10 มิ ย 2555 13.10 น. ธรรมะสัปดาห์ที่ 2 โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
• วิถีแห่งปราณโอสถ มีทั้งสติมีทั้งสัมปชัญญะ
• ยามะเร็งที่หลวงปู่ทำ มันจะทำเป็นยาที่เค้าเรียกว่า 2 ฤทธิ์ คือ มีร้อนกับ
เย็น เพื่อจะให้เกิดอะไร เกิดสภาพความเป็นกลาง แล้วก็ปรับสมดุลย์ให้ร่างกายมันไปสร้าง
ภูมิต้านทานมะเร็งด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้ฤทธิ์ยา
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่านผู้รับชมรายการปุจฉา วิสัชนา ญาติโยม
ชาวบ้านที่มาอยู่ ณ.สถานที่สมาคมแห่งวันนี้ในวาระการประชุมฟังธรรมตามกาล
พรพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอบรม บอกถึงความเป็นมงคลของชีวิต กาเล ธัมมะ สากัจฉา กาเล
ธัมมะ สะวะนัง การฟังธรรม การเจรจาธรรมตามกาล คำว่า กาเล คือ ตามกาล เอตัมมัง คะ
ละมุตตะมัง ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
กาลนี้ เป็นการแสวงหาสิ่งดีมีมงคลให้แก่ชีวิต ท่านทั้งหลายที่รับชมรายการนี้ ก็ถือโอกาสได้
รับความเป็นมงคลจากวิถีคิด วิถีชีวิต วิถีทำ วิถีพูด ของชาวครอบครัวธรรมะอิสระไปด้วย
ก็มีการอัดเทปเพื่อไปเผยแพร่ออกสู่รายการปุจฉา วิสัชนา ซึ่งดำเนินรายการโดยคุณมนัส
ตั้งสุข พิธีกรสุดหล่อของเรา ผู้ทำหน้าที่พิธีกรเปิดรายการ เปิดโอกาสให้คุณมนัสทำหน้าที่
เปิดรายการ
คุณมนัส กราบนมัสการท่านหลวงปู่พุทธะอิสระนะครับ ......วันนี้มารวมกันด้วย
ความเป็นคนใจดี ในภาวะที่อาจจะไม่ค่อยดีนัก....มีสาเหตุที่มาที่ไป จากสัปดาห์ก่อนๆ
หลายท่านบอก เครียดมาก โดยเฉพาะเรื่องของการบ้าน หลายเรื่องที่ยังแก้ไม่ได้ เรื่องของ
การเมืองที่ยังเป็นปมอยู่ ก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนคลายปมเหล่านี้ให้ เพราะฉะนั้น พวกเรามา
ช่วยกันคลายปมด้วยตัวของพวกเราเอง มีใจที่ดี มีใจที่มีความสุข ด้วยการฟังธรรมะของ
ท่านหลวงปู่
หลวงปู่ เฮอ
คุณมนัส คิดไว้แล้วว่า ต้องเป็นแบบนี้
หลวงปู่ ชั้นมอง 2 วิถีนะ มองวิถีโลกกับวิถีธรรม ถ้ามองวิถีโลก มันพูดยาก คนที่ไม่มีศีล
เพราะว่าศีลนี่มันทำให้คนมีระเบียบ มีกฏเกณฑ์ มีกติกา มีความยอมรับเคารพในระเบียบ
กฏ กติกา ในกฏบัตร กฏหมายที่ใช้ปกครองบ้านเมือง
อ้ายคนมีศีลนี่ จะเป็นคนละอายชั่ว เกรงกลัวบาป คนมีศีล จะเป็นคนทำชีวิตให้ปกติ ไม่ใช่
ผิดปกติ อีกทั้ง ศีลเป็นเครื่องนำพาให้สังคมธรรมชาติรอบกายชีวิตในตัวเอง และชีวิตรอบ
ตัวอยู่ร่วมกันได้อย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย เกื้อกูล การุณต่อกันและกัน
ศีลทั้ง 5 ข้อเนี่ย พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านทรงบัญญัติเอาไว้สำหรับที่จะกำกับดูแล
พฤติกรรมทางกายทางวาจาของเรา ให้เป็นผู้ที่มีชีวิตอย่างปลอดภัย ผ่อนคลาย คือ เราเข้า
ไปสู่สังคม สังคมก็จะปลอดภัย เพราะเห็นว่า เราเป็นคนมีศีล เค้าก็ไม่ต้องหวาดกลัวเรา อีก
ทั้งสังคมนั้น เป็นสังคมที่มีศีล เราก็จะปลอดภัย ผ่อนคลาย เพราะว่า เรายอมรับกฏเกณฑ์
กติกา ระเบียบวินัย กฏบัตร กฏหมายที่บ้านเมือง หรือว่าสังคมนั้นเอาออกมา
ทีนี้ อ้ายคนไม่มีศีล มันก็จะอ้างไปเรื่อย อ้างว่า ทำไมสมัยนั้น รังแกชั้น สมัยนี้ ชั้นทำบ้าง ก็
อ้างว่ามันไม่ถูกต้อง ไม่ดี ก็อ้างกันไปอ้างกันมา ก็มีข้ออ้างได้ตลอด เหมือนกับมีคำอ้างว่า
เมื่อชาติที่แล้ว มึงตีกู ชาตินี้ กูก็เลยต้องตามมาตีมึง อะไรประมาณนี้ เรามันจองเวรจอง
กรรมกันไม่จบสิ้น
พอมันจองเวรจองกรรมกันไม่จบสิ้น มันก็ถึงได้ถอนหายใจว่า มันพูดยากกับคนไม่มีศีล
อ้ายที่มันเดือดร้อนกันทุกวันนี้ ก็เพราะความไม่มีศีล นี่พูดถึงวิถีโลก
ถ้าพูดถึงวิถีธรรม ก็ต้องพูดต่อไปว่า มันจะอะไรกันนักหนา เดี๋ยวก็ตายไปหมดแล้ว ไม่มี
อะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร ทุกคนตายแน่ๆ มันไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า
อ้ายที่เดือดร้อนกันอยู่ทุกวันนี้ มันคิดว่า ตัวเองอยู่ค้ำฟ้าไง ยิ่งใหญ่เหนือฟ้า สามารถเอามือ
ลูบฟ้า เอามือจับดวงดาวพระอาทิตย์ได้ ตัวเองใหญ่มากๆ จนลืมไปว่า เราต้องตาย เรามี
ปกติที่มีความตายเข้าครอบงำอยู่เนืองนิจ
หลวงปู่ดูทีวีแต่ละช่องๆ ดูทีวีเสื้อเหลือง เสื้อเหลืองก็ด่าเสื้อแดง ดูทีวีเสื้อแดง เสื้อแดงก็ด่า
เสื้อเหลือง ด่ากันไปด่ากันมา สรุปแล้ว ใครเป็นคนโดนด่า ใครเป็นคนโดนด่า ทุกคนตาย
แล้วโดนด่าทั้งนั้น ที่ด่ากันไปด่ากันมา มันตายทั้งนั้น
จึงอยากบอกว่า เพลาๆ กันบ้างเถอะเพื่อความสงบของบ้านเมืองของแผ่นดิน เราเอากติกา
ไหน เอาระเบียบไหน เอากฏเกณฑ์อะไร อ้ายที่เราทะเลาะกันอยู่ทุกวันนี้ ก็ทะเลาะว่า อ้าย
ระเบียบและกติกา กฏเกณฑ์ ไม่ใช่พวกของตนเขียน ถ้าพวกของตนเขียน ก็จะไม่ทะเลาะ
ทีนี้ ก็เพื่อจะให้พวกของตนมาเขียน เราก็เลยต้องมาทะเลาะ หรือว่า เค้าก็ต้องมาทะเลาะ
พวกของเราเขียน เราก็จะป้องกัน อ้ายพวกคนอื่นมาเขียน เราก็ไม่อยากให้เขียน
สรุปแล้ว กติกานั้น เอาไว้ปกครองใคร ปกครองพวกของตน หรือปกครองพวกของเค้า
ปกครองพวกของมึง หรือปกครองพวกของกู มันหาข้อยุติไม่ได้ สำหรับคนไม่มีศีล
คนไม่มีศีล เค้าก็จะตระบัดสัตย์ไปเรื่อย เลอะเทอะไปเรื่อย เปรอะเปื้อนไปเรื่อย พะรุงพะรัง
มีเรื่องมากมายไม่จบสิ้น
งั้น เราก็ได้แต่เฝ้าดู ถ้าเรียนรู้วิถีของโลก ก็ต้องดูให้ลึก ดูให้ละเอียด ดูให้กว้าง ดูให้แจ้ง ดูว่า
จำแนกแยกแยะ เอาตามวิถีสมมุติทางโลก ตั้งแต่ทุกอย่างในโลกมันเป็นสมมุติ เราเข้าใจ
สมมุติ แล้วก็ใช้มัน ใช้สมมุติ แล้วก็ให้กียรติในสมมุติบ้าง ได้ประโยชน์กับสมมุติบ้าง ท้าย
ที่สุด อย่าไปยึดติดมันมาก ไม่งั้น สมมุติจะทำให้เราทุกข์ ทำให้เราลำบาก
แต่ทุกวันนี้ ไม่ว่าเสื้อสีอะไร ทั้งที่ไม่รู้รู้หรือเปล่าว่า มันเป็นสมมุติ แต่เราก็ถูกสมมุติครอบ
งำอย่างเต็มที่อย่างไม่ลืมหูลืมตา จนกลายเป็นคนที่โดนพันธนาการด้วยสมมุติ แล้วก็
ฉุดกระชากลากถูกันไปตามเหตุตามปัจจัย
บางคนก็โดนฉุดไป อยากได้ 7 ล้าน
บางคนก็โดนฉุดไป ที่ผ่านมากูได้น้อย อยากได้เพิ่มขึ้น
บางคนโดนฉุดไป ได้ 7 ล้านไม่ยุติธรรม พวกมึงตายได้ 7 ล้าน พวกกูตายได้ 200
บางคนก็โดนฉุดไป เพราะอยากที่จะรักษา เค้าเรียกว่า ประชาธิปไตย ความเป็นธรรม
ประชาธิปไตยของใคร ของพวกไหน ก็ว่ากันไป อีกพวกหนึ่ง ก็บอกประชาธิปไตยของ
พวกมึง แต่กูไม่ได้ อีกพวกหนึ่งก็บอก ประชาธิปไตยของกู พวกมึงไม่ต้อง มันก็เลยกลาย
เป็น มีคำว่า ตัวกูเข้าไปอยู่ในความหมายของการบริหารการจัดการ เรียกว่า ประชาธิปไตย
พูดให้ตายก็ไม่เจอคำว่า ประชาธิปไตย เพราะมีคำว่า กู เข้าไปใส่
งั้นดูรายการ ฟังรายการ สารพัดสีคุยกันไปคุยกันมา ก็ตัวกูใหญ่ทั้งนั้น มันไม่มีตัวกูเล็กลง
ถ้าตัวกูเล็กลง เราจะรู้ว่า อ้ายที่ทำอยู่เนี่ย มันถูกหรือมันผิด
เดี๋ยวนี้ ทุกคนตัวกูใหญ่หมด มันก็เลยไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด เพราะเชื่อว่า กูทำแล้วถูก
ต้องไปหมด มันก็เลยได้ข้อสรุปมาตรงคำว่า พวกที่ตายจะไปเป็นอะไร มันจะเป็นอะไร
มันจะเกิดอย่างไร แล้วสิ่งที่มันอยู่อาศัย มันจะอยู่อย่างไร แบบไหน สุขทุกข์อย่างไร
มันก็น่าสมเพช น่าสงสาร
ถ้ามองโดยวิถีธรรม ก็ต้องบอกว่า พวกนี้ ไม่มีธรรมะอะไร วิถีศีลก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่
มีอยู่แล้ววิถีธรรม ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้ามีคำว่า ตัวกู ก็ต้องมีพวกของกู มีเผ่าพันธุ์กู มีญาติกู
มีพรรคกู มีบริษัทบริวารกู มีสีกู เมื่อมีสีกู ญาติกู พวกกู บริษัทบริวารกู พรรคกูเนี่ย มัน
ประชาธิปไตยตรงไหน มันไม่ใช่ประชาธิปไตย เพราะประชาธิปไตยมันคือ ความหลาก
หลายของทุกภาคส่วน ทุกภาคส่วนที่ไม่ใช่สีกู ถ้าหากว่า ทุกคนใช้คำว่า สีกู มันไม่ใช่
ประชาธิปไตย สีเหลืองก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย สีแดงก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย
