วันที่ ๓๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๖ ตอนบ่ายเราเดินทางมุ่งหน้าสู่ "ถ้ำไก่หล่น" ทันที เตรียมตัวเต็มที่ถึงขนาดลงทุนซื้อเต็นท์ไปกางนอนที่ถ้ำ ถึงถ้ำเห็นผู้คนเริ่มทยอยกันมา เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทาง ถ้ำได้เต็นท์จากศูนย์พัฒนาที่ดินฯ มากางตรงตีนถ้ำ ใกล้ทางขึ้นบันได ๒ เต็นท์เพื่อเป็นโรงครัวชั่วคราว เราเลือกชัยภูมิเหมาะๆ กางเต็นท์ ตรงป่าละเมาะเชิงเขา ใกล้บันไดทางขึ้นถ้ำ แต่อยู่อีกซีกหนึ่งห่างจากครัว
      
       ในงานนี้ทำให้รู้จักผู้คนมากขึ้น ซึ่งแต่ละคนเป็นกำลังสำคัญในงานสร้าง-สรรค์ของหลวงปู่ทั้งสิ้น เช่น พี่จรรยา (ครูใหญ่ ร.ร.บ้านหนองกระทุ่ม) กับสามีคือคุณสุชาติ (อาจารย์ ร.ร.แถวกุยบุรี) พี่จรรยาร่างใหญ่ ค่อนข้างจริงจัง เคร่ง-ขรึม ส่วนคุณสุชาติตัวเตี้ยเล็ก ขี้เล่น สุภาพกับน้องจี๊ด พี่เฉลิมชัยกับน้อย (คนงาม) ยายเพ็ญ ขายผักตลาดหัวหิน (ยังโสด งานนี้บริจาคผักตลอด) พี่ประยูรกับอีแหมบ สาม ด. (เดช,ดำ,เดิม) ซึ่งเอ่ยชื่อตั้งแต่ตอนต้นแล้ว ฯลฯ ทหารตำรวจบริการน้ำตลอดงาน ข้าวสาร อาหารแห้งและสด กองเต็มในเต็นท์ ตอนนั้นผลไม้ที่มีมากที่สุดคือ สับปะรด (ไร่อยู่ใกล้ๆ แถวนั้นเอง) มะม่วง แตงโม ส้ม กล้วย เผือกฯลฯ รถขนเสบียง และเครื่องครัวจากวัดมาสมทบ ตามด้วยรถจากค่ายทหาร ซึ่งไปรับพระเณรมา มีพระเณรรวมทั้งหมด ๑๑๖ รูป คึกคักโกลาหล เณรเด็กๆ ซุกซนมาก พระพี่เลี้ยงเหนื่อยน่าดู เพราะมีเพียง ๕-๖ รูป เณรบางรูปห่มผ้าไม่เป็น เวลาเดินจีวรหลุดเป็นที่น่าขบขัน
      
       เมื่อมาถึง พระเณรก็พากันไปปักกลดในป่า ห่างจากพวกเราพอสมควร บริเวณที่พระเณรอยู่นั้น ให้ท่านผู้อ่านจินตนาการตามผู้เขียนก็แล้วกัน คือ เมื่อเดินจนสุดถนนจะพบแนวป่า ข้างหน้าเป็นห้องน้ำ ข้างซ้ายเป็นบันไดขึ้นถ้ำ ข้างขวานี่แหละใช่เลย พื้นที่จะลาดต่ำลงไป เดินไปนิดเดียวจะมีลำธารขวางหน้าแต่ตอนนี้ไม่มีน้ำแล้ว บริเวณนี้จะเป็นป่ารก เดินไป...เดินไป ไกลพอสมควรจะสุดภูเขาอีกลูกที่หลวงปู่ไปสำรวจมาแล้วหนก่อน ที่นี่กลางคืนจะมีหมูป่าออกมาเอาปากดุนขาเณร (ลูกชายคนเล็กเล่าให้ฟังเขามาบวชปีหลังๆ) ที่น่าสยอง คือ ประ-มาณ ๒-๓ ทุ่ม ได้เวลางูจงอางเผือกตัวเขื่อง (มีคนเห็น) ออกมาหากิน เสียงร้องของมันกรีดแหลม เหมือนปี่ เสียดแทงเข้าไปในขั้วหัวใจ นอนฟังท่ามกลางความเงียบสงัดของป่าและขุนเขา เป็นความไพเราะที่น่าสะพรึงกลัวอย่างไรชอบกล
      
       ฉันจำรายละเอียดในแต่ละวันไม่ค่อยได้ เพราะบันทึกเมื่อเหตุการณ์ผ่านมาหลายเดือนแล้ว กิจกรรมแต่ละวันมีดังนี้ เช้ามืด บรรดาแม่ครัวของวัดที่หัวหินและเพชรบุรี (ตอนนั้นมีป้าเยาว์ พี่จิต ยายฟู ฯลฯ คเชนทร์ลูกชายยายฟู ซึ่งมีหุ่นสูงชลูด ตัวดำ ฟันเหยิน พูดติดอ่าง ท่าทางน่าขัน) ช่วยกันเตรียมอาหารประเภทจานเดียว เช่น ข้าวต้ม ก๋วยเตี๋ยว ข้าวผัด ฯลฯ กลางวันมีกับข้าวหลายอย่าง อาหารหวานคาว เผ็ดจืด ขนมนมเนย ผลไม้ ฯลฯ บ่ายเตรียม น้ำปานะ กลางคืนก่อนนอนมีน้ำปานะอีกครั้ง อาหารเหล่านี้ได้มาจากการบริจาคเป็นวัตถุดิบ ส่วนหนึ่งใช้เงินที่คนมาทำบุญไว้กับถ้ำ บ้างก็ทำอาหารสำเร็จมาร่วมตักบาตร ว่างจากงานก็พักผ่อนตามอัธยาศัย
      
       กิจกรรมของพระเณร เช้ามืดออกจากป่าขึ้นถ้ำสวดมนต์ ลงมารับบาตรประมาณ ๗.๐๐ น. ฉันเสร็จ(ฉันในบาตร) ล้างบาตร พระพี่เลี้ยงพาไปฝึกเข้มในป่า เพลมารับบาตรอีกครั้ง ฉันเสร็จ ล้างบาตร นอนพักในกลด ลูกชายบอกว่า ไม่ค่อยได้นอนหรอก คุยและเล่นกันมากกว่า พระพี่เลี้ยงต้องคอยขยับไม้เรียวไม่หยุดหย่อน บ่ายอาบน้ำ (วันหนึ่งให้อาบเพียงครั้งเดียว) มารับน้ำปานะ ขึ้นถ้ำสวดมนต์ พอ ๒ ทุ่มลงมารับน้ำปานะอีก แล้วจึงเข้านอน
      
       หลวงปู่ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการดูแลฝึกอบรมเด็กว่า ถ้าทำสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เช่น การกินอิ่ม นอนหลับฯลฯ การจะบรรจุอะไรลงไปในสมองของเขาย่อมง่าย วิธีการลงโทษเณรที่ทำผิดเพราะความเลินเล่อ มักจะเป็นไปในทำนองตลกขบขัน เช่น ใครทำบาตรหาย ก็จะให้ถือกาละมัง ถาด หรือ ถังพลาสติกแทน ใครทำช้อนหาย ให้ใช้ทัพพีตักแกงแทนช้อน ฯลฯ เป็นต้น คนถูกลงโทษเช่นนี้จะอาย ต้องระวังตัวมิให้กระทำผิดอีก บางครั้งถูกทำโทษทั้งกลุ่ม (ถึงจะทำผิดคนเดียว) ให้คลานด้วยเข่าไปตามถนน ฯลฯ เขาจะดูแลซึ่งกันและกันอย่างดี เพราะกลัวการถูกลงโทษเป็นกลุ่ม หลักสูตรเหล่านี้ ตลอดจนรายการอาหาร มีหลวงปู่เป็นผู้กำหนด สามารถยืดหยุ่นได้ตลอดเวลา นี่เป็นความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่เราจับตามอง
      
       ผู้ใจบุญจากจังหวัดราชบุรี เจ้าของโรงงานโอ่งดินทอง (คุณสมหมายกับเจ๊ต๊ะ) บริจาคโอ่งให้มากมาย ครอบครัวนี้มีความผูกพันกับหลวงปู่มานาน ศิษย์รุ่นแรกๆ ก็ว่าได้ หลวงปู่ให้ความเมตตาช่วยเหลือสมัยธุดงค์อยู่แถวถ้ำรังเสือ จนกิจการเจริญรุ่งเรือง เขาปวารณาตัวรับใช้ตลอด เรียกว่าหลวงปู่อยู่ไหน โอ่งตามไปที่นั่น
      
       หลังจากงานเลิกแล้ว พวกเราทั้งหลายรวมพลังขนโอ่งขึ้นถ้ำ! ทุกวันนี้ยังสงสัยไม่หายว่า เอาขึ้นไปได้ยังไง ลำพังพาร่างขึ้นถ้ำก็จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว นี่แหละหนา พลังอะไรจะมาแรงเท่าพลังศรัทธาเป็นไม่มี แต่หลวงปู่เตือนพวกเราเสมอว่าศรัทธาควรประกอบด้วยปัญญา มิเช่นนั้นเราจะเสียรู้กลายเป็นคนโง่ให้ใครๆ จูงจมูก
      
       พลังศรัทธา พลังสามัคคี หลั่งไหลมามิขาดสาย สิบวันในป่าช่างเป็นชีวิตที่สนุกสนานอะไรเช่นนี้ รู้สึกแปลกใหม่ เพราะไม่เคยสัมผัสมาก่อน อยู่มาถึงครึ่งชีวิตก็ว่าได้ เพิ่งจะรู้รสชาติของชีวิตที่นอนกลางดินกินกลางทรายท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร ป่าซึ่งหลวงปู่ให้ข้อคิดว่า มันมีอำนาจและพลังดึงดูดอะไรบางอย่างให้ซึมสิงในตัวเรา ทำให้เรามีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ ฉะนั้น จะเห็นว่าพระที่บวชเพื่อความหลุดพ้นจะอยู่แต่ในป่า
      
       ตกกลางคืนฟังเสียงสัตว์ร้องไพเราะกว่าเสียงดนตรีใดๆ ในโลก ทำให้นึกถึงบทกวีในวรรณคดีของไทย (จำไม่ได้ว่าอยู่ในเรื่องอะไร) สมัยเป็นนักเรียน
      
       "...กะลิงกะลางนางนวลนอนเรียง พญาลอคลอเคียง
      
       แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง ค้อนทองเสียงร้องป๋องเป๋ง
      
       เพลินฟังวังเวง........... "
      
       ไม่นึกว่าบทร้อยกรองนี้จะเป็นจริงในชีวิตของเรา เพราะชื่อสัตว์ที่เอ่ยมา เกือบทั้งหมดจะมีอยู่ที่ถ้ำไก่หล่น โดยเฉพาะเสียงนกร้องแปลกๆ ยามดึกดื่นค่อนคืนดังแว่วมาแต่ไกล คล้ายๆ ใครเอาขวานจามต้นไม้ เสน่ห์มนต์ขลังแห่งป่า มันเพลินฟังวังเวงจริงๆ !
      
