ราวๆ วันที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๖ พี่บุญล้อมโทรศัพท์ มาบอกว่า หลวงปู่กลับมาแล้ว แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เธอบอกว่ามาตั้งแต่วันที่ ๑๗ เพื่อเตรียมรับเทียนพรรษาของวัดอ้อน้อยที่จะนำมาถวายวันที่ ๑๘ กรกฎาคม เธอบอกว่า หลวงปู่ถามถึงอีบอด และไอ้เพชรด้วยแหละ ครอบครัวเราดีใจกันยกใหญ่ นึกไม่ถึงว่า ท่านจะกลับเร็วอย่างนี้ เพราะก่อนไปธิเบต หลวงปู่ส่งข่าวว่าจะกลับราวๆ ต้นเดือนสิงหาคม
       
       ทราบต่อมาว่าหลวงปู่ไม่ได้ไปธิเบตแต่ไประยอง ท่านเคยอยู่ที่นั่นมาก่อน ถึงรู้ว่าท่านกลับมาแล้ว เราก็ยังไปที่ถ้ำทันทีไม่ได้ เพราะติดธุระ ในที่สุดวันเสาร์ที่ ๒๔ กรกฎาคม เราจึงมีโอกาสขึ้นถ้ำ ไปถึงถ้ำรู้สึกแปลกตาไปมาก บันไดใหม่เสร็จแล้ว นี่แหละสมกับได้ชื่อว่า เป็นนักพัฒนาจริงๆ ท่านมีคาถาของนักพัฒนาอยู่ว่า
       
       "ริเริ่ม เร่งรีบ รวดเร็ว และต้องเรียบร้อยในที่สุด"
       
       คณะกรรมการกำลังเตรียมสถานที่เพื่อทำพิธีวันปลูกต้นไม้ ซึ่งจะจัดให้มีขึ้นในวันที่ ๒๗ กรกฎาคม หลวงปู่แต่งตั้งให้ฉันเป็นประชาสัมพันธ์ ฉันก็รับปากไปอย่างนั้น สมัยนั้นหาโฆษกยาก ไม่มีใครขันอาสาเหมือนเดี๋ยวนี้ ท่านคงเห็นฉันพูดจาฉะฉานกระมัง หารู้ไม่ว่าฉันเป็นโรคกลัวไมค์ที่สุด ใจคิดว่าคงไม่ได้มาร่วมงานเพราะไม่ตรงกับวันหยุด ไม่อยากลาโรงเรียน แต่พอถึงวันจันทร์ที่ ๒๖ ไม่รู้เป็นอย่างไร เราสองคนเผ่นขึ้นถ้ำราวกับต้องมนต์สะกด หัวใจมันร่ำร้องจะมาถ้ำ ถึงบริเวณเชิงเขาเห็นคณะทำงานจัดปะรำพิธีเรียบร้อยแล้ว มีไม้ดอกไม้ประดับวางเรียงรายหน้าปะรำสวยงามดี ภายในปะรำมีป้ายนิเทศแสดงรายชื่อกรรมการ คณะแม่ครัวประกอบ ด้วย แพว(อีแหมบ) พี่นิด พี่เล็ก ฯลฯ เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้พร้อม สำหรับพี่ยูรประธานชมรมของเรารู้สึกจะเครียด หน้าเป็นมันเชียว คงกลัวว่างานจะออกมาไม่ดี เพราะนี่เป็นงานใหญ่ชิ้นแรก แต่สุดท้ายงานออกมาดีเกินคาด เป็นเพราะบารมีและความสามารถ ของหลวงปู่แท้ๆ
       
       หลวงปู่ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่มีความกังวลใดๆ องอาจเสมอ แต่ไม่หยิ่งผยอง ป่าไม้และปลัดอำเภอหัวหินมาด้วย นายอำเภอคงให้มาสำรวจตรวจสอบดูลาดเลา ธรรมดาของนักปกครองที่รอบรู้และรอบคอบ ทหาร ๔ นายช่วยกันยกรูปปั้นท้าวจตุโลกบาลขึ้นถ้ำ ลักษณะเป็นหินแท่งแบบศิลาจารึก ทำจากหินแกรนิต สูงประมาณ ศอกกว่าๆ มีฐานรองรับ แกะสลักองค์ท่านท้าวนูนออกมา ๔ ด้าน ลงสีสวยงามมาก นานวันทุกคนเริ่มรู้ถึงฤทธานุภาพของท่านท้าวฯ แต่เป็นเรื่องราวของศิษย์ที่มีฐานะค่อนข้างร่ำรวย มีกิจการใหญ่โต หลวงปู่จะให้ยืมไปบูชา ถ้ามีปัญหาเรื่องการค้า (ท่านทำไว้มากกว่าหนึ่งแท่น) ต่อมาภายหลังถึงจะมีคนคิดทำเป็นกิจลักษณะให้พวกเราได้บูชากันถ้วนทั่ว ของอย่างนี้ต้องแล้วแต่ศรัทธา ถ้าไม่ศรัทธาก็จะไม่รู้คุณค่า ความจริงหลวงปู่ให้คนที่มีธุรกิจใหญ่ๆ บูชา คนทั่วไปนั้น ท่านไม่สนับสนุน ฉันพอจะเห็นเหตุผลตรงที่ว่า ต้องใช้เครื่องบูชามากมายพอสมควร เช่น หมูเห็ดเป็ดไก่ ขนมนมเนย ผลไม้ ฯลฯ ตั้ง ๔ ด้าน บูชาเสร็จห้ามเก็บไว้กินเองคนเดียว ต้องแจกจ่ายเป็นทาน รายจ่ายตรงนี้สูงทีเดียว ไม่เหมาะกับคนฐานะธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ถึงกระนั้นสุดท้ายก็มีบูชาเกือบทุกคน
       
       จุดประสงค์ของหลวงปู่มิใช่จะให้พวกเรายึดติดการบูชาเทวดา เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องนอกศาสนา แต่ท่านท้าวฯ มิใช่เทวดาธรรมดา ท่านมีอุปการคุณกับพุทธศาสนามาก จึงสมควรที่เราจะบูชาท่านในเรื่องนั้น และการนำอาหารที่บูชาแล้วมาแจกจ่ายผู้คนก็ถือว่าเป็น การสะสมบารมี แต่ก็มีหลายคนที่พบกับสิ่งมหัศจรรย์ของท่านท้าวฯ แล้วมาเล่าสู่กันฟัง ก็ว่ากันไป
       
       เราเดินขึ้นถ้ำ ขณะนั้นเย็นมากแล้ว ขอเล่าแทรกนิดหนึ่ง หลวงปู่ให้พี่บุญล้อมติดต่อช่างปูนปั้นกับช่างแกะสลักไม้ เพื่อนำไปตกแต่งโบสถ์ที่วัดอ้อน้อย นอกจากนั้นยังให้หาช่างมาลงรักปิดทอง พระพุทธรูปองค์ใหญ่ในถ้ำด้วย ช่างจากเพชรบุรีมาดูแล้วเสนอราคาค่อนข้างสูง แต่พอเขารู้ว่าจะปิดทองเฉพาะที่ผิวเนื้อ ไม่ได้ปิด ทั้งองค์ เขาบอกว่าคงรับงานไม่ได้ เพราะไม่คุ้มกับที่เขาต้องเดินทาง มาไกล สุดท้ายพี่เล็กหัวหินรับอาสาพาช่างหนุ่มซึ่งรู้จักกันดีมารับงานนี้ เขาใช้วิธีทาสีแล้วปิดทอง เพราะงานลงรักเป็นงานที่ทำได้ยาก เนื่องด้วยยางรักเป็นของมีพิษ หาช่างสมัยนี้ทำได้ยาก เมื่อได้ช่างมาปิดทองพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หลวงปู่ถือโอกาสให้เขาเหมารับจ้าง ทำงานอื่นอีก เช่น ปิดทอง "พระเครื่องสังกัจจายน์" (รุ่นเสาร์ ๕) ปิดทองทาสีรูปแกะสลัก "ท้าวจตุโลกบาล" กับทาสีปิดทอง "พระโพธิสัตว์วัชรปัญญา" ซึ่งหลวงปู่ได้มาจากธิเบต ช่างพอใจที่มีรายได้เพิ่ม แต่หลวงปู่ฉลาดมาก ท่านจ้างในราคารับเหมา จึงค่อนข้างถูก และในขณะเดียวกันช่างก็พอใจ เพราะหลวงปู่สอนงานศิลปะบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน เลยแลกเปลี่ยนกัน เท่านั้นยังไม่พอ หลวงปู่ยังคิดค่าวิชากับเขาอีก เช่นจ้างวันละ ๔๐๐ บาท แต่ขอหักค่าวิชาวันละ ๑๐๐ บาท เหลือเงินที่จะต้องจ่ายให้ช่างวันละ ๓๐๐ บาท เท่านั้น
       