ถ้ามันทุกภาคส่วน ก็คือ มันทุกสี ทุกสีเข้าร่วมกันรังสรรภาระกรรมนี้ให้มันลุล่วงสำเร็จ
อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ประชาธิปไตย แต่ถ้าสีใครสีมัน ไม่มีสิทธิ์จะใช้คำว่า ประชาธิปไตย เค้า
ใช้คำว่า อัตตาธิปไตย คือ ตัวกูลากไป พวกมากลากไป งั้น ตัวกูลากไป พวกมากลากไป
อ้ายคำว่า ประชาธิปไตย ใช้เสียงข้างมากเป็นประมาณ มันหมายถึง คนหลายกลุ่มมารวมกัน
แล้วใช้เสียงนั้น มีความเห็นอันตรงกัน อย่างนี้มันคนกลุ่มเดียวมันมารวมกัน พวกเดียวรวม
กัน สีเดียวรวมกัน พรรคเดียวรวมกัน มันจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร
ไม่ใช่ อย่าเข้าใจความหมายของคำว่า ประชาธิปไตยผิด ประชาธิปไตย มันหมายถึง คน
หลายกลุ่ม หลายเผ่าพันธุ์ หลายเชื้อชาติ หลายสี หลายที่ หลายทิศ หลายทาง มันมาอยู่รวม
กัน แล้วก็ออกเสียงเหมือนกัน อย่างนี้มีความเห็นตรงกัน ให้คะแนนนิยมพร้อมเพรียงกัน
ยอมรับในเสียงข้างมากเป็นประมาณ อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ประชาธิปไตย ซึ่งมันได้มาจาก
คนหลายกลุ่ม หลายเผ่าพันธุ์ หลายเชื้อชาติ แม้จะมีความเห็นผิดแผกไปบ้าง แต่เมื่อยอมลง
คะแนนให้ ก็แสดงว่า มันออกมาจากหัวใจของคนหลากหลาย
แต่อ้ายนี่ พันธุ์เดียวกันหมด พันธุ์หางแดงทั้งหมด เมื่อมันหางแดงทั้งหมด แล้วจะบอกว่า
ประชาธิปไตย มันก็คงใช้ไม่ได้ เพราะประชาธิปไตยเผ่าพันธุ์หางแดง ประชาธิปไตยแบบ
พันธุ์แดงๆ
ถ้าหากว่า มันมีสีอะไรเข้าไปเหลือบอยู่ในสีแดงบ้างเนี่ย มันก็จะดูว่า เออ พูดได้ว่า เป็น
ประชาธิปไตย แล้วก็ชอบอ้างกันจังเลย อ้างกันมาก อ้างว่า นี่เราทำเพื่อประชาธิปไตย เรา
พูดเพื่อประชาธิปไตย เราเดินเพื่อประชาธิปไตย กล้าที่จะบอกไม๊ว่า ประชาธิปไตยเป็น
ของใคร ของพวกไหน ของพวกเผ่าพันธุ์อะไร ของสีอะไร ของพรรคไหน ของสังคมอะไร
กล้าที่จะบอก กล้าที่จะยอมรับความจริงไม๊
ถ้ากล้าที่จะยอมรับความจริง ก็หันไปดูว่า อ้ายที่ยกมือน่ะ มันมีพวกไหนบ้างที่ยก อ้ายที่
ยอมรับ อ้ายที่รับกฏเกณฑ์ รับกติกา อ้ายที่แย้วๆ โวยวายขึ้นมา มันพวกไหนบ้าง ถ้ามี
หลากหลายเผ่าพันธุ์ หลากหลายพวกมาก เออ อ้ายนี่ชอบธรรม แต่ถ้าพวกเดียวมาร้องเรียน
มาร้องแรกแหกกระเชอ อย่างนั้นมันหาความชอบธรรมได้ที่ไหน มึงก็ทำประโยชน์เพื่อ
พวกของมึง อย่างนี้เป็นต้น พวกอื่นไม่ได้ประโยชน์
งั้น ดูยังไง มันก็ยังยุ่งอยู่ไม่เลิก เพราะว่ามนุษย์ยุคปัจจุบัน มันถึงคำว่า อันตรธาน
ปฏิเวธอันตรธาน ปฏิบัติอันตรธาน ต่อไปก็ ปริยัติอันตรธาน
งั้น ปฏิเวธ คือ ความสงบระงับของกิเลส มันอันตรธานไป มันเหลือแต่กิเลสฟุ้งไปตลอดเวลา
มันก็ยากที่จะไปหาจุดยืนที่มันแสวงประโยชน์ร่วมกันได้ ถ้ามันจะเป็นประโยชน์ ก็เป็น
ประโยชน์ของพวกพ้อง ไม่ใช่ประโยชน์ของหลากหลายเผ่าพันธุ์ ของมนุษยชาติ มันเป็น
ประโยชน์ของสีอะไร พวกอะไร พรรคอะไร ญาติของใคร ทำทำไม ทำเพื่อใคร
มันไม่ใช่ประโยชน์ของคนไทยทั้ง 90 กว่าล้านคน ซึ่งมันก็ต้องอาศัยเสียงสนันสนุน ทีนี้
บังเอิญคนไทย 90 กว่าล้านคน มันดันมีคนไทยกลุ่มหนึ่งที่มีความคิดว่า อดีตตัวเองโดน
รังแกมา โดนกลั่นแกล้งมา รวมตัวกันจนได้อำนาจการปกครอง แล้วก็เรียกร้องสิทธิ์ตาม
เหตุตามปัจจัย ตามที่กูอยากได้ ที่ผ่านมาที่เวลานี้ มันเป็นเช่นนี้ในบ้านเมือง แล้วพวกนี้ก็
อ้างความชอบธรรมโดยความหมายของคำว่า ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยซึ่งมีประมาณ
15 ล้านเสียง แต่คนอีกกี่ล้านเสียงที่ยังไม่รู้ว่า เค้าคิดอะไร เค้าพูดอะไร เค้าทำอะไร จะพูด
ได้ยังไงว่า เป็นประชาธิปไตย
งั้น พวกนี้ไม่มีสิทธิ์พูด ไม่มีสิทธิ์พูด เพราะพูดไปก็บาปปาก พูดไปก็เป็นเรื่องน่าขยะแขยง
น่ารังเกียจ แล้วก็ตบหน้าตัวเอง เพราะพวกนี้ ก็คือ พวกอัตตาธิปไตย
ถ้าไม่ใช่อัตตาธิปไตย ประชาธิปไตยจะต้องมีคำว่า ธรรมาธิปไตย
มันจะต้องแสวงหาจุดร่วมโดยธรรม
โดยธรรม ก็คือ โดยอะไรบ้าง
ว่ากันมาก็ พี่เอ๊ย น้องเอ๊ย ทิศเหนือมาว่าไง ทิศตะวันออกมาว่าไง ทิศตะวันตกมาว่ายังไง
ทิศใต้มาว่ายังไง ภาคกลางมาว่ายังไง
เมื่อเอาความเห็นมาประมวลรวมกันแล้ว ก็หาจุดร่วมมาถกกันว่า ความหมายของคำว่า พี่
น้องต้องการและสิ่งที่จำเป็นสำหรับแผ่นดินนี้ คืออะไร นั่นแหละเค้าเรียกว่า ประชาธิปไตย
อย่างแท้จริง
แต่วันนี้ มันไม่ใช่ ใครขึ้นมาเป็น ไม่ว่าฝ่ายไหนทั้งนั้นแหละที่ผ่านมา พรรคไหนขึ้นมาเป็น
มันก็เอาพรรคมากเป็นประมาณ พวกมากลากไป แล้วพวกนี้ก็ชอบใช้คำว่า ประชาธิปไตย
งั้น มันยาก ถ้าเมื่อไรที่บ้านเมืองนี้ มีคนไปเลือกตั้งร้อยหนึ่ง ประมาณซัก 70 ถึง 80
ถึง 90% และอ้ายพวก 80 - 90% มันเลือกพรรคเดียว คนๆ พวกเดียว เผ่าพันธุ์
เดียว นั่นแสดงว่า คนในบ้านเมืองนี้ เป็นพวกนี้ ก็ถือได้ว่า เค้ามีความเห็นความคิดที่ตรงต่อ
ความต้องการของคนทั้งบ้านทั้งเมืองนับประมาณคน จำนวนได้แล้ว 90 กว่า % 80%
70% ของบ้านเมืองนี้
แต่อ้าย 15% ของบ้านเมืองนี้ แล้วก็มาบอกว่า นี่คือ พวกมากลากไป ยังไม่ใช่ ยังไม่ถูก
ต้อง ยังไม่ถือว่า เป็นประชาธิปไตย แล้วยังมีความคิดความเห็นอื่นๆ สิ่งอื่นๆ นอกเหนือนี้ที่
เรายังไม่ได้รับฟังเค้า แล้วเราก็ปิดหูปิดตาเรา แล้วไม่พร้อมจะรับฟัง แล้วก็ใช้ความคิดตัวเอง
เป็นตัวผลักดันความคิดความอ่านของตนให้กับคนเป็นรูปธรรม
งั้น ก็ถือว่า เป็นเวรกรรมของบ้านเมือง แล้วมันก็เป็นเวรกรรมของคนอยู่ในบ้านเมืองนี้
แล้วก็เป็นเวรกรรมของพวกที่ไปเลือกเค้ามาด้วย ด้วยเหตุผลว่าอะไร ก็เลือกมาแล้ว ทำให้
ทุกอย่างมันแพง เออ ข้าวแกงก็แพง อะไรก็แพง แล้วเลือกมาแล้ว ทุกอย่างมันจะดูดี มี
โมเดลเยอะแยะ นี่เห็นว่า พิจิตร บางสะพาน อะไรนะ บางระกำโมเดลก็โดนทุบทิ้งไปแล้ว
ด้วยเหตุผลว่า น้ำมันท่วม เราเสียงบประมาณโมเดลไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ นั่นแหละคือ
ประชาธิปไตย
บ้านเมืองนี้ เป็นเครื่องมือทดลองของคนบางสี บางกลุ่มเท่านั้น สีนี้มาเป็น ผู้มีอำนาจก็เอา
บ้านเอาเมืองมาทดลองกันเล่น เหมือนกับเด็กเล่นขายของ เสร็จแล้วพอหมดอำนาจ ก็สีใหม่
เข้ามา แล้วก็มาเล่นใหม่ เล่นใหม่ หาวิธีเล่นไปตามเหตุตามปัจจัย คือ ไม่มีคนมีสติปัญญา
อย่างแท้จริงมาเล่นบ้านเมือง หรือ มาบริหารบ้านเมืองนี้ พอเค้ามี ก็ไม่ยอมรับเค้า อ้างว่า
เป็นอำมาตย์ เป็นไพร่ อะไรก็ไม่รู้ มั่วกันไปหมด
งั้น ก็ให้มันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
คุณมนัส ท่านหลวงปู่ครับ ปุจฉาครับ
หลวงปู่ วิสัชนา
ปุจฉา ถ้าอย่างนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ควรจะแก้ไขไปในทิศทางไหนบ้าง หลวง
ปู่เมตตาวิสัชนาว่า วิธีการแสดงออกของคนในสังคมทุกวันนี้ยังติดสมมุติอยู่ สมมุติที่นำไป
สู่ความทุกข์ แล้วก็มีความยึดติดในอะไรบางอย่าง แล้วท้ายที่สุด ยังแถมพ่วงเรื่องของอัตตา
เข้ามา คือ ความเป็นตัวกู ของกู แบบนี้จะพิจารณาอัตตาอย่างไร
วิสัชนา ตาย ไปตายซะ แล้วก็ตายซะให้หมด แล้วทุกอย่างมันจะได้รับการแก้ด้วยตัวมัน
เอง ถ้าพวกนี้ยังไม่ตาย และไม่ยอมตาย ไม่กล้าที่จะตาย ไม่เผชิญความตาย แล้วก็เห็น
ความตายเป็นเรื่องน่าหวาดกลัว แล้วก็มองว่า ความตายยังมาไม่ถึงเรา ยังไม่คิดที่จะตาย
ไม่พร้อมที่จะตาย ก็เมื่อนั้นก็ยังมีอัตตายิ่งใหญ่มาก ขึ้นเรื่อยๆ
งั้น จะแก้ได้ ก็คือ ไปตายซะอ้ายหน้าเหลี่ยม ตายซะแล้ว ทุกอย่างมันก็จะจบ ไม่มีอะไร
คุณมนัส ไม่ชี้ทางเลยหรือครับ
หลวงปู่ ก็ต้องไปตายซะ ก็มันต้องตายอย่างเดียว ก็ไม่มีวิธีแก้อย่างอื่น มันไม่รู้ว่า บ้าน
เมืองนี้จะเป็นเครื่องมือในการเล่นอีกนานแค่ไหน
เพราะฉะนั้น คำตอบสุดท้าย คือ ต้องตาย ส่วนใครจะไปทำให้ตาย ฟ้าผ่าตาย เป็นโรคห่าตาย
เป็นโรคระบาดตาย เป็นมะเร็งตาย เป็นโรคเอดส์ตาย หนามทิ่มตาย ก้างปลาทิ่มเหงือกตาย
ข้าวติดคอตาย น้ำจุกกระเดือกตาย ลมเข้าแล้วไม่ออกตาย เออ หรือว่า จะเป็นอะไรตาย
สมองโป่งตาย สมองฝ่อตาย ตับแข็งตาย เงินทับตาย สุดท้าย มึงตาย ตาย ตาย แล้วก็ตาย