       เช้ามืดก็ลุกขึ้นมารับอากาศสดชื่นลงมือทำงาน เหนื่อยกายแต่ใจเป็นสุข ทำงานไปก็พูดคุยกันไป หัวเราะครื้นเครง ทุกคนเพิ่งมารู้จักกัน แต่ก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว แล้วใครล่ะที่อยู่เบื้องหลังของกิจกรรมเหล่านี้? เป็นช่วงชีวิตที่ไม่เคยลืมเลือน
      
       ขณะกำลังเขียนเล่าเรื่องอยู่นี้ ภาพต่างๆ ยังโลดแล่น โดดเด่น แจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ แม่ครัวจากนครปฐม หัวหิน เพชรบุรีเข้ากันได้ดี บางคืนฉันนอนในเต็นท์คนเดียว ใหม่ๆ รู้สึกกลัวนานไปก็ชิน ไม่ค่อยมียุงเพราะเป็นฤดูร้อน กลางวันร้อน กลางคืนอากาศเย็นสบาย วันแรกๆ หลวงปู่ไม่ยอมลงมาให้แม่ครัววัดเห็นหน้าเลย ท่านพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเย็นชาว่า
      
       "คอยดูนะ ตลอด ๑๐ วันนี้ กูจะไม่ให้พวกมันเห็นหน้ากูเลยแหละ การอบรมสั่งสอนพระเณรก็เหมือนกัน กูจะไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยเป็นอันขาด คนเขามีก็ทำหน้าที่ไปซิ"
      
       พอถึงเวลาจริงๆ หลวงปู่ลงมาช่วยทำครัวทุกวัน ท่านอดไม่ได้ด้วยความเมตตาที่มีอยู่เต็มเปี่ยมหัวใจ ท่านทำอาหารเก่งมาก เคล็ดลับคือ การบ้วนน้ำลายใส่แทนผงชูรส! ทำเฉพาะที่ถ้ำไก่หล่นเท่านั้น ฉันคิดเอาเองว่า ท่านต้องการจะปราบทิฐิมานะในตัวพวกเรา เลยเรียกศิษย์รุ่นนี้ว่า "รุ่นน้ำลายปราบลิง" ถ้าเป็นการอบรมที่ภาครัฐ จัดกันอยู่เนืองๆ เขาเรียกว่า "Ice Breaking" (ละลายพฤติกรรม) แต่ละลายพฤติกรรมวิธีของหลวงปู่นี่สุดหฤโหด
      
       วันแรกที่ท่านเดินลงมาจากถ้ำ แม่ครัวนครปฐมทรุดลงกราบ กับพื้นน้ำตาไหล เราซึ่งเป็นคนใหม่มองแล้วงงๆ ยังไม่ค่อยรู้ซึ้งอะไรมากนัก หลวงปู่เตรียมจะสวดอย่างเต็มที่ เจอภาพนี้ถึงกับนิ่งอึ้งหนึ่งอึดใจ แล้วเอ่ยวาจาว่า
      
       "พวกมึงเรียกหากูนักเรอะ หามาให้ด่ารึไง"
      
       พี่จิตแม่ครัวอาวุโสท่านหนึ่งตอบว่า "จากกันเสียนาน ไม่ได้เห็นหน้าหลวงปู่รู้สึกคิดถึง นานๆ ได้ฟังเสียงหลวงปู่ด่าสักหน่อยจะเป็นไรไป"
      
       ทุกคนฟังแล้วรู้สึกลำคอตีบตันบอกไม่ถูก เริ่มรู้ซึ้งถึงความผูกพันของพวกเขากับหลวงปู่ดี เขาติดตามร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน แล้วจู่ๆ ต้องจากกันร่วมปี คิดดูเถอะ ขนาดเราไม่เห็นหน้าท่านจันทร์ถึงศุกร์ยังกระวนกระวาย พอถึงวันเสาร วันอาทิตย์ต้องรีบเผ่นขึ้นถ้ำ บ้านช่องไม่สนใจ ปล่อยรกจนงูเงี้ยวเขี้ยวขอจะอยู่แทนเจ้าของบ้าน สุนัขที่บ้านกลายเป็นขี้เรื้อน เพราะไม่มีเวลาอาบน้ำให้ ต้องเสียเงินเสียทองรักษาหลายอัฐ ลูกหลานหลวงปู่เป็นอย่างนี้ทุกคน สามีขนาดเป็นผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่งยังติดหลวงปู่ แจทีเดียว ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดการพนัน ติดผู้หญิง ยังเลิกได้หมด แต่ติดหลวงปู่นี่ซิ เลิกไม่ได้ มันน่าแปลกใจนัก หลวงปู่เรียก อาการนี้ว่า "หลวงปู่ลิสซึ่ม" พูดภาษาอังกฤษเสียด้วย
      
       แต่ท่านบอกว่า "กูเรียนอะไรไม่จบหรอก จบแค่ ป.๔ ไม่ค่อยจะรู้อะไร พูดส่งๆ ไปอย่างนั้นเอง"
      
       แต่ฉันชอบเรียกว่า "หลวงปู่ฟีเวอร์" แบบเดียวกับที่คนคลั่งปุ๋ย (ภรณ์ทิพย์) หรือ ไมเคิล แจ็คสัน อะไรทำนองนั้น ก็จะไม่ให้พวกเราเคารพนับถือท่านได้อย่างไร ไปมาก็หลายวัด พบพระก็หลายรูป แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ใกล้ชิดอย่างหลวงปู่เลย ทุกครั้งที่สนทนากับหลวงปู่จะเหมือนได้เปิดหูเปิดตาเห็นโลกกว้าง สิ่งที่ไม่เคยได้ยินก็ได้ยินจากปากท่าน สิ่งที่ไม่เคยพบเห็น ก็ได้พบเห็นจากการกระทำของท่าน มันเป็นโลกอีกโลกหนึ่ง โลกไร้มายา ไร้การแต่งแต้มเติมสี ทุกสิ่งทุกอย่างพิสูจน์ทราบได้ ธรรมะของท่านตรง ทันสมัย ประเทืองปัญญา ถ้าเรารู้จักเก็บเกี่ยว เราจะกลายเป็นคนมีเหตุมีผล ไม่หลงเชื่อหรือถูกใครหลอก มั่นคงไม่หวั่นไหว ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตนเอง ต่อจากนั้นรู้จักแบ่งปัน เอื้ออาทรผู้อื่น ข้อสุดท้ายนี้ ท่านเน้นย้ำมาก จากการได้ติดตามท่านอยู่เป็นเดือนๆ ทำให้พอสรุปข้อธรรมที่ท่านเน้นย้ำได้ดังนี้
      
       ๑. ความมีสติทำอะไรต้องมีสติกำกับทุกอิริยาบถ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะไม่มีวันคิดผิด พูดผิด ทำผิด ต่อตัวเองและผู้อื่นเลย
      
       ๒. พึ่งตนเอง ฝึกตนเองให้แกร่ง อยู่รอดได้ ไม่เป็นภาระ แก่สังคม จากนั้นก็ทำตนเป็นที่พึ่งแก่คนอื่นบ้าง
      
       ๓. เอื้ออาทรต่อสรรพสิ่ง สรรพชีวิต โลกก็จะอยู่รอดร่มเย็น
      
       ๔. หมั่นสร้างกุศล ปฏิบัติธรรมเพื่อขัดเกลาตนเอง โดยการทำงาน ทำหน้าที่ มีศรัทธาในสิ่งที่ควรศรัทธา คือใช้ปัญญาในการทำความดีนั่นเอง ทำดีอย่างชาญฉลาด ข้อนี้ต้องพึงสังวรณ์ ถ้าเราขาดสติปัญญาในการสิ่งใด บางครั้งผลลัพธ์ที่ออกมา กลายเป็นมลภาวะแก่ตัวเองและผู้อื่น แล้วจะมาตีโพยตีพายไม่ได้ว่า "ทำดีไม่ได้ดี"
      
       ท่านสอนอะไรๆ อีกมากมาย ไม่สามารถจะบรรยายเป็นตัวอักษรได้หมดในทันที อ่านไปเรื่อยๆ จะรู้จะเห็นเอง ที่เอ่ยมาข้างต้น เป็นกุศลธรรมที่เรียบง่าย เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เคยเข้าใกล้วัด เรียกว่า สอนลูกศิษย์โดยลงมือกระทำให้ดู ยังมีที่ลึกซึ้งกว่านี้ ค่อยถ่ายทอดให้ฟังในบทหลังๆ ก็แล้วกัน ปัญหามันมีอยู่ว่า บางครั้งฟังแล้วเล่าต่อไม่ถูก เพราะฉันเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาในเรื่องศาสนา สมัยเป็นนักเรียนก็เรียนแบบท่องจำ เพื่อให้สอบได้เท่านั้น ไม่ซึ้งในคำสอนสักเท่าไร ถือศาสนาพุทธตามทะเบียนบ้านเท่านั้นเอง
      
       หลวงปู่ลงมืออบรมพระเณรก็หลายครั้ง บางครั้งท่านใส่บาตรพระเณรด้วยตัวเอง ค่ำมืดดึกดื่นเดินท่อมๆ ไปดูพระเณรในหุบลึก ว่าอยู่สุขสบายดีหรืออย่างไร โดยไม่เคยใช้ไฟฉาย หรือ เทียนไขเลย แปลกที่ว่าท่านไม่ยักถูกหนามหรือหินทิ่มตำ ไม่เดินชนอะไร หรือลื่นล้ม เวลาเดินมาแต่ไกล เราจะรู้ว่านั่นคือหลวงปู่ เพราะท่านจะมีท่าทางการเดินเฉพาะตัวจริงๆ หน้าตรง คอตรง หลังตรง เหมือนนางงามเดิน แขนแกว่งแต่พองาม ขาก้าวช้าๆ มั่นคง ท่าเดินเนิบนาบ นิ่มนวล แต่ไม่ใช่กระตุ้งกระติ้งนะ เป็นผู้ชายที่เดินงามน่ามอง เห็นเดินเนิบนาบอย่างนั้นเถอะ เวลาเดินบุกป่า ปีนเขา พวกเราตามไม่ทันก็แล้วกันแหละ
      
       ครั้งหนึ่งมีอาจารย์หญิง (ร่ำเรียนสูง) ถกเถียงกับท่าน (จะลองภูมิกระมัง) คุณเธอใส่คำพูดฉอดๆ พวกเรานั่งเชียร์อยู่แถวนั้น ไม่ใช่เชียร์หล่อน แต่เชียร์หลวงปู่ ปรากฏว่าหลวงปู่เถียงเธอไม่ทัน ท่านไม่คิดจะเอาชนะคะคานเธอด้วยแหละ นานๆ ถึงจะเอ่ยปากสัก ๒-๓ คำ แต่เธอไม่ฟัง เธอพูดแว้ดๆ เสร็จก็ลุกสบัดก้นพรืดไป หลวงปู่ยังยกมือค้างทำท่าทางประกอบคำพูดยังออกเสียงอิ๊ๆ อึ๊ๆ อยู่ในคอฉันหัวเราะก๊าก ขำท่าทางของท่าน
      
       "หลวงปู่คะ เขาไปแล้วค่ะ หลวงปู่ยังไม่ได้พูดอะไรเลย แพ้แล้ว"
      
       ท่านยิ้ม "กูไม่ได้คิดจะแข่งแพ้แข่งชนะกับมัน แต่กำลังจะบอกให้มันได้คิด เฮ้อ! น่าสงสาร ไอ้พวกหลงตัวเอง"
      
       ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังเพื่อให้ท่านผู้อ่านนึกภาพออกว่า หลวงปู่พูดช้า ถึงพูดไม่เพราะ ปากจัด แต่ไม่ใช่จัดแบบแม่ค้าตลาดสดที่พูดรัวด่าคนสามชั่วโมงไม่ซ้ำคำพูดเลย ท่านพูดไม่ไพเราะแต่ไม่หยาบ ด่าเก่งแต่น่าฟัง พูดเนิบนาบแต่คนฟังจะไม่รู้สึกเหนื่อย หรือระคายหู
      
       ย้อนกลับมาที่ถ้ำไก่หล่นอีกครั้ง มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่แอบขึ้นรถคุณไก่ไปสำรวจ "ถ้ำพระธาตุ" ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของถ้ำไก่หล่น เราขับรถปิคอัพตามไป มีคนติดตามท่าน ๕-๖ คน นอกนั้นไม่มีใครรู้เลย ถ้ารู้จะยุ่งกว่านี้มาก เรายังเป็นคนใหม่ไม่ค่อยกล้านัก แอบตามไปห่างๆพอไปได้หน่อยหนึ่ง ก็เปลี่ยนใจ ขับรถกลับ กลัวหลวงปู่จะว่าเอา ตอนนั้นยังไม่คุ้นกับท่านมากนัก พอขับรถย้อนกลับทางเดิม พบเด็กผู้ชาย ๒-๓ คน ยืนโบกมือขวางทาง ฉันคิดว่าเห็นไหม หลวงปู่ให้เด็กมาขวางรถเราไม่ให้ตามไป แต่พอเข้าไปใกล้ๆ เด็กบอกว่า
      
       "ลุงครับ ป้าครับ ขอไปด้วยคนซี หลวงปู่ให้มาขึ้นรถคันนี้"
      
       เท่านั้นแหละ หัวใจของเราก็พองโต หลวงปู่เมตตาเราแล้ว ท่านไม่มีอคติกับลูกศิษย์คนใด เราคิดมากไปเองว่า ท่านสนิทสนม กับลูกศิษย์ที่รวยๆ มีรถเก๋งคันโก้ซึ่งมาก่อนเรา จะเข้าหาหลวงปู่ต้องใจกล้า ตื๊อลูกเดียว! นานไปจะรู้ว่าท่านไม่ได้นิยมคนมีเงินเลย
      
       ถึงถ้ำพระธาตุ ก็ปีนขึ้นไป ถ้ำนี้ไม่มีบันได มิหนำซ้ำยังชันอีกด้วย เหนื่อยแทบขาดใจ หยุดพักระหว่างทางหลายครั้ง ไหนๆ ก็มาแล้ว ต้องปีนให้ถึงให้ได้ ฉันนั่งบนหินก้อนหนึ่ง ให้สามีถ่ายรูปเป็นที่ระลึก พอถ่ายเสร็จเขาเหลือบเห็นหลวงปู่กำลังปีนป่ายก้อนหิน ก็ยกกล้องขึ้นถ่ายภาพท่านทันที (ปกติจะไม่มีใครกล้าถ่าย เพราะท่าน ไม่อนุญาต บ่อยครั้งที่ท่านเอาหินปากล้อง ตามด้วยรองเท้า)
      
       เสียงท่านดังมาว่า "ไอ้ห่า! ถ่ายรูปอีกแล้ว"
      
       ท่านปีนหายลับไป เวลาท่านขึ้นเขาจะเห็นท่านเดินเรื่อยๆ แต่เราตามไม่ทัน นอกจากนั้นยังไม่แสดงอาการเหนื่อยหอบอย่างพวกเรา
      
       ท่านบอกว่า การเดินขึ้นที่สูงต้องเดินช้าๆ หายใจลึกๆ ถ้าจะให้ดีลองนึกถึงท่าทางเดินของคนเมาดูซี นั่นแหละ นำท่านั้นมาใช้ในการเดินขึ้นเขาจะไม่เหนื่อย ทั้งนี้ก็เพราะว่าเขาจะปล่อยตัวตามสบาย ไม่ขืนกับแรงโน้มถ่วงของโลก ท่าโยนตัวไปมา แอ่นหน้าแอ่นหลังนั่นแหละ ผู้ใดจะนำไปใช้ในการปีนเขา ไม่สงวนสิทธิ์ แต่อย่างใด แต่ระวังอีตอนแอ่นไปแอ่นมา แอ่นตกเขาไม่รู้ด้วย!
      
       ถึงตัวถ้ำ รู้สึกผิดหวังเพราะสวยงามสู้ถ้ำไก่หล่นไม่ได้เลย ภายในถ้ำแคบมาก มืดอับชื้น กลิ่นขี้ค้างคาวเหม็นฉุนจนแสบจมูก ตามฝาผนังและหินย้อยมีตะไคร่น้ำจับเขียวอื๋อ พวกเราเดินตามหลวงปู่เข้าไปข้างในซึ่งมืดมาก ต้องจุดเทียนเดินดูพื้นถ้ำ บางคนคุ้ยเขี่ยหาหินธาตุ ซึ่งคิดว่าเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ แต่หลวงปู่ไม่แยแส ใครเอาให้ท่านดู ท่านจับๆ ส่ายหน้า โยนทิ้ง ถึงกระนั้นเห็นบางคนหอบไปเต็มกระเป๋า จำได้มีพี่เดิมคนหนึ่งที่ให้ความสนใจหินที่ว่านี้มาก มันจะมีหินปูนเกาะ ใช้ค้อนเคาะเบาๆ หินปูนจะหลุดออก ข้างในเป็นหินกลมเกลี้ยง ผิวและสีเหมือนเม็ดขนุน พอกลับไปถ้ำไก่หล่นจะนั่งเคาะกันง่วน ไม่เป็นอันทำอะไรจนหลวงปู่เอ็ด ฉันยังช่วยเคาะตั้งหลายก้อน
      
       บริเวณถ้ำไม่กว้างขวาง และไม่มีอะไรจะให้ดู เราจึงพากันถอยออกมาปักหลักหน้าถ้ำ ต่างก็ยึดหินนั่งคนละก้อน มีสิ่งแปลกในตัวหลวงปู่อีกอย่างที่ไม่เหมือนคนทั่วไปคือ ท่านเป็นคนไม่มีเหงื่อไหลหยดอย่างคนทั่วไป ปีนถ้ำขึ้นมาจะเห็นแต่อังสะเปียก แต่ไม่เห็นเหงื่อเกาะตามผิวหน้า หรือผิวหนังเลย และเป็นอย่างนี้ตลอดไป ท่านมีวิชา แล้วจะบอกภายหลังว่าวิชาอะไร ไม่มีกลิ่นตัว ไม่ผายลม สามียกกล้องขึ้นถ่ายภาพท่านอีก คราวนี้กดชัตเตอร์ไม่ลงเสียแล้ว พี่เดิม พี่ดำ และพี่เดช ช่วยดูให้ก็แก้ไขไม่ถูก เลยต้องเก็บกล้อง สามีบอกหลวงปู่ว่า
      
       "หลวงปู่ครับ กล้องผมเสียแล้วครับ"
      
       หลวงปู่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้พูดว่า "สมน้ำหน้ามึง"
      
       ระหว่างนั้นมีการสนทนา โดยหลวงปู่นั่งบนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง แล้วเล่าเรื่องความรู้ต่างๆ ให้ฟัง เสียดายลืมรายละเอียดหมดแล้ว จำได้บางอย่างเช่น ชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัยอยุธยา และรัตนโกสินทร์ ตอนต้นเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยอ่านพบในตำราเล่มใด ท่านเล่าเหมือนตัวท่านเป็นคนในสมัยนั้นด้วย ยังพูดถึงเครื่องประดับของพระนางซูสีไทเฮา พระราชินีวิคตอเรียของอังกฤษ ทำให้รู้ถึงความโอ่อ่ายิ่งใหญ่ของคนในราชวงศ์ ความฟุ่มเฟือย และ ฟุ้งเฟ้อ ของพระนางซูสีซึ่งเป็นสาเหตุให้การปกครองระบอบฮ่องเต้ของจีนต้องล่มสลายใน ที่สุด
      
       ท่านพูดถึงอัญมณีล้ำค่าที่เคยพบในถ้ำต่างๆ ฟังแล้วอ้าปาก หวอ น้ำลายไหลด้วยความอยากได้ ถามท่านว่า "หลวงปู่ไม่เอาติดตัวมาบ้างล่ะ? "
      
       ท่านส่ายหน้า ไม่ยินดียินร้าย "ฮื้อ! เอามาทำไม ของพวกนี้เป็นสมบัติของแผ่นดิน คนไม่มีบุญวาสนาขืนเอาไปครอบครองก็มีอันเป็นไป มันคือหินที่มีสีสวยกว่าหินทั่วไปนั่นเอง กูไม่บ้าหอบให้หนักหรอก"
      
       หลวงปู่ยังพูดถึง "เมืองลับแล" ท่านเรียกว่า "เมืองบังบด" คนที่นั่นรูปร่างหน้าตาเป็นคนเหมือนเรา มีการทำมาหากิน แต่พวกเขามีศีลธรรมทุกคน ไม่มีเหงื่อ ไม่มีกลิ่นตัว เป็นอีกมิติหนึ่งที่ซ้อนอยู่กับโลกเรา คนมีบุญถึงจะได้เห็นพวกเขา
      
       ตอนท้ายสามียังติดใจเรื่องกล้องถ่ายรูป จึงเอ่ยขึ้นว่า
      
       "หลวงปู่ครับ ผมหวังว่ากล้องนี้คงไม่ต้องถึงมือเจ๊ก"
      
       หลวงปู่ตอบว่า "กูไม่รู้"
      
       พี่เดชขอดูกล้องอีก แล้วทักว่า ถ่านคงหมด เพราะแฟลชไม่ขึ้น จึงเปิดดูตรงที่ใส่ถ่าน ปรากฏว่าไม่มีถ่านจริงๆ! ทุกคนทำหน้าตาตื่นเป็นไปได้อย่างไร ก็เมื่อสักครู่ยังถ่ายรูปได้เลย อีกอย่าง ถ้าถ่านหล่นหาย ฝาต้องเปิดอ้า นี่ทุกอย่างอยู่ในสภาพเรียบร้อย กลับจากถ้ำ สามีกลับบ้าน หาถ่านใส่ แล้วถ่ายรูปต่อจนฟิลม์หมดม้วน จึงนำไปให้ร้านถ่ายรูปล้าง สิ่งที่ปรากฏคือ ภาพที่ฉันนั่งบนก้อนหินระหว่างทางขึ้นถ้ำชัดเจนดี ส่วนภาพหลวงปู่ตอนปีนขึ้นถ้ำไม่มีเลย! และภาพที่ถ่ายต่อหลังจากใส่ถ่านใหม่ก็ติดชัดเจนดี!
      
