1 ก ค 2555    13.10 น. ธรรมะต้นเดือน โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

• วิถีหรือวินาทีแห่งความตายนั้น มันขึ้นอยู่กับสมัครใจหรือไม่สมัครใจ
• พลังจิต ก็คือ อำนาจ เค้าเรียกว่า จิตตานุภาพหรืออานุภาพของจิต
• ในขณะที่มีสติอยู่ในกาย ไม่ใช่แค่ในกายภายนอก เค้าเรียกว่า กายในกาย
• สำคัญที่สุด ก็คือ อย่าให้จิตเสีย หรือ ใจเสีย
• ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์อะไร อย่าทำให้ใจเสีย ต้องรักษาใจไว้ให้ดี
• คนสมัยโบราณที่เค้ายอมเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียอวัยวะเพื่อ

รักษาชีวิต แล้วยอมเสียชีวิต เพื่อรักษาธรรมะ แล้วธรรมะมันจะอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีจิต
• ผู้ที่มีกายอันไม่ตายทั้งภายในและภายนอก คือ ผู้ที่เข้าถึงอมฤตธรรม
• ในโลกนี้ไม่มีพลังอะไรที่มีอำนาจเหนือ พลังกรรม
• ในโลกนี้ไม่มีพลังอะไรที่จะมีอำนาจเหนือ พลังจิต
• ถ้าเมื่อใดที่หลวงปู่ไม่ด่า ไม่ว่า ไม่ตัก ไม่เตือน ไม่บอก มึงก็เตรียมตัวเถอะ

มึงจะล่มสลายในความดีไปตลอดชาติ
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน รวมทั้งท่านผู้รับชมรายการปุจฉา วิสัชนา

           คุณก้อง ฯ ผู้ดำเนินรายการ
วันนี้ เป็นวันแสดงธรรมประจำเดือนของสัปดาห์ต้นเดือน หยุดไปซะนาน หลายอาทิตย์ เออ

รู้สึกมันนาน น๊าน นาน ช่วงเวลาที่หยุดไป ก็เกิดเรื่องขึ้นเยอะแยะมากมาย เรื่องที่เกิดก็มีทั้ง

เรื่องของตนและเรื่องของคนอื่นๆ มันก็ทำให้เห็นสัจธรรมว่า แรงที่ยิ่งใหญ่ มีพลังมากมาย

หรือ เหนือแรงอำนาจ เหนือแรงใดๆ ทั้งหลาย มันมีอยู่ 2 แรง 2 พลัง
แรงแรก พลังแรก กำลังแรก ก็คือ แรงกรรม
กรรมนี่มันมีอำนาจ มีแรง มีพลัง กำลังเยอะแยะมากมาย สามารถครอบงำสรรพสัตว์ ใคร

ก็หลีกลี้หนีมันไม่ได้ หนีไม่พ้น แล้วกรรมนี่ก็อย่างที่บอก มีทั้งอดีตกรรม ปัจจุบันกรรม

แล้วก็อนาคตกรรม
กรรมทั้ง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไม่มีคนอื่นทำให้เรา เราเป็นผู้กระทำ งั้น ผู้คนก็จึงหนี

ไม่พ้นกฏแห่งกรรม หรืออำนาจกรรม หรือแรงกรรมที่ครอบงำ เรามีกรรมเป็นกำเนิด มี

กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นเครื่องอยู่ มีกรรมเป็นเครื่องอาศัย มีกรรมเป็นเครื่องนำมา

แล้วก็มีกรรมเป็นเครื่องพาไป
ส่วนแรงกำลังที่บอกว่า เป็นแรงกรรม อำนาจกรรม ก็ตัวอย่างเช่น อีอ้วน แม่ครัววัดอ้อน้อย

ไปประสบอุบัติเหตุ อยู่วัดอ้อน้อย ก็ตะกายไปเสียไกล วัดทุ่งรี ทุ่งอะไร นั่งรถมอเตอร์ไซด์

ซ้อนท้ายเค้า ทำเป็นจิ๊กกี๋ เป็นวัยรุ่นไปซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ หมวกกันน๊อกก็ไม่ใส่ คนเค้า

เล่าว่า รถมอเตอร์ไซด์จอดรอที่จะเลี้ยวกลับ อ้ายรถ Pickup มา มันไม่เห็นหรือยังไง

ก็ไม่รู้ มันเหมาไปทั้งคัน เค้าว่าอีอ้วนเป็นมนุษย์ค้างคาวบินลอยข้ามไปชนเกาะกลางฟุตบาท

ส่วนอ้ายคนข้างหน้า ก็ไม่เป็นอะไรมาก แค่แขนหัก
แล้วช่วงนั้น หลวงปู่ก็ป่วย ไม่สบาย นอนอยู่ รุ่งขึ้นเช้าก็มีคนมาบอก คนมาบอก ก็เย็นก็ไปดู

พยาบาลเค้าก็รายงานว่า สมองมีปัญหามาก เพราะว่าหัวลอยไปกระทบ คือ ตัวลอยเอา

ศีรษะกระทบกับฟุตบาท หัวไม่แตกหรือไงก็ไม่รู้ แต่ว่าเลือดมันออกทางจมูก ทางหู ก็เลย

ถามว่า x-ray ดูหรือยัง เค้า x-ray ดูแล้ว สมองมันเสียหายมาก สี่ส่วนถ้าแบ่งได้

ก็เสียหายไป 3 ส่วน
หลวงปู่ก็ไปดูมัน แล้วก็ไปยืนมองๆ หน้ามัน แล้วเอามือไปจับชีพจรที่ฝ่าตีนมัน ก็เลย นึก

ถึงบุญกรรมทำแต่งที่มันทำเอาไว้ ผลบุญที่เค้าได้สั่งสมเอาไว้ ไปช่วยน้ำท่วม ช่วย

สงเคราะห์พระเณร ช่วยทำครัวเลี้ยงพระเณร นั่นคือ ส่วนบุญ แต่ส่วนที่ตัวเองประสบ

อุบัติเหตุเภทภัย ก็เป็นส่วนของเวรกรรมที่ทำมาในอดีต ก็ตามมา เรียกว่า เป็นอุปฆาตกรรม

เลยมองดูประตูวิญญาณ ก็นึกในใจว่า ถ้ากูยังมีชีวิตอยู่ มึงจะตายในสภาพนี้ไม่ได้ อีอ้วน

เพราะประตูวิญญาณยังไม่เปิด
แต่หมอพยาบาลเค้าก็บอกว่า ดูจะยาก เค้าใช้คำว่า 50/50 เพราะมันไม่รู้สึกอะไร

สมองเสียหายมาก เราก็เลยบอกว่า หมอช่วยหาวิธีผ่าตัด ซ่อมบำรุงสมองที่เสีย เอาส่วนที่

เสียออก เอาเลือดที่คั่งอยู่ภายในสมองออก แล้วก็ไปเยี่ยมมันทุกวัน 2 วันติดต่อกัน เราปู่

ก็ป่วยไม่สบาย บอกกับอ้ายคนที่ขับรถไว้ว่า ถ้าพ้นคืนนี้แล้ว อีอ้วนไม่เป็นอะไร ก็อยู่ได้

แต่ถ้าพ้นคืนนี้แล้ว มันมีปัญหา ก็แสดงว่า อยู่ไม่ได้
ผลปรากฏก็พ้นมาได้โดยดุษฎี เลยบอกให้ลูกมัน เฮ้ย อ้ายหนู มึงไปเยี่ยมเฝ้าแม่มึง ก็

พูดกรอกหู อย่ามัวนอนอยู่ น้ำกำลังจะท่วม เออ อย่ามัวนอนอยู่ น้ำกำลังจะท่วม ลูกเค้า

รายงานว่า อีอ้วนได้ยินแล้วน้ำตาไหล กูก็บอกคน เอาล่ะ อีอ้วนไม่ตายแล้ว แสดงว่า มัน

อยากจะไปช่วยน้ำท่วม ก็ให้ผ่าตัดเอาของเสียที่อยู่ในสมองออก ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ผล

ปรากฏว่า ก็ไปผ่าตัดที่โรงพยาบาลนครปฐม ห้องอุบัติเหตุฉุกเฉิน ห้อง ICU สองวัน

อาการก็ยังทรงอยู่ ยังหายใจไม่ได้ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ อาการแทรกซ้อนอย่างอื่นก็ไม่มี
หลวงปู่ก็บอกว่า พัฒนาการทางสมองมันจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีการกระตุ้น งั้น ต้อง

พูดกรอกหูทุกครั้งบ่อยๆ หรือไม่ก็ หาเทป หาซีดีมาใส่หู เปิดให้ฟังวันละชั่วโมง 2 ชั่วโมง

แล้วแต่ เพื่อกระตุ้นให้สมองมันฟื้นและพัฒนาด้วย ก็เสียค่าใช้จ่ายไป ฝ่ายผู้ชนเค้าก็รับผิด

ชอบ เค้าก็แสดงความรับผิดชอบ หลวงปู่ไม่รู้รับผิดชอบยังไง บอกลูกมันว่า มึงไม่ต้องห่วง

รักษาแม่มึงให้เต็มที่ ค่าใช้จ่ายเดี๋ยวกูหาให้จัดการ ก็จ่ายไป 6 หมื่นกว่าบาท เค้าบอกว่ามี

บัตรทอง มีบัตร 30 บาท ก็บอก อย่าไปใช้ เพราะว่า อ้ายบัตร 30 บาท ก็ยา 30 บาท

งั้น ก็อย่าใช้บัตร 30 บาท ใช้กระบวนการรักษาให้เต็มที่ เพราะเราไม่รู้ว่า โรงพยาบาล

หรือว่า คุณหมอ นางพยาบาลเห็นว่า ค่ารักษามันเกินโควต้าจำนวนเงินหรือเปล่า ไม่แน่ใจ ก็

เอาเป็นว่ารักษาให้เต็มที่
ปัญหามันก็มีตามเข้ามาจนได้ว่า หลังจากจ่ายตังค์ไป 6 หมื่นกว่าบาท พยาบาลประจำ

ห้องก็มาบังคับให้ญาติเซ็นต์ บอกว่า เป็นกฏของโรงพยาบาลว่า ต้องเซ็นต์เบิก 30 บาท

อ้ายเราก็ เอ้ กฏโคตรพ่อโคตรแม่มึงที่ไหนมีอย่างนี้ด้วยวะ โรงพยาบาลไหนเค้าบังคับว่า

ต้องให้เซ็นต์เบิกเงินทั้งที่เราจ่ายเต็มไปแล้ว ต้องเซ็นต์เบิกทำไม
เออ ผลที่สุด ก็เอ ท่าจะไม่ดี ย้ายโรงพยาบาลเถอะวะ ถ้าขืนให้มันนอนอยู่ที่นี่ มันแกล้งตาย

เดี๋ยวมันแกล้งคนตาย เพราะเราไม่ยอมเซ็นต์ให้มัน ก็เซ็นต์นี่มันก็มีข้อ 2 อย่างที่

สันนิษฐานได้ 1. ก็คือ ฝ่ายประกันมันอาจจะมาเจรจากับห้องพยาบาลว่า ขอให้ใช้ 30

บาท แล้วจะได้จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลน้อยลง หรือไม่ก็ผู้ที่เสียหายมาเจรจาให้ใช้ 30

บาท จะได้จ่ายน้อยลง อะไรประมาณนี้หรือเปล่า 2. อาจคิดได้ว่า ผู้ที่มาบังคับให้ญาติผู้

ป่วยเซ็นต์ 30 บาท ก็จะได้เอาใบเซ็นต์นั้น ไปเบิกเงินเอาเองอีกต่างหาก ทั้งที่เราก็จ่าย

ไปทั้งหมดแล้ว แต่ให้เราเซ็นต์ ซึ่งก็ไม่รู้จะให้เซ็นต์ทำไม เพราะว่าจ่ายเงินไปหมดแล้ว จ่าย

เงินสด ทำไมต้องไปใช้สิทธิ์ 30 บาท แล้วบิลก็ไม่ยอมให้ มันก็เลยทำให้เห็นได้ว่า มันก็

เป็นกรรมอย่างหนึ่งเหมือนกัน เอาชีวิตมนุษย์มาเป็นเครื่องสร้างกรรม ฉ้อฉล มันมี
หลวงปู่สั่งเด็ดขาด ทุกวันต้องโทรฯบอกโทรฯถาม ใครเค้ามาให้เซ็นต์อะไร อย่าเซ็นต์เด็ด

ขาด ไม่ว่าจะฝ่ายเจ้าทุกข์ ฝ่ายจำเลย ฝ่ายโจทก์ ไม่มีการเซ็นต์ ไม่มีการเจรจา จนกว่าจะ

รักษาและเห็นว่า อาการคนไข้ทรงตัวแน่นอนรอดแล้ว ค่อยเจรจาถึงเรื่องค่าเสียหายหรือค่า

ชดเชย หรือว่ารูปคดีความ
ก็เลยโทรฯไปหาคุณหมอ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครธนมั๊ง ใช้หรือเปล่าวะ ที่ไปแสดง

ธรรม บอกให้ช่วยไปเอาคนป่วยย้ายมา เพราะไม่ไว้ใจหมอ ไม่ไว้ใจพยาบาล เพราะมันมี

ความคิดฉ้อฉล มีพฤติกรรมที่น่าสงสัย แล้วปัญหามันก็ตามมาว่า พอขอย้ายโรงพยาบาล

เค้าก็บอกว่า ย้ายไม่ได้ ต้องเซ็นต์ 30 บาท เอ้อ มันมีกฏโคตรพ่อโคตรแม่ข้อนี้ด้วยเหรอ
(มีผู้เรียนหลวงปู่ว่า บัตร 30 บาท โรงพยาบาลจะได้เงินจากรัฐฯ 1,800 บาท ต่อ

คนต่อปี)
ก็เราจ่ายไปแล้วตั้ง 6 หมื่น 8 หมื่น แล้วมันทำไมต้องมาให้เราเซ็นต์อีก เออ ไม่ใช่ว่า

เราไม่จ่ายสตางค์ จ่ายเงินสดๆ พระไปจ่าย ไม่ใช่เราไม่จ่าย มันก็บังคับให้เราเซ็นต์อีก ญาติ

เค้ามาเล่าให้ฟังไปแจ้งฝ่ายการเงิน ฝ่ายการเงินบอก ไม่มี กฏข้อนี้ไม่มี โรงพยาบาลไม่มีกฏ

อ้าว สุดท้าย กฏข้อนี้มาจากห้อง ไอซียู พยาบาลที่อยู่ห้องไอซียู เค้าก็พากันไปจวกกันเอง

อ้ายคนไหนที่ไปบอกกฏข้อนี้มี ต้องเซ็นต์ มันก็ไปด่ากันเอง ก็เลยต้องย้าย
หลวงปู่ไปจีน ไปเพราะว่าความจำเป็นต้องไป เพราะยาที่ใช้มันหมด คนไข้มา ไม่มียาให้ ก็

ต้องไปซื้อวัตถุดิบ ก็ให้เค้าโทรฯ ถามอาการทุกวัน ก็หลังจากไปแล้วก็เปลี่ยนหยูก เปลี่ยนยา

ดูแลรักษาอย่างดี คนไข้ก็เริ่มหายใจเองได้ เริ่มลืมตาได้ เริ่มทำกิริยาตอบสนองเจ็บ เอาเข็ม

ทิ่มก็สะดุ้ง ก็แสดงว่า พัฒนาการมันก็ดีขึ้น
เมื่อถามว่า ถ้าเป็นคนทั่งๆ ไป คนอื่นๆ ชาวบ้านธรรมดา ป่านนี้ได้จัดงานศพไปแล้ว ก็นี่ ก็

คือ กรรมอย่างหนึ่ง
มันมีทั้งกรรมไม่ดีกับกรรมดี
หลวงปู่ก็บอกให้ลูกหลานมันพยายามพูดกรอกหูไว้ ว่าหลวงปู่มาเยี่ยมนะ เป็นห่วง พระมา

เยี่ยม สวดมนต์นะ เจริญสติ เค้าก็รับรู้ได้ด้วยการกระพริบตาบ้าง น้ำตาไหลบ้าง อย่างนี้เป็น