ตายหมด กูก็ตาย แต่กูตายที่หลังมึง มันถึงจะแก้ปัญหาได้
นี่ไม่ใช่สอนให้เกิดความรุนแรง ให้ใครไปฆ่า แต่ถ้าคิดถึงความตายอยู่เนืองๆ เป็นนิจสิน
มันก็จะแก้ปัญหาได้
ทุกวันนี้ เราไม่คิดถึงความตาย เราเห็นความตายเป็นเรื่องยังมาไม่ถึงตัว ยังไกลตัว แล้วเรา
ก็ทำอะไรโดยไม่กลัวตาย ทำอะไรโดยไม่คิดว่า พรุ่งนี้ ต้องตาย
งั้น อ้ายทำอย่างนี้ มันก็เลยทำให้สิ่งที่ตัวเองทำ มันเป็นความเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์
จำนวนมากมาย คนๆ เดียว ทำให้บ้านเมืองวุ่นวายมาได้เป็นร่วม 10 ปีเนี่ย มันเป็นอะไร
ที่แย่มากๆ
งั้น คำตอบ ว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ก็คือ ตาย ตาย ตาย อืม มึงไปตายซะ
คุณมนัส 20 นาทีผ่านไป ท่านหลวงปู่สังเกตุหรือเปล่าไม่รู้ ว่าเสียงท่าน
หลวงปู่ ก็บอกแล้วว่า ถ้ากูใกล้ตาย
คุณมนัส แบบเหนื่อย ไม่ใช่เหนื่อย แต่มีความรู้สึกเหมือนกับปลง
หลวงปู่ อาตมาพอใกล้ตาย แล้วพอเจอไมค์ มันก็จะโปรขึ้นมาทันที
คุณมนัส งั้น เราปุจฉากันเลยดีกว่าครับ เพราะมีเรื่องเกิดแก่เจ็บตายในวันนี้ด้วย ทุกท่าน
ติดตามได้ทาง TNN 2 ทุกเช้าวันเสาร์ 9 นาฬิกา ถึง 10 โมงเช้า เอาเรื่องความตาย
ก่อนเลยดีกว่า จะได้ต่อเนื่องกับเรื่องของท่านหลวงปู่
ปุจฉา ชีวิตหลังความตาย ทำไมถึงหนาว น่ากลัว อยากทราบว่า ขณะที่จิตวิญญาณจะ
หลุดออกจากร่างกาย มีอาการเป็นอย่างไร แล้วทำไมคนเรามาเกิด จึงจำชีวิตก่อนมาเกิดไม่
ได้ เพราะมันก็คือ จิตดวงเดียวกับที่ดับ แล้วก็เป็นดวงเดียวกับที่เราเกิด
วิสัชนา อืม เข้าใจผิด ไม่ใช่ว่าจิตดวงเดียว จิตดวงที่เกิดมันดับแล้ว คือ จิตปัจจุบันมันคน
ละจิตกับดวงที่เกิด แล้วทุกขณะจิตน่ะ ดวงหนึ่งๆ มันเกิดดับ เกิดดับ มันอยู่ได้เพราะเหตุว่า
เป็นดวงเดียวกัน เพราะใช้ระบบสันตติ คือ ความสืบเนื่อง
ที่จริงน่ะ จิตเราเกิดดับ เกิดดับ ในขณะที่รู้แล้วดับ รู้แล้วดับ เช่นเวลานี้เรารู้สึกว่านั่งอยู่ อ้าย
จิตที่รู้สึกว่านั่งอยู่มันดับแล้ว นั่งท่าอะไรต่อมา เอ้านั่งท่าพับเพียบ จิตที่รู้ว่านั่งท่าพับเพียบ
มันดับแล้ว จิตดวงใหม่เกิด นั่งแล้วปวด อ้ายจิตที่รู้ว่าปวดมันดับแล้ว ก็ต้องปรับเปลี่ยน
อิริยาบท อ้ายจิตปรับเปลี่ยนอิริยาบทก็ดับไปอีกแล้ว ก็มาเปลี่ยนเป็นท่ายืน จิตยืนดับแล้วก็
มาเปลี่ยนเป็นนั่ง จิตนั่งดับแล้วก็มาเปลี่ยนเป็นนอน
งั้น รู้ที่ไหน จิตเกิดที่นั่น รู้คือ จิต
งั้น ถ้าเราบอกจิตดวงเดียว ก็แสดงว่า เรารู้เรื่องเดียว งั้น รู้เรื่องเดียว แล้วชีวิตคนอยู่ได้เมื่อ
ไหร่
อยู่ไม่ได้ งั้น ถ้าเรารู้ว่า จิตคือ ตัวรู้ เราเข้าใจความหมายของจิต คือ ตัวรู้ เราก็จะรู้ว่า ทั้ง
ชีวิตที่ผ่านมา เรารู้ร้อน รู้หนาว รู้หิว รู้กระหาย รู้อยาก รู้โลภ รู้โกรธ รู้หลง รู้สุข รู้ทุกข์ แค่
รู้แค่นี้ ก็ไม่รู้รู้วันละกี่ร้อยตัว กี่ร้อยดวง กี่ร้อยจิต ใช่ไม๊ อายุมาปูนนี้แล้ว รู้โลกน่ะ รู้มาเท่า
ไหร่
รู้มันวันละกี่ครั้ง รู้หลง รู้สุข รู้ทุกข์ ยังไม่เกี่ยวกับรู้อิจฉาตาร้อน รู้นินทา รู้สรรเสริญ รู้ชม รู้
ด่า รู้เหยียดหยาม รู้ดูถูก รู้แสวงหารูป รู้โลภโมโทสัน รู้โกรธ รู้อยากฆ่า รู้ว่า นี่มึงไปตายเสีย
อะไรอย่างนี้ นี่มันเป็น เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่จิตดวงเดียว
งั้น เมื่อมันเกิดดับ เกิดดับ แล้วทุกครั้งที่เกิดดับ เกิดดับ มันจะทิ้งริ้วรอยเอาไว้ ลูก
ริ้วรอยอะไร คือ กุศลและอกุศล ชาติ ภพ ชรา มรณะ พยาธิ มันจะทิ้งเอาไว้ เหมือนกับ
หนอนที่มันกินใบไม้ไป แล้วมันก็ขี้ไปเรื่อย เคยเห็นไม๊ กินไปก็ขี้ไป จนเป็นร่องรอย เป็น
ริ้วรอย เป็นทาง งั้น จะหาหนอนพวกนี้ ก็หาขี้ให้เจอ ถ้าหาขี้เจอ ก็เห็นตัวหนอน
จิตนี้ก็เหมือนกัน มันรู้แล้วมันก็ทิ้งร่องรอยเอาไว้ แล้ววิธีทิ้ง ก็คือ เรียกว่าอะไร สัญญาขจิต
จะทำหน้าที่เก็บข้อมมูล ทิ้งริ้วรอย ก็คือ สร้างชาติ สร้างภพ สร้างตัณหา สร้างอวิชชา สร้าง
อุปาทาน ถ้าทำลายอุปาทาน ร่องรอยทั้งหลายก็จะไม่เกิดล่ะ อวิชชาก็ไม่ปรากฏ
งั้น กระบวนการเกิดดับ เกิดดับของจิตเนี่ย แม้มันเกิดและดับก็ตามที แต่มันทิ้งขี้เอาไว้
แล้วอ้ายขี้นี่แหละ เป็นต้นเหตุที่เราจะต้องมาตามเก็บ มีขี้หอมบ้าง ขี้เหม็นบ้าง สารพัดขี้ที่
ทิ้งๆ กันเอาไว้
งั้น อย่าทิ้งขี้ ก็คือ เดินไปแบบไร้รูป ไร้จิต อย่างนี้เป็นต้น คือ ไม่ปรุงแต่ง
มีอวิชชา มันทำให้เกิดสังขาร การปรุง ถูกไม๊
งั้น ก็อย่าไปมีอวิชชา ให้มีปัญญา มันก็จะไม่ปรุงสังขาร วิญญาณก็จะไม่บิดเบี้ยว
สฬายตนะ คือ ตา มองดูอะไรก็จะต้องดูแบบตรงตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง
ผัสสะ มันก็จะไม่นำพาให้เกิดเวทนา
เวทนา ถ้าปรากฏ ก็เป็นเวทนาทางกาย ซึ่งไม่ปรุง แล้วมันก็ไม่เป็นเวทนาทางใจ
พอไม่เป็นเวทนาทางใจ ตัณหา ความทะยานอยาก ก็ไม่มี
ตัณหา ความทะยานอยากไม่มี อุปาทานก็ไม่ปรากฏ
ตัณหาเมื่อมันไม่มี ก็เหมือนกับหนอนที่กินแล้วไม่ขี้ มันก็ไม่ทิ้งร่องรอย กินแล้วก็ตาย กิน
แล้วก็ตาย ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไรไม่เหลืออะไร กูตายแน่ จบ
แต่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ไง ทุกวันนี้ เรากินแล้วขี้ กินแล้วขี้ มองแล้วคิด ฟังแล้วตรึก คลำแล้ว
หลง ดมแล้วอยาก อย่างนี้ มันก็ได้อะไรมาเยอะแยะมากมาย และอะไรต่ออะไรเยอะแยะ
มากมาย เราจำได้หมดชาติหนึ่งน่ะ ไม่ต้องถาม อ้ายคำถามว่า ทำไมไม่จำชาติจำภพอดีตได้
แค่เมื่อวานนี้ ยังจำไม่ได้หมดเลย
ดูอย่างปัญญาอ่อนๆ นิ่มๆ อย่างพวกหล่อน สูเจ้าทั้งหลายที่นั่งอยู่เนี่ย เรื่องเมื่อวาน ยังจำไม่
หมดเลยว่า พูดเรื่องอะไรบ้าง แล้วจะไปจำเอาชาติที่แล้ว ภพก่อนนู้น เพราะอะไร ก็เพราะ
สติเราไม่มีไง ปัญญาเราไม่สั่งสม เราไม่สั่งสมอบรมสติปัญญาให้มากที เราจะไปจดจำอะไร
หน้าที่ของสติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว เราไม่ได้เคยสะสม เราสะสมแต่ตัณหา
อวิชชา อุปาทาน ราคะ โทสะ โมหะ เราสะสมแต่เรื่องพวกนี้
แล้วเรื่องพวกนี้ มันมีอะไรน่าจำนักหนา เฮอะ มันไม่มีอะไรอยากจำ ก็ยิ่งไม่มีอะไรอยากจำ
ก็ไม่อยากจำใหญ่เลย ไม่ต้องจำ พอไม่ต้องจำ มันก็เกิดขึ้นเองโดยสันดาน ทีแรกก็นิดหน่อย
มากๆ เข้า สุดท้ายก็สะสมเรื่อยๆ จนกลายเป็นสันดาน สันดานเสีย กลายมาเป็นคนสันดาน
เสีย โลภจนสันดานเสีย โกรธจนสันดานเสีย เลวจนสันดานเสีย มักมากจนสันดานเสีย
ทีนี้ อ้ายตัวรู้จริงๆ มันก็โดนคำว่า สันดานเสีย ครอบงำบ่อยๆ
เพราะฉะนั้น ต่อคำถามข้อต่อมาว่า ความตาย ทำไมจึงเย็นนัก แสดงว่า ไม่พร้อมตาย ไม่
พร้อมตาย คนที่พร้อมตาย ความตายจะอบอุ่น มีความสุขสมบูรณ์ เพราะว่า มีสุขคติภพรอ
อยู่ข้างหน้า
อ้ายคนที่กลัวความตาย หวาดผวา สะดุ้ง เมื่อเจอความตาย เห็นความตายแล้วไม่กล้า มอง
ความตายเป็นเรื่องน่ารังเกียจ น่าหวาดกลัว นั่นแสดงว่า เราไม่พร้อมที่จะตาย อย่าเพิ่งตาย
หายใจก่อน หายใจมา แล้วก็ตั้งท่าใหม่ เอาล่ะ กูจะตาย ตายให้มีสติ ตายแบบมีวิธีที่จะไป
มีหนทางที่จะเดิน แล้วมีที่สิ้นสุดของชีวิตข้างหน้า
อย่างนี้ เค้าเรียก คนพร้อมตาย
แต่ถ้าตาย แล้วหนาวเย็น ยะเยือก ว้าเหว่ เหงา เดียวดาย เปล่าเปลี่ยว หวาดกลัว สะดุ้งผวา
ทุรนทุราย อดอยาก กระหาย หิว ทรมาน เร่าร้อน อ้าว ยังไม่ทันตายก็ไปสู่ทุกขคติแล้ว
อย่างนี้ อย่าเพิ่งตาย ทำอะไรก็ได้ เป่าตูดให้มันฟื้นขึ้นมาใหม่ เอาไมค์จ่อปากก็ได้ ทำไงก็
ได้ให้มันขึ้นมาใหม่ แล้วตั้งท่าใหม่ บอกเดี๋ยวๆ อย่าเพิ่ง ถ้าพ่อตาย พี่ตาย แม่ตาย น้องตาย
ญาติตาย อย่าเพิ่ง อย่าเพิ่งตาย
ก่อนจะตาย ถามเลย เห็นสวรรค์ไม๊
เห็น เออ ถ้าเห็นรีบตายเลย
แต่ถ้ายังไม่เห็น อย่าเพิ่งตาย ทำยังไงก็ได้ ปั๊มหัวใจ จะศอก จะกระแทก จะถอง จะหัก จะทุบ
จะเหยียบ จะกระทืบให้หัวใจมันเต้นขึ้นมาใหม่ ทำทุกกระบวนการ ถ้ามันไม่ฟื้น เอาฆ้อน
ทุบ เออ ฟื้นไม๊
คุณมนัส ก็ตายเลย
หลวงปู่ อ้าว ปั๊มหัวใจไง
คุณมนัส ฆ้อนทุบ ตาย อย่างนี้อาการก่อนที่ดวงจิตจะดับ ถือว่าเป็น....