       ตอนลงจากถ้ำเราออกรถก่อนเพื่อน หลวงปู่วิ่งตามหลัง เหยาะๆ โบกมือหยอยๆ ว่าจะขอไปด้วยคน (เห็นท่านวิ่งเป็นครั้งแรก และครั้งเดียวจริงๆ) เราดีใจมากที่หลวงปู่ขอนั่งรถโกโรโกโสของเรา (ใคร ๆ ก็อยากให้หลวงปู่นั่งรถของเขาทั้งนั้น) สามียังไม่ทันจะหยุดรถ ฉันเหลียวหลังไปดู ภาพที่เห็นคือ หลวงปู่กระโดดแผล็วเผ่นโผน โจนทยานขึ้นมาอยู่ท้ายรถปิคอัพเรียบร้อยซะแล้ว รวดเร็วมากจนดูไม่ทันว่าขึ้นได้อย่างไร รถปิคอัพของที่บ้านไม่ได้ถ่วงให้เตี้ยแบบรถวัยรุ่น แถมเอากันชนท้ายออก ลูกชายเป็นคนเอาออก เขาบอก ว่าตอนนี้วัยรุ่นกำลังนิยม ฉะนั้นเวลาจะขึ้นนั่งท้ายรู้สึกลำบากเพราะไม่มีที่เหยียบ แล้วนี่หลวงปู่นุ่งสบง รถก็กำลังแล่น ไม่ทราบท่านก้าวขึ้นอย่างไร เห็นแต่ท่านเอามือจับชายสบงให้กระชับ และกระโจนขึ้นมาทีเดียว เหมือนนักกีฬากระโดดสูงโดยไม่มีไม้ค้ำถ่อ ภาพอย่างนี้หาไม่ได้อีกแล้ว ไม่เคยเห็นท่านทำซ้ำสอง
      
       ยังไม่หมด หลวงปู่ยังทำอะไรแบบอัศจรรย์อีกมากมาย แต่มักแสดงตอนเราเผลอ สามีหยุดรถลงไปนิมนต์ให้ท่านนั่งข้างหน้า ท่านปฏิเสธ ขอนั่งกับเด็กๆ ข้างหลัง วันนั้นท่านสวมหมวกกุ้ยเล้ย อีกมือถือพัด พูดคุยเฮฮากับเด็กๆ เป็นอีกรูปลักษณ์หนึ่ง
      
       มีคนจากกรุงเทพฯ เช่ารถตู้มาหาท่าน เป็นหญิงจีนวัย ๕๐ กว่า รูปร่างท้วม ชื่อ "เจ๊ป้อม" อีกคนอ้วนกว่าชื่อ "เจ๊บ๊วย" เจ๊ป้อม เล่าว่า เธอตามหาหลวงปู่มานานถึง ๖ ปีแล้วจนได้ข่าวจากหนังสือโลกทิพย์ ซึ่งคนใช้นามปากกาว่า "น้องเอ๋" เขียนเรื่องหลวงปู่ไปลง เจ๊ทั้งสองไปสำนักสงฆ์ธรรมอิสระมาแล้ว ทางนั้นบอกให้มาที่นี่ เธอมั่นใจว่าเป็นองค์เดียวกับที่เธอกำลังติดตามอยู่ เจ๊ป้อมเล่าว่า เคยฟังธรรมะจากพระภิกษุรูปหนึ่งที่บ้านคุณณรงค์ (เพื่อนที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน) ซอยลาดพร้าวหลายครั้ง รู้สึกซาบซึ้งและศรัทธาในตัวท่าน เธอเชื่อของเธอว่าท่านคือ พระครูเทพโลกอุดรอีกร่างหนึ่ง จากนั้นพระภิกษุรูปนี้ก็หายหน้าไป ๖ ปีเต็ม เธอเฝ้าติดตามจนมั่นใจ ว่า เป็นองค์เดียวกับหลวงปู่นี่แหละ เธอจึงมา ถึงเห็นหน้าหลวงปู่ แล้วจะไม่เหมือนกับองค์นั้น เธอก็ไม่ว่าอะไร เธอยังยืนยันว่าเป็นองค์เดียวกัน แต่เปลี่ยนร่างใหม่ เพราะมีปฏิปทาเหมือนกัน เพียง แต่องค์โน้นพูดคำแทนตัวว่า "ฉัน" องค์นี้พูดคำแทนตัวว่า "กู"
      
       นอกจากนี้เจ๊ป้อมยังเอาล็อกเกตที่ห้อยคอซึ่งเป็นรูปหลวงปู่พระครูเทพ โลกอุดรให้ดูแล้วบอกว่า หลวงปู่เป็นหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร ภาพในล็อกเกตเป็นภาพพระภิกษุนั่งเอามือทั้งสองวางบนเข่า เป็นภาพเดียวกับที่ฉันหยิบจากหนังสือโลกทิพย์ให้สามีดูว่าหลวงปู่ของเราหน้า ตาอย่างนี้หรือเปล่า ฉันถามเจ๊ป้อมว่าทำไมไม่บอกคุณณรงค์กับพรรคพวกล่ะว่า พบหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรในร่างใหม่แล้ว เธอบอกว่า บอกแล้วแต่เขาไม่เชื่อ เฮ้อ! ก็ว่ากันไป ไม่รู้นะ ส่วนตัวเธอเชื่อมั่นในตัวหลวงปู่มากๆ มาแทบทุกอาทิตย์ ใหม่ๆ หลวงปู่ไม่ยอมให้พบ จนน่าสงสารเพราะเธอเป็นคนอายุมาก อุตส่าห์ปีนขึ้นเขาขึ้นถ้ำ บ้านก็อยู่ไกล รถหรือก็เช่าเขา ดูเถิดว่าเธอมีความศรัทธาแรงกล้าเพียงใด เธอตื๊อน่าดู จนในที่สุดหลวงปู่หลบไม่ไหวต้องให้พบ
      
       เจ๊ป้อมยังล้วงภาพสีขนาดโปสการ์ดให้ดู เป็นภาพพระภิกษุ ๓ รูปยืนเรียงกัน องค์หนึ่งเป็นเจ้าบุญชุ่ม องค์ที่สองคือหลวงปู่โง่น อีกองค์มาแปลกเป็นพระแขก นุ่งห่มเหลืองแต่หนวดเครารุงรัง โพก ศีรษะ เจ๊บอกว่ารูปนี้ได้มาจากคุณณรงค์ คุณณรงค์ได้มาจากหลวงปู่โง่น หลวงปู่โง่นเล่าให้คุณณรงค์ฟังว่า
      
       รูปนี้ถ่ายเมื่อครั้งหลวงปู่โง่นกับเจ้าบุญชุ่มไปจาริกที่เมืองอุตระ แถบเทือกเขาหิมาลัย เนปาล บ้านเกิดของหลวงปู่พระครูเทพ โลกอุดร หลวงปู่โง่นอ่านอักขระโบราณในแผ่นหินป้ายใหญ่ออก ทันใดนั้นปรากฏพระสงฆ์ร่างใหญ่เดินออกมาจากป้ายหิน ทักทายหลวงปู่โง่น หลวงปู่โง่นเห็นว่าพระภิกษุรูปนั้นแท้จริงก็คือ หลวงปู่ พระครูเทพโลกอุดรนั่นเอง ก็ตื่นเต้นยินดีมากกระโดดจับมือท่าน ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก พอล้างฟิลม์ออกมา พระครูเทพโลกอุดรกลาย เป็นพระแขกเสียนี่
      
       เฮ้อ! เล่าได้เป็นตุเป็นตะ ท่านผู้อ่าน อ่านแล้วอย่าคิดอะไรมากจะปวดหัวเปล่าๆ นึกว่าเป็นเรื่องเล่าสนุกๆ ก็แล้วกัน อย่าลืมว่าเรื่องนี้เล่าถึงสามสี่ต่อ ฉะนั้นต้องมีความคลาดเคลื่อนไปเป็นธรรมดา เริ่มต้น ก.ไก่ ไปถึงคนสุดท้ายไหงกลายเป็น ฮ.นกฮูกได้ ฉันคนเขียนรู้สึกทะแม่งๆ ยังไงชอบกล
      
       รูปนี้เจ๊ป้อมเอาให้หลวงปู่ดู หลวงปู่พูดว่า "นี่อีตาโง่น นี่อีตา บุญชุ่ม แล้วนี่อาบังที่ไหน"
      
       เจ๊ถามว่าใช่ตัวหลวงปู่หรือเปล่า หลวงปู่สั่นหัวย้อนถามว่า
      
       "แล้วมึงว่าใช่มั้ยล่ะ ถามกู กูไม่รู้หรอก ทำไมมึงไม่ไปถามมันล่ะ" หลวงปู่มีวิธีเลี่ยงที่ฉลาดอย่างนี้เสมอ
      
       บางวันมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่นั่งเฮลิคอปเตอร์มาหาหลวงปู่ บ้างก็เป็นคุณหญิง คุณนาย ครูบาอาจารย์ ท่านจะไม่ใส่ใจนัก เหตุผลก็คือ เขาเหล่านั้นดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ท่านช่วยเหลือ อะไร บางวันมีครอบครัวชาวไร่ชาวนา ค่อนข้างยากจน ใส่เสื้อผ้า เก่าๆ ซ้ำแข้งขายังพิการ ท่านจะนั่งสนทนาปราศรัยเป็นเวลานานๆ ด้วยความเอื้ออาทรอย่างสุดหัวใจ และจะเป็นปกติวิสัยอย่างนี้ บางวันมีแม่ชีมาหา ท่านไม่ยอมให้พบ ฉันสงสารจึงพาขึ้นไปนั่งคอย บนศาลา ท่านก็ไม่ให้พบจนเย็น
      
       ในที่สุดแม่ชีก็ผิดหวังกลับไป หลวงปู่เอ็ดฉันใหญ่ ว่าวุ่นวาย ท่านไม่อยากให้ใครมารู้จัก มากราบไหว้ ที่ออกจากวัดมาอยู่ถ้ำก็เพราะหนีคน แล้วยังไม่วายตามมารังควานอีก อีกอย่างพวกชีนี่แหละ ตัวทำให้พระวุ่น วัดไหนมีชี วัดนั้นมักมีเรื่องวุ่นวาย สังเกต หลวงปู่ไม่ชอบชีเอามากๆ
      
       มีชายคนหนึ่งมาค้างที่ถ้ำ ท่าทางมีฐานะ สังเกตจากเครื่องแต่งกายและรถที่ขับหน้าตาแบบคนจีน ผมยาว หนวดเครารุงรังเหมือนพวกฮิปปี้ สวมแหวนเกือบทุกนิ้ว เป็นพวกรับจ้าง ตกแต่งสวนตามรีสอร์ท ที่ท้ายรถปิคอัพมีต้นไม้เต็มไปหมด นัยว่า เป็นเพื่อนกับสมภาร ถามหลวงปู่ว่าเขาเป็นอย่างไรช่วยอธิบายที
      
       หลวงปู่พูดแบบติดตลกว่า "อ๋อ! ก็ศึกษาเรื่องหิน นอนกับหิน พูดกับหิน สุดท้ายก็แดกหิน"
      
       เขามีสมญานามว่า "ศาสดาหิน" เพราะสนใจศึกษาเรื่องหิน จากนั้นท่านวิจารณ์อย่างเป็นงานเป็นการว่า พวกนี้เป็นคนที่ขาด ความอบอุ่น ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เกิดปมด้อยจึงพยายาม ทำตัวแปลกๆ เพื่อสร้างปมเด่น สร้างเอกลักษณ์ในตัวให้สังคมยอมรับ
      
       ส่วนสมภารอาทิตย์ก็ทำตัวแปลกๆ เช่น พวกเราจะใส่บาตรให้ท่าน ท่านปฏิเสธไม่รับ อ้างว่าของเต็มบาตรแล้ว หนัก แบกขึ้นถ้ำไม่ไหว รวมความแล้วไม่ญาติดีด้วย ท่านไปบิณฑบาตที่ตลาด หนองพลับ
      
       อีกวันมีเณรสองพี่น้องฝาแฝด เด็กหนองพลับหนีกลับบ้าน เพราะคิดถึงโยมแม่ หลวงปู่ให้คนไปตาม กลับมาจนมืดค่ำ ท่านเรียกมาเทศนาพักใหญ่
      