ต้น
มันก็มีกำลังใจที่จะสู้
เรื่องความตายนี่ มันเป็นเรื่องของความมีกำลังใจ คนที่ไม่เคยผ่านชีวิตและวิถีความตาย

หรือวินาที นาทีแห่งความตาย จะไม่รู้ หลวงปู่นี่ผ่านมาบ่อยมาก ก็เลยทำให้รู้ว่า วิถีนาที

แห่งความตาย มันขึ้นอยู่กับสมัครใจหรือไม่สมัครใจ
แต่ถ้ายังไม่สมัครใจและเหตุปัจจัยมันพร้อม มันก็สามารถจะยืนหยัดอยู่ได้ เพราะในพระสุ

ตันตปิฎก ในพระอภิธรรมปิฎก ในพระชาดก ก็บ่งบอกไว้ในวิชาหนึ่งว่า มหาปธานอิทธิบาท

4 เรื่องฉันทะ ความพึงพอใจ วิริยะ ความเพียร จิตตะ เอาใจจดจ่อ วิมังสา ใช้ปัญญาใคร่

ครวญ
มันมีฉันทะความพึงพอใจว่า เราจะต้องดำรงค์อยู่ แล้วเหตุปัจจัยมันพร้อมมูล ร่างกายมัน

พร้อมมูล สิ่งแวดล้อมมันพร้อมมูล มันสามารถดำรงค์อยู่ได้  แต่ถ้าเรายังต้องกังวลอยู่ คือ

อยากอยู่ แต่เหตุปัจจัยมันไม่พร้อมมูล ร่างกายมันไม่พร้อมมูล อ้ายเหตุปัจจัยตัวนี้ มันรวม

ไปถึงกระบวนการของพลัง พลังบุญ พลังจิต แล้วก็พลังกรรม พลังบาป ด้วย ว่าเรามีพลัง

อะไรมากในเวลานั้น ถ้าเรามีพลังบุญ พลังจิตมาก มันก็สามารถเอาชนะพลังกรรมพลังบาป

ได้ในระดับที่สามารถยังเหตุปัจจัยให้พร้อมมูลที่จะดำรงค์อยู่
แต่ถ้ามีพลังบุญ พลังจิตอ่อนด้อยน้อยนิด แล้วพลังกรรม พลังบาปมันมีมาก อย่างนั้นมันก็

สามารถจะฆ่าผลาญล้างเผ่าพันธุ์ทั้งชีวิตเราได้ ทำร้ายทำลายเหตุปัจจัย คือ ไม่มีเหตุปัจจัยที่

จะดำรงค์อยู่ นี่คือ ที่มาของกำลังและพลังกรรม
รวมๆ สรุปแล้วก็คือ ฟังแล้วอาการก็ไม่มีอะไรที่แทรกซ้อน เท่าที่รับรายงาน ก็ยังดำรงค์อยู่

ได้ แล้วก็พัฒนาการทางสมองก็ต้องใช้เวลาหน่อย เรื่องอาการป่วยเสียหายทางสมองเนี่ย ขอ

เพียงคนไข้มีกำลังใจที่จะอยู่ แล้วก็มีอารมณ์ที่มั่นคง มีจิตวิญญาณที่แข็งแรง อีกทั้งมีบุญ

คุณงามความดีได้สั่งสม อบรมไว้ ยกบารมีธรรม เอาความดีนั้นๆ ขึ้นเป็นตัวตั้ง เป็นเครื่อง

ดำรงค์อยู่ คือ ไม่ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรม พูดง่ายๆ ถ้ามันจะเป็นกรรม ก็เป็น

กรรมที่เป็นกุศลกรรม ตั้งอยู่ในกุศลกรรม เราจะใช้กุศลกรรมในการต่อยอดต่อชีวิตสืบสาน

อายุขัย ถ้าอย่างนี้ ก็ยังดำรงค์อยู่ได้ นั่นหมายถึงว่าเหตุปัจจัยของคนๆ นั้น มีสติพอไม๊ มี

ปัญญา มีสมาธิพอไม๊ มีการสั่งสมอบรมมาดีไม๊ด้วย
ทั้งหมดนี่คือ อำนาจและพลังกรรม
อีกพลังหนึ่ง ก็คือ พลังจิต
พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้ มีอยู่แค่ 2 พลังนี้เท่านั้นแหละ
พลังจิต ก็คือ อำนาจ เค้าเรียกว่า จิตตานุภาพหรืออานุภาพของจิต ผู้มีอำนาจจิตอันแข็งแรง

แล้ว สมบูรณ์ดีแล้ว อันงดงามแล้ว อันเป็นผู้รู้ ตื่น เบิกบานแล้ว ย่อมกำหราบซึ่งมัจจุราช

เสียได้ ย่อมมีอำนาจเหนือมัจจุราชได้ ย่อมสยบให้ผลแห่งกรรมทั้งปวงศิโรราบได้ หรือว่า

คอยปรามลงได้ในระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้น ตัวอย่างเช่น พระโมคคัลลานะ หรือว่า

พระองคุลีมาร เป็นต้น ก็ยังหนีผลแห่งกรรมไม่ได้ แต่ด้วยอำนาจจิตของท่าน ก็สามารถจะ

ดำรงค์อยู่ได้ในระดับที่ไม่ให้กรรมมาเผาผลาญทำร้ายอยู่ทุกขณะเนืองๆ
ถ้ามันจะมีกรรม ก็มีกรรมช่วงขณะจิตหนึ่งๆ ในขณะจิตสุดท้าย แล้วกรรมนั้นมันก็ชดใช้จน

ให้หมดหมดไป แล้วก็ยังอัตภาพ ยังจิตอันบริสุทธิ์ให้ดำรงค์อยู่ เพื่อจะไปลาพระผู้มีพระ

ภาคเจ้าเข้าสู่พระนิพพาน อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ใช้อำนาจจิต ใช้จิตตานุภาพ
แล้วคนที่จะมีอำนาจ มีพลังจิตอย่างนี้ได้ ต้องฝึกปรือ ต้องสั่งสม ต้องอบรม ต้องศึกษา ต้อง

ฝึกหัด ปฏิบัติ จนช่ำชอง เชี่ยวชาญ ไม่หวั่นหวาด ไม่สะดุ้งผวาต่อมัจจุราช ไม่หวาดกลัว

ฟูมฟาย และเห็นภัยพิบัติทั้งหลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ไม่ใช่เห็นแค่ว่าภัยพิบัติน่ากลัว หวาดผวา ไม่ใช่ เพราะแม้ไม่มีเรา ก็มีภัยพิบัติอยู่แล้ว แม้

เราไม่มีชีวิตอยู่ มันก็มีภัยพิบัติอยู่เนืองๆ แม้นเราไม่ดำรงค์อยู่ตรงนี้ ไม่นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่มา

ที่นี่ ไม่ไปที่นั่น สุดท้าย ตรงๆ นั้น ก็มีคนตายเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่มี
ทุกที่มีแต่ความตาย ถ้าเข้าใจความหมายนี้แล้วไม่หวั่นหวาด ไม่สะดุ้งผวา
อย่างนี้ เค้าเรียกว่า เป็นผู้มีอำนาจจิต มันก็จะมีพลัง ตบะ ที่จะเพิกถอนซึ่งการครอบงำของ

มัจจุราชได้ มัจจุราชก็จะทำร้ายทำลาย ทำอันตรายไม่ได้ อน่างนี้เป็นต้น
เล่าประสบการณ์ให้ฟัง เมื่อสมัยไปธุดงค์อยู่เขตติดต่อกับลาว ใกล้ๆ เขมร เค้าเรียกว่า น้ำ

ตกหลี่ผี ตอนนั้นหลวงปู่โดนงูจงอางกัด กัดที่ขา คงไม่ต้องบอกว่า ถ้าโดนงูจงอางกัด แล้วถ้า

ไม่รักษาให้ทันเวลา dead ไม๊
เออ dead ตาย เออ เดทสะมอเร่ ก็นั่งเฝ้าดูมัน วันนั้นเฝ้าดูอย่างมีสติ ชีพจรก็จะเต้นช้าลง

การสูบฉีดเลือดก็จะน้อยลง คือ จะเบาลง เลือดที่จะหมุนเวียนเอาของมีพิษเข้าสู่หัวใจก็จะ

ควบคุมได้ในระดับที่ไม่ให้วิ่งเร็วเกินไป แล้วก็สามารถไปสกัด ที่จริง พวกมึงทำได้

สามารถสกัดเม็ดเลือด หรือว่าเซลล์เม็ดเลือดในส่วนที่มันเป็นปฏิปักษ์กับชีวิตให้มันดำรงค์

คงอยู่กับที่ คือ มันจะเป็นเหมือนตัวกรอง มันจะกรองเม็ดเลือดดีเม็ดเลือดเสีย ส่วนเม็ดเลือด

เสียให้เกาะกลุ่มไว้ เม็ดเลือดดีให้กระจายไปหล่อเลี้ยงชีวิต
ในขณะที่มีสติอยู่ในกาย ไม่ใช่แค่ในกายภายนอก เค้าเรียกว่า กายในกาย จิตในจิต แล้วก็

ธรรมในธรรม ต้องมีสติอยู่ในระดับขั้นนี้ มีสติอยู่ในกายในกาย มีสติอยู่ในจิตในจิต คือ จิต

ซ้อนจิต ธรรมซ้อนธรรม จึงจะสามารถสกัดเม็ดเลือดได้ สกัดของที่ไม่ดีที่จะเข้าไปสู่ร่างกาย

ให้อยู่ในที่ใดที่หนึ่งได้ มันทำได้
พระพุทธเจ้าจึงสอนพวกเราไงว่า ผู้มีสติในกาย กายไม่ลำบาก ผู้มีสติในวาจา วาจาไม่ลำบาก

ผู้มีสติในใจ ใจนี้ก็ไม่ลำบากเลย
งั้น เรื่องการมีสติที่เรียกว่า เป็นมหาสติอย่างยิ่ง มันสามารถที่จะทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เค้า

เรียกว่า ผู้มีสติอยู่ในกาย มันสามารถควบคุม control มหาภูตรูป 4 ได้ คือ ธาตุดิน

ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ อะไรมันจะมาก อะไรมันจะน้อย อะไรมันจะอ่อน อะไรมันจะ

แข็ง สามารถควบคุมทำให้มันเหมาะสมพอดีสมบูรณ์ ถ้าจำเป็นจะต้องทำ จำเป็นจะต้องใช้

มันทำได้ เหล่านี้เรียกว่า พลังจิต เป็นอานุภาพ เรียกว่า เป็นจิตตานุภาพ
โดนงูกัด ก็ทำให้อารมณ์ตัวเองสงบ ไม่สะดุ้ง ไม่สะทกสะท้าน ไม่วิตกกังวล ไม่หวาดกลัว

ไม่ผวา แล้วก็เดินไปหาสมุนไพร เดินไปหายา แล้วก็เดินลงไปแช่น้ำ ให้ปลิงเข็มมาเกาะที่

เท้า เอาเชือกผูกไว้ตั้งแต่ตอนโดนงูกัด ก็ไปหายาหาสมุนไพร ให้ปลิงเข็มมันดูดเอาเลือด

ส่วนเสียออก ปลิงเข็มมันเยอะมาก มันก็ช่วยผ่อนเลือดเสียออกไปจนหมด
ถามว่า ปลิงเข็มมันตายไม๊ 
ไม่ตาย ธรรมชาติของปลิงเข็มกินเลือดเสีย พิษงูมันจะมีผลเสียต่อสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง

สัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง พิษงูทำอะไรมันไม่ได้ ปลิงมันมีกระดูกสันหลังไม๊ล่ะ (ไม่มี)
เออ มันไม่มีกระดูกสันหลัง เออ มันก็สามารถขับออกมาทางเหงื่อทางเมือกมันได้
งั้น ในโบราณ วิชาฮวงจุ้ย ธาตุโบราณคนจีน เค้าจึงมี งู มีกิ้งกือ มีคางคก มีอะไรอีกล่ะ งู

กิ้งกือ คางคก จิ้งจก แล้วก็อะไรอีกอย่าง 5 อย่าง เป็นตัวแทนของเบญจพิษ เออ แมงป่อง

มันมีพิษที่ต้านกันได้ มีพิษที่สู้กันได้ งั้นก็ เวลาผ่านไปซักประมาณร่วมๆ 2 ชั่วโมง ก็

สามารถเป็นปกติ ดำรงค์อยู่ได้
สำคัญที่สุด ก็คือ อย่าให้จิตเสีย อย่าให้ใจเสีย
ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์อะไร เกิดเหตุปัจจัยอะไร อย่าทำให้ใจเสีย ต้องรักษาใจไว้ให้ดี
พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า ผู้รักษาใจ เป็นสุดยอดของการรักษา
สิ่งที่รักษาดีแล้ว เช่น รักษาทรัพย์ รักษาอวัยวะ รักษาชีวิต ก็ยังไม่ชื่อว่า รักษาธรรม รักษาจิต

ผู้รักษาธรรม ก็คือ รักษาจิต รักษาจิต ก็คือ รักษาธรรม
คนสมัยโบราณนี่ เค้ายอมเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ เสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต แล้ว

ยอมเสียชีวิต เพื่อรักษาธรรมะ แล้วธรรมะมันจะอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีจิต
งั้น รักษาธรรมะ ก็คือ รักษาจิต รักษาจิตไว้ดีแล้ว ย่อมถือว่า เป็นสุดยอดของการรักษา
งั้น ลูกหลานจงจำไว้เถอะว่า ไม่ว่าจะประสบพบพาเจอะเจอต่อสถานการณ์ เหตุปัจจัยอะไร

ที่มันบีบคั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องรักษาจิต พอรักษาจิตไว้ได้อย่างดี ก็ถือว่า เราก็จะเป็นผู้

เป็นอมตะ เป็นผู้ที่ไม่ตาย เข้าถึงธรรมอันแห่งอมตะธรรม หรือ อมฤตธรรม ธรรมที่ไม่ตาย

ธรรมที่ไม่รู้จักตาย
ไม่ตายในที่นี้ คือ ไม่ตายทั้งภายใน กับไม่ตายทั้งภายนอกด้วย
ไม่ตายภายใน ก็คือ เราไม่ต้องเสียสมดุลย์ ไม่ต้องเสียพื้นที่ หรือเรียกว่า ไม่เพลี้ยงพล้ำให้

รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามาครอบงำ อย่างนี้ เรียกว่า เป็นผู้ไม่ตายภายใน
อ้ายคนที่มีชีวิตอยู่ แต่ว่าตกเป็นทาสของ ราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน อย่างนี้

เค้าเรียกว่า คนตายแล้ว ในวิถีแห่งพุทธ ท่านเรียกว่า ผู้ที่ตายแล้ว เพราะมันไม่มีอะไรดีแล้ว

มันเสียไปหมดแล้ว ราคะคิ โทสะคิ โมหะคิ โลภะคิ มันครอบงำจนไม่เหลือเนื้อดีให้เห็นแล้ว

เรียกว่า ผู้ตายไปแล้ว แม้ยืนอยู่ เดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ พูดอยู่ คุยอยู่ ทำอยู่ ปฏิบัติภาระกิจ

อยู่ มันก็ปฏิบัติโดยซาก ซากของคนตาย ของสัตว์ตาย
งั้น ธรรมแห่งความไม่ตาย ในที่นี้ หลายคนอาจจะนึกว่า เออ เราต้องมีชีวิต ไม่ตาย ไม่ใช่

ไม่ใช่
ไม่ตาย ไม่ตายภายใน คือ ไม่ตายด้วยอำนาจของอกุศลกรรมที่ครอบงำไม่ได้
คนที่อกุศลกรรมครอบงำได้ คือ ผู้ที่ตายไปแล้ว ผู้ที่ตายไปแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไม่มี

ส่วนดีให้ยึดถือได้แล้ว หรือภาคภูมิแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
ส่วนไม่ตายภายนอก ก็ว่ากันเรื่องกาย เรื่องการมีชีวิต หูไม่ตาย ตาไม่ตาย จมูกไม่ตาย ลิ้น

ไม่ตาย ประสาทรูป คือ ประสาทสัมผัสรูปไม่ตาย ประสาทรส คือ ประสาทสัมผัสรสไม่ตาย

คือ ระบบประสาทสัมผัสใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา คือ ไม่ตกเป็น