หลวงปู่ ตั้งสติ อยากรู้ใช่ไม๊
คุณมนัส ลองไปตาย
หลวงปู่ เออ ตั้งสติ แล้วสติมันจะเป็นตัวจัดสรร เค้าเรียกว่า ธรรมะจัดสรรชาติภพอันเป็น
สุขคติให้กับเรา จบ
ปุจฉา อันนี้เป็นปุจฉาที่ถามมาที่คนไม่ตายอยากรู้ว่า จะตายอย่างไร อีกเรื่องหนึ่ง เป็น
ปุจฉาที่คนที่ตายแล้วจริงๆ นะครับ แล้วก็มีคนไปเห็น เล่าให้ฟังบอกว่า มีพนักงานส่ง
เอกสารมาเสียชีวิตอยู่ที่บ้าน วันรุ่งขึ้นเป็นวันวิสาขบูชาพอดี แต่ว่ามีพนักงานทำความ
สะอาดเจอผู้ตายมาในลักษณะกายปกติ ดูแล้วเหมือนคนทั่วไป พนักงานทำความสะอาดก็
เลยทัก แต่ปรากฏว่า ผู้ชายคนนี้เดินทะลุประตูแล้วไม่ยอมตอบอะไร แต่มีเสียงประตูดังแก
ร๊ก คนทำความสะอาดไม่รู้นะครับว่า พนักงานคนนี้เสียชีวิตไปแล้ว
หลวงปู่ หลอนสุดๆ
คุณมนัส มีคนมาบอก ว่าเค้าเข้าบ้านไม่ได้ นั่งร้องไห้ แต่ทำไมมาปรากฏตัวให้เห็นในที่
ทำงานได้ ในเมื่อมีศาลพระภูมิ หรือว่า ศาลเจ้าอนุญาต
หลวงปู่ ซี้กัน
คุณมนัส ถามว่า ทำไมผู้ตายเข้าบ้านไม่ได้ ซึ่งก็ตายอยู่ที่บ้าน แต่มาปรากฏที่ทำงานได้
หลวงปู่ แสดงว่า ศาลเจ้าปู่เจ้าย่า เคยรับของเซ่น อืม เลยซี้กัน มิน่า จำได้
คุณมนัส แต่ที่บ้านเข้าไม่ได้
หลวงปู่ แล้วอยู่ได้ไงล่ะ เจออย่างนั้น แล้วยังอยู่เหรอ
คุณมนัส ไม่ได้เล่าครับ
หลวงปู่ ที่จริง ความตายนี่ มันมีสิทธิ์นะ ลูก นั่นแหละคือ ชาติภพของเค้า ชาติภพนั้น
เรียกว่า สัมภเวสี เพราะว่า ไม่รู้ตัวว่าจะตาย เรียกว่า ตายโดยฉับพลัน ไม่มีสติในเวลาตาย
ยังคิดว่าตัวเองยังทำงาน แล้วตาย ก็เลยทำอยู่อย่างนั้นทั้งที่ทำแล้วไม่ได้เงินเดือนก็ยังทำ
เพราะสัญญาเก่ามันผูกเอาไว้ไง อุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 ไง มันมีอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5
รออุปาทานไปจนกว่าจะรู้สึกว่า เออ นี่ เราตายแล้วนะ เราไม่มีงานจะทำแล้ว ก็จะตาย
อีกรอบหนึ่ง แล้วก็ไปหาภพภูมิใหม่ตามเหตุตามปัจจัย
เยอะแยะไป ลูก บางที หลวงปู่สมัยก่อนนี้ไปอยู่ถ้ำไก่หล่น เค้านิมนต์ไปแสดงธรรมที่บ้านเพ
ที่ระยอง กลับมาถึงถ้ำไก่หล่น อ้ายตรงหน้า Bypass หัวหิน เค้าตัดถนนใหม่ มันแรงๆ
ดังๆ กลับมาก็มีเด็ก ฝนก็ตกแส่ๆ บรรยากาศก็ประมาณนี้ คลึ้มๆ เย็นๆ ยะเยือก ตอนนั้นก็
ประมาณซัก 9 โมง 10 โมง 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม อะไรอย่างนี้ เย็นยะเยือกบรรยากาศ ฝน
ตกแส่ๆ แล้วก็มีแมลง จั๊กจั่นเรไรร้องเสียงบรรยากาศ แล้วก็มีหมาหอนข้างทางเป็นระยะ
ฮู้ๆๆ แล้วซักพักหนึ่งขับรถไป คนขับรถก็ขับไปเรื่อยๆ หลวงปู่ก็พยายามจะไม่หลับตา
เพราะว่ากลัวมันหลับ คนขับหลับ คือ เราไม่ได้ตื่น ก็เลยพยายามชวนมันคุย เพราะมันก็
เพลีย พอถึงสี่แยก Bypass เห็นเด็กมันกวักมือเรียกรถ เราก็ เอ๊อ รับมันไปหน่อนซิ
ฝนตกๆ อย่างนี้ มันยืนโบกมือเรียก
เอ้า รับ
ไปไหนวะ อ้ายหนู เปิดกระจก
ไปบ้านครูยูร
อ้าว เหรอ ครูยูร ลูกศิษย์กูนี่ เอ้า มึงขึ้นมา
มันก็โดดขึ้นหลังรถกะบะ
ไปถึงหน้าบ้าน พอถึงหนองพลับ เอ้า จอด ก่อนจะเลี้ยวเข้า เลยไปนิดหน่อยก็บ้านอ้ายยูร ก็
เลี้ยวเข้า ยังไม่เลี้ยว บอกให้มันเลยไป เลยไป ก็ไปแวะหน้าบ้านครูยูร มันก็กระโดดลงจาก
รถ
พอลงจากรถ อ้ายเราก็นั่งอยู่เฉยๆ อ้ายคนขับรถ มันมองกระจกมองหลัง
หลวงปู่ครับ มันไม่ได้เปิดประตูบ้าน แล้วมันเข้าไปได้ไง
อ้าว เออ เหรอ เอ้า มึงก็รับผีมาส่งสิ
อ้าวเหรอ อ้าว แล้วหลวงปู่ให้ผมรับทำไมล่ะ
อ้าว เดี๋ยวมึงขากลับส่งจากกู มันก็ไปยืนโบกมึงใหม่ มึงก็รับมันมาส่งใหม่ เออ แล้วมันก็ยืน
โบกมืออยู่อย่างนั้น ทุกวันนี้ มันยังโบกมืออยู่ อ้ายนี่ มันไปขับรถมอเตอร์ไซด์แข่งกับเพื่อน
แล้วก็ไปตาย เออ ลูกชายครูยูร มันชอบแข่งมอเตอร์ไซด์ไง เออ มันก็แข่งของมันไปเรื่อย
ถามว่า มาทำอะไรอ้ายหนู
รถมอเตอร์ไซด์เสียครับ
เออ มันโดดขึ้นหลังรถ ไปบ้านครูยูร นี่ยังดี จำบ้านครูยูร พ่อมันได้
งั้น อุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 เออ มันมีอุปาทานในขั้นทั้ง 5
ขันธ์ทั้ง 5 มีอะไรบ้าง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นามรูป คือ กายกับใจ
มันมีอุปาทาน มันไม่คิดว่า มันตาย ถ้ามันคิดว่ามันตาย จบทันที อุปาทานมันขาด เหมือน
กับว่าวที่โดนตัดเขือก ทีนี้ มันก็จะลอยไปตามลมเพ ลมพัดพาไป อ้ายลมเพ ลมพัด คือ
กรรมมันพาไปตก ตอนนี้ มันยังไม่ยอม มันก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง ยังไม่ยอมตัดเชือก มันก็
ยังคิดว่า มันมีชีวิตของกู กูก็ยัง เยอะแยะมาก สมัยก่อนนั้นหลวงปู่อยู่วัดคลองเตย มีอ้ายคน
วิศวะทำปูนซีเมนต์ไทยโดนชนข้างหลัง รถชนด้านหลัง มันนั่งอยู่เบาะหลัง มันชนยังไงก็ไม่รู้
คอหัก แล้วบ้านมันอยู่สำโรง หลวงปู่อยู่คลองเตย ญาติมันก็มา บอกว่า มีคนไปเห็นว่า ลูก
มันกวักมือเรียกรถอยู่ไหวๆ เพื่อนกี่คันๆ พวกปูนซีเมนต์ขับรถผ่าน มันก็กวักมือ เค้าอยาก
ให้ไปช่วยเรียกให้มันกลับ
เราก็มอง อ้ายห่านี่ เห็นกูเป็นหมอผีไปได้ เออ เมื่อก่อนนั้นขลัง ใครๆ ที่ไหนก็รู้ทั้งนั้น
อ้าว มึงเตรียมผ้าไตร จีวร เอ้า เตรียมมา แล้วก็เอาเลือดเขียนยันต์ใส่ไปให้ ไปนิมนต์พระ
แล้วก็อ่านคาถาที่ยันต์ที่เขียนไว้ด้วยเลือด แล้วจุดเทียน มึงจะให้มันไปไหน ให้ไปบ้าน
หรือไปหาร่าง หรือไปหลุมศพ หรือบอกกล่าวเล่าขานว่า มันต้องตายแล้วนะ มึงอย่าจมปลัก
อยู่อย่างนี้ มึงไปหาที่เกิดได้แล้ว ก็ว่าไป เค้าก็ไปทำ พระอาทิตย์แจ้งๆ ฝนมันก็มา
บรรยากาศแบบนี้เลย ขมุกขมัว สลัวๆ
คุณมนัส เจ้าหน้าที่เปิดไฟหน่อยก็ดี เพราะมีเหตุผลว่า หลายท่านจด ท่านหลวงปู่ จะมอง
ไม่เห็น
หลวงปู่ เนี่ย บรรยากาศแบบนี้ล่ะ เสร็จแล้วก็ ลมก็พัดวูบๆๆ มันก็อ่าน จุดเทียนแล้วก็
อ่านคาถา ตกกลางคืน แม่มันก็ฝัน ฝันว่า ลูกชายมาหา มาบอกลา แม่ ผมจะไปแล้วนะ มี
พระมาชวนผมไป พระท่านมากวักมือเรียก บอกให้ตามท่านไป ผมจะตามท่านไป แม่
ดูแลตัวเองดีๆ นะ ผมรักแม่นะ แล้วมันก็หายไปตั้งแต่นั่น มันก็หายไปด้วย อีแม่มันก็หาย
ไปหมด พอมันใช้กูแล้ว มันก็ไป
เออ กูก็มีชีวิตอยู่เพื่อการนี้โดยเฉพาะ ใครเค้าเห็นกูเป็นเรือจ้าง ใครเค้าอยากขายหุ้น ขาย
ไม่ได้ เค้าก็มาหากู ใครเค้าอยากปลดหนี้ เค้าปลดไม่ได้ ก็มาหากู ใครอยากมีผัว ไม่ได้ผัวก็
มาหา ไม่ใช่เอากูเป็นผัวนะ ใครอยากมีเมีย ไม่ได้เมีย ก็มาทำบุญ นี่เมื่อเช้า อยากมีลูกไม่
ได้ลูกก็มา มาทั้งผัวทั้งเมีย มาขอลูก เออ ไม่รู้ ก็ตามเหตุตามปัจจัย
สรุปรวมๆ แล้ว ถ้าตายแบบบรรยากาศอย่างนี้ แล้วจิตไม่มีสติ ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีทางเดิน
นะ ก็คลำอยู่อย่างนี้ ไปไหนไม่ได้ หนาวบ้าง ร้อนบ้าง เย็นบ้าง หิวบ้าง กระหายบ้าง ทุรน
ทุราย
เปิด (ไฟ) ทำไมล่ะ ปิดซิ อ๋อ หน้ามืด มุมกล้อง แสงมันไม่ได้ เดี๋ยวสุดหล่อจะไม่หล่อ
คุณมนัส งั้น ปุจฉาข้อนี้ ทางที่ดีที่สุด ก็คือ อุทิศส่วนกุศลไปให้เค้า
หลวงปู่ มันก็ต้องดูอีกนั่นแหละ ว่าเราทำบุญกับเนื้อนาบุญของโลกหรือเปล่า ไม่มีนาบุญ
อื่นยิ่งกว่าไม๊ ถ้าทำบุญซึ่งไม่ใช่เนื้อนาบุญของโลก อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ ไม่