       มีหญิงคนหนึ่งชื่อ "เล็ก" เป็นนางสาวแต่มีอายุแล้ว มาจากหัวหิน เธอปรึกษาหลวงปู่เรื่องหลานชายไปเรียนกรุงเทพฯ ถูกวัยรุ่น แทงตาย จะติดต่อวิญญาณเขาได้อย่างไร หลวงปู่ทำหน้าเมื่อยๆ แล้วพูดว่า
      
       "อ้าว! กูจะไปรู้เรอะ กูยังไม่ตายนี่ ให้กูตายก่อนแล้วจะบอก"
      
       พี่เล็กเซ้าซี้เพราะรู้ว่าหลวงปู่ช่วยได้ ถ้าจะช่วย เธอยังอาลัยอาวรณ์ในตัวหลานมาก ท่านปลอบว่า
      
       "มันตายไปแล้ว มึงจะไปสนใจทำไม สนใจไอ้คนที่อยู่ดีกว่า คนตายไปแล้ว ถือว่าสบายไปแล้ว คนที่อยู่ซิ น่าเป็นห่วงกว่า.... เอาเถอะๆ แล้วกูจะดูให้นะ"
      
       ท่านรับปากด้วยความเมตตา อีกไม่กี่วันแม่ของเด็ก (น้องสาวพี่เล็ก) ก็มาตักบาตรที่ถ้ำ เพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ลูกชาย เธอมีท่าทางป้ำๆ เป๋อๆ คงเสียใจที่ลูกชายต้องมาเสียชีวิตอย่างน่าอนาถก่อนวัยอันควร เธอไม่ยอมให้ใครช่วยตัก จะตักเองแถมยังตักเสียมากมายสอ้างว่าลูกชายจะได้ไม่อด จนเณรบางรูปต้องเดินหนี เพราะมีกฎอยู่ว่า เณรห้ามฉันเหลือ มิฉะนั้นจะถูกลงโทษ ทำเอาเณรแย่ เวรกรรมแท้ๆ
      
       "หลวงตาสุรพันธ์" จะกลับไปบวชลูกชายที่อีสานบ้านเกิด หอบสัมภาระพะรุงพะรัง ๕-๖ ห่อ บรรดาผู้ชายช่วยกันขนลงข้างล่าง หลวงปู่เห็น ท่านตำหนิว่าหลวงตาทำน่าเกลียด ทำตัวเป็นพระบ้าหอบฟางยังกับลาวอพยพ ไม่รู้จักลดละ แก่จนป่านนี้แล้ว ไม่รู้บวช ไปเพื่ออะไร ท่านประชดว่า พรุ่งนี้ให้จ่าเวียง (ดำ) ช่วยยกข้าวสาร แถมถ่านอีกกระสอบให้หลวงตาขนไปด้วย
      
       รุ่งขึ้นหลวงตาลงจากถ้ำแต่เช้าตรู่ นั่งคอยรถ หมวดนิรันดร์ จะมารับ พอหลวงปู่เห็นหลวงตา ท่านก็สั่งให้ลูกศิษย์ยกข้าวต้มไป ถวายหลวงตา ทั้งๆ ที่เมื่อคืนว่าไว้มากมายเข้าทำนองปากร้ายแต่ใจดี
      
       คืนหนึ่งหลวงปู่เรียกประชุมผู้ที่มาช่วยงานทั้งหมด เพื่อแจก ลูกอม ไม่ใช่ลูกอมฮอลล์ ลูกอมแฮ็คส์นะ ท่านทำเอง เอาผงโมกหอม ผสมกับกล้วยน้ำว้าที่สุกงอม น้ำมันตังอิ๊ว ดอกไม้บูชาพระตากแห้ง ฯลฯ ตำเข้าด้วยกัน แล้วบรรจงปั้นกับมือ เป็นลูกกลมๆ เล็กๆ น่ารัก ท่านใช้เวลาว่างกลางวันทำไปเรื่อยๆ ตรงกลางถ้ำใต้ปล่องที่มีพลังไอสุริยันจันทรานั่นแหละ
      
       นอกจากนั้น แจกยันต์สวัสดิกะ เอาผ้าสีแดงกว้างยาว ๑ นิ้ว เขียนรูปยันต์สวัสดิกะสีขาวลงไป แล้วแปะบนกระดาษแข็ง ด้านหลังเขียนยันต์พุทธคุณ ๙ บทบ้าง ยันต์พระโพธิสัตว์ ๕ องค์บ้าง ท่านบอกว่าเป็นของชำร่วยเล็กๆ น้อยๆ ตอบแทนผู้ที่มาช่วยงาน นอกจากนั้นยังให้คำมั่นสัญญาอีกว่า หลังจากพระเณรกลับไปแล้ว จะสอนวิชาลม ๗ ฐานให้!
      
       พวกเราดีใจกันยกใหญ่ หารู้ไม่ว่ามันเป็นวิชาสุดยอดของหลวงปู่ นึกว่าง่าย พอเอาเข้าจริงๆ ไม่มีใครเรียนสำเร็จสักคน พูด ก็พูดเถอะ ลูกศิษย์หลวงปู่ประเภทใกล้เกลือกินด่าง ขยะเต็มถังทั้งนั้น ที่ท่านจัดกิจกรรมต่างๆ ให้ก็เพื่อให้การงานมีส่วนชำระล้างขยะในตัว จากนั้นจะใส่อะไรลงไปก็เป็นเรื่องง่าย วิชาลม ๗ ฐานนี่แหละ ที่ทำให้หลวงปู่มีอะไรที่ผิดแผกแตกต่างไปจากคนธรรมดา
      
       มีเรื่องขำๆ เล่าให้ฟัง พอมีคนมาเรียกบรรดาแม่ครัวให้ขึ้นไปบนถ้ำ หลวงปู่จะแจกของดี ตอนนั้นมืดแล้ว พวกเราก็รีบกระวีกระวาดปีนบันไดถ้ำกันใหญ่ กลัวว่าขึ้นไปช้าของจะหมด โดยเฉพาะ อีแหมบงกกว่าเพื่อน คุณเธอรูปร่างรึก็ท้วม ก้นใหญ่เชียว ตะลีตะลานปีนเอา...ปีนเอาโดยไม่ยอมหยุดพัก แผล็บเดียวก็นั่งหน้าซีด เป็นลม ฉันเอายาหม่องที่หลวงปู่ทำแจกให้คนถ้ำใช้ (หลวงปู่เป็นหมอยา รักษาโรคได้ด้วย แต่ไม่แสดงตัว) มายื่นให้ อีแหมบ เธอถึงศาลาข้างบนเป็นคนสุดท้าย เพราะมัวเป็นลม หลวงปู่ล้อเลียน อยู่พักหนึ่ง
      
       หลวงปู่ยังปรารภเรื่องการจัดตั้งชมรมเพื่อทำสาธารณประโยชน์ เช่น (ท่านหางานให้ลูกหลานทำเพื่อปฏิบัติขัดเกลาคน มิได้หวังผลของงาน)
      
       ปรับปรุงบริเวณภายในและภายนอกถ้ำให้สวยงาม โดยมิให้ธรรมชาติเสีย
      
       ทำอ่างเก็บน้ำเล็กๆ ๔ แห่ง คือ บนหลังคาถ้ำ ในถ้ำเนินเขา ๒ ข้างบันได
      
       ปรับปรุงบันไดทางขึ้น
      
       ปลูกป่าและไม้ดอกไม้ประดับ
      
       ซ่อมเขื่อนข้างล่างที่ชลประทานสร้างไว้
      
       ท่านรองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายไชยพร สำเภาเงิน เคยมานมัสการหลวงปู่ คุณไก่พามา ท่านรองฯ รับปาก จะดำเนินการเรื่องซ่อมเขื่อน หลวงปู่บอกว่าถ้าพวกเราสามารถรวมตัวกันได้ จัดตั้งเป็นคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ท่านจะอยู่ต่อเป็นแกนนำสักระยะหนึ่ง เมื่องานเสร็จ ท่านจะไปจากที่นี่ ซึ่งก็ออกพรรษาพอดี พวกเราร้องไชโย รีบรับปาก อย่างไรก็ตาม ต่อ มาบางคนที่เราเห็นว่า เช้าถึงเย็นถึง แข็งขันน่าดู ยังล่าถอย เพราะเขามาหาหลวงปู่อย่างมีจุดมุ่งหวังอะไรบางอย่าง ครั้นมิสมอารมณ์หวังก็เลือนหายไป ท่านไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว เวลามาก็มากันเอง ไม่ได้ง้อนี่นา เวลาไปก็ไปซิ
      
       เขาเห็นว่าหลวงปู่มีคุณวิเศษในตัวมากมาย คงช่วยเขาได้แน่ๆ แต่หลวงปู่ไม่ใช่พระประเภท เสกน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก ท่านมีแต่ธรรมะล้วนๆ มีแต่หัวใจ และวิญญาณความเป็นครูของจักรวาลอยู่เต็มเปี่ยม
      
       หลวงปู่เขียนบทโศลกขึ้นมาบทหนึ่ง ความว่า
      
       "ลูกรัก... ความเห็นของพ่อมีว่า ถ้าความศักดิ์สิทธิ์ของ ดิน น้ำ ลม ไฟ และฟ้ามีอยู่จริง พ่อก็คิดว่านกที่บินอยู่บนฟ้า ปลาที่อยู่ในน้ำ สัตว์ที่อยู่ในดิน มันคงจะไม่ลำบากขนาดนี้เป็นแน่"
      
       คุณไก่มีภาพหลวงปู่หุงน้ำมันมนต์ (๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ วันมาฆะบูชา ตอนนั้นเรายังไม่รู้จักท่าน) มีขนาดใหญ่และเล็ก ภาพใหญ่ ๕๐๐ บาท ภาพเล็ก ๓๐๐ บาท ที่คุณไก่ทำเช่นนี้เพราะต้องการจะหาเงินทุนเป็นรายจ่ายของถ้ำ และเป็นการสนองศรัทธาท่านผู้ใจบุญทั้งหลายที่อยากจะทำบุญกับหลวงปู่ แต่ให้หลวงปู่ ตรงๆ ไม่ได้ เพราะท่านไม่ชอบขอเงินใคร คุณไก่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ดูแล้วตลก เพราะถ้าหลวงปู่เห็นจะถูกเอ็ดทุกครั้ง ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งชมรมก็มีคณะกรรมการดำเนินงานเรื่องการเงินเป็นกิจ ลักษณะ
      
       พูดถึงภาพของหลวงปู่ตอนหุงน้ำมันมนต์เป็นภาพที่น่าดูอย่าง ยิ่ง ท่านใช้มือคนในน้ำมันเดือดๆพวกเราตื่นเต้น แต่หลวงปู่บอกว่าของกล้วยๆ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน อาบังก็ทำได้ ท่านไม่ยอมให้ใครทำเหรียญล็อกเกต หรือวัตถุมงคลใดๆ ที่เกี่ยวกับตัวท่านเป็นอันขาด ท่านจะสร้างด้วยมือของท่านเอง ซึ่งเป็นรูปพระพุทธเจ้า หรือไม่ก็อรหันต์สาวก ที่เห็นๆ ท่านจะทำพระสังกัจจายน์บ่อยที่สุด (หลายรุ่น) ไม่มีการวางจำหน่าย ท่านจะเอาไว้แจกเฉพาะคนที่มาช่วยงานพระศาสนา
      