ทาส ไม่อยู่ในอำนาจการครอบงำของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส รู้ได้ เห็นได้ แต่ไม่อยู่ใน

อำนาจ สัมผัสได้ กินได้ ดื่มได้ แต่ไม่ตกเป็นทาส อย่างนี้ เค้าเรียกว่า เป็นผู้ที่มีกายนอกอัน

ไม่ตาย
แม้ที่สุด งูกัด งูกัดนี่ถือว่า เป็นประสาทสัมผัสไม๊ ลูก
เป็นประสาทสัมผัส เมื่อเป็นประสาทสัมผัส เรามีจิตอันสำรวมไว้ดีแล้ว มีสติอันเป็นไปใน

กายอย่างยิ่งแล้ว เราก็สามารถจะควบคุมประสานรูป คือ ประสาทสัมผัสที่อยู่กับรูปเราได้

อย่างนี้เป็นต้น เราก็จะควบคุมให้มันเหมาะสม ควบคุมให้มันสมดุลย์ ไม่เสียหาย
งั้น ผู้ที่มีกายอันไม่ตายทั้งภายในและภายนอก คือ ผู้ที่เข้าถึงอมฤตธรรม คือ ธรรมอันไม่

ตาย
ทั้งหมดเนี่ย มันจึงมีอำนาจต่อรองกับกรรมได้ แม้ที่สุดก็ยังไม่เหนือกรรมนะ ลูก ยังไม่

เหนือกรรม เพราะแม้แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังต้องอะไร ต้องใช้กรรม ตัวอย่างเช่น พระ

เทวทัต เห็นไม๊ พระเทวทัตจ้องทำร้าย ก็เพราะว่า พระองค์มีกรรมต่อพระเทวทัต พระ

พุทธองค์มีกรรมต่อพระเทวทัต พระเทวทัตจองล้างจองผลาญพระองค์เท่ากับจำนวนเม็ด

ทรายในมือ แล้วชาตินี้ มันเป็นเม็ดสุดท้ายของทรายในมือพระเทวทัตพอดี พอพระพุทธเจ้า

เป็นพระพุทธเจ้าเสียแล้ว พระเทวทัตมีทรายเม็ดสุดท้ายเหลืออยู่ ก็จองล้างต่อไป แม้

กระทั่งมาบวชแล้ว ก็ยังไม่วายจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้า
งั้น เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ยังหนีกรรมไม่ได้ หนีกรรมไม่พ้น ใครก็หนีกรรมไม่พ้น เออ

พวกมึงพ้นไม๊ (ไม่พ้น)
เออ กูก็หนีกรรมไม่พ้น อ้ายที่ป่วยอยู่ทุกวันนี้ ก็หนีกรรมไม่พ้น เมื่อก่อนนี้ เอาพม่าฝังดิน

เอาไว้เป็นเยอะมาก มันก็เลยหนีกรรมไม่พ้น เลยต้องตะกายหาอากาศหายใจอยู่ข้างบน

เรื่อยๆ เออ ไม่งั้น มันก็ เออ เมื่อก่อนนี้ กูฝังมันทั้งเป็นเอาไว้เยอะมาก ก็หนีกรรมไม่พ้น
ก็เล่าให้ลูกหลานฟังว่า มันมีเหตุหลายอย่างในขณะที่ป่วย แล้วทำให้เห็นเหตุปัจจัยของกรรม

มันมีพลังเยอะมาก มีพลังที่ยิ่งใหญ่มาก มีอำนาจ
ในโลกนี้ไม่มีพลังอะไรที่มีอำนาจเหนือ พลังกรรม
ในโลกนี้ไม่มีพลังอะไรที่จะมีอำนาจเหนือ พลังจิต
ทั้งพลังกรรม และพลังจิต มันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่อยู่ในโลกใบนี้ แม้โลกอื่นๆ ด้วย
งั้น เราจะอยู่กับมันอย่างไร
ก็อยู่กับมัน อย่างเป็นผู้ที่รู้จักใช้กรรมให้มันเหมาะสม ทำกรรมให้มันดีเข้าไว้
เหมือนๆ กับอ้ายคนที่ไม่เข้าใจ วันนั้นต้องโทรฯไปอาละวาด ป่วยๆ อยู่เนี่ย ฤทธิ์กูก็ยังดีอยู่

นะ กูก็ยังอาละวาดได้ ลูกศิษย์เค้ามาเยี่ยม คนที่เคยอุปฐาก เค้าบวชเป็นพระ แล้วเป็นพระ

อุปฐาก แล้วเค้าก็จบแล้ว จะรับปริญญาแล้ว เค้าบอกเค้าอยากได้มาก ชีวิตเค้ามีอยากได้อยู่

2 สิ่ง คือ อยากมาอยู่ใกล้ครู 1. อยากได้อวโลฯ หรือ ไม่ก็ เบญจะ แล้วเค้าก็ไปบอก

ให้แม่เค้าพ่อเค้า เมื่อสอบเสร็จแล้วขอของขวัญ ได้ปริญญาแล้ว ขอของขวัญ แม่กับพ่อ

ถามว่า เอาอะไร อยากได้อวโลฯ พ่อแม่เค้าบอกว่า โอ้โห มันแพงนะ ลูก เอาเบญจะก็แล้ว

กัน
ก็ตะกายไปนู่นแน่ะ ไปซื้อกันยันค่ายนเรศวร เออ เสร็จแล้วก็เอามาอวดคนนู้น อวดคนนี้
ถามว่า ซื้อมาเท่าไหร่
80,000
 เอาล่ะ ถ้าของดี ก็ไม่แพง  80,00 มีปัญญาซื้อ ก็ซื้อ
แต่ของมันก็ดี แต่สภาพมันไม่ค่อยดี
ถามว่า มันดียังไง ก็คนใช้เค้าเคยโดดร่มลงมา แล้วร่มมันไม่กาง ร่มมันไม่กางเพราะตัวมัน

ใหญ่ไง  ตัวมันใหญ่ กางไม่ทัน มันมากางเอาใกล้ๆ จะถึงพื้น เออ มันก็ไม่เป็นไร แค่ขา

แพลงไปเฉยๆ ปกติเป็นคนอื่นถ้าใกล้ๆ ถึงพื้น มันรับน้ำหนักไม่ไหว อย่างน้อยก็ต้องคอย่น

หรือไม่ก็ขาหัก อะไรอย่างนี้ แต่เค้ากระโดดลงมา แล้วร่มมันไม่กาง ถามว่าทำไมไม่กาง ก็

ไม่รู้ แต่มันมากางเอาใกล้ๆ ถึงพื้น มันก็แค่ขาแพลง
แล้วมันก็ใช้จนดำ เค้าก็ซื้อขายกันแหละ หลวงปู่ก็ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ แต่เห็นอ้ายหมูเค้าว่า

อย่างนี้ซื้อ ผมซื้อได้อย่างดีก็แค่ 2 หมื่น 3 หมื่น อ้ายนี่มันไปซื้อเท่าไหร่
80,000
เราก็เลยบอก มึงไปซื้อกับใคร
ไปซื้อกับพี่ พี่กุด
เออ มึงซื้อเพราะอะไร
ก็ผมเห็นพี่เค้า เป็นคนอยู่ใกล้หลวงปู่มานาน รับใช้หลวงปู่ อีกทั้งก็เป็นลูกศิษย์สำนักเดียวกัน

ผมก็เรียกเค้า พี่ รู้สึกศรัทธา รู้สึกเชื่อถือ ก็เลยซื้อ ทั้งที่คนอื่นเค้าก็มี แถมมีการสวดคนอื่นอีก

นี่ คนอื่นขายแพงกว่านี้นะ นี่ขายถูกกว่า ที่สุดแล้ว
อ้ายเรื่องซื้อขาย ก็ว่ากันไปตามเหตุตามปัจจัย
แต่พอเค้ามาพูด มาบ่นให้ฟัง คนอื่นเค้าว่า นี่มึงซื้อมา มึงโง่หรือเปล่าเนี่ย นี่มันราคาแค่ 2

หมื่น 3 หมื่น มึงไปซื้อมาได้ยังไง 8 หมื่น
อ้ายคนซื้อก็เอามาให้หลวงปู่ดู แล้วก็มาบอก ผมรู้สึกเสียความรู้สึก เออ เสียเงินแล้วก็เสีย

ความรู้สึก
ก็เลยถาม ที่มึงเสียความรู้สึก เสียความรู้สึกเพราะว่า อ้ายคนขายให้มึง มึงเรียกเค้า พี่
เราก็เลย มึงโทรศัพท์หามันซิ
มึงขายพระไปให้น้องไปเหรอ
ครับ
เท่าไหร่
80,000
มึงเขียนคำว่า “คุณธรรม” เป็นไม๊
หลวงปู่ก็เลยถาม อ้ายความรัก ความศรัทธา ความเคารพนี่ มันซื้อขายกันได้ด้วยตังค์เหรอ

มึงกล้าเอาความรัก ความศรัทธา ความเคารพ ความยอมรับ มาขายเพื่อแค่เงิน เศษเงิน

80,000 มึงกินไปทั้งชีวิตเหรอ
เล่าเรื่องนี้ให้ลูกหลานฟัง ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า ครอบครัวธรรมะอิสระต้องสำนึกให้ได้ หลวงปู่ว่า

นี่กูแค่ป่วยนะ กูยังไม่ตาย มึงก็กล้าจะเอากูไปขาย แล้วก็เอาวิญญาณมึงขายแลกกับเศษเงิน

แล้วถ้ากูตาย มึงไม่ปล้นกันเลยหรือนี่ เลยเล่นซะ กัณฑ์ใหญ่
ถ้าเป็นคนอื่น เค้าก็ไม่อยากยุ่ง แต่หลวงปู่ไม่ได้
กูจะไม่ยอมเห็นลูกหลานกูทำชั่ว
ถามว่า มันชั่วไม๊
สำหรับคนอื่น อาจจะคิดว่า ไม่ชั่ว แต่สำหรับหลวงปู่แล้ว มันชั่ว
ชั่ว เพราะมันเอาความเคารพ ความรัก ความศรัทธา ความไว้วางใจ มาตีค่าเป็นราคาเงิน
รู้ว่า น้องมันอยากได้ เราเป็นพี่เค้า ควรสงเคราะห์ สนับสนุน ควรแนะนำในส่วนที่ดีๆ ให้มัน

เหมาะสมกับเหตุปัจจัยและการ เงิน 80,000 มันน่าจะซื้อได้ พระ แต่สภาพมันต้องดี

กว่านี้ ไม่ใช่สภาพชนิดที่ดำสนิท มองไม่เห็นอะไรเลยอย่างนี้ อ้ายคนใช้ มันก็ใช้คุ้ม เออ คือ

มันไม่เลี่ยม มันใส่ทั้งเหรียญไง ก็คิดดู ตั้งแต่กูสร้างมาตอนอยู่ถ้ำจนถึงปีนี้ มันใส่มาตั้งแต่

ตอนนั้น มันสึกขนาดไหน มันแย่ขนาดไหน แล้วมันก็มาขายน้องได้ 8 หมื่น
เราก็จัดการเทศน์เสียยาว แล้วก็เล่าให้ลูกหลานฟังว่า อ้ายศักดิ์ศรีมนุษย์เนี่ย ไม่ใช่คนอื่น

สร้างให้เรานะ ศักดิ์ศรี ความรัก ความศรัทธา เหมือนกับมีอีผู้หญิงหน้าด้าน มาแก้ผ้า เอา

นมเขียนภาพ นั่นมันไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เห็นเศษเงินเล็กน้อย เอาตัวเข้าแลก

ขายศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
แล้วก็ คนโบราณเค้าบอกว่า เสียเงินเพื่อรักษาอวัยวะ เสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต เสียชีวิต

เพื่อรักษาธรรมะ อ้ายนี่ มันยอมเสียธรรมะโชว์อวัยวะเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน มันไม่ละอาย

ขาดคุณธรรมในหัวใจ
คนเราพอมันไม่มีความละอาย มันก็ทำได้ทุกเรื่อง มันทำได้ทุกเรื่อง ชั่วเล็กๆ ยันชั่วใหญ่ๆ

มันทำได้หมด เพราะฉะนั้น ลูกหลานต้องอย่ามองเพียงแค่ว่า ให้มันผ่านๆ แต่มองให้มัน

เป็นครูสอนเรา แล้วก็สอนลูกหลาน ชี้ให้เห็นว่า ชีวิตที่ไม่มีศักดิ์ศรี มันอยู่ไม่ต่างอะไรกับ

ไส้เดือน กิ้งกือ มันมีชีวิตไม่ต่างกับสัตว์สปีชี่ชั้นต่ำๆ หรือสัตว์ชั้นต่ำที่ไม่มีหน้าจะไปมองโลก

เพราะไม่มีคุณค่า จะอ้างว่า เห็นแก่เงินเล็กๆ น้อยๆ หรือเศษเงิน มันมีวิธีตั้งเยอะที่จะได้มา

ซึ่งเงิน ทำไมต้องมาหลอกลวงกัน ต้องเอาเปรียบกัน ต้องเอาความรัก ความศรัทธา ความ

ยอมรับไปขายเพื่อให้ได้มาซึ่งเงิน
ชั่วชีวิตหลวงปู่จะบอกกับลูกหลานเสมอ เมื่อวันนั้น มันมาประชุมกัน สวดมนต์ให้พร ก็ยัง

บอกเค้าว่า ชั่วชีวิตกู ถ้าอยู่แล้วไม่ภาคภูมิ กูจะไม่อยู่ ถ้าอยู่อย่างไม่ภาคภูมิ กูจะไม่ยอมอยู่

กูยืนก็ต้องภาคภูมิ นั่งก็ต้องภาคภูมิ นอนก็ต้องภาคภูมิ ดำรงค์ชีวิตแล้วหายใจ ต้องอย่าง

ภาคภูมิ ถ้าอยู่แบบพ่ายแพ้ ไม่ภาคภูมิ มีความรู้สึกเหมือนกับตนเป็นคนที่ไม่มีคุณค่าใน

การดำรงค์ชีวิตกับโลกใบนี้แล้ว กูจะไม่ยอมอยู่ ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม มันไม่มีอะไรเป็น

ประโยชน์
งั้น ต้องอยู่ให้ได้อย่างภาคภูมิ
เพราะงั้น ลูกหลานพุทธะอิสระต้องอยู่อย่างภาคภูมิ อย่าอยู่อย่างสิ้นหวัง อย่าอยู่แบบหมด

อาลัยตายอยาก หมดกำลังใจ หมดสภาพ หมดคุณธรรม ขาดทุน
อ้ายทั้งหมดน่ะ ขาดเงิน ขาดทอง ขาดทรัพย์ มันไม่สู้ขาดปัญญา และขาดความหวัง
งั้น อย่าอยู่อย่างขาดปัญญา และขาดความหวัง อยู่อย่างผู้ที่มีความหวังที่จะทำอ้ายนู่น ทำ

อ้ายนี่ ทำอ้ายนั่น ให้สิ่งนั้น ให้สิ่งนี้ ให้สิ่งนู้นได้ เป็นประโยชน์ต่อโลกและสังคมและสิ่งแวด

ล้อม นั่น สมควรอยู่ แม้นใกล้ตายก็ต้องให้อยู่ เหมือนอย่างอีอ้วน กูไปบอกมันว่า เฮ้ย น้ำ

จะท่วมอีกแล้วนะ มึงตายไม่ได้ เออ มันมีความหวังที่จะอยู่
อย่างนี้ เค้าเรียกว่า อยู่อย่างภาคภูมิ อยู่เพื่อจะภาคภูมิ แล้วก็มีความภาคภูมิที่จะอยู่ เพราะ

เรารู้ตัวว่า อยู่แล้วมันเป็นประโยชน์
อ้ายอยู่แล้ว มันไม่เป็นประโยชน์ มันภาคภูมิไม๊
ไม่มีอะไรภาคภูมิ ไม่ภูมิใจที่จะอยู่
งั้น จำไว้ แล้วทั้งหมดนี่ มันมาจากคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าในบทสุดท้ายของ