ได้ทำกับบุคคลท่านนี้ ผู้นี้ เหล่านี้เนี่ย คุณสมบัติแบบนี้เนี่ย ทำไปก็ แป๊ก ใช้ไม่ได้
เออ อีกอย่างหนึ่งก็ กรรมเค้าผูกไว้หรือเปล่า เด็กคนนี้มีอายุขัย 60 แต่มันตายก่อนกำหนด
แสดงว่า อุปฆาตกรรม คือ กรรมที่มันมาตัดรอนอย่างหนักหน่วง แล้วทำให้มีอันเป็น
ไปต้องตายก่อนกำหนด มันก็ต้องอยู่จนครบ 60 อย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าคนๆ นี้ มีอายุขัย
65 วันนี้มันตายก่อนอายุขัย 15 วัน อ้าว ถ้าอย่างนั้น ก็ยังพอคุยกันได้ ยังต่อรอง เออ
ทนๆ หน่อยอีก 15 วันนะ เดี๋ยวก็ครบแล้ว เดี๋ยวมึงก็ไป
สำคัญ อย่ามีอุปาทานยึดถือใดๆ อย่างนี้เป็นต้น
ทุกอย่างมันโดนกรรมกำหนดทั้งนั้น
ไปสวดมนต์โรงพยาบาลศิริราช เค้ามีทุกวัน สังเกตุเห็นไม๊ ไม่เห็นเหรอ อ้าว ก็พวกมึงนั่ง
อยู่นั่นน่ะ มันก็ประมาณว่า เค้ายังไปไม่ได้ เพราะยังมีอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 ยังมีความ
ยึดติดในกาย เวทนา จิต ธรรม รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสดี สัมผัสนุ่ม
ยังอยาก ยังแสวงหาอยู่ แล้วก็ดันมาตายก่อนกำหนด ก็เลยต้องเป็นสัมภเวสี ล่องลอยไป
เรื่อยเปื่อย
มันไม่มีจิตใดจิตหนึ่งที่กำจัดชาติภพนั้นๆ ให้สิ้นสุด คือ สิ้นอุปาทานไม่ได้ ถ้าสิ้นอุปาทาน ก็
จะไปล่ะ ทีนี้ มันไม่สิ้นไง เพราะมันไม่ฝึก เค้าเรียกว่า คนไม่ฝึก แล้วเรื่องความตาย มันเป็น
เรื่องที่วิจิตรพิสดาร ถ้าจิตมันไม่มีพัฒนาการที่ดี ไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ
บางคนเนี่ย อยู่ลำบากแก้ผ้าแก้ผ่อน อดมื้อกิน 3 มื้อ อด 3 มื้อกินมื้อ ยังดีกว่าที่ตายแล้ว
เป็น เพราะว่าอยู่ลำบาก แก้ผ้าแก้ผ่อน หนาวๆ ร้อนๆ ทุกข์ทรมานเนี่ย ก็ยังมีคนเห็น ถูกไม๊
ยังมีญาติคอยพะวงห่วงใย ยังมีเพื่อนฝูง ยังมีมิตร ยังมีศัตรู แต่อ้ายตายนั่นน่ะ มันไม่มีใคร
นะ เพราะใครก็ช่วยใครไม่ได้ อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ทำกรรมอย่างไร
ได้ผลอย่างนั้น ใครก็ช่วยไม่ได้ นั่น น่า ลำบาก ลำบากมากกว่า น่าห่วงมากกว่า
งั้น ชีวิตหลังความตาย จึงเป็นโลกไม่พึงปรารถนาของคนที่ไม่พร้อมตาย
อ้ายส่วนคนพร้อมตาย กล้าที่จะเจอะเจอกับความตาย แล้วเห็นความตายเป็นเรื่องปกติ
ธรรมชาติ มีปัญญาที่จะตาย เรียกว่า ตายอย่างมีปัญญาญาณหยั่งรู้ เค้าไม่กลัวที่จะตาย แต่
ไม่ใช่ฆ่าตัวตาย
อ้ายคนที่พร้อมตายแบบชนิดฆ่าตัวตาย นี่อีกแบบหนึ่งนะ อ้ายนั่นไม่มีสิทธิ์ที่จะต้องตาย
ในสันดานในอัตภาพมนุษย์อีกต่อไปครบ จนกว่าจะครบ 500 ชาติ
ถามว่า ไปตายในภพภูมิไหน ก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ตายก็แล้วกันล่ะ เทวดาก็ไม่ได้ตาย แต่มัน
จะไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เกิดๆ ตายๆ อยู่อย่างนั้น เพราะว่า อัตภาพ
มนุษย์ไม่ชอบไง เค้าเป็นมนุษย์เป็นได้มายาก กว่าจะคลอดจากท้องแม่เนี่ย 9 เดือน
แล้วกว่าจะโตเป็นตัวเป็นตนใช้เวลากี่สิบปี แต่แทนที่ได้มา จะทำความดี พัฒนาศักยภาพนี้
ให้มันมีคุณสมบัติ ได้ประโยชน์ มีกำไร ไม่มีโทษ ดันไปฆ่ามันทิ้ง ก็แสดงว่า ไม่ชอบ เมื่อ
ไม่ชอบ ก็อย่ามาอยู่อีก
มันไม่ชอบ ไม่ใช่คนอื่นสั่ง ว่าอย่ามาอยู่ ตัวเองน่ะเป็นคนสั่งตัวเองว่า ไม่เอาแล้วอัตภาพนี้
ไม่อยู่แล้ว อ้ายจิตนี้แหละที่ไม่เอา ไม่ชอบ ไม่อยู่ แล้วฆ่าเนี่ย มันเป็นจิตที่ปฏิเสธชาติภพ
ของมัน รู้ไม๊ แล้วเป็นจิตที่รุนแรงถึงขนาดยอมตัวเองตาย ถ้าจัดเป็นบารมี ก็ถือว่า เป็นอุป
บารมี แต่ทีนี้ มันเป็นบารมีแบบเลวๆ เค้าไม่เรียกว่า บารมีไง มันเป็นบารมีแบบชนิด คือ
เป็นกรรมอย่างชนิดขั้นอุปปะ คือ อุปกรรม คือ กรรมอันรุนแรงที่จะฆ่าตัวเอง แล้วถ้า
เปรียบเป็นบารมี ก็เป็นอุปบารมี บารมีที่เหนือกว่าบารมีธรรมดา
งั้น คนที่มีบารมีระดับนี้เนี่ย ปฏิเสธอะไรก็ได้ ยอมรับอะไรก็ได้ ง่ายมาก
ในมุมกลับกัน อ้ายคนที่ฆ่าตัวตาย ก็ปฏิเสธชีวิตตัวเอง ก็เป็นฆ่าตัวเองได้ ถือว่า มันเป็น
เหมือนกับถ้าเปรียบเป็นทาน ก็เป็นอุปปะทาน ยอมจะกำจัดชีวิตตัวเอง เพื่ออะไรก็แล้วแต่
เถอะ
อีกมุมหนึ่ง พระโพธิสัตว์ ยอมเฉือนเลือดเฉือนเนื้อให้คนอื่นกิน นั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ
ไม่ใช่เพราะว่า เกลียดกลัวร่างมนุษย์ ไม่ใช่ แต่เห็นว่า มนุษย์มีอัตภาพที่ควรจะบริจาค ควร
ให้ เป็นการสั่งสมบารมี นั่น ก็ว่ากันไปอีกเรื่องหนึ่ง
แต่อ้ายสำหรับคนที่ฆ่าตัวตาย อยากตายแล้วต้องการตาย แสดงว่า ไม่ชอบที่จะอยู่ในร่างนี้
อย่างนั้นก็ไปอยู่ในเดรัจฉาน ในเปรต ในอสุรกาย ในสัตว์นรก แล้วมันไม่มีสิทธิ์จะมาเกิด
เป็นมนุษย์ต่อไป นับไปเฮอะ 500 ชาติ จนกว่าจะหลงลืมในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบจนหมดสิ้น
แล้วไม่รู้ว่า เมื่อไหร่จะลืมหมด มันก็เลยกลายเป็น เพราะว่า สิ่งที่ตัวเองจดจำไว้เนี่ย มัน
เทียบขั้นอุปบารมี มันก็ยากที่จะลืมได้ มันต้องใช้เวลาในการล้างลืม ล้างลืม ล้างลืมเนี่ย 500
ครั้ง 500 ชาติ แล้วแต่ละชาติก็สั้นยาวแตกต่างกัน แต่ก็ไม่ต้องกลัวหรอก
อ้ายบางตัวมีอายุขัยแค่ 7 วัน 15 วัน หนอนขี้มีอายุขัยแค่ 24 ชั่วโมง
เปรต ไม่แน่ใจว่า มีอายุขัยกี่ล้านปี
อสุรกาย ไม่แน่ใจว่า มีอายุขัยเท่าไหร่
สัตว์นรก ไม่แน่ใจ เพราะว่า สุข สัตว์นรกนี่ไม่ใช่มีความทุกข์ทั้งหมดนะ คือ เค้าเชื่อ เค้า
พร้อม เค้าชอบว่า อ้ายที่เค้าเสพอยู่เนี่ยเป็นอาหาร คือ ไฟเป็นอาหาร น้ำทองแดงเป็นอาหาร
อ้ายหอกแหลมหลาวที่ทิ่มแทงมันเป็นอาหาร เป็นความปลอดภัย ความผ่อนคลาย ความอยู่
รอด
เหมือนกับคนที่เชื่อเรื่องเหล้า เรื่องบุหรี่ เรื่องแทงฟุตบอลล์ ถ่างตาดูตี 1 ตี 2 ยันสว่าง
อะไรอย่างนี้ มันเชื่ออย่างนั้น ทั้งๆ ที่ มันตื่นเช้าขึ้นมา ตาเป็นหมีแพนด้า มันมองอะไรก็ฝ้า
ฟาง ตัวเองก็สุขภาพร่วงโรย ก็มันเชื่ออย่างนี้ เนี่ยนรก นรก เพราะมันทำลายตัวเอง เชื่อว่า
การทำลายตัวเองเป็นเรื่องชอบธรรม เป็นเรื่องดีงาม ทำลายตัวเอง ทำร้ายตัวเอง พวกติดเหล้า
ติดยา เหมือนกัน มีความเชื่อไม่ต่างอะไรกันกับสัตว์นรก
แล้วคนมาบอกว่า แสงสว่างมีอยู่ปลายอุโมงค์ พวกสัตว์นรกเค้าไม่เชื่อนะ ถ้าสัตว์นรกตนใด
เชื่อว่า มีแสงสว่าง มีความเย็นไม่ใช่ร้อน มีความสุข มีน้ำทิพย์อยู่ข้างหน้า แล้วเชื่อแล้วทำ
ตาม สัตว์นรกตนนั้นก็ถือว่า หมดกรรมอันหนัก จะไปเกิดใหม่ แต่สัตว์นรกส่วนใหญ่จะไม่
เชื่อ
เพราะอะไรถึงไม่เชื่อ
มีมิจฉาทิฏฐิ มีอวิชชา ความไม่รู้ไง
งั้น คำว่า อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ชาติ
ชรา มรณะ พยาธิ มันไม่ใช่มีเฉพาะมนุษย์และสัตว์ที่มีอยู่ในโลก แม้นที่สุด เปรต อสุรกาย
และสัตว์นรก ก็มีในปฏิจจสมุปันธรรม จะมีมากมีน้อย มีตัวไหนเยอะ มีตัวไหนบางเบา ก็
ขึ้นอยู่กับสติปัญญา ขึ้นอยู่กับพุทธิภาวะของแต่ละคน
งั้น ก็ขออวยพรให้คนที่ทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลาในช่วงจังหวะที่เค้า ลูกเข้ามาแล้วรังเกียจ
เตะทิ้ง เตะทิ้ง ก็ไม่เข้าใจ อยากได้ลูก แต่พอดันได้มาแล้ว เตะทิ้งๆ ถ้าเป็นกู เค้าเตะให้ เก็บ