       หลวงปู่มีหัวคิดทันสมัย และฉลาดเหนือผู้อื่นเสมอ ท่านยังเคยสอนให้คนในวัดอ้อน้อยค้าขายจนร่ำรวยไปแล้วคือ ลงทุนซื้อ ทุเรียนไปขาย แต่หลวงปู่เองไม่เคยมีเงินเก็บเลย ท่านไม่ใช่พระที่นั่งหลับตาเทศน์บนธรรมาสน์ แต่เป็นครูทางวิญญาณของโลกมนุษย์ ก็ว่าได้
       
       วกกลับมาเรื่องเดิม หลวงปู่กำลังลงสี "พระสังกัจจายน์" ต่อไปเรื่อยๆ ปากก็พูดไป มีพวกเราที่เพิ่งขึ้นมานั่งร่วมวงสนทนา คุยเรื่องตัวบทกฎหมายเกี่ยวกับป่า ทางป่าไม้เกรงว่าหลวงปู่จะมีปัญหาแบบพระประจักษ์ ซึ่งปรากฏว่า หลวงปู่รู้ดีกว่าที่เขาคิด หลวงปู่เล่าว่า ครั้งหนึ่งนายแพทย์ประสพ รัตนากร นิมนต์ท่านให้ไปร่วมอภิปรายกรณีพระประจักษ์ ที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย มีคนถามท่านว่า พระประจักษ์ผิดไหม หลวงปู่ตอบว่าผิดในแง่ไหน ถ้าพูดถึงแง่นักอนุรักษ์ธรรมชาติก็ไม่ผิด ถ้าในแง่กฎหมายก็ผิด และในแง่ทางสงฆ์ก็ผิด เพราะไม่สำรวม ไปมี เรื่องกับฆราวาส และมิใช่กิจของสงฆ์
       
       สนทนาไปได้สักครู่ ป่าไม้กับปลัดอำเภอรู้สึกพอใจมาก เริ่ม เข้าใจว่า ชมรมของเรามิใช่ขี้ไก่อย่างที่เขาคิดเลย (ไม่ใช่ขี้ขาว หรือ ขี้ไก่หล่น) มืดแล้วเจ้าหน้าที่ทั้งสองก็ลากลับ
       
       ตลอดเวลาการสนทนา หลวงปู่ใช้คำว่า "ฉัน" แทนตัว พูดไพเราะนิ่มนวล แต่พวกเราฟังแล้วรู้สึกว่าท่านช่างห่างเหินกับเขาทั้งสองเสียนีกระไร
       
       พี่ยูร พี่เดช พี่เดิม กับอีกสองสามคน (ไม่รู้จัก) มารวมตัวกันในถ้ำ หลวงปู่สั่งให้ไปจัดขนม นม เนย ผลไม้ พร้อมทั้งดอกไม้ ธูป เทียน มาตั้งบูชา และอัญเชิญท้าวจตุโลกบาล ตั้งกระถางธูป ๔ ด้าน ปักธูปกระถางละ ๘ ดอก ตั้งเทียนไว้ ๔ มุม รอเวลาบวงสรวงตอน ๓ ทุ่มตรงเป๊ะ อย่าให้ขาดให้เกิน หลวงปู่ย้ำว่า เวลาจุดธูปบูชา ให้จุดพร้อมกัน ๔ ด้าน ให้แต่ละคนจองว่าจะจุดด้านไหน ห้ามจุดคนละทีสองที จะกลายเป็นว่าลำเอียงต่อเทพทั้ง ๔ รายการนี้ เห็นชัดๆ ว่า การบูชาท่านท้าวฯ ทำให้กิจการการทำธูปเจริญก้าวหน้า เป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมในครัวเรือนได้ดีอีกทางหนึ่ง
       
       ถามหลวงปู่ว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงหรือ ถึงได้จัดทำพิธีแบบนี้ เพราะหลวงปู่เคยบอกว่า ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้คนสวดมนต์อ้อนวอนขอพรพระเจ้า
       
       ท่านตอบว่า มันมีจริง มันเป็นพลังชนิดหนึ่ง (พลังอนันต์ พลังอมตะ ทำนองนั้นหรือเปล่าไม่รู้) แต่ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ เพราะมีวันหมด
       
       โดยเฉพาะท่านท้าวฯ ทั้ง ๔ เป็นเทพระดับมหาราช เป็นอริยเทวดา (เทวดาที่ปฏิบัติธรรมจนถึงขั้น) มีหน้าที่ปกปักรักษาโลก และสวรรค์ทั้ง ๔ ทิศ เรากราบไหว้อริยบุคคลไม่น่าจะเสียหายตรงไหน ฉันเลือกด้านท้าวเวส-สุวรรณ เพราะรู้จักดี
       
       หลวงปู่เอ็ดว่า "มึงเป็นผู้หญิง เลือกยักษ์ทำไม ไปเลือกด้านอื่นเถอะไป๊" ฉันจึงขยับมาอีกด้านหนึ่ง สามีนั่งอีกด้านหนึ่ง หลวงปู่สั่งให้พี่เดิมตั้งนะโม ๓ จบ แล้วสวดชุมนุมเทวดา ใครคนหนึ่งบอกหลวงปู่ว่านำสวดให้ลูกหลานมิดีกว่าหรือ
       
       ท่านตอบว่า ไม่ได้ ท่านเป็นพระจะไปสวดมนต์กราบไหว้ พวกพรหม พวกเทวดาไม่ได้ เพราะ "พระมีศักดิ์สูงกว่าเทวดา" พระหมายถึง ประเสริฐ ดี เลิศ งามพร้อม ดูเอาเถิดว่าเป็นพระนี่สูงส่งขนาดไหน น่าจะภูมิใจสำหรับผู้ครองผ้าเหลือง แต่ทำไมถึงได้ทำอะไรให้เป็นข่าวลงหน้าหนึ่งมิว่างเว้น มีดีอยู่กับตัวแล้วยังไม่รู้คุณค่า
       
       ครั้นได้เวลา ๓ ทุ่มตรง ทุกคนก็ลงมือจุดเทียน พี่เดชไม่ฟังอีร้าค่าอีรม คว้าธูปจุดทันที ใครทักท้วงว่าอย่าเพิ่ง พี่แกไม่ได้ยิน ไม่ฟัง น่าโมโห กำธูปก้มหน้าทำปากขมุบขมิบไปตามเรื่อง น่าตีด้วยไม้หน้าสามจริงๆ ดูๆ ไปก็น่าขำ ส่วนพี่เดิม (มหาเปรียญเก่า) นำสวดนะโม ๓ จบ แล้วสวดชุมนุมเทวดาทำเสียงลงลูกคอ หลวงปู่ ล้อว่า สวดชุมนุมเทวดาสำเนียงลาว
       
       เสร็จพิธีก็แยกย้ายออกจากถ้ำ เราเดินลงใต้ถุนศาลาเข้าห้องเก็บของ กางมุ้งนอนตามระเบียบ ได้ยินเสียงใครพูดว่า หลวงปู่ลงข้างล่าง (บันไดเก่า) เพื่อจะไปดูแลให้กำลังใจแก่แม่ครัว ซึ่งกำลัง ต้มไข่อยู่ที่ตีนบันได
       
       นี่แหละหลวงปู่ของเรา ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนหรือเหนื่อยอ่อนเพียงไรก็ตาม หลวงปู่ไม่เคยเกี่ยงงอน ท่านจะอยู่เคียงข้างพวกเราเสมอ ท่านจึงอยู่ในดวงใจของศิษย์ทุกคน ความจริงท่านกำลังสอนพวกเราให้รู้จักเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน เราก็รู้ แต่มันง่วงนี่นา ขอนอนก่อนนะ ก่อนจะหลับไปยังได้ยินเสียงหัวเราะของแม่ครัวดังมาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะอีแหมบ ถูกหลวงปู่ล้อเลียนมากกว่าเพื่อน พรรคพวกก็คอยส่งเสียงเชียร์ดังเฮฮา หลวงปู่กำลังสร้างบรรยากาศอันครื้นเครงให้พวกหล่อนเป็นการคลายเครียด และจะเป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป
       