พระองค์ว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม

ด้วยความไม่ประมาท เพราะเราประโยชน์ตนประโยชน์ท่านถึงพร้อม เราจึงภาคภูมิ
อ้ายประโยชน์ตนก็ไม่ได้ ประโยชน์ท่านก็ไม่มี แล้วมันจะภาคภูมิในการดำรงค์ชีวิตได้

อย่างไร จะภูมิใจในการหายใจเข้าและออกได้อย่างไร
งั้น ลูกหลานต้องจำไว้ แล้วอย่าทำลายความภาคภูมิของตัวเองเพียงแค่เศษเงินเล็กน้อย มัน

กินไม่ได้ไม่กี่ชั่วโมงหรอก เงินที่ได้มา มันจะใช้ได้ทั้งชีวิตที่ไหน แล้วสุดท้าย  มันทำลายสิ้น

มันทำลายกำลังใจ ความหวัง ความรัก ความศรัทธา ความเคารพ ความยอมรับ
คนเรานี่ กว่าจะยอมรับกันได้ มันต้องใช้เวลานะ ลูก ไม่ใช่ยอมรับแบบชนิดมึงแก้ผ้าให้กูดู

หรือว่า กูแก้ผ้าให้มึงดู อ้ายอย่างนั้นไม่ต้องใช้เวลา ถ้าตัดสินใจแก้ ก็ได้เลย แต่อ้ายยอมรับ

แบบชนิดที่เรียกว่า ไม่มีอะไรให้แก่กันและกัน แต่ยอมรับกันด้วยการมีความเคารพ มี

ความศรัทธา มีความเชิ่อถือเนี่ย ใช้เวลาไม๊
ใช้
แล้วไม่ใช่แค่ชาติเดียวนะ
มันต้องสั่งสม อบรมมาหลายชาติมากกว่าจะได้คำว่า พี่กุด
อ้าว จริงๆ มันต้องสั่งสมอ บรมมาหลายชาติมาก จนถึงคำว่า หลวงปู่ หลวงพ่อ หรือพระคุณ

เจ้า ไม่ใช่ว่าอยู่ชาติเดียว แล้วอยู่ดีๆ มาได้นะ ไม่ใช่อยู่ชาติเดียวแล้วอยู่ดีๆ เอาเงินมาวาง

แล้วก็บอกว่าได้ ไม่ใช่ แล้วเรามาทำลายความภาคภูมินี้ด้วยการแลกกับเศษโลหะ เศษ

เหรียญ เศษแบงค์ แล้วก็เงินทองที่เค้าเอามาบำรุงบำเรอ มันถูกต้องที่ไหน มันน่าสงสารนะ
งั้น หลวงปู่จึงบอกว่า อ้ายพวกคนที่ยอมเอาศรัทธาของชาวบ้าน แล้วมาขายกินเนี่ย พวกนี้

วันข้างหน้าให้มันทำดีแทบตาย ก็จะไม่ได้การยอมรับ ให้ทำดีจนกระทั่งตัวเองตายไปต่อหน้า

คนก็จะเหยียดหยามดูถูก
นี่ เรื่องจริง
งั้น คนทำดี แล้วได้ดี ก็เพราะไม่เหยียดหยามดีของตัวเองที่มีดี
อ้ายคนทำดี แล้วไม่ได้ดี เพราะเหยียดหยามดีที่ตัวเองไม่มีดี มันก็เลยไม่ใช่คนดี
งั้น อย่าทำลายดีของตน
ทุกคนมีดีหมดแหละ จะดีเล็ก ดีใหญ่ ดีโต ดียาว ดียั่งยืน ดีแพร๊บๆ ดีผลุบโผล่ ก็ขอให้มันดี
แล้วดีถี่ๆ ไม่ใช่นานๆ ดีที ถ้านานๆ ดีที เดี๋ยวมันจะกลายเป็น ดีทีที เออ ฉีดยุง เดี๋ยวมันก็

เป็นดีทีทีเอาไว้ฉีด ไว้ขับไล่ตัวเองและคนรอบข้าง
งั้น ต้องดีถี่ๆ ดีเรื่อยๆ อย่ากลัวดี ลูก ทำไปเถอะ ตายก็ต้องทำดี
หลวงปู่เนี่ย ชอบเห็นคนทำดี แล้วลูกหลานเป็นคนดีก็มีความสุข แต่ถ้าเห็นลูกหลานทำชั่วล่ะก็

มันอยู่ที่ไหน ถ้ากูด่าได้ กูด่า กูโทรฯด่าไม่ได้ กูก็เข้าฝันด่า เอ้า จริ๊ง ถ้าวันนั้น กูกะว่า กู

โทรฯไม่ติดนะ คืนนั้น กูจะไปยืนด่ามัน เออ เพราะมันทำลายดีของตัวเอง สอนมาตั้งกี่ปี มา

เห็นแก่เศษเงินนิดหน่อยแล้วทำลายดีของตัวเอง แล้วก็ทำให้เสียอะไร เสียมิตรแท้ เสีย

ความยอมรับ เสียคุณลักษณะของมนุษย์ เหลือไว้แต่ลักษณะของเดรัจฉาน
ไม่ถูกต้อง ลูกหลานอย่าทำ
ขายได้ ซื้อได้ ไม่ว่า แต่ให้ซื่อตรง อย่าหลอกลวง อย่าเอาเปรียบ กูจะพูดเสมอ กับพระกับ

เจ้า กับคนทั้งหลายว่า ถ้าวันนี้ เอาเปรียบเค้า วันข้างหน้า เราจะโดนเค้าเอาเปรียบเราเป็น

10 เท่า งั้น ค้าขายใครอย่าเอาเปรียบใคร เราบอกกำไรก็คือ กำไร แต่ไม่ต้องเอาเปรียบ
กำไรกับเอาเปรียบ นี่มันคนละอย่างนะ ลูก เอากำไรกับเอาเปรียบนี่มันคนละเรื่องนะ
เอาเปรียบ นี่มันต้องมีเล่ห์เพทุบาย ฉ้อฉล มีอุบายอันเลวร้ายที่จะมาหาวิธีการ แต่อ้ายกำไร

ก็บอกเค้าไป ผมซื้อแค่นี้ แล้วผมขายแค่นี้ เนี่ย ส่วนที่เหลือ เป็นส่วนต่างกำไรผม ไม่ต้องไป

เสแสร้ง แกล้งโวยอะไรเยอะแยะ เมาส์มั่วมากมาย เพื่อจะให้ของตัวเองราคามากขึ้น อย่างนี้

เค้าเรียก เอาเปรียบ
พูดอย่างนี้ เข้าใจไม๊
งั้น เอากำไร กับ เอาเปรียบ มันคนละเรื่อง
เอากำไร ไม่ใช่เป็นการเอาเปรียบ แต่เป็นอาชีพที่เราประกอบแล้ว เราควรจะได้กำไร ใน

ความเข้าใจในสามัญสำนึกของผู้ขาย แต่การเอาเปรียบนี่ มันเกินกำไร ซึ่งของชิ้นนี้มันควร

จะได้กำไรซัก 5 บาท ถ้าเราคิดจะเอาเปรียบ อู้หู ผมมาไกลนะพี่ กว่าจะได้มานี่ ผมเลือด

ตาแทบกระเด็น ต้องฝ่าฟันดงปืน ดงห่ากระสุน หรือสารพัดอย่าง แล้วต้องไปแย่งเค้ามา

ต้องเข้าแถวนาน หรือไม่ก็ของผมดีกว่า ว่ามันไป
นี่ไม่ใช่เอาเปรียบอย่างเดียว โกหก  ตอแหล หลอกลวง ปลิ้นปล้อน ตลบแตลง พร้อมเสร็จ
อย่างนี้ ไม่เรียกว่า เอาเปรียบ แล้วเรียกว่าอะไร
งั้น ของเอาเปรียบ ก็คือของเอาเปรียบ ไม่ใช่ของเอากำไร
งั้น ก็ให้เข้าใจว่า รักษาคุณธรรมให้ได้มากกว่าชีวิต เป็นสุดยอดของการรักษา
ถ้าได้ชื่อว่า ลูกหลานชาวพุทธะอิสระ อย่าทำลายคุณธรรมของตัวเอง โดยความเป็นคนดีที่มี

อยู่ในตน อย่าทำให้ครูบาอาจารย์เสียหน้า เสียหาย ที่จริงกูไม่ได้เสียหน้า เสียหายอะไร แต่

อ้ายคนเสีย คือ ใครทำ คือ คนทำนั่นแหละ ตัวเองนั่นแหละ เป็นคนเสียหาย
แต่ที่ต้องด่า ต้องว่า ก็เพราะว่าอะไร ยังเห็นว่าเป็นลูก เป็นหลาน ยังเห็นว่า มันเป็นคนของเรา

ควรจะต้องเตือน ต้องสอน ต้องบอก แต่ถ้าเมื่อไรที่หลวงปู่ไม่ด่า ไม่ว่า ไม่เตือน ไม่บอก มึง

ก็เตรียมตัวเถอะ มึงจะล่มสลายในความดีไปตลอดชาติ มึงจะไม่มีโอกาส แล้วถ้าหลวงปู่ไม่

บอก ไม่กล่าว ไม่สอน ไม่ด่า ไม่ว่า ไม่เตือนอะไร ให้ขึ้นป้ายแขวนคอไว้เลย  “กูตายทั้ง

เป็น” ไม่มีคำสอนใดๆสำหรับคนแย่ๆ
อย่างนี้ เรียกว่า เป็นผู้ไม่เข้าถึงอมตะธรรม แล้วเราก็จะไม่รู้ว่า เราผิดตรงไหน เราถูกตรง

ไหน เราควรทำอะไร และไม่ควรทำอะไร เพราะคนเราไม่ใช่ได้ดีเพราะเกิดเป็นคน แต่ได้ดี

เพราะมีคนสอน อบรม สั่งสม อบรม ศึกษา
เอาล่ะ จะอ้างว่า ไม่ต้องให้กูสอนก็ได้ ไปให้คนอื่นสอน ก็ไม่ว่า แต่ถ้าวันนี้ กูสอนแล้วยังทำ

ไม่ได้ คนอื่นจะสอนได้ ก็ไม่เป็นไร แต่สำคัญที่สุด คือ เราทำได้หรือไม่ อ้ายคนสอนน่ะ

เค้าสอนได้หมดแหละ แล้วอ้ายคนทำมันทำได้หรือไม่ สำคัญตรงนั้น
เอาล่ะ พิธีกรมานั่งหน้าเหี่ยว ให้พิธีกรเค้าทำงานบ้าง
1 ก ค 2555    14.15 น. ธรรมะต้นเดือน ช่วงรายการ ปุจฉา วิสัชนา

โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
เอาล่ะ พิธีกรนั่งหน้าเหี่ยว ให้พิธีกรเค้าทำงานบ้าง
คุณก้อง     นมัสการหลวงปู่ และสวัสดีพุทธศาสนิกชนทุกท่าน ......สนทนาธรรม

กับท่านหลวงปู่พุทธะอิสระ.........
ปุจฉา    งูจงอางที่คิดจะกัดหลวงปู่ มีกรรมต่อหลวงปู่หรือไม่ แล้วตกนรกหรือไม่
วิสัชนา    เดี๋ยวกูจะกลับไปถามมัน ไม่รู้มันตายไปหรือยัง หรือกลายเป็นงูดองเหล้าไปแล้ว

ก็ไม่รู้ เดี๋ยวจะไปถามมันให้ จบ
ปุจฉา   ว่าง เป็นสภาวะธรรม กับ จิตที่รู้ว่า ว่าง เป็นคนละตัวใช่หรือไม่ แล้วถ้าจิตที่รู้ว่า ว่าง

เป็นสภาวะด้วยหรือไม่
วิสัชนา    ว่าง เป็นสภาวะธรรม จิตที่รู้ว่า ว่าง ก็เป็นตัวรู้  ส่วนรู้แล้วจะรับเป็นสภาวะนั้นมา

หรือไม่ ก็ต้องใช้คำว่า มีปัญญาหรือเปล่า ถ้ารู้แล้วไม่มีปัญญา ก็จะรับไม่ได้
ที่จริง ความว่าง เป็นสภาวะธรรมที่อยู่ในทุกขณะ รอบๆ ตัวเราก็มีความว่าง ภายในก็มี

ความว่าง ภายนอกก็มีความว่าง แต่เราไม่รับรู้ เค้ามีคำว่า รับรู้ ไม่ใช่ รู้ เฉยๆ
ถ้า รับรู้ แล้วมันก็จะมี เข้าถึงสภาวะแห่งความว่าง
แต่ถ้า รู้ เฉยๆ ก็ยังไม่ถือว่า ว่างอย่างเต็มที่
ถ้ารับรู้แล้ว จึงจะเรียกว่า เป็นผู้ที่เข้าถึงสภาวะว่างอย่างเต็มที่ แล้วตัวที่จะรับ ก็ต้องใช้ปัญญา
แล้วใช้ปัญญาได้อย่างไร ก็ต้องใช้ปัญญาในการตัดขันธ์ 5 ปัญญาในการเห็นอนิจจัง ทุกขัง

อนัตตา ปัญญาในการวิจารณ์พิจารณาว่า รูปไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง สรรพสิ่งรอบกายไม่

เที่ยง อย่างนี้เป็นต้น
ปัญญาเห็นทุกข์ เห็นเหตุเกิดทุกข์ เห็นทางดับทุกข์ เห็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อย่างนี้

เป็นต้น
อย่างนี้ เมื่อเห็นแล้ว เค้าเรียกว่า รับรู้ แต่ถ้ามันไม่เห็นตามนี้ ว่างก็คือว่าง เราก็คือเรา ผู้รู้

ยังไม่เข้ามาหากัน มันไม่มีปฏิสัมพันธ์เข้าด้วยกัน ด้วยเหตุผลว่า เรายังไม่รับความรู้นั้น ไม่

รับเอาความว่างนั้น เข้ามาสู่ตัวรู้
สรุปแล้ว ก็คือ จะรับเอาความว่างมาสู่ตัวรู้ได้ ก็ต้องมีปัญญา มีปัญญาพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง

อนัตตา ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ปฏิจจสมุปบาท หรือ โพธิปักขิยธรรม ทั้ง 37 ประการ

ที่เริ่มต้นจาก อริสัจ 4 จนกระทั่งโพชฌงค์ 7 มรรค 8 อย่างนี้เป็นต้น จบ
ปุจฉา    การทำสมาธิแบบอภิญญา เป็นอย่างไร และ ดีหรือไม่
วิสัชนา    สมาธิแบบอภิญญา ก็คือ การข่มอารมณ์ เรียกใช้คำว่า วิขัมกหาปณะ(?)