ใส่กระเป๋าเลย แล้วก็เดินออก กลับบ้านนอน อ้าว เค้าเตะมาให้แล้ว ก็ต้องรับเอาไว้ ลูกฟุตบ
อลล์น่ะ เออ เดินต่อ กลับบ้านนอน แล้วจะได้สบายใจ นี่มันเตะทิ้ง พอได้มาแล้วก็เตะทิ้งๆ
แล้วก็นั่งเชียร์ มันอยู่นั่นแหละ มัน เมา สะใจ แล้วสิ่งที่ได้ คืออะไร
สิ่งที่ได้ คือ เสียสุขภาพ เสียเวลา เสียทุกอย่าง ไม่มีได้อะไรขึ้นมา อย่างที่สมัยก่อนสร้างวัด
ใหม่ๆ ตอนนั้นยังไม่มีตึกรามบ้านช่องอย่างนี้ ยังเป็นกระต๊อบมุงหลังคาจาก ไฟก็ไม่มี มันสู้
อุตส่าห์นะ ไปยืมโทรทัศน์ชาวบ้านมา เพราะมีเครื่องปั่นไฟ กูนอนอยู่ท้ายโน่น ตรงศาลอีสี
นวล ตี 1 กว่าๆ เสียงเครื่องปั่นไฟดังลั่น สี่ทุ่มสวดมนต์จบ เราก็สั่งให้ปิดไฟนี่หว่า เอ๊ เสียง
เครื่องปั่นไฟยังดังอยู่ เราก็ย่องมาดู โอ้โห กำลังลุ้นกันเลย กำลังเชียร์เลย อ้าว เรากลับ เดิน
ไปปิดเครื่องปั่นไฟ
เฮ้ย น้ำมันหมดมั๊งวะ
เอ้า ไป๊ อ้ายจก มีตาหนิท อ้ายเปา อ้ายจก เนี่ยนะ อ้ายหัวโจก ก็คือ ตาหนิทเนี่ยนะ
เอ๊ย น้ำมันหมด มึงไปดูหน่อยซิ อ้าว ไปดู เอ๊ น้ำมันไม่หมด เอ๊ ทำไมเครื่องดับ ติดเครื่อง
ใหม่ เอ๊ เสียท่า อ้ายห่า เสียไปแล้วประตูหนึ่ง มึงเห็นไม๊เนี่ย กูไม่รู้เลยว่า มันเตะกันยังไง
อ้าว ดูใหม่ๆ นั่งลุ้น
อ้าว มันไปเสร็จ กูก็ดับอีก มันไม่เห็นหรอก ดับ 3 ครั้งมันยังไม่เลิก มันมาติด 3 ครั้ง อ้าว
ติดดับ ติดดับ อย่างนั้นไม่ยาก กูก็เดินกลับกุฏิ ไม้ขีดกล่องหนึ่ง ตอนนั้นกุฏิยังเป็นหลังคา
จากไม้ไผ่ กูก็ค่อยๆ บรรจงจุด โยนขึ้นไปบนหลังคาจาก
เอ้า เผามันเสียสิ มึงไม่อยากอยู่นี่ มึงอยู่ตรงนั้นก็พอแล้วนี่
พอเห็น เฮ้ย อ้ายจก กุฏิไฟไหม้ ไป๊ วิ่ง โอ้โห วิ่งมากันพรึ่บ กูก็แว๊บมาที่อ้ายโทรทัศน์ จับ
โทรทัศน์โยนลงน้ำ เออ ถีบเครื่องปั่นไฟลงน้ำ เสร็จแล้วกูก็กลับไปนอน
คุณมนัส ไม่ตามหลวงปู่ ไฟไหม้ ไม่ไปตามหลวงปู่เหรอฮะ
หลวงปู่ มันจะกล้าเหร๊อ เค้าให้เข้านอน 4 ทุ่ม นี่ตี 1 ยังไม่นอน จะกล้าไปปลุกอีกเหรอ
ไม่กล๊า
เอ๊อ เราก็กลับไปนอน นอนเสร็จ ซักพักหนึ่ง เสียงเอะอะโวยวาย เราก็ทำงัวเงีย อะไรกันวะ
ไฟไหม้ครับ ไม่รู้เกิดอะไร
อ้าว เหรอ เออ ยังไงก็ไม่รู้ล่ะ กูต้องเห็นว่า พรุ่งนี้เช้า กุฏิต้องดี มึงทำไงก็ได้ พรุ่งนี้เช้า กุฏิ
ต้องดี ไม่งั้น อ้ายหนิท กุฏิมึงต้องไหม้ต่อไป แล้วก็ไล่จนครบทุกคนที่ไปนั่งเชียร์บอลล์
เท่านั้นแหละ โอ้โห คืนนั้นระดมพล ตัดไม้ ตอกตะปู มุงหลังคาจาก อะไรของมันก็ไม่รู้ รุ่ง
ขึ้นเช้า ยังเหมือนเดิม โย้ไปเย้มา
ฮึ เหนื่อยไม๊
เหนื่อยสิ หอบอยู่เนี่ย เห็นไม๊ล่ะ
เช้าขึ้นมา ก็เทศน์กัณฑ์ใหญ่ เวลามึงทำงานน่ะ ทำไมไม่ไปเรียกเค้ามาดูมึงทำบ้าง แล้วมึง
เก็บตังค์เค้า อ้ายนั่นนะ เตะบอลล์มันอาชีพของเค้า ทำไมมึงต้องสนับสนุนไปดูเค้า
เอ๊อ ทีเวลามึงทำอาชีพ ทำไมมึงไม่เรียกนักบอลล์มาดูมึงบ้าง เก็บตังค์มันบ้างสิ เออ ทำไม
เราไปบ้าตามเค้า ไม่รู้ ชีวิตหลวงปู่ไม่เคย มึงจะเตะกันให้ตาย กูก็ไม่ดู ให้มึงมาฉายหน้ากุฏิ
หน้าบ้าน กูก็ไม่เอา ไม่รู้ไปดูทำไม มีเหตุอะไรให้มึงดู ได้ประโยชน์ตรงไหน
มันอย่างเดียว
อยากมันก็ไม่ยาก ก็แดกมันซะก็หมดเรื่อง
เออ อยากเมาก็ไม่ยาก ก็ปั่นจิ้งหรีดให้หัวทิ่มทั้งวัน ให้ทั้งมันทั้งเมาไปเลย เออ เออ ทำไม
ต้องไปอะไรกันนักหนา เหมือนกับอีอะไร อีกาก้ามา
คุณมนัส เค้าชื่อ เลดี้ กาก้า
หลวงปู่ โคตรพ่อโคตรแม่มึงชาติไหนน่ะ มายืนร้องไห้ปิติสุข โอ้โห แม่มึงตายยังไม่
ร้องไห้เท่านี้เลย
คุณมนัส มันเป็น....ทำให้เกิดความสุข
หลวงปู่ เอ๊ย อะไร มันเต้น ดิ้นไปอย่างกับไส้เดือนโดนแฟ๊บ ภูมิใจมาก อู้หู ถ้าเป็นลูกกู
หลานกู กูจะเตะให้ใส้พันตีนเลยล่ะ อีชิบหาย โคตรพ่อโคตรแม่มึงตาย ยังไม่ร้องไห้ นี่ อีนี่
มันเป็นใคร ยืนร้องไห้ แล้วมันลูกสาวใครก็ไม่รู้ ไปยืนร้องไห้ ทุเรศไม๊ โอ๊ย ปัญญาอ่อน นี่
กูพูดตั้งแต่พระอาทิตย์หลุบลู่ๆ จนพระอาทิตย์สว่างจ้า เด็ดขาดนักล่ะ
คุณมนัส เรื่องพนันบอลล์ ปุจฉา ถามต่อว่า ถ้าอย่างนั้น คนที่ขายเหล้า ขายบุหรี่ ขาย
ลอตเตอรี่ ล้วนแล้วแต่เป็นอบาย
หลวงปู่ เอ๊ย นั่นแหละ สัตว์นรกทั้งนั้น เป็นอะไรก็เป็นเฮอะ แต่ก็ไม่พ้นสัตว์นรกหรอก
เพราะว่า มันครอบงำคนให้หมกมุ่น มัวเมา ประมาท ไม่พ้นหรอก เค้าถึงให้เรียกว่า สัมมา
อาชีวะไง ในมรรควิถีผู้ปรารถนาจะพ้นทุกข์ ต้องดำเนินตามมรรควิถี ก็คือ ต้องมีสัมมา
อาชีวะ ก็คือ การเลี้ยงชีพชอบ สัมมากัมมันตะ คือ การงานชอบ นี่มันไม่ชอบไง มันไม่ชอบ
ก็ไม่อยู่ในสัมมาปฏิปทา
พอมันไม่ใช่สัมมาปฏิปทา แล้วมันจะเป็นอะไร มันก็ไม่รู้เป็นอะไรตามเหตุตามปัจจัยของ
มันไปตราบนานเท่านาน จนกว่ามันจะมีคำว่า สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นชอบก่อน แล้วจึงจะ
การงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ ตามมา จบ
คุณมนัส มีเรื่องวิญญาณถามมาเป็นปุจฉาสุดท้าย ถามมา บอกว่า คนที่มีวิญญาณติดตัว
จะต้องรับขันธ์ หรือ เข้าทรง หรือไม่ บางคนให้รับขันธ์ไว้เพื่อบูชา แต่พอไม่ไปรับ ก็ถูก
วิญญาณกลั่นแกล้ง วิญญาณที่มากลั่นแกล้งนี้ บาปหรือไม่ ถ้าบาป ทำไม พญายมไม่มาจับ
ตัวไป
หลวงปู่ อืม เดี๋ยวกูเจอพญายม กูจะถามให้ แต่อ้ายที่ไม่มีวิญญาณติดตัวนี่ มันผีนะ ผี
มีวิญญาณไม๊พวกมึงน่ะ
(มี)
เออ นั่นสิ ถ้าไม่มี นี่ผีนะ อ้าว นี่ผีถามปัญหากูด้วยเหรอ เออ ใช่
คุณมนัส เทพมั๊ง ผมว่า
หลวงปู่ เทพเหรอ อ๋อ มีวิญญาณ 2 ตัว
คุณมนัส มารขาวกับมารดำ
หลวงปู่ แสดงว่า ดูหนังจีนมากล่ะสิ เอ๊อ ไม่รู้พิธีกรช่อง 5 มีปัญญาแบบนี้
คุณมนัส พูดจนฟ้าสว่างเลย
หลวงปู่ เออ มีมารขาว มารดำ อาม่า ลื้อมีมารขาวมารดำหรือเปล่าวะ
คุณมนัส อาม่าหัวเราะ... ตกลงยังไงกันครับ
หลวงปู่ ก็อยากบอกว่า คนบ้า คนบ้า คนวิกลจริต คนผิดประเภท คนไม่มีจิตมั่นคง คนไม่
มีสติอยู่ในวิญญาณตน มันเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ หนามทิ่มก็บอกงูกัด ตายแล้วเพิ่งจะรู้ว่า
อ้าว อีห่านี่ ตายเพราะหนามทิ่ม อ้ายคนตายมันนึกว่า งูกัด ช็อคตาย ไม่ได้ตายเพราะพิษ
หนามทิ่ม หรือ งูหรอก แต่ช็อคตาย อ้าว นี่กูโดนงูกัดเหรอ ตายเสียแล้ว หัวใจวายตาย แต่
หลังจากมันตายแล้ว เค้าลงข่าวหนังสือพิมพ์ว่า อีนี่ ทุเรศมาก หนามทิ่มเข้าที ตาย หนามทิ่ม
ไม้จิ้มฟันทิ่มเหงือกตาย ถามว่า ตายเพราะอะไร ตายเพราะคิดว่า ไม้จิ้มฟันมันมีพิษ มันติด
เชื้อ มันเหงือกบวม มันมีปัญหา จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ ตายเพราะตกใจตาย
เนี่ย มันคิดไปได้ถึงความตาย แล้วคนมันจะคิดไม่ได้หรือว่า จะมีอะไรตามตัวเอง งั้น พวกนี้
โรคจิต พวกบ้า พวกบ้าห้าร้อย บ้าห้าร้อย อ้ายบ้าห้าร้อย อ้ายพวกห้าร้อย คิดอะไรไม่เป็น
ก็โทษผีโทษสางไปเรื่อยเปื่อย
อ้ายผีสางเค้าไม่อยากมายุ่งกับคนนักหรอก เพราะพวกคนนี่ มันเหม็น พวกอทิสมานกาย
เค้ามีสัมผัสอันเป็นทิพย์ เค้าจะมายุ่งก็แสดงว่ามีเหตุปัจจัย 2 อย่าง
1. มีกรรมผูกพัน
2. เค้ามาขอ อดอยาก มาขอ มาแสดงตน
แต่ถ้าอยู่ดีๆ มันมายุ่ง มากลั่นแกล้ง ไม่ใช่
แล้วที่มากลั่นแกล้ง พอมีเหตุปัจจัย ต้องถามตัวเองว่า ประสาทอ่อนหรือเปล่า ปัญญาอ่อนไม๊
คิดไปเองหรือไม่ เป็นโรคประสาทหรือเปล่า
