใช่ไม๊
เออ กูเชื่อว่า มึงไม่ใช่หรอก ถ้ามึงเป็นทอง ก็ทองม้วนน่ะ ลูกเอ๊ย หรือไม่ก็ทองพลับ เออ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับเอากุลบุตรท่านนั้นเข้ามา แล้วพระองค์ก็ทรงชี้ให้เห็นว่า สอน

กรรมฐานอื่นไม่ได้ ต้องเนรมิตรดอกบัวให้เป็นทองคำ แล้วก็ให้กุลบุตรนั่งเพ่ง แล้ว

พิจารณาถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วท่านก็ทรงบันดาลให้ดอกบัวจากสีทองคำ ให้เปลี่ยนสี

เป็นสีขมุกขมัว เหี่ยว แล้วก็หลุดร่วงทีละกลีบๆๆ จนกระทั่งย่อยสลาย
จิตของกุลบุตรน่ะ เชื่ออยู่ในทอง หลงอยู่ในทอง ติดอยู่ในทอง ชอบในสีทอง พอเห็นทองมี

อันเปลี่ยนไป ก็ใช้จิตใคร่ครวญว่า ทำไมถึงเปลี่ยน พอเปลี่ยนจากสีหนึ่งไปอีกสีหนึ่ง ก็ใคร่

ครวญอีก เอ๊ เหตุอะไร ทำไมถึงเปลี่ยน พอเปลี่ยนจากสีที่สวยสดมาเศร้าหมองแล้วหลุดร่วง

แล้วก็เหี่ยวเน่า ก็ใคร่ครวญตามไปตลอด แล้วพระพุทธเจ้าท่านก็ทรงใช้เนรมิตรเครือข่าย

พระญาณเหมือนกับมานั่งสอนข้างหลัง กรอกหูกุลบุตรให้คิดตาม ว่าทำไมทองมันจึงเปลี่ยน

ทำไมดอกบัวมันจึงร่วง ทำไมสีมันจึงเศร้าหมอง แล้วทำไมมันจึงเน่า แล้วทำไมมันจึงจะ

บุบสลาย จนกระทั่งบรรลุอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ นี่คือ วิธีสอนของพระพุทธเจ้า เรียกว่า

นานาธิมุตติกญาณ ญาณปรีชาหยั่งรู้อัธยาศัย รู้อัธยาศัย ความชอบ ไม่ชอบ อุปนิสัยและ

จริต
6.อินทริยปโรปริยัตตญาณ ปรีชาหยั่งรู้ ความยิ่งและความหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ คือ

สัตว์ผู้นี้ อินทรีย์อันแก่กล้ามากน้อยแค่ไหน อินทรีย์ในที่นี้ แปลว่า ความเป็นใหญ่ รวมไป

ถึงกระบวนการ สัตว์ผู้นี้มีตาดีกว่าหู หูดีกว่าตา จมูกดีกว่าตูด ตูดดีกว่าปาก อะไรอย่างนี้

ประมาณนั้นแหละ
อินทรีย์มีอะไรบ้าง อินทรีย์มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เรียกว่า อินทรีย์ 6 รวมทั้ง

อินทรีย์ 5 มีไม๊
มี, ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ แล้วก็ปัญญา ผู้นี้มีศรัทธามาก ผู้นี้มีปัญญามาก ผู้นี้มีโง่มาก

ไม่อยู่ในอินทรีย์ไหนเลย ผู้นี้มีสติมาก ผู้นี้มีความเพียรมาก แต่ไม่มีปัญญาเลย อย่างนี้เป็น

ต้น ก็ต้องรู้
7.ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ ปรีชาหยั่งรู้ความเศร้าหมองและความผ่องแผ้วของการออก

แห่งญาณ สมาธิวิโมกข์สมาบัติ เป็นต้น ก็คือ จะรู้ได้ว่า ท่านผู้นี้ หรือ เรา หรือสัตว์ หรือ

บุคคล หรือสามัญสัตว์ทั่วไป จะมีอะไรเป็นตัวแก่กล้า พูดง่ายๆ ก็คือ คนๆ นี้มีสมาธิมาก

คนๆ นี้มีปัญญามาก คนๆ นี้มีสติตั้งมั่นมาก แล้วจะทำให้สมาธิเจริญได้อย่างไร ทำให้

ปัญญาเจริญได้อย่างไร ทำให้สติเจริญได้อย่างไร หรือ ท่านผู้นี้ชอบสมาบัติมาก ก็ต้องหา