       ท่านเป็นพ่อแม่ของลูกหลานทุกคน ไม่มีอคติใดๆ ไม่ว่าลูกคนนั้นจะเป็นอย่างไร ขยัน เกียจคร้าน ซื่อสัตย์ หรือ เหลวไหล ท่านจะให้ความรักความเมตตาเสมอกันหมด คนไหนทำตัวไม่เหมาะสม ท่านจะรีบดุด่าว่ากล่าวด้วยใจอารี ซึ่งเราจะสัมผัสได้ ฉะนั้นสังคมของหลวงปู่จึงมีความหลากหลายน่าลองอย่างนี้แหละ
       
       สิ่งที่น่าทึ่งคือ ท่านสามารถนำพวกเขาเหล่านั้นมาอยู่รวมผนึกกำลังสร้างสรรค์สังคมได้อย่างไร? ถ้าจะเปรียบไปแล้ว หลวงปู่ ก็เป็นนักจัดแจกันดอกไม้ชั้นเยี่ยม ที่จะรวมดอกไม้นานาชนิดตั้งแต่ ดอกหญ้ายันดอกกล้วยไม้ราคาแพง ให้ลงตัวได้อย่างเหมาะเจาะสวยงามชวนเพ่งพิศในแจกันลายครามใบโต
       
       ฉันตื่นแต่เช้ามืดรีบเข้าห้องน้ำ พบพี่นิดกับพี่เล็กซึ่งนอนในถ้ำรออยู่หน้าห้องน้ำก่อนแล้ว พอเสร็จธุระ พี่นิดบอกว่าอาหารว่างมื้อเช้านี้ให้ทำบนถ้ำในครัวหน้ากุฏิหลวงปู่เพื่อถวาย พระซึ่งมี ๕ รูป มื้อเพลแม่ครัวข้างล่างจะทำถวาย เราเข้าครัวก่อไฟฟืน ต้มน้ำชา กาแฟ โอวัลติน สมัยคุณปราณีอยู่เธอใช้เตาแก๊ส พอเธอไปไม่มีใครซื้อแก๊ส ถึงมีหลวงปู่ก็ไม่อนุญาต ท่านให้ใช้ฟืน มิฉะนั้นจะบ่นด่าไม่เลิกถ้าใครใช้แก๊ส พอคุณปราณีไม่อยู่ ครัวเริ่มสกปรก เพราะแม่ครัวมาจากหลายที่ แต่ละคนประณีตไม่เท่ากัน นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คณะคุณปราณีเริ่มถอย มาเห็นครัวแล้วคงทำใจไม่ได้ เรื่องอาหารการกินก็เช่นกัน คุณปราณีกับคุณวันเพ็ญจะทำประณีต อร่อย พอมาเจอแม่ครัวรวมมิตร อาหารเริ่มไม่เป็นรส จนหลวงปู่ ถึงกับออกปากว่า สมัยอยู่กับคุณปราณีมีแต่ของดีๆ กิน พวกเรานี่แย่มาก อาหารสุกเกิน ดิบเกิน ข้าวไหม้ ข้าวแฉะ กับข้าวเค็มไป จืดไป เผ็ดไป ฯลฯ โดยเฉพาะข้าว หุงทีไรเป็นสามกษัตริย์ทุกครั้ง บางครั้งท่านถึงกับต้องเลิกฉันกลางคัน ท่านบ่นดังๆ ว่า "นี่พวกมึงไม่ถูกผัวเตะหรือกระทืบบ้างหรือ ทำอาหารอย่างนี้น่ะ"
       
       ไม่ใช่ว่าหลวงปู่เห็นแก่กิน แท้จริงท่านกำลังให้บรรดาสุภาพสตรีทั้งหลายได้รู้ว่า ผู้หญิงกับการปรุงอาหารเป็นของคู่กัน ถ้าอาหารแค่นี้ยังทำให้ดีไม่ได้ ถือว่ายอดแย่! เป็นพื้นฐานของการปฏิบัติธรรมทีเดียวสำหรับผู้ครองเรือน ถ้าเช่นนั้นแล้วจะพัฒนาตนไปสู่นักปฏิบัติขั้นสูงได้อย่างไรกัน ของหยาบๆ อย่างนี้ยังทำให้ดีไม่ได้ จะไปรับรู้ธรรมะขั้นละเอียดได้อย่างไร รู้สึกว่าแม่ครัวชุดนี้ รวมไปถึงแม่ครัววัดจะสอบไม่ค่อยผ่านตราบเท่าทุกวันนี้ มันเป็นเรื่องของพรสวรรค์บวกกับสามัญสำนึก
       
       พอพวกเราแสดงความน้อยใจว่าแม่ครัวจนๆ จะไปสู้อะไรกับแม่ครัวร่ำรวยได้ล่ะ ไม่มีเงินจะซื้อรังนก โสม เห็ดหอม ฯลฯ ให้หรอก ท่านก็ใจอ่อน "เออ! กูรู้ กูก็พูดไปอย่างนั้นแหละ เพื่อให้พวกมึงตั้งใจทำอาหารให้ดีกว่านี้ กูพอใจจะกินปลาร้ามากกว่าหมูแฮม ไข่ดาวของอีณีมัน" พวกเราได้ยาหอมอมยิ้มแก้มตุ่ยเป็นแถว
       
       พูดวกวนนอกเรื่องเสียนาน กาแฟเย็นหมด รีบจัดขนมปังและผลไม้ถวายพระ หลวงปู่ลงข้างล่างไปตรวจความเรียบร้อยของการเตรียมงาน และเป็นกำลังใจให้กับกลุ่มที่ทำงานทุกกลุ่ม ว่าไปแล้วนึกแปลกใจ ทำไมหลวงปู่ถึงขึ้นลงบันไดถ้ำเป็นว่าเล่น วันหนึ่งๆ หลายเที่ยว ทำราวกับขึ้นบันไดบ้าน ท่านเดินช้าๆ แต่ถึงที่หมายเร็ว ใช้วิชาลม ๗ ฐานแน่นอน ไม่มีอาการเหนื่อยหอบเลย เสียงคนข้างล่างตะโกนขึ้นมาให้คนข้างบนเอาบัวรดน้ำ ผ้าขี้ริ้ว ค้อนตะปู ฝาโอ่ง ลงไปให้ที เราเป็นคนนำลงไปพร้อมอาหารถวายหลวงปู่
       
       หลวงปู่นั่งอยู่ที่กองหินตีนบันไดใกล้โรงครัวชั่วคราว ท่านกำลังบัญชางานในครัว มีพี่นิดกับพี่เดิม ๒ คน อีแหมบไปตลาดซื้อของ เราไปช่วยพี่นิดหุงข้าว ความจริงฉันมีหน้าที่เป็นโฆษก แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี เลยทำไม่รู้ไม่ชี้ กรรมการเห็นช่างพูด เลยแต่งตั้งให้ทำหน้าที่นี้ หารู้ไม่ว่า ท่าดีทีเหลว พี่เฉลิมชัย น่าจะทำหน้าที่ได้ดีกว่าแต่ก็ต้องปลุกปล้ำเครื่องปั๊มน้ำทุกครั้งที่ขึ้นถ้ำ ไม่เป็นอันทำอะไร
       
       เครื่องปั๊มน้ำตัวนี้มีเรื่องยาว แต่จะเล่าสั้นๆ คือ ตั้งแต่ซื้อมา ไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาได้จนทุกวันนี้ กว่าจะทำหน้าที่ได้ต้องงอแง เสียก่อน สำหรับเราๆ ท่านๆ อาจจะรู้สึกเครียดหรือรำคาญกับมัน แต่หลวงปู่ถือว่านั่นเป็นงานท้าทาย ท่านพูดเสมอว่า
       
       "ลูกรัก... ชีวิตคือการต่อสู้ ปัญหาคือการเรียนรู้ ศัตรูคือครูของเรา"
       
       ตอนนี้นักเรียนจากโรงเรียนต่างๆ ที่อยู่ใกล้แถวนั้นเริ่มทยอย มาบ้างแล้ว บ้างก็เข้ามาในครัวช่วยปอกไข่
       
       หลวงปู่ต่อว่าฉัน "อีบอดนี่พิลึก มันพูดเป็นต่อยหอยอย่างนี้ พอเอาเข้าจริงๆ เขาให้ไปเป็นประชาสัมพันธ์ มันดันไม่เป็น"
       