       พระผงพิมพ์ที่หลวงปู่ทำที่ถ้ำมี ๒ แบบ คือ พระพุทธพิมพ์ปางประทานพร กับพิมพ์พระสังกัจจายน์ หลวงปู่บอกว่า พระสังกัจจายน์เป็นพระโพธิสัตว์องค์แรกของศาสนาพุทธ ฉันได้พิมพ์ปางประทานพรมากับมือของหลวงปู่ในฐานะเป็นแม่ครัวคราวนี้แหละ (พร้อมทั้งลูกอม)
      
       หลวงปู่บอกว่า พระของท่านมิใช่ของวิเศษวิโสอะไร เป็นเพียงของชำร่วยเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำขึ้นไว้แจกเป็นของสมนาคุณแก่ผู้มาช่วยท่านทำงาน ท่านไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนไปยิ่งกว่านั้น เพราะพระไม่มีรายได้อะไร
      
       อย่างไรก็ตาม หลวงปู่สรรเสริญ "พระสติ" ท่านสอนว่า คน มีสติจะมีสตางค์ใช้ อยู่ที่ไหนก็ไม่อด สติเป็นธรรมที่มีอุปการะมาก
      
       สามียังไม่ได้พระจากหลวงปู่เลย เพราะตอนท่านแจกของเขาไม่อยู่ มาขอตอนหลังท่านทำเฉย เขาน้อยใจเลยไม่ขออีก กว่า จะได้ก็หลังจากนั้นอีกหลายเดือน ท่านเปิดกล่องบรรจุพระเผอิญเหลืออยู่องค์หนึ่ง ดีมากไม่มีใครเหมือน คือปางประทานพรชำรุด (รุ่นนี้หาไม่ได้อีกแล้ว)
      
       ท่านพยักพเยิด "ไอ้หมูอ้วน นี่ไง เอาไปซี มึงยังไม่ได้ไม่ใช่หรือ" เขารีบรับ ดีใจซะไม่มี ถึงจะชำรุด (ไม่ค่อยเต็มพิมพ์) ก็ถือว่าเป็นของดีเสมอ ถ้าหลวงปู่ให้
      
       พวกวัตถุมงคล เช่น พระผง เหรียญ ยันต์ ฯลฯ สรุปแล้วหลวงปู่ทำมาหลายรุ่น ที่ยิ่งใหญ่มากคือ ดาวสุริยะ เป็นจี้ห้อย คอ รูปดาวแฉกๆ ตรงกลางเป็นสวัสดิกะ ตกแต่งด้วยอัญมณีมีค่า อาทิ เพชร ทับทิม ไพลิน บุษราคัม นิล ตามวัน เดือน ปี เกิดของผู้สั่งจอง ฉันมาไม่ทัน
      
       แต่ยังมีที่สุดยอดกว่านั้นอีก คือ พระกริ่งอวโลกิเตศวร ใช้ เลือดหลวงปู่ผสม เป็นพระที่แปลกตรงที่เวลาเขย่าจะไม่มีเสียงดัง กริ๊กๆ แบบพระกริ่งทั่วไป แต่ที่ได้ชื่อว่าพระกริ่งเพราะมีวิธีการสร้าง เหมือนกัน ท่านลั่นวาจาไว้ว่า จะสร้างวัตถุมงคลทำนองนี้ ๑๐ รุ่น เพราะท่านมีหน้าที่ต้องมาหาผู้สืบทอดพระศาสนาให้ได้ ๑๐ องค์ แต่ก็ไม่สามารถหาได้เลย จึงต้องสร้างวัตถุมงคล ๑๐ รุ่นแทน
      
       ตั้งแต่พบหลวงปู่ มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเห็นที่ไหน คือ สวัสดิกะ ท่านบอกว่า ไม่ใช่เครื่องหมายคอมมิวนิสต์ หรือ นาซี แต่เป็นเครื่องหมายแทนธรรมจักรนั่นเอง
      
       หลวงปู่บอกว่า พระในประเทศไทยที่เขียนเครื่องหมาย สวัสดิกะเป็นและใช้เป็น มี ๓ รูปด้วยกัน คือ หลวงพ่อกบแห่งเขาสาริกา หลวงพ่อโอภาสี ท่านที่ ๓ คือ หลวงปู่ (ฉันสรุปเอง ก็เห็นๆ อยู่นี่นา) แล้วก็ถูกคนมองว่า บ้า! เพี้ยน! อย่างไรก็แล้วแต่ เครื่องหมายนี้ไม่ใช่ของเขียนเล่น ถ้าไม่ใช่พระระดับอริยะต้องมีอันเป็นไป ดูฮิตเลอร์เป็นตัวอย่าง เขานำเครื่องหมายนี้มาใช้เพื่อความ มีอำนาจ มีพลัง ยังพบกับความวิบัติในบั้นปลาย ขนาดเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ ให้เอียงเป็นขนมเปียกปูน ยังไม่วาย!
      
       วกกลับมาเรื่องถ้ำกันดีกว่า ธุดงค์ถ้ำไก่หล่นครั้งนี้ คุณยายทองห่อมาด้วย ท่านนอนห้องใต้ถุนศาลา คุณปราณีนอนกุฏิหลวงปู่ อ๊ะ! อ๊ะ! อย่าเพิ่งตกใจ ฟังให้จบก่อน หลวงปู่ไปนอนกุฏิใน อยู่ลึกไปทางหลังเขาโน่น เคยแอบไปดู แหม! บรรยากาศดีแท้ๆ ยังกะอาศรมพระมุนีฤๅษีศีล พอตกเย็นเสียงจิ้งหรีด กรีดกริ่งเรไร หริ่งร้องขรมระงมเสียง... วิเวกวังเวง วิเหวโหว ชอบก๊ล ป่าน ฉะนี้ ปลวกคงกินหมดแล้วแหละ
      
       มาคุยเรื่องคุณยายดีกว่านะ คุณยายทองห่อไม่ใคร่ชอบหน้าคุณปราณีนัก ยายแกหวงหลวงปู่! อาหารที่คุณปราณีทำมาให้แกก็ไม่ยอมกิน สั่งให้ป้าภาที่มาด้วยกันไปเอาที่โรงครัวข้างล่าง ป้าแกแก่แล้ว แกปีนขึ้นลง ๒๐๐ กว่าขั้นเชียวนะ ไม่ไหว! แกก็แอบเอาของคุณปราณีมาให้ คุณยายรู้เข้าก็โกรธ ไล่ป้าภาไปนอนที่อื่น ไม่มีใครถือสา เพราะเห็นว่าชรามากแล้ว เป็นธรรมดา พอแก่ มากๆ ก็กลายเป็นเด็กอีกครั้ง ใครมาฟ้องเรื่องความเจ้าอารมณ์ของคุณยาย หลวงปู่จะฟังเฉย แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าคุณยาย ท่านจะกระเซ้าเย้าแหย่แรงๆ ท่านเรียกคุณยายว่า "หญิงห่อ" ฟังผิวเผินเหมือนเป็นเรื่องตลก แท้จริงหลวงปู่กำลังให้ธรรมะข้อคิดแก่คุณยาย และทุกๆ คนที่กำลังเดินทางไปสู่ความแก่และความตายในที่สุด
      
       ส่วนคุณยายจะกระฟัดกระเฟียด เมื่อหลวงปู่ว่าแรงๆ ประเดี๋ยวเดียวก็หายโกรธ เป็นอยู่อย่างนี้ ว่าก็ว่าเถอะ ผู้เขียนสนใจวิชาดูโหงวเฮ้งคน เห็นหน้าผากคุณยายแล้วก็ไม่อยากถือสา ก็หน้าผากคุณยายมีนิดเดียว เรียกว่าตีนผมแทบจะชนกับคิ้ว หน้าผากคือความคิด (สมอง) เมื่อหน้าผากเสีย ความคิด (สมอง) ก็เสีย คนถ้าความคิดเสีย อะไรๆ ก็พลอยเสียไปหมด
      
       บ่ายวันที่ ๑๐ เมษายน บรรดาพระเณรและเหล่าสานุศิษย์ทั้งหลาย ตกลงกันว่าจะมีพิธีสรงน้ำหลวงปู่ เนื่องในวันสงกรานต์ ทุกคนช่วยกันปิดเงียบ ไม่แพร่งพรายให้ท่านรู้ เกรงท่านปฏิเสธ และก็เป็นเรื่องที่แปลก วันนั้นไม่รู้เป็นอย่างไรหลวงปู่มีอาการง่วง เหงาหาวนอนตั้งแต่เช้า หลังจากฉันเพลแล้ว ท่านบอกพวกเราว่า อยากพักผ่อน ห้ามรบกวน ว่าแล้วท่านก็ให้คนยกเตียงพับจากศาลา ไปไว้ที่ถ้ำ ตรงหลืบโพรงข้างในซึ่งท่านไม่เคยนอนกลางวันมาก่อน
      
       พวกเราช่วยกันจัดสถานที่สรงน้ำตรงกลางถ้ำจัดโต๊ะหมู่บูชาตั้งเก้าอี้ ให้หลวงปู่นั่งเตรียมดอกไม้ ธูปเทียน โอ่งบรรจุน้ำลอยดอกมะลิกับกลีบกุหลาบเหยาะน้ำอบไทย เสร็จแล้วก็นั่งคอยกันหน้าสลอนแต่เงียบกริบ เงียบจนได้ยินเสียงดังงิ้งๆ ในหู นานๆ ก็แว่วเสียงนกร้องมาแต่ไกล คอย....คอย....และแล้วหลวงปู่ก็ค่อยๆ โผล่มาจากหลืบถ้ำด้วยสีหน้าที่งัวเงียเคร่งขรึมผิดกว่าทุกครั้ง พวกเรานิมนต์ให้ท่านนั่งบนเก้าอี้ที่เตรียมไว้ ท่านนั่งพร้อมกับกวาดสายตา ไปรอบๆ เงียบไม่พูดอะไร
      
       พิธีสรงน้ำเริ่มแล้ว หลวงปู่สรงน้ำพระพุทธรูปบนโต๊ะหมู่บูชาก่อน จากนั้นพระเณรสรงน้ำหลวงปู่ สุดท้ายเป็นฆราวาสสรงน้ำพระ
      
       หลวงปู่สำทับ "เร็วหน่อย กูจะหนาวตายอยู่แล้ว"
      
       ตลอดเวลาของพิธีสรงน้ำ ท่านแจกยันต์สวัสดิกะ มีพ่อค้าชาวจีนมากับคณะเจ๊ป้อม ถวายเงินให้หลวงปู่ด้วยความศรัทธา สีหน้าและแววตาแสดงความซื่อกับจริงใจ หลวงปู่ทำท่าชะงักนิดหนึ่ง แล้วท่านก็ยื่นเงินคืนให้ ปากก็พูดว่า "เอ้า! กูให้มึง"
      
       เขาทำท่างงๆ คนอยู่ใกล้บอกว่าหลวงปู่ไม่ชอบรับเงินใครง่ายๆ ถ้าอยากทำบุญจริงๆ มอบให้พระอื่นก็ได้ พอดีหลวงพี่หมออยู่ตรงนั้น เขาจึงมอบให้ หลวงพี่รับไว้เป็นเงินกองกลางของวัด
      
       ตอนนี้มีการถ่ายรูป แสงแฟลชวูบวาบสักครู่หนึ่ง หลวงปู่ปรามว่า "ถ่ายกันพอหรือยัง"
      
       เสร็จพิธีท่านให้โอวาทด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ นุ่มนวลเป็นงานเป็นการว่า
      