อภิญญาเค้าทำกันได้ทั่วไป สมัยก่อนพระพุทธเจ้าจะอุบัติ ก่อนที่พระองค์จะอุบัติ ก็มี

อภิญญา 8 ก็อุทกดาบฬ อาฬารดาบส อย่างนี้เป็นต้น มีอุทกดาบส ได้อภิญญา 7 อา

ฬารดาบส ได้อภิญญา 8 เค้ามีกันมาก่อนแล้ว แต่พวกนี้ทำอะไร ก็ไม่ได้เจริญวิปัสสนา

ไม่ได้เจริญวิชาพุทธ แต่เจริญวิชาสมถะ เรียกว่า วิชาดาบส วิชาฤษี วิชาพราหมณ์ แม้กระทั่ง

คำสอนในศาสนาซิก ศาสนาคริสต์ ศาสนาฮินดู  ศาสนาเต๋า ศาสนาอิสลาม ก็มีอภิญญา แต่

เค้าไม่เรียก อภิญญา ส่วนจะอภิญญาชั้นสูง ชั้นต่ำ ชั้นกลาง ก็ขึ้นอยู่กับคำสอนนั้นๆ ว่า

ศาสดานั้นจะรู้มากแค่ไหน
เพราะฉะนั้น คำว่า อภิญญา ในที่นี้ มันมีอยู่ 2 ส่วน โลกุตตระ กับส่วนโลกียะ 
ส่วนโลกียะเนี่ย ทั่วไปทำได้หมด และส่วนโลกุตตระ ต้องใช้ปัญญา ใช้ปัญญาที่จะพัฒนาตัว

เองเข้าไปสู่คำว่า โคตรภูญาณ เรียกว่า ญาณข้ามภพชาติ อย่างนี้ ต้องใช้ปัญญา ใช้ปัญญา

เข้าไปควบกล้ำ ใช้ปัญญาเข้าไปอยู่ในองค์สมาธิ ใช้ปัญญาไปอยู่ในสภาวะที่ตัวเองรู้แล้วสงบ

รู้อย่างสงบแล้วพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ จบ
ปุจฉา    มีอาการเครียด นอนไม่หลับ วิตกกังวล คิดไปเรื่อย จะทำอย่างไรให้สงบ มีสติ
วิสัชนา    ไม้หน้าสาม ป๊อกเดียวก็หลับเลย สติก็ไม่หาย เพราะมันจะปวดบวมอยู่ตรงนั้น

จะไม่ไปไหน จบ
ปุจฉา    เป็นคำถามจากพระที่มาพบหลวงปู่ ตอนที่หลวงปู่ไปเมืองจีน มาตั้งแต่วันอังคาร

แล้วไปเจอมีคำถาม ถามว่า ในขณะที่หลวงปู่ปรารถนาโพธิญาณ ทำอย่างไร ขณะที่

บำเพ็ญอยู่ เกิดความเบื่อหน่ายในหมู่คณะและบริวารที่สงเคราะห์อยู่ ทำให้เบื่อหน่ายใน

การบำเพ็ญ บางครั้งรู้สึกอ่อนล้า กำลังใจแทบตกเป็นสูญ ทุกข์ แต่ก็พอประคองได้ เราควร

ประคองแบบไหน ทำกำลังใจแบบไหน ใช้ธรรมะหมวดใดเป็นเครื่องอยู่ และอธิษฐานแบบ

ไหน เพื่อให้มีกำลังใจทำต่อทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะเข้าถึงซึ่งโพธิญาณ
วิสัชนา    นั่นมันต้องเป็นพวก เค้าเรียกว่า พระโพธิสัตว์ชั้นอนุบาล เผอิญอาตมาอยู่ชั้น

เตรียมอุดม พระโพธิสัตว์ชั้นอนุบาล เค้าจะต้องเป็นอย่างนั้น เพราะว่าไม่กล้าที่จะเผชิญกับ

ความทุกข์ แล้วเมื่อเผชิญแล้ว ก็จะรู้สึกครั่นคร้าม หวาดผวา สะดุ้งกลัว พวกนี้มองเห็นได้

เจอปัญหาแล้วจะกลัวปัญหา
มึงว่า กูเป็นคนกลัวปัญหาไม๊ (ไม่)  มึงว่า กูเห็นปัญหาแล้ว กูเป็นคนท้อแท้ ท้อถอยไม๊

(ไม่)
เออ เพราะงั้น มองกันได้ มันมองกันได้ ด้วยเหตุปัจจัยที่ดำรงค์ชีวิตอยู่ ว่าท่านผู้นี้ เป็นผู้สูง

ผู้ต่ำ ผู้ปานกลาง ผู้ต่ำต้อย
อ้ายที่ถามๆ ทั้งหมดเนี่ย ถ้าถือ ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ ก็เป็นพระโพธิสัตว์ แล้วเป็นพระ

โพธิสัตว์ชั้นไหน ก็ต้องชั้นเตรียม เตรียมอนุบาล ยังไม่ถึงชั้นอนุบาล เพราะเจอปัญหาแล้ว

ท้อแท้ เจอปัญหาพ่ายแพ้ เจอปัญหาท้อถอย เจอปัญหาแล้วรู้สึกเปลี้ยเสียขา ขาดกำลังใจที่

จะต่อสู้ ฝ่าฟัน นั่นเค้าเรียกว่า ชั้นอนุบาล
แต่หลวงปู่เนี่ย เป็นคนที่ไม่ได้อยากเอาชนะใคร แต่ทำไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะเป็นผู้ที่

เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ งั้นก็ ไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทำไปตามภาระกรรมและหน้าที่

ตามเหตุตามปัจจัย
ถ้าถามว่า แล้วชั้นเตรียมอนุบาล พอเจอปัญหาอย่างนี้แล้วจะต้องทำอย่างไร ก็ต้องมั่นคงใน

อธิษฐานธรรม ต้องมีอุดมการณ์ อุดมคติแน่วแน่ ต้องมีใจรัก มีอิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ

จิตตะ วิมังสา สิ่งที่ทำ ใคร่ครวญพินิจพิจารณาในสิ่งที่ทำ ไม่ท้อแท้ ไม่พ่ายแพ้ ไม่ท้อถอย
หลวงปู่ไปเมืองจีนเนี่ย กว่าจะไปเมืองจีน ก็นึกว่า เออ เราป่วยแล้วร่างกายไม่สามารถจะทำ

งานได้มากเหมือนกับสมัยก่อน เราจะทำอะไรที่มันได้ประโยชน์กับร่างกายนี้บ้าง ก็คิดว่า

อยู่ว่างๆ ก็เขียนหนังสือซิวะ แล้วหนังสืออะไรที่ควรเขียน
ก็ มีคำกล่าวออกมาว่า หนังสือที่ควรเขียน ก็คือ ให้คน ซึ่งยุคนี้ เป็นยุคบ้าอรหันต์ เมาอรหอย

ก็เลยจะยกเอาประวัติของอสีติมหาสาวกทั้ง 80 รูป อย่างละเอียดว่า กว่าจะเป็นอรหันต์นี่

ต้องบำเพ็ญบารมีกี่ภพกี่ชาติ แล้วเมื่อเป็นแล้วนี่ เค้ามีพฤติกรรม มีกาย มีวาจา มีใจ อย่างไร 

เค้าจึงเรียก ท่านผู้นี้ว่า อรหันต์ แล้วประวัติพระอรหันต์ ไม่ใช่อยู่ในเล่มใดเล่มหนึ่งใน

84,000 พระธรรมขันธ์ อยู่ตรงนู้นบ้าง ตรงนี้บ้าง ตรงนั้นบ้าง
ก็ให้พระคเชนทร์ เค้าไปรวบรวม เค้ารวบรวมมาได้ประมาณซัก 20 กว่าเล่ม ต่อ 1 องค์

ก็ต้องมานั่งอ่านทั้ง 20 เล่ม เพื่อจะให้ได้ประวัติของพระสารีบุตร แล้วเพื่อมาประมวลให้

มันเห็นภาพชัด แล้วก็เรียบเรียงให้มันเป็นข้อความที่ศัพท์สมัยนี้ ฟังแล้วเรื่องและเข้าใจ
หลวงปู่ไปเมืองจีน กูก็เขียนอยู่บนเครื่องบิน นั่งรอเครื่องบิน บนเครื่องบิน กูนั่งเขียนทั้งนั้น

แหละ กูเป็นคนที่ ถ้าคิดจะทำอะไร แล้วกูจะไม่ย่อท้อ ไม่ต้องหวาดผวา ไม่สะดุ้งกลัว ก็แบก

เอาพระไตรปิฎกไป หิ้วพระไตรปิฎกไป หิ้วเอาปากกาไป ก็นั่งเขียนไป เค้านอนกัน กรน

กันให้เคลิ๊กคล๊ากๆ นั่งเครื่องบิน 3 ชั่วโมง กูก็เขียนของกูไปเรื่อย เขียนไป
เล่าให้ฟัง ไม่ได้ยกตัวเองว่าเป็นผู้วิเศษ เพราะนิสัยหลวงปู่เป็นคนที่ คิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น

ทำอย่างไรก็พูดเช่นนั้น พูดทำคิดเรื่องเดียวกัน ชั่วชีวิตเป็นนิสัยอย่างนี้ แต่กว่าจะถึงนี้ได้

มันไม่ใช่ชาติเดียวสั่งสม อ้ายคนที่ทำอะไรแบบชนิดที่ไม่ผันแปร ไม่กะล่อน ไม่ปลิ้นปล้อน

ไม่ตลบแตลง ไม่หลอกลวง  ไม่เลิกลา ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วทำนะ ลูก มันต้องใช้เวลาสั่งสมไม๊
ใช้มาก ใช้เวลาเยอะมาก เพราะกว่าสันดานตัวเองจะเป็นผู้ซื่อตรงเนี่ย ไม่ใช่ง่าย เพราะคน

เรานี่ มันคดมาตลอด เอ๊ย เหนื่อยเว้ย พัก เอ๊ย ลำบากเว้ย หยุดเถอะ อืมไม่เอา ไม่สบาย

ไม่ทำ เฮ้ย มีปัญหา อย่าไป
เป็นอย่างนี้ไม๊
นี่เค้าเรียกว่า ผู้มีสันดานอันไม่ซื่อตรง
งั้น พระโพธิสัตว์พระพุทธเจ้า ผู้วิเศษกว่าอรหันต์ขีณาสพ ท่านจะเป็นผู้ตรง ผู้ซื่อตรง
แม้ตายก็ต้องไปถ้าบอกว่าต้องไป แล้วคิดจะไป ถ้าเป็นประโยชน์ก็ต้องไป
เหมือนกับที่หลวงปู่ไปสมัยเสื้อเหลืองเค้าขับไล่อ้ายเฮียหน้าเหลี่ยมใหม่ๆ ตอนนั้นวัดก็มี

งานนะ วัดมีจัดพิธีพุทธาภิเษกรูปในหลวง เค้ากำลังจัดปะรำพิธีกันอยู่ ทางนู้นเค้าก็เย้วๆ เรา

ก็เลย อ้าว เค้าไป เราก็ต้องไปให้กำลังใจ พระเค้าจะตามไป หลวงปู่บอก พวกท่านไม่ต้อง

เดือดร้อน ผมไป ผมรับผิดชอบตัวผมได้ ถ้าพวกท่านไป ท่านจะเดือดร้อน แล้วผมก็ไม่

สบายใจที่ทำให้พวกท่านเดือดร้อน ถ้าผมจะตาย ก็ตายคนเดียว ท่านไม่ต้องมาเป็นเพื่อน

ตายกับผม ถ้าจะให้กำลังใจ ก็เชียร์กันอยู่ที่วัด ไม่จำเป็นต้องไป
เอ้า จริ๊ง จริง หลวงปู่เป็นคน ก็บอกแล้วว่า จะไม่เป็นอยู่อย่างไม่ภาคภูมิ ไม่อาจหาญ ถ้า

หวาดกลัว สะดุ้ง ผวา เกรงเภทภัย ไม่ใช่กูแน่ ไม่ใช่ชีวิตหลวงปู่ ก็ชีวิตหลวงปู่ไม่ได้สั่งสมมา

เป็นคนขี้ขลาด หวาดกลัว สะดุ้ง ผวา หวั่นเกรงเภทภัย อุ๊ย ไม่มีล่ะแล้วพอกลับมาปุ๊บก็

สำนักพุทธเอย มหาเถรเอย ออกกฏหมายกันให้ลึ่มล่ำ จะเล่นงาน ให้คนมาสอบ ส่งข้อ

ความมา ส่งหนังสือเวียนมาให้เจ้าคณะจังหวัดสอบ เจ้าคณะจังหวัดก่อนที่หลวงปู่จะไป

หลวงพ่อชุ้น มาที่นี่เลยนะ มา จะมาห้ามไม่ให้ไป มหาอานนท์เค้าเล่าให้ฟัง เค้าบอก “ช้า

ไปแล้ว หลวงพ่อ หลวงปู่เพิ่งจะไปเมื่อกี้นี้”  “อ้าว ตายละหว่า” หลวงพ่อชุ้นบอก

ตายละมึง
เสร็จแล้ว ซักพักหนึ่ง รู้สึกอาทิตย์กว่า หรือ 2 – 3 วันเนี่ย มหาเถรฯ เขียนจดหมายมา

ให้มาเล่นงานหลวงปู่ มา หลวงพ่อชุ้นก็ไม่ สุดท้าย ก็พระอำเภอ ตำบล ก็ไม่ ไม่มีใครกล้า

เค้าก็รู้ พระองค์อื่นถ้าไป ก็อาจจะต้องซวย แต่เราไป เราซวยเราก็ซวยคนเดียว ไม่ต้องมี

ใครมาวุ่น เพราะนิสัยหลวงปู่ ไม่ใช่พวกมากลากไป ไม่ใช่ควายที่ต้องเดินเป็นฝูง กูพวก

ราชสีห์ เดินกินควาย พวกพญาราชสีห์ต้องเดินกินควาย ไม่ใช่ตามฝูงควาย
งั้น หลวงปู่ไม่กลัว ลูก ถ้าทำถูก ทำดี แล้วไม่ทำร้ายธรรมวินัย ไม่ทำลายใครให้เสียหาย ไม่

เดือดร้อน ไม่กลัว แต่ถ้าทำไม่ถูก ทำไม่ดี ให้ง่าย ก็ไม่ทำ ชีวิตไม่ชอบทำ
ชีวิตเป็นคนที่ไม่ยอมรับความผิดพลาด เพราะชั่วชีวิตก็เจอความผิดพลาดมาตลอด แล้วเรา

ก็ต้องมาทำหน้าที่แก้ความผิดพลาดมาตลอด จึงรู้ว่า ความผิดพลาดมันเป็นปัญหาของตนเอง

เราก็ไม่ควรทำชีวิตให้ผิดพลาด งั้น เราจะไม่ทำ จบ
งั้น การจะตั้งตนเป็นพระโพธิสัตว์ ไม่ใช่ว่า เจอปัญหาแล้วหยุด เจอปัญหาแล้วนิ่ง แสดงว่า

สันดานยังไม่ตรง ถ้าเป็นเหล็ก ก็ยังตีไม่สนิท สนิมยังเกาะ ถ้าเป็นไม้ มันก็คด มันยังทำค้ำ

ยันอะไรไม่ได้ งั้น ต้องดัด ใช้เวลาดัดไป ใช้เวลาเท่าไหร่
โอ๊ย ก็ 4 อสงไขย แสนมหากัป
พระอรหันตเจ้าก็ 1 อสงไขยกับอีกเศษแสนกัป
ถ้าพระมหาสาวก อัครสาวก ก็ 1 อสงไขย กับอีก 1 แสนกัป
แล้ว 1 อสงไขยกับอีก 1 แสนกัป นี่มันเท่าไหร่ เค้าว่ากันว่า แผ่นดินลึกลงไป 1 โยชน์

กว้าง 1 โยชน์ แล้วเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดโรยลงไปให้เต็ม นั่นแหละ เค้าเรียกว่า ภัทรกัป

แล้วเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง เท่ากับ 1 ชาติ กว่าจะได้เป็นอัครสาวก
แล้วถ้าได้เป็นพระพุทธเจ้า ต้องเท่าไหร่ ต้องลึกลงไปร้อยโยชน์ กว้างร้อยโยชน์ เอาเมล็ด

พันธุ์ผักกาดโรยลงไปจนเต็มหลุม 100 โยชน์นั่นแหละ จึงจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
ไม่ง่าย ไม่ใช่ง่ายๆ
งั้น กว่าจะมาเป็นวันนี้ได้ ไม่ใช่เพิ่งจะมาปลูกเมล็ดพันธุ์ผักกาด กูปลูกมาเป็นไร่แล้ว กูปลูก

มาเป็นไร่แล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมาโรยเมล็ดสองเมล็ด จบ
ปุจฉา    เหตุใด พระพุทธเจ้าจึงต้องได้รับกรรมจากพระเทวทัต จากการจองเวร พระ

พุทธเจ้าเป็นผู้ซื่อตรง พระพุทธเจ้าไม่ได้ทำร้ายใคร พระเทวทัตทำร้ายตัวเอง แล้วทำไมเวร

กรรมจึงมีผลกรรมกับพระพุทธเจ้า
วิสัชนา    เวรกรรมที่พระเทวทัตจองเวรที่ชัดๆ ก็คือ การค้าขาย แต่จริงๆ ก่อนหน้านั้น

สมัยอดีตชาติก่อนหน้านั้น พระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตเคยเกิดเป็นพี่น้องกัน แล้วเคยพลั้งมือ

ทำให้พระเทวทัตต้องเสียชีวิต ก็เคยมี ไม่ใช่แค่ชาติเดียว ลูก เค้าเรียกว่า พระเจ้า 500

ชาติ ยังน้อยไป ก็บอกแล้วว่า กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า แผ่นดินลึก 100 โยชน์ กว้าง