       ฉันได้ยินหลวงปู่พูดเช่นนั้น ฮึดขึ้นมาในใจว่า เอาแหละวันนี้เห็นทีจะต้องแสดงฝีมือเสียบ้าง ว่าแล้วก็เดินอาดๆ ออกไปยังหน้าปะรำพิธี ขณะนั้นยังไม่ค่อยมีบุคคลภายนอกเท่าไรนัก มีแต่พวกเราซึ่งเป็นคณะกรรมการ บรรยากาศยังเงียบเหงา รู้สึกใจกล้า คว้าไมค์ไปยืนหลบแดดที่โคนต้นไทรหน้าปะรำ พูดจ้อ แรกๆ ก็สั่น พูดถูกพูดผิด เพราะไม่เคยเวที ผู้คนเริ่มทยอยมา สักพักใหญ่ๆ จ่าเวียงถือฝาโอ่งเดินมาหา บนฝามีพวงมาลัยพลาสติกสีแสบตา พวงยาวใหญ่ ซึ่งใช้คล้องฐานพระในถ้ำ ๑ พวง ไข่ไก่ดิบ ๑ ฟอง น้ำเย็น ๑ แก้ว ยาหม่องตราลิง ๑ ตลับ จ่าบอกว่า หลวงปู่สั่งให้เอามาให้เพื่อเป็นกำลังใจ
       
       หลวงปู่มีอารมณ์ขันมาก บรรยากาศเริ่มครื้นเครง ผู้คนเห็นฉันแล้วพากันหัวเราะคิกคัก นักเรียนโรงเรียนหนองพลับวิทยา หนองกระทุ่ม หนองซอมากันแล้ว ขาดโรงเรียนโรตารี่เพราะติดกิจกรรมที่โรงเรียน แต่อาจารย์ใหญ่ของเขามาร่วมด้วย ทหารค่ายธนรัชต์ ปราณบุรี ตำรวจพลร่มค่ายนเรศวร หัวหิน ผู้กำกับฯ รองผู้กำกับฯ ผู้พันฯ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านก็มากัน ฉันหยิบพวงมาลัยคล้องคอ ไข่ไก่ใส่กระเป๋า ยาหม่องทาจมูกแล้วใส่กระเป๋า ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม คืนแก้วให้จ่าเวียง ไม่ขัดบัญชาหลวงปู่อยู่แล้ว
       
       ผู้คนบริเวณนั้นคงแปลกใจว่า ยายนี่บ้าหรือเปล่า แต่เขาเป็น ผู้ดีพอ ไม่แสดงออก ใกล้เวลา ๙.๐๐ น. ท่านนายอำเภอ คุณนาย พร้อมทั้งคณะติดตามมาถึง นายอำเภอเป็นคนร่างสูงสมส่วน ผิวขาวอมชมพู หน้าตาหล่อเหลาแบบพระเอกหนังตะวันตก คะเนว่าอายุ ๕๐ ปีขึ้นไปแล้ว ท่านเคยเป็นอาจารย์สอนอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภรรยาท่านรูปร่างบอบบางหน้าตาแบบสาวชาวเหนือ งานนี้มิใช่งานธรรมดาเสียแล้ว จำต้องทำหน้าที่โฆษกจำเป็นต่อไป พี่ประยูรคอยเวียนมาให้กำลังใจเป็นระยะๆ พี่เดิมกับพี่เดชก็มาพูดเย้าแหย่บ้าง ถ้ารู้ว่าจะมีเจ้านายมา คงไม่กล้ารับอาสาหรอก คิดถึงพี่เฉลิมชัย ป่านนี้คงซ่อมเครื่องปั๊มน้ำสบายใจเฉิบไปแล้ว
       
       หลวงปู่พูดขันๆ ว่า "เครื่องสูบน้ำเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ท่อส่งน้ำก็เปลี่ยนแล้ว ยังเหลือแต่คนซ่อมไม่ได้เปลี่ยนสักที"
       
       ขอถือโอกาสแทรกเรื่องพี่เฉลิมชัยสักหน่อย พี่เฉลิมชัยเป็นลูกพี่ลูก-น้องกับพี่เดช นามสกุล "ไชยสิงห์" เหมือนกัน เขาเป็นศิษย์ ของหลวงปู่หลุย ครั้นสิ้นหลวงปู่หลุย พี่เฉลิมชัยอธิษฐานขอให้ได้พบกับอาจารย์คนใหม่ วันหนึ่งพี่เฉลิมชัยมานั่งทำสมาธิที่ถ้ำไก่หล่น หลวงปู่นั่งอยู่อีกที่หนึ่ง มือทำงานไปเรื่อยๆ ปากก็พูดว่า
       
       "คนมันโง่ เห็นงูนึกว่าพญานาค เห็นพญานาคนึกว่างู"
       
       หลวงปู่ไม่หยุดแค่นั้น ท่านพูดซ้ำๆ ซากๆ จนพี่เฉลิมชัยรำคาญ นึกในใจว่า พระองค์นี้ถ้าจะบ้า พูดอยู่ได้ หนวกหู เมื่อไร จะหยุดพูดเสียที เพียงคิดแค่นี้เท่านั้น หลวงปู่หยุดกึก ราวกับรู้ความในใจของพี่เฉลิมชัย
       
       พี่เฉลิมชัยเริ่มเอะใจว่า พระองค์นี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว จึงเดินเข้าไปสนทนาด้วย แล้วก็ประจักษ์แจ้งแก่ใจว่า นี่คืออาจารย์คนใหม่ของเขา ธรรมะของท่านพิสดารลึกซึ้งเกินกว่าที่คิดนัก
       
       วกกลับมาเรื่องงานต่อ นายอำเภอเดินเข้ามาหาแล้วบอกว่า ขอให้รอคณะกิ่งกาชาด ซึ่งจะมาสมทบพร้อมกับนำผลไม้มาบริจาค ตอนนี้ท่านขอตัวขึ้นไปหาหลวงปู่บนถ้ำก่อน จึงเรียนท่านว่า ทำพิธีแล้วค่อยขึ้นถ้ำไม่ดีหรือ เพราะขึ้นถ้ำต้องใช้เวลานาน จะไม่ทันลงมาทำพิธี พอดีสามีซึ่งหลวงปู่สั่งให้มีหน้าที่คอยให้คำอธิบายข้อมูลที่นายอำเภอซักถาม เรียนนายอำเภอว่า หลวงปู่อยู่ข้างล่างในโรงครัว ท่านจึงไปกราบหลวงปู่ (โปรดสังเกตว่าหลวงปู่ไม่ออกมาพบหน้านายอำเภอ ตอนนั้นท่านไม่เปิดตัว ไม่รับแขกเหมือนสมัยหลังๆ ต่อให้ใหญ่มาแค่ไหน หลวงปู่ก็ไม่ต้อนรับ ท่านบอกว่าไม่ได้บวชเพื่อมารับแขกหรือเอาใจใครๆ)
       
       สามีเล่าว่าหลวงปู่ไม่ยินดียินร้ายอะไรนัก ไม่มองหน้าด้วยซ้ำ เหมือนหยิ่ง แต่นั่นเป็นสิ่งที่หลวงปู่ปรารถนา คือให้ใครๆ เข้าหน้าไม่ติด จะได้ไม่ถูกรบกวน ท่านคงถูกรุมห้อมล้อมสมัยอยู่วัด จนเหม็นเบื่อหน้าคน ถึงกับต้องหลีกลี้หนีหน้าออกจากวัดในกาลต่อมา
       
       เลยเวลา ๙.๐๐ น. เล็กน้อย คณะกิ่งกาชาดก็มาถึง คณะผู้มีจิตศรัทธาจากปราณบุรีก็มาถึงพร้อมทั้งอาหารหวานคาว ทางครัวเรามีกาแฟ คุกกี้ ข้าวห่อผัดพริกกะเพรา ไข่ต้ม ร้านพรศรีหัวหิน บริจาคไอศครีมสุดอร่อยหนึ่งถัง บริเวณสองข้างทางเต็มไปด้วยรถนานาชนิดจอดเรียงราย บ้างก็เลยไปจอดยังแนวสันเขื่อน ผู้คนคราคร่ำคึกคักพอสมควรทีเดียว ถึงตอนนี้คณะกรรมการของชมรมฯสามารถทำงานผสานผสมกลมเกลียวได้อย่างดีเยี่ยม สีหน้า ของพี่ยูรดีขึ้นมาก เป็นอันว่าไม่หน้าแตกแน่ๆ ต้องยกความสามารถ ในการจัดงานให้หลวงปู่ ฉันคนหนึ่งละที่ใจเต้นตุ้มๆ ต้อมๆ เพราะ เพิ่งรู้จักหลวงปู่ไม่ถึงปี ถึงจะยอมรับธรรมะของท่าน แต่ยังไม่แน่ใจ ในฝีมือการจัดการ เกรงงานจะล้มเหมือนกัน นี่เป็นงานแรก แต่พอมีงานใหม่ก็กังวลแบบเดิมอีก จนระยะหลังๆ ๔-๕ ปีผ่านไป จึงได้ประจักษ์ชัดว่า ท่านแน่จริงๆ หมดสิ้นข้อสงสัยในการงาน
       