กรรมวิธีที่จะเอามาคำสอนแทรกชำแรกเข้าไปในสมาบัติ อย่างนี้เป็นต้น
8. ปุพเพนิเวสานุสสติญาณ ปรีชาหยั่งรู้อันทำให้พระองค์ระลึกชาติ คือ ความบังเกิด

ของพระองค์ในปางก่อน จนไม่อาจประมาณได้ ทรงทราบรายละเอียด เค้าเรียกว่า รู้กระทั่ง

4 อสงไขยแสนมหากัป รู้ถึงชาติแรกของอสงไขยแรก พระอรหันต์ทำไม่ได้ ดูตัวอย่าง

พระสารีบุตร 500 ชาติ ก็ไม่ถึงละ นี่เป็นเรื่องของทศพลญาณ หรือ ตถาคตญาณเท่านั้น
9. จุตูปปาตญาณ ปรีชาหยั่งรู้ การจุติและการอุบัติของสัตว์ ไม่ใช่เฉพาะสัตว์ที่มี 2 เท้า

สัตว์ 4 เท้า สัตว์เท้ามาก แม้ที่สุดสัตว์ไม่มีเท้า แล้วก็สัตว์ที่ไม่มีอวัยวะครบ ก็รู้ได้ เช่น

อรูปพรหมเป็นต้น อรูปพรหมมีอวัยวะครบไม๊ ไม่มี อย่างนี้ก็สามารถรู้ได้ พระพุทธเจ้า

ทรงรู้ได้ตั้งแต่พรหมองค์แรกของจักรวาล ใครเป็นผู้บังเกิดเป็นพระพรหมองค์แรก หรือ

เป็นอรูปพรหมจิตแรก พระองค์ทรงสามารถทราบได้ รู้ได้
10. อาสวักขยญาณ ปรีชาหยั่งรู้อาสวะอันเป็นต้นเหตุ ควรให้ละสิ้นไป พระองค์ทรง

กระทำให้หมดสิ้นไป คือ พระญาณที่ทำให้พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้า คือ ญาณอะไรบ้าง

วิชชาอะไรบ้าง ความรู้อะไรบ้าง พฤติกรรมอะไรบ้าง คาถาอะไรบ้าง ประเพณีอะไรบ้าง

ธรรมเนียมอะไรบ้าง เรื่องราวอะไรบ้างที่จะเป็นเหตุปัจจัยให้อาสวะสิ้น พระองค์ทรงรู้ ต้อง

รู้หมด และการจะรู้ได้ทั้งหมดนี้ ต้องมีอะไรอย่างยิ่ง ลูก
มีอะไรเป็นเครื่องอยู่
มีสติ เป็นเครื่องอยู่อย่างยิ่ง
สติต้องอยู่กับพระองค์ทุกขณะลมหายใจ ขณะจิตๆ อย่างนี้เป็นต้น
ทั้งหมดนี่ เป็นทศพลญาณ
เพราะฉะนั้น ที่ยกขึ้นมากล่าวเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นประเภทของอรหันต์ 2 ประเภทใหญ่ ก็คือ  

 เจโตวิมุตติ กับปัญญาวิมุตติ หรือ อรหันต์ 4 พวก ก็คือ สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ

ปฏิสัมภิทัปปัตโต หรือ ผู้มีวิชชา เรียกว่า สมาบัติ 8 แม้ที่สุดก็คือ ทศพลญาณ
ทั้งหมดเนี่ย เป็นมนุสธรรมอันยิ่ง ผู้ที่ไม่มีมนุสธรรมอันยิ่ง แล้วอวดอ้าง อยากฝากมหา

เถรสมาคมว่า อย่าถืออุเบกขารมณ์เกินไปนัก ช่วยไปดูกันหน่อยว่า สมัยนี้มันมี ตั้งแต่เริ่ม

ประกาศตนเองเป็นชาติสุดท้ายมาจนถึงเวลานี้ล่วงเลยมาประกาศถึงขนาดรู้อดีตชาติของคน

นั้นคนนี้ได้อย่างง่ายๆ โดยไม่มีใครไปทักท้วง ไปว่ากล่าว ไปตักเตือน ไปให้สติ ไปอบรม

สั่งสอน เพราะทั้งหมดนี่เป็นเรื่องผิดพระวินัยทั้งหมด อ้ายที่พูดมานี่ อ้ายที่เค้าทำๆกันนี่ เค้า

หากินกันอยู่ทุกวันนี้ มันเรื่องผิดวินัยทั้งนั้น
งั้น ศาสนานี้ ถ้ามันไม่มีวินัยเป็นเครื่องกำกับ มันก็จะต่างคนต่างทำ อ้าว วันนี้ ธรรมกาย