       "เอาละ ท่านทั้งหลายก็ได้พร้อมอกพร้อมใจจัดพิธีนี้ขึ้นมาด้วยความกตัญญูรู้คุณต่อครูบาอาจารย์....ด้วยมุทิตาจิต....เราขอขอบใจ"
      
       ประโยคหลังเสียงเย็นก้องเข้าไปในโสตประสาทสให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก แก่ผู้ฟัง บางคนเกิดปีติจนน้ำตาคลอ ท่านใช้คำว่า "เรา" แทนคำว่า "กู" ฟังแล้วให้ความรู้สึกแปลกใหม่ ท่านพูดนานพอสมควร จับใจความบางตอนได้ดังนี้
      
       "ที่จริงเราไม่ได้เป็นคนหยิ่ง หรือจองหองอะไรเลย แต่ที่เราคอยหลบผู้คนที่มาหา ไม่ต้อนรับเขาทั้งๆ ที่เขาอุตส่าห์ตะเกียกตะกายขึ้นมา ก็เพราะเราไม่ต้องการให้ใครมาศรัทธาหรือกราบไหว้ เรามาบวชเพียงหวังจะศรัทธาตัวเอง ซึ่งทุกคนก็สามารถทำตรงนี้ได้ เราไม่ใช่คนที่วิเศษวิโสอะไร ที่จริงเราสงสารเขานะ ไม่ใช่ไม่สงสาร แต่คิดไปคิดมา หลวงปู่สงสารตัวเองดีกว่า.... แค่นี้พอนะ ชักหนาว วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร ง่วงเหงาหาวนอนตั้งแต่เช้า.... "
      
       สุดท้ายหลวงปู่ให้ศีลให้พร ทุกคนก้มลงกราบด้วยความปลื้ม ปีติไปตามๆ กัน
      
       วันที่ ๑๑ เมษายน หลังฉันเพล พระเณรก็เดินทางกลับนครปฐม ความเงียบเหงามาแทนที่อีกครั้ง หลังจากจอแจมาร่วม ๑๐วัน ๑๐ คืน หลวงปู่ได้พักผ่อนกายและใจอย่างเต็มที่ เพราะตลอดระยะเวลาของการธุดงค์นั้นหลวงปู่รับศึกทุกด้านทั้งๆ ที่ท่านบอกแต่แรกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยว ไหนจะควบคุมเรื่องอาหารการกิน ไหนจะอบรมพระเณร เรื่องแม่ครัวอีก แขกที่มาถ้ำเพื่อปรึกษาปัญหาชีวิต ฯลฯ น่าเหนื่อยแทนจริงๆ แต่ไม่เห็นท่านปริปากบ่นว่า เหนื่อย หรือรำคาญ ถึงพระเณรจะกลับหมดแล้ว ท่านก็มิได้อยู่นิ่งเฉย ท่านพูดเสมอว่า
      
       "ลูกรัก...วันหนึ่งๆ หายใจเข้าๆ ออกๆ คิดทำอะไรให้แก่โลก บ้าง เมื่อมีลมหายใจก็มีชีวิต เมื่อมีชีวิตก็มีพลัง พลังมี ๒ ประเภท คือ พลังบวก กับ พลังลบ ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าเราจะใช้พลังไปในทางบวกหรือลบ"
      
       พวกเราเก็บเต็นท์กลับบ้าน สุดแสนอาลัยอาวรณ์บรรยากาศ ป่าเขาลำเนาไพรเสียเหลือเกิน ทำอย่างไรได้ล่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น แล้วก็สลายไป จะไปอาลัยอาวรณ์ถึงมันอยู่ไย มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันจะดีกว่า
      
       คืนนั้นฝนตกลงมาอย่างหนัก หลังจากอั้นมาเป็นเวลานาน ก่อนหน้านี้ฝนทำท่าตั้งเค้าหลายครั้งแล้ว หลายคนบอกหลวงปู่ว่า อย่าให้ฝนตกเลย สงสารพระเณร ท่านแกล้งพยักหน้าหงึกหงัก แต่แปลกฝนไม่ตกจริงๆ ทั้งๆ ที่เมฆตั้งเค้าดำทมึน ฝนจะตกรอบๆ เขา เว้นตรงกลางที่ถ้ำ คนที่เดินทางมาถ้ำจะแปลกใจที่มาถึงถ้ำแล้วไม่มีฝน ในขณะที่พวกเขาเพิ่งฝ่าพายุฝนมาหยกๆ
      
       วันที่ ๑๓ เมษายน พระเณรไปรับบาตรที่กรุงเทพฯ แถวโรงเจ วัดคลองเตยใน ที่ที่หลวงปู่เคยอยู่มาก่อน วันนั้นฝนตกหนัก เราไม่ได้ไป ได้ข่าวว่าพระเณรเปียกปอนไปตามๆ กัน แต่ผู้คนที่นั่นมีศรัทธา ถึงฝนตกก็ปักหลักสู้ไม่ถอย ได้ข้าวสารอาหารแห้งมากมาย ซึ่งหลวงปู่สั่งให้คนวัดจัดแบ่งแจกจ่ายไปตามโรงเรียน ต่างๆ จนหมด สำหรับการตักบาตรที่โรงเจวัดคลองเตยใน ช่วงสงกรานต์จะมีทุกปี เรียกว่าเป็นประเพณีระหว่างวัดอ้อน้อยกับคนในชุมชนนี้ เพราะทุกคนมีความผูกพันกับหลวงปู่มาแต่เก่าก่อน
      
       วันที่ ๑๕ เมษายน มีการทำบุญตักบาตรช่วงเช้าที่วัด ตอนบ่ายเป็นเรื่องการสรงน้ำพระ ซึ่งก็เป็นประเพณีทุกปีเช่นกัน ทางบ้านนำของไปร่วมทำบุญด้วย ค้างหนึ่งคืนแล้วกลับตอนเที่ยง ไม่ได้อยู่สรงน้ำพระ เพราะจิตใจจดจ่อแต่หลวงปู่ ยิ่งรู้ว่าท่านจะอยู่อีกไม่นาน เรายิ่งต้องตักตวงเวลาอยู่กับท่านมากๆ ก่อนจากวัดมา จำได้ว่าตอนกลางคืนวันที่ ๑๔ เมษายนได้สนทนากับหลวงพี่หมอถึงเรื่องของหลวงปู่ในอดีตที่ผ่านมา พูดถึงพระองค์ที่ ๑๐ ที่วัด ท่าซุงกล่าวขวัญถึงเรื่องนี้เคยได้ยินมานานมากแล้ว แต่ตอนนั้นไม่สนใจ ไม่เคยคิดว่าจะมาเกี่ยวพันกับหลวงปู่
      
       พระองค์ที่ ๑๐ ที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำกล่าวถึง ที่แท้หมายถึงหลวงปู่นั่นเอง (อ่านรายละเอียดในบทแทรก) หลวงพี่หมอเล่าว่า ตอนนั้นท่านเป็นนักศึกษาแพทย์ ติดตามหลวงปู่ไปวัดท่าซุงเพื่อแสดงมุทิตาจิตในโอกาสที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำได้ เลื่อนสมณศักดิ์ ก่อนหน้าที่หลวงปู่จะไปถึง หลวงพ่อได้บอกเหล่าสานุศิษย์ไว้ว่าวันนี้ จะมีพระสำคัญมาวัด เป็นพระหนุ่ม ให้ทุกคนสังเกตให้ดี หลวงพ่อ ยังบอกตำหนิต่างๆ (รายละเอียดตรงนี้ไม่มี) ที่จะให้ลูกศิษย์สังเกตไว้
      
       ครั้นพอถึงเวลาหลวงปู่ไป ไม่มีใครรู้ เพราะหลวงปู่หน้าตาธรรมดาไม่มีมาดอะไร รู้สึกจะเป็นพระระดับเลขาของหลวงพ่อฤๅษีออกมาพบ แต่เขาไม่ให้ความสนใจอะไร หลวงปู่ขอเครื่องนอน เขายังทำท่าแสยะใส่ บอกว่าไม่มี หนำซ้ำยังตำหนิหลวงปู่อีกว่า เป็นพระภาษาอะไรไม่รู้จักเตรียมพร้อม อะไรๆ ก็ไม่มีมา หลวงปู่ไม่ว่าอะไร ท่านเอาจีวรปูนอนง่ายๆ
      
       รุ่งขึ้นเช้าเริ่มมีลางบอกเหตุ หลวงพี่หมอเล่าว่า ท่านตื่นประมาณตี ๔ ภาพที่เห็นแล้วรู้สึกประทับใจมาก คือ ภาพหลวงปู่เดินจงกรมอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง (หลวงปู่ไม่ได้ข้ามฟากไปอยู่วัดสร้างใหม่สท่านคงพักที่ศาลาหลังเก่าริมแม่ น้ำ) เป็นอิริยาบถที่งดงาม มาก ซึ่งหลวงพี่หมอไม่เคยเห็นมาก่อน
      
       อีกตอนหนึ่ง เวลาที่หลวงปู่สรงน้ำ เกิดเสียงร่ำลือว่า แม่น้ำสะแกกรังไหลย้อนกลับ ผู้คนเริ่มโจษจันกันปากต่อปาก เรื่องนี้หลวงพี่ไม่ขอยืนยัน เพราะท่านไม่เห็น สามีฉันเคยถามหลวงปู่ว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ท่านให้คำอธิบายว่า ท่านจะสรงน้ำแต่มีผักตบชวาขึ้นเต็มไปหมด จึงใช้มือแหวก น้ำก็ไหลย้อนไปตามแรงมือ คนเอาไปพูดเลอะเทอะ
      
       พอหลวงพ่อฤๅษีลิงดำไขความว่า นั่นแหละ คือพระที่ท่านเอ่ยถึง เท่านั้นแหละ อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปหมด พระรูปที่ทำท่าไม่ต้อนรับท่านครั้งแรก มากราบขอโทษ หัวเราะแหะๆ พูดเสียงอ่อยๆ ว่า "ผมไม่ทราบครับ"
      
       ผู้คนเริ่มมารุมล้อม จนในที่สุด หลังงานหลวงปู่ถึงกับลมจับ ป่วยไปหลายวัน ไอของคนนี่ ทั้งร้อนและเหม็นที่สุด สำหรับหลวงปู่ ผู้ซึ่งมีสัมผัสผิวและจมูกไวกว่าคนธรรมดา ตอนหลวงปู่เทศน์มีคนฟังธรรมกันล้นหลาม สุดท้ายถึงกับถอดเครื่องประดับเพชรนิลจินดา ใส่ถาดถวายหลวงปู่ แต่ท่านยกให้วัดท่าซุงหมด
      
       หลวงพี่หมอบอกว่าเป็นการแสดงธรรมที่ใช้พลังมากที่สุด ไม่เคยเห็นหลวงปู่แสดงธรรมครั้งไหนยิ่งใหญ่อย่างนี้เลย หลวงพี่บอกว่า ท่าทางของหลวงปู่เปลี่ยนไปจากพระหนุ่ม เป็นพระผู้ใหญ่ ที่สง่างามและเคร่งขรึม จากนั้นมาใครๆ ก็เรียกท่านว่าหลวงปู่ ใครที่ชอบถามว่า ทำไมจึงเรียกท่านว่าหลวงปู่ ท่านยังหนุ่มอยู่เป็นหลวงปู่ได้อย่างไร ฯลฯ คงได้คำตอบกันแล้วซินะ
      
       หลวงพี่หมอเคยเรียกท่านว่า "หลวงพี่" ครั้นใครๆ เรียก "หลวงปู่" จนติดปาก ท่านเลยเรียกว่าหลวงปู่บ้าง
      