       ไม่เหมือนพระในธานีดีแต่เทศน์
       ลองสังเกตทำอึมครึมไม่ซึมสิง
       ความรู้น้อยฝอยเป็นเข่งไม่เก่งจริง
       ท่านแน่ยิ่งสุดเสกสรรพรรณนา
       
       คณะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ตลอดจนแขกผู้มีเกียรตินั่งในปะรำ ทหาร ตำรวจ ชาวบ้าน เข้าแถวหันหน้าเข้าหาปะรำ โฆษกเรียนเชิญนายอำเภอจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ทุกคนสงบนิ่ง ได้ยินเสียงใบไม้กระทบกันเกรียวกราวยามลมพัดกรรโชกมา นกร้อง จิ๊บๆ อยู่บนยอดไม้ท่ามกลางความเงียบสงบ แต่เหมือนถูกสยบด้วยอำนาจและพลังเร้นลับที่แอบแฝงอยู่ จะมีใครรู้บ้างไหมหนอว่า มีบุรุษห่มเหลืองท่านหนึ่ง ยืนดูความสำเร็จอยู่เบื้องหลังอย่างสงบเงียบ ไร้ความรู้สึกนึกคิดใดๆ ที่เป็นผงธุลี มีแต่ความคิดที่เต็มไปด้วยประโยชน์บริสุทธิ์สร้างสรรค์ทุกขณะจิต บุรุษอาชาไนยหมื่นอารมณ์ แต่ไร้ร่องรอยและไร้การยึดติดในอารมณ์นั้นๆ หลวงปู่เอกบุรุษของเรื่องนี้ ท่านเก็บตัวเงียบอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งกลางหุบเขาถ้ำไก่หล่น
       
       เมื่อนายอำเภอจุดธูปเทียนเสร็จ ก็เดินมายืนบนแท่นหน้าปะรำ พี่ยูรกล่าวรายงาน เมื่อรายงานจบ พี่ยูรเรียนเชิญนายอำเภอกล่าวสุนทรพจน์ ท่านแสดงความยินดีพอใจกับกิจกรรมนี้ พูดถึงการบุกรุกทำลายป่าของชาวบ้าน ขอให้ทุกคนร่วมมือร่วมใจกันรักษาป่าแห่งนี้ไว้สืบต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน จากนั้นก็ร่วมพิธีปลูกต้นไม้ กระจาย ๒ จุด จุดแรกปลูกบริเวณป่าด้านใน จุดที่สองปลูกบริเวณทางเข้าถ้ำซึ่งอยู่ด้านนอก ปลูกต้นไม้เอาฤกษ์เอาชัยแล้วนายอำเภอพร้อมทั้งคณะพากันขึ้นถ้ำ ฟังหลวงปู่แสดงธรรม
       
       ๑๑.๐๐ น. รับประทานอาหารพร้อมกัน กิจกรรมเสร็จสิ้นผู้คนทยอยกลับเหลือแต่คณะกรรมการ ความเงียบเริ่มเข้ามาเยือนอีกครั้งหนึ่ง ตลอดงาน พลซึ่งเป็นน้องชายพี่จรรยาเป็นผู้บันทึกภาพด้วยกล้องวิดีโอ ส่วนสุชาติถ่ายภาพนิ่ง เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว หลวงปู่ลงมาที่ปะรำสร้างบรรยากาศให้ครื้นเครงตามเคย ถึงคราวเก็บของส่งคืนแหล่งที่ยืมมา ส่วนของที่ถ้ำช่วยกันยกขึ้นข้างบน ถึงตอนนี้เริ่มรู้สึกเปลี้ยๆ กันเสียแล้ว เพราะเหนื่อยมาทั้งวันทั้งคืน
       
       หลวงปู่เห็นเช่นนั้นก็ใช้ลูกเล่นโดยพูดว่า "เมื่อคืนกูฝันเห็นตัวเลขตั้ง ๗ ตัว" ท่านหยุดพูด ทุกคนหูผึ่ง นิ่งขึง เตรียมฟังกันเต็มที่ ท่านพยักหน้าให้ทุกคนหันไปดูพี่เดิม ซึ่งยืนแอบหลังต้นไทร อีกด้าน พี่เดิมทำปากจู๋ๆ จมูกฟุดฟิด ตากลิ้งลอกแลก
       
       หลวงปู่พูดว่า "โปรดสังเกตไอ้เดิม! " พวกเราหันหน้าไปดูพี่เดิม แล้วฮากันลั่นป่า พี่เดิมยิ้มอายม้วน
       
       "มันเดินไปแล้ว ยังถอยหลังมาฟังอีก อื้อหือ! เหลือเกิน ไอ้นี่....กู ฝันเห็นตัวหน้าคล้ายๆ เลข ๗ แล้วมีเลข ๓ แล้วเลข ๕.... ตัวเลขมันซ้ำๆ กันนะ..... มี ๒ ด้วย"
       
       หลังๆ ชักพูดเลอะ อีแหมบคว้ากระดาษกับปากกาจดยิกๆ หลวงปู่ไม่นิยมเรื่องหวยเลย ท่านยังแช่งพวกบ้าหวยว่า ขอให้มันถูกกิน ไม่ทราบว่าวันนี้เป็นอย่างไร ท่านจึงพูดอย่างนี้ จะมาไม้ไหนก็ไม่รู้ ถึงอย่างไรก็ตามที เราสนใจจดไว้ก่อนเผื่อท่านจะเมตตา (เลขที่ท่านเอ่ยนั้นหวยออกจริงๆ แต่ไม่มีใครถูก เพราะตีปริศนาไม่ออก โดยเฉพาะประโยคที่ว่า "เลขมันซ้ำๆ" มันมีเลขซ้ำๆ ๒ ตัวจริงๆ แต่จำไม่ได้ว่าเลขอะไร)
       
       ท่านพูดต่อไปอีกว่า "ใครยกพระพุทธรูปถูกรางวัลที่หนึ่ง" เท่านั้นแหละ พี่เดิมผวาเข้าไปยกพระพุทธรูปกอดไว้แน่นเชียว เรียกเสียงหัวเราะอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มีรายการอื่นๆ ตามมาอีกเช่น ยกไอ้นั่นรางวัลเลขท้ายสามตัว ฯลฯ
       
       ฉันแกล้งพูดดังๆ ว่า "หลวงปู่เปลี่ยนแล้วนะ ใครยกกล่องใบนี้ถูกรางวัลที่หนึ่ง ส่วนพระพุทธรูปเลขท้ายสองตัวก็พอ" พี่เดิมซึ่งเดินไปตั้งไกลแล้วยังกลับหลังหันมาอีก พวกเราหัวเราะจนงอหาย ไม่ได้ถือเป็นจริงจังอะไรหรอก เพียงแต่เล่นสนุกสนานกันเท่านั้นเพื่อคลายเครียด หลวงปู่เองยังหยอกล้อพวกเราอยู่เสมอ เป็นจิตวิทยาที่ท่านนำมาใช้กับลูกหลาน ท่านไม่เคยวางมาดอะไร ท่านจึงอยู่ในหัวใจของทุกคนที่ได้ใกล้ชิด วันนี้ท่านเหนื่อยไม่แพ้พวกเรา แต่ท่านยังอุตส่าห์ช่วยยกของขึ้นถ้ำ
       
       ทหารบอกว่า หลวงปู่ให้ไปประชุมในถ้ำ ระหว่างรอคนให้ครบองค์ประชุม พวกเราถามท่านถึงเรื่องลม ๗ ฐาน ท่านย้อนว่า "มึงหายใจเข้าออกลึกๆ ได้หรือยังล่ะ" ทุกคนยิ้มแหยๆ แสดงว่า ไม่มีใครเข้าขั้นสักคน
       