100 โยชน์ โยนเมล็ดพันธุ์ผักกาดเข้าไป พระเทวทัตต้องซักเมล็ดหนึ่งในหลุมนั้นน่ะ

แล้วมันคงไม่ใช่เมล็ดเดียว มันมาเป็นกะบุงที่ปนอยู่ในหลุมนั้น
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ชาติเดียว ลูก แต่ที่เค้า ท่านคณาจารย์ บูรพาจารย์ในพระสุตัน

ตปิฎก ท่านยกเอาเรื่องนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า เม็ดทรายมันเล็กแล้ว พระเทวทัตยังจองเวรเท่ากับ

เม็ดทรายน่ะขนาดไหน ที่จริงแล้ว พระเทวทัตไม่ได้จองเวรแค่เม็ดทรายใน 1 กำมือ แต่

ท่านจองมามากกว่าเม็ดทรายใน 1 กำมือ
ก่อนหน้านู้น พระเทวทัตก็เกิดเป็นบริวารลิง พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพญาลิงเผือก ท่านเห็น

ว่า น้ำบ่ามา  ลิงหากินไม่ได้ แต่เกาะฝั่งนู้นน่ะ มันมีอาหาร แต่นี่ติดเกาะ ลิงทั้งฝูง เป็น 500

กว่าชีวิตติดเกาะ แล้วข้ามไปไม่ได้ ท่านเป็นพญาลิงเผือกที่ตัวใหญ่ที่สุดในฝูง ท่านก็ใช้หาง

พันฝั่งนี้ แล้วก็เอามือไปโอบฝั่งนู้น แล้วก็ให้บริวารลิงเดินบนหลังท่านไป เพราะว่า ข้างล่างนี่

จระเข้มันอ้าปากรออยู่ ถ้าหล่นก็งับ สุดท้าย พระเทวทัตเกิดเป็นบริวารลิง หมั่นไส้พญาลิง

เผือก เค้าเดินกันธรรมดา อ้ายนี่ไม่เดินธรรมดา เดินไปกระทืบไป เต้นแร๊บไปบนหลัง จน

กระทั่งพญาลิงเผือกกระอักเลือด
นี่มันไม่ใช่แค่ชาติเดียว ลูก มันทำกันมา สั่งสมกันมาหลายร้อยหลายพันชาติ จบ
ปุจฉา    มีญาติธรรมอยู่ประเทศสวิส อยากให้หลวงปู่ช่วยแผ่เมตตา ให้กับผู้เสียชีวิต จาก

อุบัติเหตุ 28 ศพ
วิสัชนา    ที่ตายแล้ว ก็ไปเกิดแล้ว ตายก่อนดีกว่าคนยังอยู่ เพราะอย่างน้อยมันก็ไปหาภพ

ภูมิเกิดได้ใหม่ ก็ไม่แน่ใจว่า จะได้ดีหรือไม่ได้ดี ก็สุดแท้แต่บุญทำกรรมแต่ง จบ
คุณก้อง    แล้วถ้าอยากจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ผู้เสียชีวิต 28 ศพ จะทำอย่างไร
หลวงปู่    ทำบุญสิ ทำอะไร หรือจะให้ไปเล่นไพ่ ทำบุญในเนื้อนาบุญของโลกที่ไม่มีนาบุญ

อื่นยิ่งกว่า อย่าไปหวังใจว่า จะได้บุญจากขอทานนะ อย่าไปหวังใจว่า จะได้บุญจากเด็กขอ

ทาน คนแก่ขอทาน หรือ บ้านพักคนชรา แต่บุญคือเนื้อนาบุญของโลกอันไม่มีนาบุญอื่นยิ่ง

กว่า นาบุญนั้นต้องมากไปด้วย มีศีลอันเป็นสมบัติ มีสมาธิเป็นสมบัติ มีปัญญาเป็นสมบัติ
นาบุญของโลกต้องมีศีล สมาธิ และปัญญา นั่นแหละเป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่ง

กว่า จบ
ปุจฉา    ปีที่แล้วน้ำท่วมมาก ท่วมนาน ปีนี้น้ำจะท่วมมากและนานอย่างปีที่แล้วหรือไม่

เกรงว่าจะมาร่วมงานกฐินกับหลวงปู่ไม่ได้อีก
วิสัชนา    ปีนี้ น้ำจะท่วมมาก แต่ท่วมไม่นาน เพราะเค้าทำท่อเอาให้น้ำวิ่งได้เร็วขึ้น
แต่ถามว่า ท่วมไม๊ ท่วมมากและสูงกว่าเก่า ถามว่า เพราะอะไร ก็เพราะว่า อ้ายพื้นที่จะ

รับน้ำ เค้าไปทำกำแพงกั้นไว้หมดแล้ว มันก็เลยบังคับให้น้ำอยู่ในที่ที่นอกกำแพง เพราะ

ฉะนั้น เมื่อมันมา มันก็ต้องสูงมากกว่าเดิม ถ้ามันบ่าไปทั่วๆ อาจจะลดยุบลง แต่นี่มันไปกั้น

ไม่ให้บ่าทั่ว มันก็จะสูงมากกว่าเก่า งั้น อ้ายคนที่อยู่นอกกำแพง ก็จะต้อง ลอยคอ
เอ้า รัฐบาลเค้าบอกว่า เอาอยู่ไม่ใช่เหรอ
เอาอยู่ไม๊
(ไม่อยู่)
เอาไม่อยู่เหรอ ไม่เป็นไร หลวงปู่เตรียมไว้แล้ว สั่งเค้าทำรถครัวเคลื่อนที่ เตรียมสั่งเครื่องมือ

เอามาแล้ว
คุณก้อง    อยุธยาสั่งขุดลอกคูคลอง
หลวงปู่    เหรอ ขุดหมดหรือยัง
คุณก้อง   ไม่ทราบครับ
หลวงปู่    เห็นวันนั้น แม่น้ำเจ้าพระยาหน้าโรงพยาบาลศิริราช ก็เอ่อแล้ว ก็อย่าวางใจแล้วกัน

เพราะว่า เอาแน่ไม่ได้ ก็ไม่รู้วิธีคิดของเค้า คิดกันยังไง เหมือนๆ กับวิธีคิดของเค้าที่คิดว่า

เพิ่มค่าแรง หลวงปู่นั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิด ยังไงมันก็ไม่สามารถจะช่วยคนไม่ให้จน ไม่

ให้ลำบากได้ เพราะว่าที่ถูกแล้ว มันควรจะต้องลดค่าครองชีพพร้อมกับการเพิ่มค่าแรง แต่นี่

ค่าครองชีพมันไม่ได้ลด แต่เพิ่มไปตามค่าแรงที่เพิ่ม แล้วเพิ่มมากกว่า งั้น การเพิ่มค่าแรงก็

เท่ากับว่าไม่ได้เพิ่ม
แล้วอาชีพอิสระที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างใคร มันจะตายกับตาย เช่น แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว แม่ค้า

ขายผัก แม่ค้าสารพัดแม่ค้า ถามว่าเพราะอะไร ก็เพราะว่า รัฐบาลก็จะมาออกมาตรการใน

การคุมราคาสินค้าที่ขาย ทั้งที่เค้าก็ไม่ได้ค่าแรง แต่สินค้าซื้อมาแพง แล้วมาคุม เช่น แม่ค้า

ขายข้าวแกง ก็มาโดนคุมราคาสินค้า อย่างนี้ ตายไม๊
ต๊าย เพราะมันซื้อมาแพง คนทำมันก็ต้องขายแพง แล้วถ้าคิดบวกค่าแรงลงไป แล้วมันจะ

ได้ไม๊
ก็ไม่ได้ เพราะโดนคุมไม่ให้ขายเกินนี้ ก็แสดงว่า ตัวเองทำฟรี ไม่ต้องมีค่าแรง อย่างนี้ ตาย

ไม๊ ก็ตาย
งั้น ไม่รู้เค้าใช้อะไรคิด หลวงปู่ไม่จบป. 4 ก็ยังคิดได้ แล้วนี่เค้าจบสูงกว่า เค้าคิดอะไร

ไม่ได้ ไม่ออก
ที่ถูกแล้ว มันควรจะต้องลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ มันจึงจะทำให้สังคมอยู่ได้ แต่นี่รายจ่ายมัน

ไม่ได้ลดลง ทุกอย่างมันเพิ่ม หมูวันนี้ หลวงปู่ให้เค้าสั่งมา พันโล พันสองร้อยโล เพิ่มขึ้นมา

อีก 7 บาทต่อโล จากที่ไปซื้อมา เพราะว่า ราคาเพิ่มขึ้น น้ำมันก็เพิ่มขึ้น น้ำตาลก็เพิ่มขึ้น

ทุกอย่างเพิ่มหมด ปุ๋ยก็ตัวผสมเคมีทุกอย่างก็เพิ่มขึ้นหมด ไม่มีอะไรที่จะลดลง อย่างที่เค้าคุย

อ้ายที่ลดแน่ๆ คือ พืชผลการเกษตร สับปะรด มัน ข้าวโพด พืชผลเกษตร ยางพารา ปาล์ม

น้ำมัน อย่างนี้เนี่ยลด มันไม่ balance กัน มันยังไงก็ไม่รู้ มันกลายเป็นสังคมบิดเบี้ยว

ระบบมันบิดเบี้ยวแล้วพิการไปหมด
แล้วหลวงปู่ไปจีน แล้วคุยกับนักเศรษฐกิจที่จีน พวกพ่อค้าที่จีน จีนเค้าเงินเฟ้อประมาณ 17

%  17% ถึง 18% เค้าพูดถึงเรื่องยุโรปว่า เวลานี้ จีนเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของยุโรป

สหรัฐอะไรทั้งหลายนี่เป็นลูกหนี้จีนหมด แล้วถ้าหากว่า พวกนี้ ยุโรปมันจนมันเจ็ง จีนเก็บ

หนี้ไม่ได้ เงินมันจม เงินก็ไม่มีเข้ามาหมุนเวียนในประเทศ แล้วผลิตสินค้าออกไป จะขาย

ยุโรป ยุโรปจน แล้วจะไปขายใคร ขายไม่ได้
อีก 3-4 เดือนข้างหน้า พวกสูเจ้าทั้งหลายก็ระวังให้ดีก็แล้วกัน อะไรไม่ควรจ่าย ก็อย่าจ่าย

อะไรไม่ควรให้ ก็อย่าให้ เก็บงำรักษาไว้บ้าง เพื่อใช้ในยามจำเป็น 6 เดือนข้างหน้า ด้วย

เหตุผลว่า น้องน้ำก็จะมา 3 เดือนหน้า 2 เดือนหน้า น้องน้ำก็มาแล้ว น้องน้ำไป น้องลม

ก็มา มันก็จะตามมาด้วยน้องหนี้ น้องดอก อะไรสารพัดอย่าง สารพัดน้องมันก็จะถาถมเข้ามา
งั้น ก็อย่าอยู่ด้วยความประมาท 
ขนาดเศรษฐกิจพอเพียงน่ะ ดีที่สุด อยู่ด้วยลำพังของตัวเอง อะไรที่ไม่ควรซื้อ ก็อย่าซื้อ

กระป๋อง กะละมังที่จะทิ้ง ก็อย่าไปทิ้ง ไปเอาดินใส่ เอาเมล็ดพริก เมล็ดผัก หอม กระเทียม

พริก กระชาย ทิ่มๆ ไว้บ้าง เออ เก็บกินบ้าง ไม่ต้องไปซื้อเค้า รักษาทรัพยากรเอาไว้ อย่า

เอาแต่สะดวกสบาย
แล้วช่วงนี้ เป็นช่วงบอลล์ โอ้โห โจรนี่ชุมอย่างกับยุงเลย มันแทงบอลล์กัน เสียบอลล์ มันไม่

รู้ว่า ชีวิตหลวงปู่นี่ไม่เคยเสียตาดูมันเลยนะ อ้ายพวกนี้ ไม่รู้ไปดูมันทำไม ดูแล้วมันก็ไม่

เห็นได้ตังค์ ไม่ได้ประโยชน์อะไร ได้ความมันแล้วเสียสุขภาพ มันมันตรงไหน ก็ไม่รู้

เหมือนกันนะ คนฉลาดเค้าบอก เค้าดูกัน มีกูคนโง่คนเดียวที่ไม่ดู แล้วกูก็นอนหลับสบาย

กายเป็นสุข ขี้ถูกต้อง ถูกเวลา ไม่ต้องเดือดร้อน อ้ายคนฉลาดนี่มันดูกันยัน ตี 3 ตี 4 เช้า

ตื่นขึ้นมา ตาเป็นหมีแพนด้า เออ ไม่เห็นมันได้ประโยชน์อะไร พิธีกรดูไม๊ เออ ไม่รู้ จบ
ปุจฉา    อยากทราบว่า กฐินปีนี้ ให้มีเจ้าภาพจองไม๊ครับ
วิสัชนา    เหรอ ใช่มั๊ง กฐินวัดอ้อน้อยปีนี้ เค้ามีเป็นกองๆ ละเท่าไหร่
(8,888)
เออ 8,888 บาท เค้ามีเหรียญพระให้ด้วยไม่ใช่เหรอ  เหรียญรุ่นหันข้าง รุ่นหนึ่ง แล้ว

เค้าให้จอง เปิดจองกันแล้วไม่ใช่เหรอ
(เปิดแล้ว)
ไม่รู้เต็มหรือเปล่า ไม่แน่ใจ ต้องไปถามเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ จบ
ปุจฉา    ตอนที่ใครพูดอะไรไร้สาระ รู้สึกรำคาญ ไม่อยากฟัง ไม่อยากดู นิ่ง ไม่อยากดู จะ

รำคาญ อย่างนี้ ผิดปกติหรือเปล่า
วิสัชนา    ผิดปกติ ใกล้บ้า เพราะคนปกติเนี่ย มันจะเหมือนกับก้อนหิน คนที่รู้จริง เข้าใจ

เรื่องจริง ก็กล้าที่จะอยู่กับความเป็นจริง อ้ายคนที่ไม่รู้จริง ไม่เข้าใจเรื่องจริง ก็ต้องทำตัวให้

ผิดแผก แตกต่างกับความเป็นจริง
อ้ายเรื่องไร้สาระ มันเป็นเรื่องจริงที่มีอยู่ในสังคมไม๊
จริ๊ง
เรื่องโง่เขลาเบาปัญญา เป็นเรื่องจริงที่อยู่กับมนุษย์ไม๊
จริ๊ง
เรื่องกิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นเรื่องจริงที่อยู่ในโลกไม๊
จริ๊ง
งั้น เราจะอยู่อย่างไรไม่ให้มันแปดเปื้อนได้
ไปต่อต้าน ไปพาตำรวจมา ได้ไม๊
ไม่ได้
ไปยอมรับมัน ก็ไม่ได้
แล้วเราจะอยู่ยังไง
ก็อยู่แบบก้อนหิน อยู่แบบเทียนที่ไม่ชุ่มน้ำ ไม่อุ้มน้ำ
อยู่แบบผู้รู้ รู้ว่า อันนี้มันเป็นขี้ รู้ว่าตรงนี้มันเป็นทอง
รู้ว่า อะไรควรยึด อะไรควรวาง
ถ้าอยู่แบบผู้รู้ แล้วไม่มีอะไรผิดแผก
ถ้าอยู่แบบผู้ไม่รู้ เหมือนกับคนที่เค้าเดินๆ มา แล้วก็มีคนกลิ่นตัวรุนแรงเดินมา แล้วทำ อุ๊ย ๆ

(เอามือปิดจมูก ปิดปาก) เอ๊ย มันน่าก้านคอ
เรื่องของเรื่องก็เพียงแค่ว่า จมูกเราต้องปิดเหรอ ถึงจะลมไม่เข้า ก็แค่กลั้นลมหายใจเฉยๆ ก็

จบ ถูกไม๊ เออ แหม ทำกระดิกกระเดี้ยง กระแด็ก เนี่ย เค้าเรียก ผิดปกติ ถ้าถูกปกติ ก็เฉยๆ

จบ
ปุจฉา    สภาพความว่าง กับ ความเป็นอิสระ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
วิสัชนา   อิสระ นี่เค้าจะใช้กับพวกพฤติกรรม ความว่าง มันเป็นสภาวะธรรม สภาวะธรรม