       คืนนั้นหลังจากที่สนทนากับหลวงพี่หมอแล้ว ก็ขึ้นไปนอนบนศาลาหอฉัน ช่วงที่ฉันมีความรู้สึกเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับ ก็เห็นผู้หญิง สาวสวยคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ปลายเท้า ทำท่าเหมือนกำลังจัดอะไรอยู่ ในพาน สวมชุดไทยสไบเฉียงสีเขียวอมทอง มีกระบังหน้าที่ศีรษะ เครื่องประดับวูบวาบ ผิวผ่องใสสวยงามกว่ามนุษย์ทั่วๆ ไปที่เคยพบเห็น ฉันตกใจสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ภาพนั้นก็หายวับไปทันที ไม่กล้าปลุกสามีซึ่งหลับอยู่ข้างๆ มันกลัวอย่างบอกไม่ถูก จึงชัก ผ้าห่มคลุมโปง ร้อนก็ร้อน เหงื่อแตก สุดท้ายก็เพลียหลับไป ตื่นเช้าไปเล่าให้ป้าเยาว์ฟัง ป้าทำปากห่อตาโตกระซิบว่า
      
       "นั่นแหละๆ แม่ศรีนวล" ถามว่าแม่ศรีนวลเป็นใคร ป้าเล่าว่า แม่ศรีนวลเป็นวิญญาณอมตะ ติดตามหลวงปู่มาหลายชาติแล้ว เดิมหลวงปู่เป็นทหารรักอยู่กับแม่ศรีนวลซึ่งเป็นหญิงสูงศักดิ์ เมื่อลงเอยกันไม่ได้ นางก็ตัดสินใจฆ่าตัวตาย (บ้างก็เล่าว่า นางตรอมใจตาย) หลวงปู่ปลูกศาลเพียงตาเล็กๆ ไว้ริมสระ หน้ากุฏิเก่าของท่าน เรื่องนี้เท็จจริงอย่างไรยกให้ป้าเยาว์นะคะ
      
       ยังมีเรื่องเกี่ยวกับแม่ศรีนวล ที่หลายคนเล่ากันต่อๆ มาดังนี้ (อ่านแล้วโปรดใช้วิจารณญาณด้วย เท็จจริงอย่างไรไม่ขอยืนยัน)
      
       หลวงปู่มักปลูกต้นไม้กลางดึก เพราะอากาศไม่ร้อนและต้นไม้ มีโอกาสพักฟื้นนาน แม่สีนวลจะมาสนทนาเป็นเพื่อนเสมอ มีเณรเห็นหลวงปู่พูดอยู่คนเดียวบ่อยๆ ฉันฟังแล้วไม่ทราบจะพูดอย่างไร ไม่กล้าออกความเห็น
      
       ปีก่อนโน้นมีเณรมาบวช แล้วลงว่ายน้ำในสระ เกิดจมน้ำตาย ทั้งๆ ที่ว่ายน้ำเป็น แม่ศรีนวลบอกหลวงปู่ว่าอยากได้เด็กผู้ชายไปเป็น ลูกสักคน เธอคงมาเอาวิญญาณของเด็กคนนี้ไป พ่อแม่ของเด็กไปดูหมอมา หมอดูทำนายว่าจะหมดอายุ พ่อแม่จึงพามาบวชเพื่อสะเดาะเคราะห์หนีตาย แต่ก็หนีไม่พ้น ตอนงมศพขึ้นมา ใบหน้าของเด็กยิ้ม สงบ แสดงว่าเต็มใจตาย หลวงปู่บอกว่าเด็กเคยเป็นญาติกับแม่ศรีนวล แต่ท่านก็ขัดเคืองศรีนวลเหมือนกัน เพราะได้ขอชีวิตเด็กไว้แล้ว ซ้ำยังสั่งพระไว้ล่วงหน้าว่า จะมีเหตุการณ์อย่างนี้ เกิดขึ้น แต่ก็ยังช่วยชีวิตของเด็กไม่ได้ ตอนหลังหลวงปู่ไม่ให้แม่ศรีนวลอยู่ในวัด
      
       พูดถึงหลังวัดมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล มีสระน้ำ กุฏิใหม่ของหลวงปู่สร้างอยู่กลางเกาะเล็กๆ มีต้นไม้ล้อมรอบ ต้นกล้วยและต้นไม้นานาชนิดขึ้นรกครึ้ม บรรยากาศวังเวงน่ากลัว โดยเฉพาะเวลาค่ำคืน ใบกล้วยยามโดนลมพัดจะแกว่งไกวไปมาเหมือนปีศาจเริงระบำ บรื๊อ! ขนลุก สระน้ำมีความลึกพอสมควร สีของน้ำเขียวอื๋อ มีสะพานไม้เล็กๆ ยื่นลงไป เดินลงไปเคาะสะพาน สักครู่ ฝูงปลาดุกจะแหวกว่ายมะรุมระตุ้มอยู่รอบๆ โอ้โฮ! ตัวใหญ่ ดำมะเมื่อม ไม่ไหวๆ มันน่ากลัวไปหมด เผ่นดีกว่าเรา ทางเข้ากุฏิ หลวงปู่ถูกปิด มีป้ายเขียนว่า "ห้ามเข้า" ต้นการเวกหน้าซุ้มทางเข้าเฉาตาย คงตรอมใจที่หลวงปู่ไม่กลับ (พูดเอง) เล่ากันว่า ในกุฏิของ ท่านมีงู ตัวต่อ มาอาศัยอยู่
      
       ครั้งหนึ่งหลวงปู่อาพาธพอฉันยาเกิดอาการแพ้ ท่านให้ตัวต่อ ต่อยที่ศีรษะ ๑๔ ตัว เช้าตื่นขึ้นมาหน้าบานเป็นพัดใบตาล หาย แพ้ยาทันที เรียกว่าใช้พิษแก้พิษ แต่พอหายจากแพ้ยาก็มารักษาพิษตัวต่อ เราคนธรรมดาโดน ๓ ตัวสลบ ๗ ตัวตาย! อันนี้เรียกว่า เป็นความสามารถเฉพาะตัว มิควรลอกเลียนแบบโดยเด็ดขาด!
      
       อีกครั้งท่านเล่าว่า พาพระเณรไปธุดงค์แล้วขังพวกพระเณรไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง โดยเอาหินปิดปากถ้ำ มีงูพิษร้ายตัวหนึ่งจะเลื้อยเข้าไป หลวงปู่เห็นว่าถ้าปล่อยมันเข้าไปอย่างนั้น พระเณรในถ้ำต้องได้รับอันตรายแน่ๆ ท่านจึงตัดสินใจยื่นเท้าข้างหนึ่งออกไปให้มันกัด แล้วรีบนั่งสมาธิ ใช้ลมหายใจสกัดกั้นพิษไม่ให้แล่นเข้าสู่หัวใจ พิษถูกขับออกมาทางผิวหนัง (วิชาลม ๗ ฐาน)
      
       เช้าขึ้นมาผิวหนังจะมีสีช้ำเป็นจ้ำๆ ปัสสาวะเป็นสีเลือดคล้ำๆ นี่กระมังที่เรียกว่าเป็นวิถีของพระโพธิสัตว์ มีเมตตาต่อทุกชีวิตอย่างประมาณมิได้
      
       มีตำรวจพลร่มรายหนึ่ง กินยาผิด โดนยาพิษ หลวงปู่ช่วยชีวิตไว้ ท่านให้เขานั่งแล้วจี้สกัดจุดอยู่ด้านหลัง ทำให้อาเจียน นึกถึงท่าทางของหนังจีนกำลังภายในก็แล้วกัน
      
       คุณไก่พารองผู้กำกับตำรวจซึ่งรู้จักคุ้นเคยกันพร้อมภรรยามากราบหลวง ปู่ คุณนายมีโรคประจำตัวคือ โรคหัวใจ เมื่อต้องมาปีนบันไดถ้ำถึงกับเป็นลม ร้อนถึงหลวงปู่ต้องลงไปรักษาโดยขอปากกาจากฆราวาสคนหนึ่งจี้จุด สามีอยู่ในเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่า พอหลวงปู่จี้จนฟื้น คุณนายลุกขึ้นเดินลิ่วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
      
       หลวงปู่ยังสามารถฝังเข็มรักษาโรค แต่ท่านไม่ค่อยรับรักษาใครง่ายๆ เคยเห็นท่านฝังเข็มตัวเองเพื่อลดไข้ ท่านยังบอกว่า "ถ้ำไก่หล่น" เป็นที่รวมของพลังเร้นลับ เหมาะสำหรับทำพิธีกรรมต่างๆ ท่านจึงเลือกเป็นสถานที่สร้างพระเครื่อง นัยว่าเพื่อถวายแด่ในหลวง
      
       บทแทรก พระองค์ที่ ๑๐
      
       มีครอบครัวหนึ่งนิมนต์พระ ๙ รูป มาทำบุญบ้าน พอถึงวันงาน พระ ๙ รูปก็ประหลาดใจที่มีพระหนุ่มรูปหนึ่งมานั่งที่หัวแถวรออยู่ก่อนแล้ว กลายเป็น ๑๐ รูป แต่ไม่มีใครพูดจาทักท้วงแต่ประการใด ครั้นถึงเวลาสวด เสียงของท่านไพเราะดังกังวานจับใจ ถึงเวลาฉัน ก็สำรวมสงบเงียบ
      
       จนในที่สุดเจ้าคณะจังหวัด ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ในที่นั้น เป็นผู้เอ่ยถามขึ้นว่า ท่านเป็นพระมาจากไหน พระรูปนั้นล้วงลงไปในย่าม หยิบใบสุทธิขึ้นมาแสดง แต่ก็เก่าคร่ำคร่า แถมไม่ใช่กระดาษ แต่เป็นใบไม้ (ตรงนี้ไม่แน่ใจว่า จะถูกต้องหรือไม่ เพราะฟังมาอีกต่อ) ทุกรูปนิ่งอึ้งงุนงง ถึงเวลากลับ ท่านก็ลุกเดินลงบันไดไป เจ้าภาพวิ่ง ตามหลังออกไปดูก็ไม่เห็นท่านเสียแล้ว ถามคนที่บันไดว่าเห็นพระรูป เมื่อตะกี้ไหม คนที่นั่งแถวนั้นบอกว่า ไม่มีใครเดินผ่านมาทางนี้เลย เรื่องนี้หลวงพ่อฤๅษีลิงดำเล่าให้เหล่าสานุศิษย์ฟัง มีการอัดเทปไว้
      
       หลวงพ่อเล่าว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นสมัยท่านยังเป็นพระหนุ่ม พระรูปที่ท่านเอ่ยถึงได้รับสมญานามว่า "พระองค์ที่ ๑๐" หลายคนบอกว่านั่นแหละคือ "หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร" ท่านเป็นพระที่มีตำนานพิสดารยืดยาว สนุกสนานตื่นเต้นเร้าใจที่สุด มิน่าเล่า ผู้คนถึงคลั่งไคล้ใหลหลงกันนัก ถึงกับสละชีวิตทั้งชีวิตเพื่อตามหาท่าน ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์จะตรัสประการใดหนอ อยากรู้จัง? ใครตอบได้ ช่วยตอบทีเถอะ
      
       แล้วไม่ทราบว่า หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรเอย พระองค์ ที่ ๑๐ เอย มาเกี่ยวข้องกับหลวงปู่ของเราได้อย่างไร?