       เมื่อพร้อมหน้ากัน หลวงปู่ก็เริ่มซักถามถึงผลงานวันนี้ ให้ทุกคนออกความคิดเห็นถึงข้อดีข้อเสียของการทำงาน เรียกว่าประเมินผลงานกันนั่นเอง นี่คือวิธีการทำงานของหลวงปู่ ก่อนจะทำมีการประชุมปรึกษาหารือ ทำงานเสร็จมีการประเมินผล เพื่อจะนำ ไปปรับปรุงงานคราวต่อไป จะเป็นเช่นนี้ตลอดไปทุกงาน สรุปผลงานวันนี้เป็นที่น่าพอใจมาก ถึงจะเป็นงานชิ้นแรก แต่ก็ทำสำเร็จลงด้วยดี แสดงว่าพวกเรามีพลังความสามัคคีพอสมควรทีเดียว แต่ก็ต้องได้ผู้นำอันดีเลิศประเสริฐพร้อมอย่างหลวงปู่ด้วยแหละ
       
       หลวงปู่แสดงธรรมสอดแทรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำงานที่ไม่ต้องการเอา หน้าเอาชื่อเสียงแต่อย่างใด ซึ่งหลวงปู่ก็ได้ทำให้ดูแล้ว เป็นตัวอย่าง
       
       ในวันนี้ท่านย้ำถึงการใช้ "พลังของชีวิต" ไปในทางที่ถูกที่ควร (ท่านใช้ศัพท์ทันสมัยในการสอนธรรมะเสมอ เช่นคำว่า "พลัง") เป็นผู้ให้แก่โลก โลกก็จะตอบแทนกลับมาอย่างคุ้มค่า อย่าทะนงตนว่าที่ทำไปในวันนี้ดีที่สุดแล้ว ยังหรอก.... นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น หลวงปู่ทำมามากกว่านี้หลายเท่านัก แต่หลวงปู่ยังไม่หยุดแค่นี้ ยังมีอะไรๆ ที่ท้าทายให้หลวงปู่ทำต่อไปอีก ถ้าชมรมฯทำตรงนี้ได้สำเร็จและมีผู้พอใจ ชมรมฯจะย้ายไปทำที่อื่นอีก ถ้ามีคนต้องการให้ทำ
       
       สักครู่ทหารทยอยกลับ เหลือคณะกรรมการไม่กี่คน (ที่เคยลงชื่อสมัครไว้มากมาย ไม่ทราบหายหน้าไปไหน พวกนี้ทำอะไรหวังผล นึกว่าหลวงปู่จะเสกน้ำมนต์พ่นน้ำหมาก จะให้หวยอะไรทำนองนั้น) หลวงปู่ถามถึงเรื่องการตักบาตรเทโวว่าจะตกลงกันอย่างไร (เตรียมงานวันออกพรรษาตั้งแต่ตอนนี้เลยทีเดียว) มาถึงตอนนี้เกิดมีความคิดแบ่งเป็น ๒ ฝ่าย
       
       ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรจัดเพราะเป็นการรื้อฟื้นประเพณีเก่าแก่ ซึ่งนับว่าจะลืมเลือนไปหมดแล้ว เช่น การแห่นางฟ้า เทวดา เป่าแตรสังข์ ดีดพิณน้ำเต้า การแทงหยวก แกะสลักฟักทอง ฯลฯ
       
       อีกฝ่ายหนึ่งยังเข็ดขยาดกับงานที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปหยกๆ ก็ส่ายหน้าว่าไม่ไหว โดยเฉพาะพี่เดชเพิ่งฟื้นจากไข้ แกส่ายหัวพูดเสียงงึมงำตามแบบฉบับของแก
       
       จะขอเล่าอะไรสอดแทรกสักเล็กน้อย วันจันทร์ที่ ๒ สิงหาคม เป็นวันอาสาฬหบูชา และวันอังคารที่ ๓ สิงหาคมเป็นวันเข้าพรรษา ทางชมรมฯตกลงกันว่าจะมีการถวายเทียน ผ้าอาบน้ำฝน เวียนเทียน ฟังธรรม หลวงปู่จะกวนยาหม่อง ระหว่างเข้าพรรษา เราคงจะปลูกต้นไม้เพิ่มเติมไปเรื่อยๆ จะปลูกป่าเป็นบริเวณกว้าง คือ ทิศตะวันออกจรดถ้ำลับแล ทิศตะวันตกจรดถ้ำพระธาตุ ซึ่งบริเวณทั้งสองนี้ถูกชาวบ้านบุกรุกทำไร่สับปะรดไปมากแล้ว แต่ทางถ้ำได้ตกลงกับชาวบ้านโดยผ่านทางสภาตำบลกับศูนย์โครงการพัฒนาที่ดิน ว่า รอให้เขาเก็บสับปะรดขายหมดก่อน เราใช้วิธีบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น
       
       ป่าแห่งนี้มันมีข้ออธิบายว่า ถ้ำข้างบนเป็นของป่าไม้เขตเพชรบุรี ป่าเชิงเขาเป็นของศูนย์พัฒนาที่ดิน ส่วนเขื่อนใหญ่เป็นของกรมชลประทาน อู๊ย! ยุ่งน่าดู
       
       เอ้า! เปลี่ยนเรื่อง วันออกพรรษาตรงกับวันที่ ๓๑ ตุลาคม จะมีพิธีหุงน้ำมันมนต์ช่วงเช้า บ่ายทอดกฐิน ซึ่งหลวงปู่ทำเพื่อหาเงินทุนทิ้งไว้ให้ชมรมฯสักจำนวนหนึ่ง ไว้ใช้จ่ายในกิจกรรมต่างๆ ก่อนจะจากไป ทีนี้ถ้ามีพิธีตักบาตรเทโวเข้ามาแทรก การทอดกฐินจะต้องถูกเลื่อนออกไป
       
       เป็นอันว่ายังหาบทสรุปเรื่องการตักบาตรเทโวไม่ได้ คืนนั้นหลายคนกลับบ้าน แต่เราสองคนค้างคืน ที่ถ้ำจึงเหลือเพียงทหารเกณฑ์ ๕ นาย อยู่ประจำกับหลวงปู่ มีพระรวมทั้งหลวงปู่อยู่ ๕ รูป และ "ฉลาด" เด็กซึ่งหลวงปู่อุปการะไว้
       
       ฉลาดมีบ้านอยู่แถวหนองพลับ เรียนอยู่ชั้นมัธยมฯ ปีที่สามโรงเรียนหนองพลับวิทยา วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ทางถ้ำมีการปลูกต้นไม้ ฉลาดถีบจักรยานไปโรงเรียนตามปกติ สักครู่มีคนมาแจ้งว่ารถจักรยานคอหัก หน้าของเขากระแทกกับแฮนด์ได้รับบาดเจ็บ ปากแตกเย็บ ๓ เข็ม (จากตีนบันไดถ้ำเวลาขี่จักรยาน หรือขับรถออกไปข้างนอก รถจะไหลไปเรื่อยๆ เพราะอยู่บนเนินไม่ต้องติดเครื่องยนต์ด้วยซ้ำ ต้องคอยแตะเบรคเป็นระยะๆ เพราะรถจะไหลเร็วมากจนถึงปากทางออกนอกถนน ฉลาดคงจะปล่อยรถให้ไหลเร็ว พอคอรถเกิดหัก จึงเกิดอุบัติเหตุ)
       
       หลวงปู่คอยถามเป็นระยะๆ ว่ามีคนพาไปอนามัยแล้วยัง..... คนตอบว่ามีแล้ว ถามอีกว่า มันกลับมายัง ...กลับมาแล้ว...ฯลฯ ตอนที่ท่านรู้ข่าว ท่านมีอาการสงบเฉย แต่ในใจเป็นห่วง สังเกตได้จากการที่ท่านคอยถาม แต่ท่านจะไม่โอ๋คนเจ็บ ได้แต่สงเคราะห์ ไปตามส่วน ผู้ใกล้ชิดจะรู้ซึ้งถึงสิ่งนี้
       
       ครั้งหนึ่ง ฉันถูกฝาแบรนด์ซุปไก่บาดมือ ตอนนั้นมืดมากแล้ว กำลังโอดโอยอยู่ก็ได้ยินเสียงหลวงปู่ตวาดว่า "อีโง่เอ๊ย! ทำยังไงถึงให้มันบาดมือ อย่ามาคร่ำครวญนะ"
       
       ฉันหายเจ็บชั่วขณะ เพราะตกใจ รู้สึกน้อยใจด้วย คิดในใจ ว่าหลวงปู่ไม่โดนบ้างก็แล้วไป แต่พอหันไปอีกที หลวงปู่หยิบยาหม่อง ซึ่งท่านทำเองมาวางไว้ให้ แล้วพูดว่า "เอานี่ ยาหม่อง ทาซะ"
       