ถ้าไม่มี เราเป็นคนมีสติปัญญา แต่อยู่ดีๆ มันเกิดขึ้น มันอุบัติขึ้น อย่างนี้ ไม่เป็นไร อย่างนี้
ถือว่า เรามีกรรมอันพันธนาการ
สมัยก่อนเนี่ย ตอนกูเป็นวัยรุ่น แตกพานใหม่ๆ ยังเป็นหนุ่ม นมแตกพาน นอนๆ อยู่ ฝันว่า
มีผู้หญิงมาชวนไปเที่ยว ไปเที่ยวไหนต่อไหน ไปสวน เออ ที่เที่ยวกูไม่เหมือนโลกปัจจุบัน
ไปตรงนู้น ตรงนี้ เออ ก็ดีหากินทางฝัน ก็ไปเที่ยว ไปกินขนม ไปกินผลไม้ ไปเล่นดนตรี กูตี
ขิมได้ เล่นดนตรีไทยได้ ก็อาศัยความฝัน เออ ฝันแล้วตื่นขึ้นมา ก็ไปซื้อขิมมานั่งตี เอ๊อ กูก็
ตีได้นี่
จนกระทั่งอายุ 17-18 ไปมีเรื่องกับเค้า เค้าเดินมา 7 คน เราก็เดินเข้าไปคนเดียว ดัน
ผ่ากลางเค้าเข้าไป อ้ายความไร้เดียงสา ไม่รู้ว่า เค้าห้ามผ่าวงไง เค้าก็ อ้ายนี่มึงซ่าเหร๊อ เท่า
นั้นแหละ เสียงตะโกนเลย ตะโกนให้ระวัง เสียงผู้หญิง แถวนั้นไม่มีผู้หญิงหรอก เรียกชื่อ
แล้วให้ระวัง พอหันมา อู้หู ตีนลอยมาผลุบผลับๆ หลบแทบไม่ทัน เออ หันหลังชนฝาสู้ ซัก
พักหนึ่ง มันเห็นท่าเราสู้ ชักปืนมาจะยิง ก็มีเสียงผู้หญิง ตำรวจมา อ้าว อ้ายพวกนั้น มันก็วิ่ง
กันให้หลุบหลับๆ ไม่งั้น กูก็ป๊อก ม่องไปแล้ว
เออ อย่างนี้จะบอกว่าอะไร ผีตามตัว เวลาจะมาสร้างวัด สร้างวา มันก็ไปบอก หลวงปู่กำลัง
สร้างวัด ช่วยไปทำบุญหน่อย คนเชียงใหม่ สงขลา ปัตตานี ชลบุรี ระยอง
มาทำไม
มีผู้หญิงไปบอกผม เมื่อคืน ฝันว่า หลวงปู่กำลังสร้างวัด ให้เอาตังค์มาร่วมถวาย วางรากฐาน
โบสถ์ สร้างพระประธาน อะไรเนี่ย ใช้ผี ใช้ผีหาตังค์ เดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยใช้ เดี๋ยวนี้ กูเก่งล่ะ กู
ไม่ต้องใช้ผีล่ะ
คุณมนัส มีมาขอตังค์ไม๊ฮะ
หลวงปู่ ผีที่ไหนมันจะกล้าขอ โอ ถ้าผีตัวไหนกล้าขอตังค์ แสดงว่า อ้ายผีตัวนั้น มันต้อง
ตาบอดแน่ อาตมาเป็นคนไม่มีตังค์ ไม่มีตังค์ ดีไม่ดี จะขอตังค์ผีด้วยซ้ำ
คุณมนัส หลวงปู่ครับ ปุจฉาหลักธรรมหน่อยครับ ถามว่า เพราะอะไร ความไม่รู้จึงก่อ
ความคิดปรุงแต่ง เพราะอาศัยความปรุงแต่ง จึงเกิดความรับรู้ เพราะอาศัยความรับรู้ จึงเกิด
กระบวนการนามรูป ความไม่รู้มันก่อให้เกิดความคิดปรุงแต่งได้อย่างไร และความรับรู้ทำ
ให้เกิดนามรูปได้ด้วยวิธีใด และสุดท้าย ความคิดปรุงแต่งทั้งก่อนและหลังเกิดนามรูปจะ
เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
วิสัชนา มันโง่ไง ลองนึกว่า คนๆ หนึ่งเข้าไปในที่ที่ตัวเองไม่เคยเข้า แล้วที่ตรงนั้น มัน
มืดไปทั้งหมด มึงจะอยู่สุขไม๊ ใจมันจะเป็นยังไง เออ ห้องนี้มันมีอะไรวะ มองไม่เห็นเลย
ตรงนั้นมันจะมีทางออกหรือเปล่า อืม มันจะมีตัวอะไรอยู่บนหลังคาไม๊วะ ทำไมมันมืดแล้ว
มีกลิ่นสาบๆ สางๆ ขมุกขมัว ผีหรือเปล่าวะ
อย่างนี้ ความคิดอะไร
(ปรุงแต่ง)
อ้าว แล้วรู้ไม๊ถึงได้ปรุง รู้ไม๊
ไม่รู้สิถึงได้ปรุง แล้วถ้าห้องนั้นมันสว่างจ้า มันต้องปรุงไม๊
(ไม่ต้อง)
เห็นหมดใช่ไม๊
เห็นแล้วยังปรุงต่อไปไม๊
เออ อ้ายนี่สวย เห็นยังปรุงไปอีก แต่ปรุงวิจิตร เออ อ้ายมุมนี้น่าอยู่ อ้ายเตียงนี้น่านอน อ้าย
โต๊ะตัวนี้ แหม มันน่ายกกลับบ้าน อย่างนี้ปรุงไม๊
(ปรุง)
ปรุงอีก แต่ปรุงวิจิตร แต่ไม่รู้ ปรุงมากกว่ารู้ไม๊
อุ๊ย ไม่รู้มุมไหนจะสวย จะซวย กูต้องระวังไปหมด ต้องอึดอัดไปหมด ไม่รู้ว่า อ้ายห้องนี้
มันมีงูหรือเปล่า ถ้าเดินไปหนามจะทิ่มไม๊ ข้างหน้ามีอะไรชน ทางออกมันอยู่ตรงไหน แล้ว
ใครอยู่เป็นเพื่อนกู แล้วผีมันมีไม๊ เนี่ย แล้วกูจะลำบากขนาดไหน แล้วน้ำท่าอาหารการกิน
กูจะอยู่กันยังไง
ปรุงไม๊
(ปรุง)
รู้ไม๊
ไม่รู้สิปรุง หนักกว่ารู้อีก เห็นไม๊ ความไม่รู้มันปรุงแต่งอย่างไร เข้าใจหรือยัง จบ
คุณมนัส แสดงว่า มันไม่ได้ต่างกันทั้งก่อนและหลัง
หลวงปู่ ถ้ารู้เนี่ย จะต่างกับไม่รู้ ก็บอกแล้วว่า รู้แล้วมันจะปรุงวิจิตร แต่ถ้าไม่รู้ มันปรุง
จับฉ่าย มันจะปรุงจับฉ่าย
คุณมนัส ชัดเจนครับ
ปุจฉา จากบทโศลกที่ว่า ไม่เพิ่มขยะใหม่ รื้อขยะเก่าทิ้ง ทำของดีที่มีอยู่ให้ผ่องใส เมื่อไป
พบว่า จิตเต็มไปด้วยความหลงและอกุศลมากมาย เราจะรื้อขยะเก่าได้อย่างไร
วิสัชนา ก็ทำให้มันเกิดความรู้สิ ความหลงมันเกิดจากความไม่รู้ เพราะไม่รู้ จึงหลง
งั้น ก็ทำให้มันรู้ซะ ว่า อ้ายสิ่งที่หลงน่ะ มันมีหน้าตาตัวตนอย่างไร มีรูปพรรณสัณฐาน สี
กลิ่น แสง ที่ตั้ง ที่กำเนิด ที่เกิดเป็นอย่างไร แล้วเมื่อรู้แล้ว มันจะหลงต่อไปไม๊
ไม่หลง อ้ายที่หลง เพราะไม่รู้
ทำให้เกิดความรู้ แล้วในขณะที่ทำให้เกิดความรู้นี่แหละ มันเป็นกระบวนการที่ไม่เพิ่มขยะ
ใหม่ไปด้วย แล้วก็ทำลายขยะเก่า ของดีที่มีอยู่แล้วก็กลับผ่องใสตามไปด้วย จบ
คุณมนัส เรามีวิธีการฝึกสัมปชัญญะให้แข็งแกร่งและคงทนถาวรได้อย่างไร
หลวงปู่ ทำอย่างที่สอนนั่นแหละ ทำอย่างที่สอน แต่ละขั้นๆ วิถีแห่งปราณโอสถ มีทั้งสติ
มีทั้งสัมปชัญญะ อ้ายทุกวันนี้ที่ทำกันอยู่ คือ ไม่ค่อยทันต่อจังหวะที่ก้าว ปัญหามันอยู่ตรงนั้น
ก้าว ก็ไม่มีใจรับรู้
รับรู้ ก็รู้ไม่ทันในสิ่งที่ตัวเองก้าว
ก้าวทัน แต่รู้ไม่ทัน อย่างนี้เป็นต้น
ถ้าทำให้ 3 อย่าง ก้าวก็ตาม รู้ก็ตาม จังหวะก็ตาม รวมกันเป็นหนึ่งซะ มันก็มีทั้งสติและ
สัมปชัญญะ จบ
คุณมนัส มีคำถามหลักธรรมคำถามสุดท้าย ต่อไปจะเป็นหมวดสุขภาพ
หลวงปู่ เอ ไหนเมื่อกี้บอกว่าสุด
คุณมนัส สุดท้ายของเรื่องธรรมะ
หลวงปู่ อ๋อ
คุณมนัส ตอนนี้ ขออนุญาต
หลวงปู่ อุ๊ย มารดำมารขาวออกมาเพียบเลย
ปุจฉา พูดถึงวันวิสาขฯ ที่ผ่านมานะครับ บอกว่า ตอนที่เอาจิตไปจับอยู่ที่ทรวงอก ปรากฏ
ว่า เจอแต่ความร้อนที่ทรวงอก ไม่เห็นแสงสว่าง ฝึกต่อ รู้ถึงการเต้นของหัวใจ ต้องทำอย่าง
ไรต่อไป
วิสัชนา มันเกิดอะไรขึ้นรู้ไม๊ในขณะนั้น เห็นความร้อนเป็นปกติธรรมชาติ แสดงว่า จิตนี้
เริ่มเนียนขึ้น เริ่มอ่อนนุ่มขึ้น เห็นการเต้นของหัวใจ ถ้าเห็นสภาพธรรมที่ปรากฏตามความ
เป็นจริง เกิดปัญญา เรียกว่า วิปัสนาญาณในระดับเบื้องต้น เห็นสภาพธรรมที่ปรากฏตาม
ความเป็นจริง
ไม่ใช่ว่า ต้องให้เห็นแสงสว่าง
พวกอยากเห็น พวกเห็นนี่ พวกวิปัสนึก ไม่ใช่วิปัสนา
งั้น ทำต่อไป เห็นแม้กระทั่งเส้นเลือดฝอยแต่ละเส้นของหัวใจ เส้นเลือดน้อยใหญ่ที่อยู่ใน
ร่างกายได้ ยิ่งดีใหญ่ จบ
คุณมนัส อันนี้น่ะสุดท้ายในหมวดของหลักธรรม แต่ว่ามี 2 คำถาม เรื่องของสุขภาพ
ผมสงสารคนที่เค้าป่วย ก็อยากจะถามซะเลย
หลวงปู่ อืม หายป่วยแล้ว เจอไมค์ ก็หายป่วยแล้ว
คุณมนัส อายุ 72 ปี ไม่ได้บอกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เป็นโรคกระดูกทับเส้นประสาท
ตอนนี้ ทานยาคลายเส้น กับยาบำรุงปลายประสาทของหลวงปู่ กินประจำ มีอาการปวดข้อ
กระดูกเป็นบางครั้ง อยากทราบว่า ต้องกินนานไม๊ เพราะตอนนี้ มีอาการเส้นกระตุกขมับ
ซ้าย และขากรรไกรค้างบ่อยๆ
วิสัชนา ให้ดึงข้อบ้างสิ สอนไปแล้วนี่ รู้จักที่จะดึงข้อ ทำราวมาจับ ไม่ใช่ไปจับราวนะ จับ
ราวเดี๋ยวลาวมันตีหัวเอา ทำราวเหล็ก แล้วก็จับ ทิ้งน้ำหนักตัว พยุงตัวไว้ใครที่อายุมาก ให้
มันยืดข้อ ยืดเส้นเอ็น ยืดพังผืดบ้าง อ้ายกระดูกทับเส้นประสาท ทำได้โดยการยืด
ถ้ายืดแล้วดึง โดยเฉพาะดึงไปพร้อมกับการเดินปราณโอสถ มันจะช่วยให้ไขกระดูกมัน