ระลึกชาติได้  เดี๋ยวอาตมา วัดอ้อน้อยก็ลืมชาติได้เหมือนกัน กูลืมไปแล้ว กูเกิดชาติอะไร คือ

ไม่เข้าใจว่า มหาเถรฯหรือ เจ้าคณะปกครองทำอะไรกันอยู่นะ อยากฝากเรื่องนี้ไปยังท่าน

เจ้าคณะปกครอง แล้วสำนักพุทธฯ  ถ้าไม่รู้ แล้วโง่ ไม่เข้าใจ อย่ามาอวดว่า ตัวเองรู้ แล้วว่า

ไม่ผิดพระวินัย เพราะตัวเองไม่ใช่นักบวช หรือว่า บวชแล้วอาจจะเรียนวินัยไม่ครบ แล้ว

มาอ้างว่า ไม่ผิดวินัยนี่ มันไม่ถูก คือไม่ผิดวินัยตั้งแต่พาชาวบ้าน พาพระใหม่ออกธุดงค์

ตามห้าง Supper Market ละ ตามหน้าห้าง มันจะไม่ผิดยังไง พระวินัยเค้า

บ่งบอกไว้ชัดว่า ต้องห่างจากบ้าน 500 ช่วงธนู คิดดูว่า 500 ช่วงธนูน่ะ มันขนาดไหน

เอาลูกธนูมา เออ 500 ช่วงน่ะ ไม่ใช่เอามาวัดๆ ต่อๆ กันนะ ปามันออกไปเนี่ย 500

ช่วง เออ ยิงออกไป 500 ช่วงธนูมันต้องห่างจากบ้าน มันต้องไกลขนาดไหนที่พระธุดงค์

จะอยู่ได้ เดินได้ ภิกขาจารก็เข้าไปบ้าน แล้วรีบออก อย่างนี้เป็นต้น
งั้น ให้ทำความเข้าใจให้ชัด เรื่อง พระธรรมวินัย แล้วก็เรื่องข้อพิพาทเรื่อง เค้าเรียกว่าอะไร

เรื่องการถกเถียงกันเรื่องหลักธรรมหลักวินัย อยากให้มันเหลือน้อยลงให้มากที่สุด เพราะว่า

มันอายชาวบ้านเค้า อายต่างชาติ ต่างศาสนา ต่างประเทศเค้า ว่าคนบ้านเราเป็นคนคร่ำครึ

เป็นคนไม่มีสาระ ไม่มีเหตุ ไม่มีผล พระพุทธศาสนาสอนให้คนโง่งมงาย ไม่ใช้เหตุใช้ผล

ใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการใคร่ครวญพินิจพิจารณา แล้วก็ไม่ยอมที่จะวิเคราะห์ว่า อะไรถูก

อะไรผิด เชื่อกันไปหมด หลงงมงายกันไปหมด อย่างนี้เป็นต้น
งั้น ก็ฝากเอาไว้ในที่นี้ ก็คือ เรื่องที่อยากจะพูด เพราะว่าในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นถก

กันขนาดหลวงปู่ไปแสดงธรรมที่อุดรฯ เณรมันยังถามเลย เณรมันก็ยังถาม เราก็ตอบ อย่า

ไปยุ่งกับเค้าเลย เณร เรื่องของพระ เอาเรื่องของเณรเถอะ ตอนบ่ายโมง เดินกินไอติมน่ะ

ว่าไง เออ เดินแทะไอติมเฉยเลย หลวงพี่แกเห็น แกก็ไม่ว่านะ ปล่อยให้ไปรุมซื้อไอติมกัน

เฉยเลย อาตมาเจอเข้า ก็ไม่เอาไว้ ด่าซะยกใหญ่ มันก็คงไม่นิมนต์อีกแล้วล่ะ
เอาไว้ได้ยังไง เห็นผิดโต้งๆ เลยด่าพระ ออกมาจะเข้าห้องน้ำ มาเจออ้ายนักบวชทุเรศ ยัง

ยืนซดกาแฟเฉยอีก อุตส่าห์พูดในห้องแล้วว่า อ้ายที่เค้ายืนกิน ยืนดื่มน่ะ มีแต่เดรัจฉานเท่า

นั้น คือ วัวกับควายและสัตว์ มนุษย์นี่มันต้องนั่ง เอ๊ย หูมันหนวกน่ะ มันก็ยังยืนกินยืนดื่ม

อยู่นั่นแหละ
เอ้า จบ ให้พิธีกรเค้าทำอาชีพบ้าง