       นี่แหละหลวงปู่ ทำเป็นดุที่แท้ใจดี ท่านไม่ต้องการให้เราใส่ใจ กับความเจ็บปวดมากนัก อีกทั้งให้มีพระสติเพิ่มความระมัดระวัง พระอะไรจะมาดีไปกว่าพระสติเป็นไม่มี พระสติทำให้เรามีสตางค์ มีข้าวกิน ฯลฯ
       
       เย็นวันอังคารที่ ๒๗ กรกฎาคม เราเข้าไปทำความสะอาดใน ครัว จัดแจงข้าวของที่สุมหน้ากุฏิหลวงปู่ เอาพวกขิงผง เก๊กฮวยผง กาแฟ เทใส่ขวดเปล่า หลวงพี่ทิฟฟี่เดินเข้ามาในครัว ไปหยิบขวดใบหนึ่งซึ่งมีผงชูรสที่ญาติโยมเขาซื้อมาถวายเททิ้งหน้าตาเฉย เรานั่งงงต่อพฤติกรรมเช่นนั้น หมู่นี้งงในพฤติกรรมของหลวงพี่ทิฟฟี่บ่อยๆ อย่างเช้าวันก่อน ท่านฉันอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้ว เห็นท่านหยิบขวดเนสกาแฟ ซึ่งใส่หมูหยองยกทั้งขวด ใช้ช้อนตักใส่ปากจ๊วบ ฉันสะดุ้ง นึกในใจว่ากินน่ากลัวแฮะ
       
       เดี๋ยวนี้พระให้เราถวายขนมปังทั้งแถว หมูหยอง น้ำพริกเผา ทั้งขวด ไม่ได้จัดใส่จานกระจุ๋มกระจิ๋มอย่างแต่ก่อน คงไม่ค่อยจะ พอฉันนั่นเอง มีของหลวงปู่ที่ยังเหมือนเดิม บางทีหลวงปู่ฉันเพียง กล้วยหอมครึ่งลูกเท่านั้น อย่างอื่นไม่แตะเลย ก็อย่างที่ว่า คือ ฝีมือแม่ครัวคงรับประทานไม่ค่อยได้ วันดีคืนดีถึงจะฉันหมด ส่วนตัวฉันจะคอยกินของเหลือจากหลวงปู่ ถึงมีอาการพูดจ้อทั้งวัน
       
       เล่าเรื่องหลวงพี่ทิฟฟี่ต่อ ท่านพูดว่าผงชูรสอันตราย กินแล้ว มีแต่ความฉิบหาย (พูดซะน่ากลัว) เหมือนเอาปืนมายิงตัวเองให้ตาย แต่เราคิดว่าเมื่อมีญาติโยมซื้อมา เราจะไปว่าอะไรเขาได้ ถึงเราจะต่อต้าน ก็ต้องใช้วิธีนุ่มนวล ไม่ควรหักด้ามพร้าด้วยเข่า ท่านคงจะทำตัวเฉียบขาดเลียนแบบหลวงปู่ แต่ไม่เหมือนกัน เลยให้ความรู้สึกพิลึก
       
       คืนนี้ผู้คนกลับกันเกือบหมด เหลือพี่สำรวยกับคนอื่นอีกไม่กี่คนจำไม่ได้ เราและหลวงปู่พากันไปนั่งลานหินโค้งจุดชมวิว พี่สำรวยเอาพระที่ห้อยคอให้หลวงปู่ดู พูดคุยอยู่พักหนึ่ง พี่สำรวยบอกว่าเขากลัวหลวงปู่จะเหนื่อย ถ้าจัดงานตักบาตรเทโว ฉะนั้นเขาอาจจะไม่หาพระมาแล้ว (เขารับปากจะนิมนต์พระสงฆ์มารับบาตร ๑๐ รูป) พี่สำรวยมีบ้านอยู่แถวปากทางเข้าถ้ำนั่นเอง อาชีพทำไร่สับปะรด เขาช่วยงานหลวงปู่มากเหมือนกัน เช่นนำน้ำมาให้ ให้ยืม เครื่องสูบน้ำ สักครู่พี่สำรวยลากลับ
       
       คืนนั้นเดือนหงาย ถึงพระจันทร์จะไม่เต็มดวงดีนัก แต่ก็ส่องแสงนวลเป็นจันทร์ทรงกลด ลมพัดแรง ธรรมชาติสวยงามอย่างบอกไม่ถูก เราถือโอกาสนี้มานานแล้วที่จะสนทนากับหลวงปู่เป็นการส่วนตัว ถามโน่นถามนี่ แต่ไม่ใช่ปัญหาธรรมะ เพราะเราไม่ใช่นักปฏิบัติไม่รู้ภาษาวัดๆ ถามแต่เรื่องส่วนตัว เสียดายจำไม่ได้ รู้แต่ว่าหลวงปู่มีโลกทัศน์กว้างไกลเกินกว่าจะเข้าใจในองค์ท่านได้ เวลาช่างหมุนไปเร็วเหลือเกิน จำได้ว่า.....
       
       คืนหนึ่ง ณ ลานหินโค้ง บริเวณถ้ำไก่หล่น ท่ามกลางแสงเดือนของวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๘ หลังจากหลวงปู่ได้นั่งสนทนาธรรมกับลูกหลาน ตอนหนึ่งหลวงปู่ได้อธิบายถึงกระบวนการ ทำงานของจิตโดยสมมติเลข ๖ ขึ้นมา แล้วถามว่า
       
       "ก่อนถึงเลข ๖ จะต้องผ่านเลขอื่น ๑...๒...๓...๔...๕...ใช่ไหม อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดจากผัสสะก็เช่นกัน ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนกว่าจะมาถึงจุดนี้ ผู้ที่รู้ไม่เท่าทันอารมณ์จะไม่รู้ถึงข้อนี้ ทันทีที่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส เขาจะเกิด เวทนาทันใด ยับยั้งอารมณ์ต่างๆ ไม่ได้ ผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้นถึง จะรู้ทันมัน สามารถยับยั้งอารมณ์ต่างๆ ให้เกิดขึ้นช้าลง น้อยลง และในที่สุดไม่เกิดอารมณ์ปรุงแต่งใดๆ เลย ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนสติปัญญาของแต่ละคน.... " ความจริงท่านพูดได้สละสลวยกว่านี้ฉันจำไม่ค่อยได้ ใช้ความเข้าใจเรียบเรียงคำพูดเอา
       
       ฉันแกล้งถามหลวงปู่เพื่อแขวะสามีที่ชอบสอนธรรมะคนโน้นคนนี้ โดยที่ตัวเองยังไปไม่ถึงไหน "คนที่ชอบสอนธรรมะคนโน้นคนนี้ โดยที่ตัวเองยังทำไม่ได้เลย เป็นคนอย่างไร"
       
       หลวงปู่เงียบไปชั่วขณะแล้วตอบว่า "มันก็เหมือนคนพูดถึงน้ำตกจากรูปภาพให้คนอื่นรู้จักน้ำตก ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เคยเห็นน้ำตก เลย นี่มึงว่าใคร ว่าผัวมึงเรอะ อีนี่ฉลาดจะให้กูด่าผัวมันแทน มึงก็คิดดูซิว่า ถ้ามันไม่เคยเห็นน้ำตก แต่มันพูดถึงน้ำตกให้คนอื่นฟังจะเป็นอย่างไร มันตลกสิ้นดี! เหมือนพระสงฆ์ในประเทศไทย เวลานี้ พวกพระนักเทศน์หรือพระชั้นผู้ใหญ่ สอนคนอื่นได้สอนคนอื่นดี ตัวเองทำได้แค่ไหน วงการพระสงฆ์เวลานี้จึงได้เละเทะอย่างที่เห็น ถ้าให้ดี ควรสอนเรื่องน้ำตกจากน้ำตกจริงๆ" คำตอบของหลวงปู่ตบหน้าคณะสงฆ์ฉาดใหญ่ทีเดียว!
       