สร้างเซลล์กระดูกอ่อนขึ้นมาทดแทนอ้ายที่มันสึกหรอและบิดเบี้ยวไปได้ในระดับหนึ่ง ถ้า
ทำทุกวันๆ มันก็จะค่อยยังชั่วและบรรเทาได้ สมัยก่อนหลวงปู่จะปวดไปแถบหนึ่ง ตะโพก
ข้างซ้าย เพราะว่าเวลาเรายกของหนัก แบกของหนัก เราจะใช้ข้างซ้ายเยอะ ข้างขวาไม่ค่อย
ได้ใช้ แล้วเราก็จะรู้สึกได้ว่า มันเหมือนกับปวดฟันอยู่ทั้งวัน ก็ใช้วิธีดึงข้อ แล้วก็เดินปราณ
โอสถให้เซลล์กระดูกอ่อนมันได้ผลิตกระดูกอ่อนไปทดแทนส่วนที่มันสึกหรอ ส่วนยาน่ะ
เป็นคำตอบสุดท้าย ลองฝึกเอา จบ
คุณมนัส มีคนไข้มะเร็งเต้านมถามมาว่า ทานยาของหลวงปู่แทบจะทุกตัว ทั้งมะเร็งน้ำ
มะเร็งเม็ด ละลายลิ่มเลือด ฟอกเลือด ขับน้ำเหลืองเสีย แต่จะถามว่า จะทานน้ำมะระสดคั้น
เพิ่มได้หรือไม่
วิสัชนา ได้ ไม่มีปัญหา แต่อ้ายยามะเร็ง ก็มีมะระสดอยู่ มีมะระอยู่แล้ว มีทั้งเถา ทั้งต้น
ทั้งลูก ทั้งใบ ทั้งดอก มีมะระทั้ง 5 อยู่แล้ว ถ้ากินเพิ่มไปก็ไม่เป็นไร แต่สำคัญว่า มันจะชา
ปลายมือปลายเท้า เพราะมะระมันจะเย็น มะเร็งนี่มันไม่ชอบยาเย็น ยามะเร็งส่วนใหญ่จะ
ประกอบด้วยยาเย็น
แต่ยาที่หลวงปู่ทำ มันจะทำเป็นยาที่เค้าเรียกว่า 2 ฤทธิ์ คือ มีร้อนกับเย็น เพื่อจะให้เกิด
อะไร เกิดสภาพความเป็นกลาง แล้วก็ปรับสมดุลย์ให้ร่างกายมันไปสร้างภูมิต้านทานมะเร็ง
ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ใช้ฤทธิ์ยา
ถ้าใช้ฤทธิ์ยา ต้องใช้คำว่า ปราบ มันต้องไปปราบ
ปราบอย่างนั้นเนี่ย ไม่รู้ว่า มะเร็งจะหายก่อน หรือ ไตจะวายก่อน
งั้น ปัญหามันจะอยู่ตรงนั้น ถ้าทำให้ไตวาย ตับวายนี่ มันก็มะเร็งหายไปก็ไม่ได้ประโยชน์
อะไร มันก็ต้องมานั่งรักษาไต รักษาตับอยู่ไม่รู้จบสิ้น
เอาเป็นว่า ตายไปพร้อมกับมะเร็งน่ะ ดีแล้วล่ะ
อ้าว มันก็จะได้ มึงก็ไม่ชนะ กูก็ไม่ชนะไง เออ มึงเสมอกับกูแล้วนะ เออ มึงกับกูไปด้วยกัน
มึงจะได้ไม่ต้องไปกระโดดไข้ใส่คนอื่นไฝ แต่ถ้าจะบอกว่า เอาแต่ยาอย่างเดียว แล้วไม่ใส่
ใจตัวเอง สุขภาพบ้าง ไม่ได้ ต้องดูแลด้วย ก็คือ ออกกำลังกายบ้าง กินอาหาร อาหารสัตว์
บกทั้งหลายเนี่ย คนเป็นมะเร็งไม่ควรกิน สัตว์บกทั้งปวงน่ะไม่ควรกิน อาหารสัตว์น้ำน่ะ กิน
ได้ กินมันได้ทุกอย่างสัตว์น้ำ ไส้เดือน กิ้งกือ
ครึ่งบกครึ่งน้ำเนี่ยเหรอ ครึ่งบกครึ่งน้ำมีกินด้วยเหรอ เหี้ยมั๊ง
เออ อย่าไปดูถูกมันนะ เพราะว่าในคณาเภสัช จะมีกำหนดเขียนไว้ในตำราโบราณว่า เป็น
สัตว์วัตถุ เลือดกับดี แล้วก็หัวใจ ตับ ของเหี้ยจะเป็นยาชั้นดี และโดยเฉพาะเลือดนี่ มัน
สามารถปรับสมดุลย์ได้ เพราะเลือดมันอยู่น้ำได้อยู่บกได้ อยู่ในที่สกปรก แต่มันไม่ติดเชื้อ
พูดอย่างนี้ พรุ่งนี้ เหี้ยสูญพันธุ์ เพื่อนกินหมด อ้ายเข้ไม่ได้ ก็เล่นอ้ายเหี้ย แต่ว่า มันทำยาก
ทำยาก จบ
คุณมนัส .....วันนี้ขอบคุณทุกท่านสำหรับการติดตามของทุกท่าน ขอพวกเราเปล่ง
สาธุการเป็นการกราบนมัสการขอบพระคุณท่านหลวงปู่พุทธะอิสระครับ
(สาธุ)
ให้ทุกท่านที่ชมรายการปุจฉา วิสัชนา จงรุ่งเรือง เจริญด้วยสติปัญญาของพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่
ขอความผาสุข ความสวัสดี ความมีโชค ความรุ่งเรืองเจริญ จงบังเกิดแก่ท่านดุจพระอาทิตย์
ยามเที่ยงวันด้วยเทอญ
(สาธุ)
เอ้า ตลบมือให้เกียรติ
ถวายทาน ถวายผ้าป่า
.................
หลวงปู่กำลังจะนึกว่า จะส่งข้าวสารอาหารแห้งไปใต้ มีกำลังพอจะไปทำครัว ให้มูลนิธิฯเค้า
สำรวจดูว่า เค้าลำบากแค่ไหน อย่างไร เห็นว่า บางระกำ ก็น้ำนี่ท่วมแล้ว
เอาอยู่ พี่น้อง
ถ้าปีนี้มันท่วมอีก เหมือนกับปีที่แล้ว มึงอยู่ไม่ได้แน่ พี่น้อง มันจะลำบาก เพราะว่า พื้นที่ที่
รับน้ำ มันไม่มี แล้วแต่ละคนๆ ก็กั้นของตัวเอง แล้วน้ำมันจำนวนไม่ได้ลดลง เมื่อมันไม่ได้
ลดลง มันก็ทะลักบ่าไปทั่วได้ เคยใช้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่มีเป็นหลายพันไร่ กเค้าก็กั้น
กำแพง แล้วกรุงเทพฯ กั้นกำแพงหรือยัง ยังไม่ได้กั้น ปทุมฯ กั้นหรือยัง ก็ยังไม่ได้กั้น
ธนบุรีกั้นหรือยัง ก็ยังไม่ได้กั้น
เมื่อมันไม่ได้กั้น มันก็มาตามที่มันไม่ได้กั้น ก็ไปเรื่อย
นี่ตกไม่กี่วัน ทางเหนือตอนล่างก็เริ่มท่วมแล้ว เริ่มบ่า เริ่มล้น เริ่มไหล เพราะว่า สังเกตุดู
แม้ฝนปีนี้มันจะน้อย แต่เม็ดฝนมันหนาและใหญ่ ปริมาณน้ำมันมากกว่าที่ตกบ่อยๆ แต่น้ำ
ได้น้อย อย่างเมื่อวานเมื่อคืน ที่นี่ตกนิดเดียว ตกปริมาณซักชั่วโมงหนึ่ง น้ำบ่าถนนเต็มเลย
ซึ่งมันจะต่างจากสมัยก่อนนี้ ต้องใช้เวลา 2-3 ขั่วโมง จึงจะได้น้ำขนาดนี้ แสดงว่า
จำนวนปริมาตรของเม็ดฝนมันใหญ่ขึ้น ไม่ต้องใช้เวลาตกมาก แล้วบางที่ตกทั้งวันทั้งคืนเนี่ย
ยิ่งแย่
งั้น ก็ต้องระมัดระวัง อยู่ในโลกที่มันไม่มีอะไรแน่นอน เราก็ต้องเตรียมตัวอยู่เสมอ อย่า
ประมาท
เดี๋ยวกำลังให้เค้าสำรวจดูว่า เราจะไปช่วยอะไรเค้าได้บ้าง เห็นเค้าลำบาก แล้วเราอยู่สุขสบาย
ไม่ได้
ตั้งใจกรวดน้ำ ว่าตาม แล้วรับพร
..................
โชคดี ลูก ธรรมะรักษา ให้รุ่งเรือง ร่ำรวย เดินทางโดยสวัสดิภาพ ปลอดภัย
กราบลาพระ อะระหัง สัมมา
วันนี้ขออภัยนะจ๊ะ ที่อบรมกรรมฐานไม่ไหว อยากจะอบรม แต่ก็มันหายใจไม่ทัน เดี๋ยว
ต้องไปให้ออกซิเจนหน่อย เพราะว่า มันหายใจไม่ทัน แล้วมันจะตาพร่า ปวดหัว ออกซิเจน
ไปเลี้ยงสมองไม่พอ ก็เอาไว้ อาทิตย์นู้นก็ไม่ได้อบรม เพราะว่า ต้องไปเมืองจีน โรงยาเค้า
แจ้งวันนั้น ทำยาบำรุงสมอง อ้ายโสมมันหมด มันแพงมาก ฝากเค้าซื้อที่เยาวราชหัวขนาดนี้
(ขนาดเท่าข้อนิ้วชี้ 1 ข้อ ของหลวงปู่) โลหนึ่ง 2,500 อ้ายที่หลวงปู่ไปซื้อมาเนี่ย
ใหญ่ประมาณนี้ เพิ่งจะ 300 หยวนเอง แต่ต้องไปหอบจากเมืองจีน มาเมืองไทยก็ตก
ประมาณ หมื่นห้า งั้น ก็ต้องไปซื้อ เพราะยามันไม่มี จะรอให้หายใจสะดวกๆ ไม่ต้องไป
คว้าอากาศ ไปแล้วจะต้องไปวิ่งหาออกซิเจน มันหายใจไม่ทัน ....ก็จะอยู่ลำบาก
เอ้า ก็กราบลาพระ อะระหัง สัมมา
...........
อ้อ อีกเรื่องหนึ่ง ว่าจะเตือนหลายเที่ยวแล้ว ไม่ได้เตือนซักที อายุยิ่งมากเข้าๆ เกิน 40
ขึ้นไปแล้วเนี่ย ควรจะล้างท่อเสียบ้าง ไปหาสมุนไพรที่มันละลายลิ่มเลือด ขยายหลอดเลือด
มากินบ้าง ไม่งั้น เส้นเลือดฝอยมันจะโดนเม็ดเลือดแดงเกาะ แล้วก็ทำให้ตีบตันแตกง่าย
ไขมันที่กินเข้าไป มันก็ไปตกตะกอนสะสมในหลอดเลือด
ไม่ต้องกินทุกวันหรอก ลูก ติดต่อกันซัก 7 วัน แล้วก็หยุด แล้วเดื่อนหนึ่งก็กินอีกรอบหนึ่ง
ควรจะกินบ้าง เพราะว่า อ้ายที่เราใส่เข้าไป อ้ายที่เราเผาผลาญ กับที่ขับถ่าย มันไม่
Balance กัน เพราะพวกนี้ กินนอน กิน นอน เจี้ยะ อุ๊ก เจี้ยะ อุ๊ก มันเผาผลาญน้อย
ถึงทำงาน การขับถ่ายก็จะน้อย พลังงานในร่างกายก็จะน้อย
งั้น ควรจะมียาละลายลิ่มเลือด ขยายหลอดเลือด อย่าไปกินยาฝรั่ง เพราะยาฝรั่ง กินแล้วมัน
จะเป็นผลเสียต่อตับ ไปหาสมุนไพร หรือไม่ก็น้ำปรับธาตฺก็ได้ มันจะช่วยละลายไขมันใน
เลือดได้
ไม่ต้องกินติดต่อกันทุกวันหรอก ลูก เดือนหนึ่ง ซัก สัปดาห์หนึ่งหรือ 2 สัปดาห์เม็ด มันจะ
ช่วย เหมือนกับน้ำมันไม่ไปค้างอยู่ มันก็เลือดลมเดินสะดวก
ว่าจะเตือนหลายเที่ยวแล้ว ก็บอกให้ฟังแล้วกัน
เอ้า ไป
(กราบ)