ที่ไม่มีคำว่า พฤติกรรม มันคนละเรื่อง
อิสระนี่มันใช้กับคำว่า พฤติกรรม มีพฤติกรรมที่อิสระ มีอารมณ์ที่อิสระ มีจิตที่อิสระ ไม่ยึด

ไม่โดนอะไรครอบงำ ไม่ใช่ไม่ยึด แต่ไม่โดนอะไรครอบงำ ไม่โดนอะไรเกาะเกี่ยว หรือ

พันธนาการ หรือเราเข้าไปใช้ ไปสัมพันธ์สัมผัสแล้วไม่ติดในสิ่งที่ใช้สัมพันธ์สัมผัส อย่างนี้

เป็นต้น
นั่นคือ ความหมายคำว่า อิสระ
แต่ความว่างนี่ มันเป็นสภาวะธรรม สภาวะธรรมซึ่งมันเป็นอารมณ์ก็ได้ หรือ เป็น

ธรรมชาติแท้ที่มันมีอยู่เดิมก็ได้ เมื่อไรที่เราคิดถึงมัน มันกลายเป็นอารมณ์ แต่เมื่อใดที่เรา

ไม่คิดถึงมัน มันก็เป็นธรรมชาติแท้ที่มีอยู่เดิม จึงเรียกมันว่า เป็นสภาวะธรรม
แต่อิสระนี่ มันต้องมีพฤติกรรมเข้าไปควบกล้ำ ต้องเข้าไปแสดงออก ไปทำให้เกิดบทบาท

มีการปลดเปลื้องพันธนาการ มีการปฏิเสธ มีการยอมรับ และดำรงค์อยู่ เราจึงเรียก อยู๋ใน

ขั้นของคำว่า ใช้พฤติกรรม ใช้กับเรื่องของพฤติกรรม จบ
ปุจฉา    ปราณทิพย์ ทำอย่างไร และใช้ไห้เกิดผลตอนไหน
วิสัชนา    ฝึก ต้องฝึก แล้วก็ฝึกเรื่อยๆ
เดี๋ยวอีกซักคำถามหนึ่งแล้วพอ แล้วก็ปฏิบัติธรรม หลายสัปดาห์แล้วไม่ได้ปฏิบัติธรรม
ต้องฝึก แล้วก็ขยันฝึก ฝึกจากกายจนพัฒนาไปสู่จิต แล้วให้กายเป็นอารมณ์ของจิต
เดินปราณในความว่าง เค้าเรียกว่า ปราณทิพย์ ใช้ความว่างเป็นตัวฉุด จูง หรือ เหมือนกับ

ท่อที่ใช้เดินทาง เอาความว่างเป็นท่อที่ให้ปราณมันเดินตามท่อ เรียกว่า ปราณเดินตาม

ความว่าง จบ
ปุจฉา    เป็นคำถามสุดท้ายนะครับ เนื่องจากป่วยเป็นโรคเก๊าส์มาเป็นเวลานานหลายสิบปี

รักษาแผนปัจจุบันหลายปี ขอความเมตตา คำแนะนำการรักษาจากหลวงปู่
วิสัชนา    กินยาเลือดก่อน เริ่มจัดการที่เลือดก่อน กินยาฟอกเลือด ยาละลายลิ่มเลือด ยา

ขยายหลอดเลือด แล้วจึงจะมารักษาโรคเก๊าส์ ทำให้เลือดมันสะอาด เลือดมันแข็งแรงก่อน

เคยสอนเคยบอกแล้ว เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้วใช่ไม๊ว่า อายุเกิน 40 ควรจะล้างเลือดเสียบ้าง

ให้กินยาอะไร (ละลายลิ่มเลือด)
เออ ยาฟอกเลือด ยาละลายลิ่มเลือด เพราะว่า อายุมากเข้าเนี่ย ท่อมันจะตัน ลูก มันเป็นทุก

คน ไม่ใช่อ้วน ไม่ใช่ผอม เพราะอะไร ปัญหาหลอดเลือด มันก็จะมีอะไรเข้าเกาะ คอเรสเต

อเรล ไขมัน         แคลเซี่ยม แม้กระทั่ง ตัวความหนืดความข้นของเลือดหรือ ความคอด

ของเส้นเลือด
งั้น ต้องหาวิธีทะลวงท่อมันบ้าง ด้วยการกินยา ออกกำลังกาย ทำสุขภาพใจให้แข็งแรง แล้ว

ยาที่กิน ก็ควรให้มันเหมาะสม ยาที่หลวงปู่ทำส่วนใหญ่ มันจะมาจากผัก จากอาหารที่เรากิน

แล้วก็จากพืชสมุนไพร
แต่ต้องบอกว่า ไปจีนเที่ยวนี้ ไปเลือกซื้อยา อยากจะเลิกทำยา อ้ายซันชิเมื่อก่อนซื้อมา

โลหนึ่ง ตอนนั้นปีที่แล้ว เพิ่จะไปซื้อ 300 หยวน เอ๊ย 280 หยวน ปีนี้ขนาดเท่ากัน

อย่างเดียวกัน 860 หยวน อ้ายโสมคราวที่แล้วซื้อ 300 หยวน ไม่ใช่ 100 กว่า

หยวน ปีนี้ไปซื้อกลายเป็น 360 – 400 หยวน ถ้าเอาโสมที่เรียกว่า โสมอายุมากที่

เกินกว่า 7 ปี กลายเป็น 400-500 หยวน ปีก่อนนู้น หลวงปู่ซื้อโสมอายุ 7 ปี เพิ่งจะ

300 หยวน มันแพงทุกอย่าง ไม่รู้ว่าทำไมมันแพงได้ขนาดนี้ 
นี่อยากจะเลิกทำยาแล้ว เที่ยวนี้หมดไป พวกนั้นมันเอาตังค์กันไป หลวงปู่ไม่ได้เอาตังค์ไป

หรอก กูไปมือเปล่า เค้าเอาตังค์แลกกันไป หมดไปเท่าไหร่ ร่วม 2 แสน ได้ยามา 150

โล กูก็เส้นดีเหมือนกัน กูก็ได้อาศัยเส้น ปกติ 150 โลนี่ เค้าไม่ให้ขึ้นเครื่องบินหรอก เออ

ไปกัน 3-4 คน 1 องค์ กับอีก 3 ตัว หิ้วกัน แบกกันเป็นจับกังเลย
แล้วก็ได้โสมงอก โสมที่จะลองพัฒนา เอามาปั่นตา มาลองปลูกเที่ยวนี้ ให้อีนี่ไปปั่นมา 2

ปีแล้ว ยังไม่เห็นเลย ไม่ได้อะไรเลย เออ 3 ปีแล้ว เที่ยวนี้ เอาโสมงอก หลวงปู่คิดจะปั่น

ซื้อเป็นหัว หัวหนึ่งก็ 70 หยวน เดี๋ยวลองเอามาปลูก ยอมสละตู้เย็นตู้หนึ่งที่มีกระจก เอา

ดินใส่ เพราะมันต้องปลูกในที่เย็น ปลูกอุณหภูมิบ้านเราไม่ขึ้น
ให้ทุกท่านที่รับชมรายการปุจฉา วิสัชนา จงรุ่งเรือง เจริญ มีสุขภาพที่แข็งแรง มีปัญญาที่

ตั้งมั่นดุจพระอาทิตย์ยามเที่ยงวันด้วยเทอญ
(สาธุ)
กราบพระ แล้วก็ไปพัก ลูก เข้าห้องน้ำห้องท่า แล้วเคลียร์พื้นที่ เดี๋ยวมาปฏิบัติธรรม
(กราบ)
อืม เค้ามีข้าวสารอาหารขายอยู่ข้างนอก ครึ่งราคา ใครจะกลับบ้านไปแวะซื้อติดไม้ติดมือ

ไปฝากญาติ
1 ก ค 2555  15.00 น. ระหว่างปฏิบัติธรรม โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
ขั้นที่ 1, ขั้นที่ 1 ภาคที่ 2, ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3, ท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน ฝึกตัวรู้
(กราบ)
เตรียมปฏิบัติธรรม ลูก
ธรรมะ ปฏิบัติธรรม มันเป็นสมบัติของตัวเอง ใครทำ ใครได้ คนอื่นทำ เราไม่ได้ เกิดมา

ชาติหนึ่งก็ควรสะสม อย่าเอาแต่หายใจเข้า หายใจออกเฉยๆ ทำได้มาก ก็ได้มาก อย่างน้อย

ก็เป็นของเรา ได้มาก ก็เป็นของเรา ไม่ทำ ไม่ได้เลย
การปฏิบัติธรรม นี่ถือว่า เป็นแก่นสารของชีวิต เพราะมันเป็นวิถีที่ถูกต้องที่เข้าสู่สมาธิ สติ

ปัญญา มนุษย์ไม่มีอะไรดีไปกว่า สมาธิ สติ ปัญญา งั้น คนที่ไม่มีสมาธิ ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา

เป็นคนที่ไม่ใช่คน คนที่ไม่เหมือนคน ไม่เหมือนมนุษย์
เดินขั้นที่ 1
............
เดินแบบคนที่ไม่ตาย อย่าเดินแบบคนตาย
อ้ายเดินแบบคนที่ตาย คือ เดินแบบมีราคะเดิน มีโทสะเดิน มีโมหะเดิน มีโลภะเดิน มี

ความทุกข์เดิน มีความโง่เดิน อย่างนี้เค้าเรียกว่า คนตายเดิน ผีเดินได้ อีดิน
แต่เดินไม่ตาย ก็คือ เราไม่โดนครอบงำใดๆ มีแต่ตัวรู้ ตัวรู้เราไม่ตาย หูฟังเสียง รู้  เท้าก้าว

เดิน รู้  อย่างนี้เค้าเรียกว่า คนไม่ตายเดิน เรียกว่าเป็น อมฤตะ เป็นอมตะ
อย่าเดินอย่างคนตาย หมายถึง ตัวรู้มันตายไปจากตัวเรา
.....................
เมื่อเช้ามีคนไข้คนหนึ่งมาหา เค้าเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน เป็นโรคน้ำท่วมปอด โรคหัวใจ

ความดัน เบาหวาน ถึงขั้นนอนไม่ได้ ต้องนั่งหลับ เค้าเคยมาเรียนเดิน ทุกครั้งที่เค้ารวมตัว

เดิน เค้าจะหายใจสะดวก สบายมาก ไม่ต้องพึ่งยา
.................
อย่าเดินแต่ซาก
.............
ขยับขึ้นขั้นที่ 1 ภาคที่ 2 ดีดมือไปด้วย
............
พฤติกรรมในการสร้างตัวรู้ รักษาตัวรู้ ให้ตัวรู้อยู่กับเราตราบนานเท่านาน แม้ที่สุด ทุกลม

หายใจ
.............
ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ การรับรู้เรายิ่งแจ่มชัด รู้น้อย ก็จะรับมาอย่างคลุมเครือ
งั้น หน้าที่ของเรา คือ ต้องพัฒนาตัวรู้
................
รู้อยู่ว่า กำลังก้าว รู้อยู่ว่า กำลังก้าวตามจังหวะ รู้อยู่ว่า กำลังเคาะมือ
...............
อย่าเดินให้ ตัวรู้ มันตาย เดินเพื่อสร้าง ตัวรู้
.............
ขยับขึ้นขั้นที่ 1 ภาคที่ 3
ใครไม่เคยยกมือขึ้น รุ่นพี่ช่วยแนะนำ
...................
หน้าที่ของพวกเรา คือ การสร้างตัวรู้ ทำให้ตัวรู้ จนกลายเป็นเอกัคคตารมณ์ คือ อารมณ์หนึ่ง

เดียว รู้ รู้ รู้ แล้วก็รู้
เมื่อตัวรู้พร้อมมูล เราจึงไปสร้างปัญญาเพื่อจะไปรับรู้ นั่นคือ เจริญวิปัสสนา ถ้าจะเจริญ

วิปัสสนา
แต่ถ้าไม่เจริญวิปัสสนา จะเดินปราณ ก็ง่ายมาก แค่สร้างตัวรู้ แล้วใช้ตัวรู้นำ ลม เข้าไปสู่จุด

ต่างๆ ที่เรียกว่า สร้างปราณ ทลายจุดหรือทะลวงจุด
สิ่งสำคัญของวิชาปราณโอสถ ก็คือ ต้องมีตัวรู้อย่างต่อเนื่อง เรียกว่า สายยางเส้นหนึ่ง ต้องรู้

ให้ได้ทุกขณะที่น้ำเดินเข้าไปในสาย รู้ให้ได้ทุกจุดในร่างกาย
งั้น ตัวรู้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
ต้องทำให้  รู้ รู้ รู้ แล้วก็รู้
................
ถ้ามีตัวรู้แล้ว ไม่ต้องกลัวว่า ก้าวไม่ทัน
มีตัวรู้แล้ว ไม่ต้องกลัวว่า จะก้าวไม่ถูก เพราะตัวรู้มันจะทำให้เรารู้จักที่จะพัฒนาตัวเอง

พฤติกรรมตัวเองให้ทันต่อเหยุการณ์ ไม่ว่าก้าวสั้น ก้าวยาว เราจะก้าวได้ทันได้ ลูก
..............
ถ้าเราสังเกตุรู้ มันจะเกิดก่อนจังหวะ ถ้าตัวรู้ยิ่งใหญ่ จังหวะเกิดที่หลังตัวรู้
.............
หยุดอยู่กับที่ อยู่กับตัวรู้ แล้วดูซิ อยู่กับมันได้นานไม๊
.............
หยุดแล้ว รู้ยังอยู่กับที่ อยู่กับตัวไม๊ ดูซิ
พระผู้มีพระภาคเจ้าสอนพวกเราว่า มีสติในกาย กายไม่ลำบาก มีสติในวาจา วาจาไม่ลำบาก

ไม่สติในใจ ใจนี้ไม่ลำบากเลย
สติ ก็คือ ท่านผู้รู้ ตัวรู้ ซึ่งเพรียบพร้อมที่จะไปรับรู้
หน้าที่ของเรา ต้องอยู่กับท่านให้ได้ ท่านต้องอยู่กับเรา
แล้วตัวรู้ ท่านผู้รู้ ก็คือ พระพุทธะ พระพุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น
อยู่เฉยๆ แล้วลองดูซิว่า พระพุทธะยังอยู่กับเราไม๊
รับรู้ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ไม่รู้นอกเหนือนี้
ลืมตารู้ อย่าหลับตารู้
................
เมื่อท่านผู้รู้อยู่กับเราสนิทแนบแน่น ลองค่อยๆ ประคองท่านให้นั่งลงซิ
.............
นั่งแล้วต้องรู้
..................
ใครที่ท่านผู้รู้อยู่แบบว๊อบๆ แว๊มๆ คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ยังนั่งไม่ได้ ต้องยืนอยู่
...............
ผู้คนที่ไม่สามารถจะบรรลุมรรคผลให้เข้าถึงมรรควิถี ก็เพราะไม่มีตัวรู้ ทั้งที่ความรู้มีอยู่แล้ว

เราก็ไปขวนขวายแสวงหาความรู้ทั้งที่ตัวรู้ไม่มี เหมือนกับคนเอาถังรั่วไปตักน้ำ
.................
เพราะฉะนั้น ในวิชามหาสติปัฏฐาน 4 พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรื่องอื่น แต่สอนให้มีตัวรู้

ในกาย ในจิต ในเวทนา และในธรรม ซึ่งไม่ใช่อยู่ที่อื่นเลย ทั้งหมดอยู่ที่ตัวเรา
รู้อยู่เฉยๆ อย่างนี้ ดูซิ ท่านจะอยู่กับเราได้นานแค่ไหน
เพราะเมื่อใดที่ท่านผู้รู้อยู่กับเรา ก็แสดงว่า เราไม่ตาย เราเป็นอมตะ เราถึงธรรมซึ่งไม่ตาย

แล้ว
...............
ที่ผ่านมา ตัวรู้ผลุบๆ โผล่ๆ แสดงว่า เราตายๆ เกิดๆ แล้วการตาย การเกิดของเรา ก็คือ การ