       พูดถึงพระองค์หนึ่งที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แต่ยังติดในรูปแบบ เช่นไปไหนแต่ละครั้งมีผู้ติดตามประมาณ ๕๐๐ คน นั่งเทศน์บนที่ที่ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม คำสอนก็เรียบๆงั้นๆ ว่าเถอะ เผลอๆบางรูปสอนว่า นิพพานเป็นสภาวะบ้านเมืองที่สวยงาม พอถามหลวงปู่ว่าดีไหม ใช่พระอรหันต์ไหม ท่านตอบติดตลกว่า
       
       "ถามกูแล้วกูจะถามใครล่ะ กูไม่รู้ กูไม่ใช่พระอรหันต์ จะได้รู้ว่าคนโน้นเป็นอรหันต์ คนนี้เป็นอรหันต์ มึงไปถามเขาดูซี"
       
       ท่านยังบอกอีกว่า "เป็นพระต้องเป็นตัวของตัวเอง อย่าตามใจญาติโยมนัก อย่าติดที่ ติดตระกูล อย่าดัง จะเสียพระโดยไม่รู้ตัว จำไว้"
       
       หลวงปู่ปรารภจะแต่งหนังสือเกี่ยวกับลูกผู้ชาย ให้ชื่อหนังสือ ว่า "ตำนานลูกผู้ชาย" (สงสัยจะเป็นตำนานชีวิตหลวงปู่) ใครคนหนึ่งถามขึ้นมาว่า ลูกผู้ชายต้องมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ท่านกรุณา อธิบายให้เราฟังว่า
       
       "ลูกผู้ชายต้องเข้มแข็ง อดทน จริงจัง จริงใจ ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น มีคุณธรรม พูดจริง ทำจริง สุภาพ อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ.... " (ก็คุณสมบัติในองค์หลวงปู่นั่นเอง)
       
       ฉันถามว่าแล้วลูกผู้หญิงล่ะ ท่านอธิบายว่า
       
       "ลูกผู้หญิง ข้อสำคัญต้องมีความอาย ความอายเป็นคุณสมบัติ ของกุลสตรี"
       
       อ้าวแล้วที่เห็นๆ สมาชิกของถ้ำ มีใครเป็นกุลสตรีบ้างคะ บาง คนกระตุ้งกระติ้ง กระต้วมกระเตี้ยม สะเทิ้นอาย ...ฯลฯ
       
       "นั่นมันดัดจริต! " หลวงปู่ตอบแบบตีแสกหน้า
       
       เช้ามืดวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ฉันรีบเข้าครัวหุงข้าวต้ม ทำข้าว ต้มกุ๊ย เพราะมีไชโป๊ว ถั่วลิสง ผักกาดกระป๋อง กุ้งแห้ง เปลี่ยน จากอาหารฝรั่งเสียบ้าง หลวงพี่ทิฟฟี่เดินเข้ามากวาดสายตาไปทั่ว เดินไปเปิดฝาหม้อที่เตาโน้นที เตานี้ที ทำหน้าขึงขังแล้วพูดว่า
       
       "ไม่ได้ต้มน้ำรึ"
       
       ฉันตอบ "ยังค่ะ หุงข้าวต้มก่อนวันนี้ จะสุกอยู่แล้ว เดี๋ยวจะต้มน้ำให้" ท่านไม่ฟังเสียง รีบหาน้ำใส่กา เปิดเตาแก๊สต้มน้ำ
       
       วานซืนหลวงพี่บอกว่า "หลวงปู่ไม่ให้ใช้เตาแก๊สให้ใช้ฟืน ยกเว้น อากาศชื้น ค่อยใช้เตาแก๊ส" วันนี้ท่านใช้เตาแก๊สจะรีบต้มน้ำ (สงสัยจะดื่มชาแล้วจะรีบขึ้นรถด่วนขบวนสุดท้ายไปไหน?)
       
       แล้วหลวงพี่อีกรูปก็มาสมทบ กลายเป็นมหกรรมทำครัวระหว่างค่ายสีเหลืองกับสีลายมั่วกันไปหมด ก็ครัวที่นี่มันบ้าจี้อยู่ แคบแค่ศอก ยืนได้คนเดียว แล้วนี่ตั้ง ๒ รูป กับ ๑ คน ชายอังสะปลิวหลบกันให้วุ่น ดีที่สามีไม่บ้าจี้ลงไปร่วมสังฆกรรมด้วยนะ รายนั้นอ้วนตุ้บตั้บ ชักรำคาญซะแล้ว พอดีหลวงปู่เดินขึ้นกุฏิมาเอาอะไรไม่ทราบ ฉันหันไปทำหน้าเบ้ใส่ระบายความรู้สึก หลวงปู่รู้ดี ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด ท่านยิ้มน้อยๆ แล้วออกไป
       
       ฉันเอ่ยว่า "นิมนต์หลวงพี่ทั้งสองขึ้นบนกุฏิ ฉันข้าวต้มเถิด เจ้าค่ะ"
       
       หลวงพี่ทิฟฟี่พูดต่อว่า "มันเกะกะแย่แล้ว"
       
       เฮ้อ! รู้ตัวก็ดีแล้ว หลังจากนั้นอีกสัปดาห์หนึ่ง พอเรามาถ้ำได้รู้เรื่องจากหลวงปู่ว่า ท่านไม่ดื่มน้ำชาอีกแล้ว หลวงปู่บอกว่าขี้เกียจเป็นภาระของคนอื่นที่จะต้องคอยต้มน้ำชงชาให้กิน อีกอย่างเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เป็นสาเหตุให้พระเลียนแบบ เช้าๆ เกิดมหกรรมต้มน้ำชงชา ดูเหมือนแย่งกันทำชุลมุนไม่งาม หลวงปู่ใช้คำหนักๆ ว่า "กัดกัน" ก็เป็นอันว่ากระติกน้ำร้อนสีแดงยอดแหลมหมดหน้าที่ของมันโดยปริยาย หลังจากมีประวัติการทำงานอันยาวนานและพิสดารพอสมควร เก็บเข้ากรุได้ สำหรับเรื่องกระติกน้ำร้อนสีแดงใบนี้ ฉันมีเรื่องสนุกๆ จะเล่าให้ฟัง
       
       หลวงปู่มีกระติกน้ำร้อนคู่ใจสีแดงยอดแหลมใบหนึ่ง ไม่ทราบว่าใครซื้อถวาย เพราะไม่ได้ถาม ท่านจะชงชาใส่ไว้เต็ม เพื่อดื่มตอนบ่าย
       
       อยู่มาวันหนึ่ง คุณสมจิตทำตกแตก เธอรับอาสาว่าจะซื้อมาใช้ บังเอิญอะไรเช่นนั้น ที่บ้านฉันมีกระติกน้ำแบบหลวงปู่เปี๊ยบ ได้เป็นของแถมจากศูนย์การค้าแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นานมาแล้ว นับสิบปีก็ว่าได้ เก็บเอาไว้ไม่ได้ใช้ เพราะกระติกที่บ้านมีมากอยู่แล้ว ล้วนแล้วแต่ได้เป็นของแถมมาทั้งสิ้น ไม่นึกฝันมาก่อนว่า กระติกน้ำใบนี้จะได้รับใช้หลวงปู่ ระหว่างที่คุณสมจิตไปหาซื้ออยู่ ฉันก็เอาของที่บ้านมาถวายหลวงปู่ก่อน คุณสมจิตหาซื้อไม่ได้จริงๆ เธอจึงนำไปซ่อม เป็นอันว่าหลวงปู่มีกระติกสีเดียวกันแบบเดียวกัน ใช้ถึง ๒ ใบ แต่เรื่องไม่จบเพียงแค่นั้น เจ้าหนึ่งลูกชายพี่เฉลิมชัย ทำตกแตกไปใบหนึ่ง คราวนี้ซ่อมไม่ได้ เพราะตกแตกแหลกละเอียด
       
       พอหลวงปู่รู้เรื่อง ท่านถึงกับชูแขนสองข้างขึ้นเหนือศีรษะแล้วร้องว่า "กูอยากตายๆ"
       
       แต่ที่จริงท่านไม่สนใจเท่าไรนัก แตกก็แตกไป ท่านทำด้วยอารมณ์ขันมากกว่า พวกเราหัวเราะด้วยความขบขันในท่าทางของหลวงปู่ ไม่เห็นหลวงปู่จะมีทีท่าอารมณ์เสียตรงไหนเลย แล้วก็แล้วกันไป ไม่ดุด่าเจ้าหนึ่งแต่อย่างใด ยังไม่จบ ยังมีแถมท้ายอีกนิด กระติกสองใบนี้ถูกสลับฝากัน ฉะนั้นใบที่เหลืออยู่ก็ไม่สบอารมณ์ของผู้ใช้นัก เพราะฝากับตัวเข้ากันไม่ค่อยได้ หลวงพี่ทิฟฟี่ต้องใช้ยางในของรถจักรยานเสริมปากกระติก เกลียวถึงจะลงรอยกัน ต่อมาหลวงปู่เลิกใช้อย่างที่เล่าไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ไม่ทราบว่าท่านเก็บไว้ที่ไหน ไม่กล้าถาม