สร้างภพชาติไม่จบสิ้น
..................
เพราะเมื่อไรที่ ราคะเข้า โทสะครอบ โมหะคลุม มันก็คือ การเกิด
................
เมื่อมีตัวรู้ ก็ไม่มีการตาย ไม่มีการเกิด พระพุทธเจ้าจึงเรียกธรรมชนิดนี้ว่า เป็นอมฤตธรรม

ธรรมอันไม่ตาย
................
ทีนี้ ลองใช้ตัวรู้ สำรวจดูโครงสร้างภายในกาย ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า มีอะไรเป็นแก่นสาร
เมื่อเรารู้แล้ว ต่อไปก็ รับรู้
คำว่า รับรู้ คือว่า ต้องมีปัญญา
ลองใช้ปัญญาพิจารณาดู ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เรามีอะไรเป็นแก่นสาร
เราบอกว่า ผมสลวย หนังสวย ผิวนุ่ม ถามว่า มันจริงๆ อย่างนั้นหรือเปล่า
ธรรมชาติของมันเป็นจริงอย่างนั้นหรือเปล่า ทั้งหมดมันปรุงแต่งประดับประดา หรือ มัน

เป็นเองโดยธรรมชาติ หนังสวยนี่ มันเป็นโดยธรรมชาติ ผมสลวย นี่เป็นโดยธรรมชาติ ผิว

นุ่ม นี่เป็นโดยธรรมชาติ หรือต้องประดับประดาปรุงแต่ง ต้องขัด ต้องย้อม ตัองซัก ต้องถู

ต้องทา หรือเปล่า
ค้นหา อย่างนี้ เค้าเรียกว่า การพร้อมที่จะไป รับ แล้วมา รู้
เอาท่านผู้รู้ไป รับ โดยใช้ปัญญาพิจารณา เรียกว่า ตัดขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร

และวิญญาณ เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป มันไม่มีอะไรยึดถือได้

เลย ตั้งแต่สาวยันแก่ ตั้งแต่เกิดยันตาย ตั้งแต่เด็กยันหนุ่ม
ที่แน่ๆ สิ่งที่มีอยู่กับเรา 2 สิ่ง ก็คือ กรรมกับความตาย
.................
เมื่อตายแล้วจึงเหลือแค่ 1 สิ่ง และสิ่งนั้น คือ ผลแห่งกรรม เรียกว่า วิบากกรรม ที่จะตาม

ให้ผลไม่จบสิ้น ทั้งหมดนี่ มันเกิดจาก ไม่รู้
...............
ถ้า รู้ มันจะไม่เกิด
................
รู้อยู่ภายในเฉยๆ อย่านั่งเป็นคนตาย
.............
อู้ หลับ ฟุ้ง สับสน ว้าวุ่น ทุรนทุราย นั่นคือ คนตาย
บอกแล้วว่า หลวงปู่จะไม่สอนคน 2 ชนิด คือ คนตายกับคนหลับ
.................
ทำให้ รู้คงทน รู้ยาวนาน รู้ยั่งยืน รู้ไม่คลาดเคลื่อน รู้ไม่หลุดเคลื่อนไปไหนเลย
นั่นแหละคือ องค์พระพุทธะผู้บริสุทธิ์ของเราแล้ว
...................
รู้อย่างชนิดเหมือนดั่งภูเขาและหินผา ลมพัดก็ไม่สะเทือน ฟ้าผ่าก็ไม่สะดุ้ง พาจุซัดก็ไม่หวั่น

ไหว
รู้อยู่  รู้อยู่  รู้อยู่  รู้อยู่
................
มีสติในกาย ก็จะรู้ว่า กายนี้เป็นเพียงแค่เครื่องรองรับ 2 สิ่ง คือ กรรม กับ จิต
...............
นอกนั้น กระบวนการทั้งหมด เป็นไปตามอำนาจแห่งกรรม ขับเคลื่อน
แม้แต่การคิด ทำ พูด ก็เป็นกรรม  
....................

จิตนี้ต้องมีอำนาจเหนือกรรมให้ได้ อย่าให้กรรมมีอำนาจเหนือจิต
...............
เพราะเมื่อใดที่กรรมมีอำนาจเหนือจิต เมื่อนั้น เราจะเป็นไปตามยถากรรม แสดงว่า เรา

ตายแล้ว เราอ่อนแอแล้ว เราหมดเรี่ยวแรงแล้ว เราโดนกรรมครอบงำหมดแล้ว ทั้งที่เรา

เป็นผู้กระทำกรรม แต่เรายอมโดนเป็นทาสของกรรม ดันตกเป็นทาสของกรรมเสียได้
นี่เป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่ง
แล้วอะไรจะมีอำนาจเหนือกรรม ก็คือ จิต คือ ท่านผู้รู้
...............
ทำให้ท่านผู้รู้ตื่น แม้ไม่เหนือ เท่าเทียมก็ยังดี  ดีกว่าเพลี้ยงพล้ำ แล้วเป็นรอง
เพราะมื่อใดที่เพลี้ยงพล้ำ แล้วเป็นรอง กรรมก็จะครอบงำ นำพาเราไปตามยถากรรม
......................
ตั้งตัวรู้ไว้อยู่เฉยๆ ให้กลายเป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นอุเบกขารมณ์
ถ้าได้อารมณ์ 2 สิ่งนี้ ก็ถือว่า เราเข้าฌาน 4 แล้ว เป็นผู้ทรงฌานได้แล้ว ไม่มีอารมณ์อื่น

เข้ามาเกาะเกี่ยว ไม่เปลี้ย ไม่เพลีย ไม่ง่วง ไม่ซึม ไม่ฟุ้ง ไม่สับสน ไม่ว้าวุ่น เฉย และ

อารมณ์เดียว เฉยเป็นหนึ่ง เฉยเป็นหนึ่ง เฉยเป็นหนึ่ง รู้เฉยๆ
................
ทีนี้ ลองใช้ตัวรู้ บังคับปราณดู ตามดูลมที่เข้าไป ดูซิว่า ไปสุดตรงไหน
.............
ที่สุดแห่งลม อยู่ตรงไหน แล้วที่ออกของลม ที่ใด
...............
ตามดูทั้งลมเข้าและลมออก อย่างช้าๆ ชัดเจน
ไม่ต้องบังคับลม แค่ใช้ตัวรู้ ไปตามดูลม
..............
วิชาปราณโอสถ ต้องถือว่า เป็นปัจจัยหลัก หรือ หัวใจหลักในการฝึกอานาปาณสติด้วยซ้ำ
..............
เพราะถ้าไม่มี ตัวรู้ เราก็จะไม่รู้ว่า ลมจะเข้าหรือออก ยาวหรือสั้น
................
ตามดูลมให้ตลอดสาย
...............
เอ้า ทีนี้ ลองเป็นผู้ควบคุมลมซิ ใช้ ตัวรู้ บังคับลมให้เข้าทางจมูก ขึ้นหน้าผาก ไปวนอยู่ที่

กลางกระหม่อม ลงไปที่ท้ายทอย กระดูกสันหลัง ก้นกบ ออกทะลุมาที่ช่องท้อง สะดือ ลิ้นปี่

หน้าอก ลำคอ และออกปาก ลองดูซิ
ทำตามนี้ บังคับลม แล้วต้องตามดูให้ชัดตลอดสาย เหมือนกับมองเห็นของเหลวที่วิ่งอยู่ใน

หลอดแก้วใสๆ
.............
เห็นให้ชัด แล้วมันจะพัฒนาจนถึงขั้นเห็นเลือดที่ไหลอยู่ เคลื่อนตัวอยู่ในหลอดเลือด ในเส้น

เลือด
...............
อย่านั่งเป็นคนตาย
.............
คนที่ตายแล้ว นั่งอย่างไร คือ ตัวรู้ตายหมด อย่างนั้น เค้าเรียกว่า คนก็ไม่ใช่คน เพราะจะ

เป็นมนุษย์ เป็นคนได้ ต้องมี ตัวรู้ ถ้าไม่รับรู้ ไม่รู้ ไม่เรียนรู้ ไม่พัฒนาตัวรู้ มันจะเป็นมนุษย์

เป็นคนดีไม่ได้
............
ลองสูดลมหายใจเข้า แล้วเดินลมมาที่ลำคอ แยกไปที่ไหปลาร้า 2 ข้าง ต้นแขน ข้อศอก

ท่อนแขนด้านล่าง ฝ่ามือ แล้งออกที่ปลายนิ้วมือ ดูซิ
..............
อืม
..............
ค่อยๆ พยุงตัวรู้ ลุกขึ้นยืน อย่างช้าๆ
ยืนแบบ ผู้รู้
..............
ตั้งตัวรู้ไว้กลางกระหม่อม
.................
ลืมตา
....................
อยู่ที่กลางกระหม่อม ท่านผู้รู้ประทับอยู่กลางกระหม่อม นั่นคือพระพุทธะของเรา
พระพุทธะแต่ละคนไม่เท่ากัน บางองค์สูง บางองค์เตี้ย บางองค์ใหญ่ บางองค์ผอม บางองค์

เล็ก          บางองค์บาง บางองค์หนา บางองค์แคบ
ขึ้นอยู่กับความรู้ที่มี ตัวรู้ที่ปรากฏ
ความรู้ และ ตัวรู้ จะมีและปรากฏได้อย่างยิ่งใหญ่ ก็ต่อเมื่อเราต้องทุ่มเทให้กับท่านผู้รู้อย่าง

สุดชีวิตจิตใจ ไม่ใช่ลูบๆ คลำๆ
.................
เรียกว่า พัฒนา ตัวรู้ จนถึงขีดสุด
...............
กลางกระหม่อมยังเล็กไปเลยสำหรับตัวรู้ที่ไม่มีขีดจำกัด แม้แต่ในศาลานี้ ยังมีที่ตั้งอันน้อย

ไปเลยสำหรับตัวรู้และท่านผู้รู้ที่ยิ่งใหญ่ระดับนั้น
..................
เรียกว่า รู้ไม่มีขีดจำกัด
.................
พาท่านผู้รู้ ออกเดิน
..............
ไม่ทำให้ท่านผู้รู้ ล่วงหล่นหายนะ
...............
ตั้งมั่นอยู่กลางกระหม่อม ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทใด ท่านผู้รู้ ต้องไม่ตาย
...............
หยุดอยู่กับที่ เลื่อนท่านผู้รู้ไปอยู่กลางฝ่ามือ
.............
รู้อยู่กลางฝ่ามือ 2 ข้าง ซ้ายและขวาอย่างชัดเจน จากกลางกระหม่อม มาประทับอยู่ที่

กลางฝ่ามือ
............
ไม่ต้องสนใจลมหายใจ ปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติ รู้อยู่เฉพาะกลางฝ่ามือ 2 ข้าง เฉยๆ
..............
พาท่านผู้รู้ ออกเดิน
.................
ยิ่งเคลื่อนไหว แล้วท่านผู้รู้ยังตั้งมั่น ก็ถือว่า ท่านผู้รู้นั้น เป็นที่พึ่งของเราได้
แต่ถ้าเคลื่อนไหวแล้ว ท่านผู้รู้สับสน ดับๆ ติดๆ แสดงว่า เรายังพึ่งไม่ได้
ต้องฝึกให้หนัก
.................
เพราะสถานการณ์อุปฆาตกรรม วิบากกรรมที่เราทำไว้แต่อดีตก็ตาม ปัจจุบันก็ตาม เราคาด

เดาไม่ได้ เรารู้ล่วงหน้าไม่ได้ว่า มันจะให้ผลเราเมื่อไหร่ แล้วผลนั้น จะดีหรือร้าย
แล้วถ้ายิ่งท่านผู้รู้ ติดๆ ดับๆ เกิดอุปฆาตกรรมเข้ามาตัดรอน ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่า โลก

ที่จะไป คือ อะไร
งั้น จงตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ทำให้ท่านผู้รู้ดำรงค์อยู่อย่างยั่งยืน
..............
เพราะเมื่อมีตัวรู้อย่างสมบูรณ์ เราก็พร้อมที่จะเผชิญได้ทุกสถานการณ์ ทุกวิบากกรรม

แม้นที่สุด ทุกอุปฆาตกรรม
..................
ไม่ว่า กรรมไหนจะมาตัดรอนเรา เราตั้งมั่น ไม่โยกโคลน ไม่สั่นคลอน
.............
ท่านผู้รู้ยังอยู่กลางฝ่ามือ
.................
หยุดอยู่กับที่
............
ดูซิ ยังอยู่ที่กลางฝ่ามือไม๊
.................
เคลื่อนท่านผู้รู้ มาอยู่ที่ปลายนิ้วชี้ 2 ข้าง
................
รู้อยู่ที่ปลายนิ้วชี้ทั้ง 2 ข้าง
..................
ความรู้มีอยู่มหาศาลมากมาย ปัญหาของพวกเรา คือ ไม่มี ตัวรู้ ที่จะไป รับรู้ ตัวรู้เราอ่อนแอ

ความรู้จึงไม่หลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามาหา
หน้าที่ของเรา คือ ต้องพัฒนาท่านผู้รู้ให้แข็งแรง เราจึงจะสามารถไปรับเอา ความรู้ ที่มีอยู่

รอบกายเราเยอะแยะนั้น เข้ามาสู่ตัวเราได้
...............
แล้วตัวรู้ ท่านผู้รู้ ในที่นี้ คือ องค์พระพุทธะของเรา เป็นที่พึ่งของเราได้ทุกขณะ
.............
เคลื่อนตัวรู้ กลับไปอยู่ที่กลางฝ่ามือ
..............
รู้อยู่ที่กลางหน้าผาก จากฝ่ามือ รู้อยู่ที่กลางหน้าผาก
...............
ใช้คำว่า รู้ แต่ไม่ใช้คำว่า เพ่ง เพราะ เพ่ง มันเป็นความเข้มงวดเกินการ มันจะทำให้เหนื่อย
.................
ท่านผู้รู้ ตั้งอยู่ที่หน้าผาก
หลับตา
.............
รู้ เฉยๆ ไม่ได้ให้เห็นภาพ ไม่มีสี ไม่มีแสง ไม่มีกลิ่นอายใดๆ มีแต่ตัวรู้ ถ้าไปเห็นสี เห็นแสง

รับกลิ่นอาย เดี๋ยวท่านผู้รู้ก็ตาย
..............
แยกแยะให้ได้ว่า อะไรคือมิตร และศัตรู
รู้ เฉยๆ เป็นมิตร สี แสง เสียง เป็นศัตรู
..............
เราไม่ได้เพ่งนิมิต เพ่งกสิน ไม่จำเป็นต้องใช้สีและแสง
....................
เคลื่อน ตัวรู้ ขึ้นกลางกระหม่อม
............
ให้พระพุทธะตั้งอยู่กลางกระหม่อม
................
อย่าใส่ใจต่อไอและปราณที่พุ่งขึ้นจากกลางกระหม่อม
..............
รู้เฉยๆ เดี๋ยวไปใส่ใจ ตัวรู้จะหาย
...........
ดี
..............
กลับไปอยู่กับลมหายใจ
.............
หายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก เบาๆ ยาว หมด แล้วก็ผ่อนคลาย
..............
พักนิดหนึ่ง แล้วหายใจเข้าไปใหม่ แล้วก็ออกอย่างผ่อนคลาย
..............
สูดลมหายใจเข้า ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข
หายใจออก ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์
....................
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก ยกมือไหว้พระกรรมฐาน ลืมตา แล้วเข้าที่
...............
(มีผู้เข้าไปถาม คำถามหลวงปู่)
เอาน้ำมันราด แล้วเอาไฟจุด มันมาถามว่า เมื่อไหร่ หน้าผากจะมีแสง ไปไกลๆ ตีน เพิ่งจะ

สอนเมื่อกี้ว่า อย่าสนใจแสง สี ให้มีแต่ตัวรู้ ยังมาถามอีกว่า เมื่อไหร่หน้าผากจะออกแสง

ก็น้ำมันราดหัว แล้วเอาไฟจุด เดี๋ยวก็มีแสง
ตั้งใจ ถวายทาน ลูก เดี๋ยวจะไปพัก
(กราบ)
โขคดี ลูก ธรรมะรักษา ให้ทุกคนเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพปลอดภัย
กราบพระ อะระหัง สัมมา
(กราบ)
เจริญธรรมทุกคน ลูก
(สาธุ)
(กราบ)