ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระบรมศาสดาพร้อมพระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระอนุรุทธะ และพระมหากัปปินะ ขึ้นไปทรมานท้าวพกพรหมในชั้นเวหัปผลา ผู้ที่เคยบวชเป็นฤษีบำเพ็ญตบะจนได้ญาณ ๔ แล้วเมื่อถึงกาลกิริยา จึงได้ไปเกิดเป็นพกพรหม ผู้มีฤทธิ์มาก มีเดชมาก มีอานุภาพมาก
ต่อมาพกพรหมผู้มีอำนาจมาแล้วถึง ๕๐๐ กัป บำเพ็ญญาณขั้นที่ ๓ ให้ละเอียดขึ้น ประณีตขึ้น จนขยับขึ้นไปสถิตอยู่ในพรหมชั้นสุภกิณหะ ซึ่งได้อายุขัยเพิ่มขึ้นมาอีก ๖๔ กัป
ท้าวพกพรหมผู้นี้จึงเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีเดชมาก มีอำนาจมาก ทั้งยังสำคัญตนผิดคิดว่า ในสุภกิณหะพรหมโลกนี้ตนเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว เพราะไม่มีใครผู้ใดมาอยู่ด้วยเลย
เหตุเพราะสุภกิณหะพรหมนี้กว้างขวางใหญ่โตจนสุดประมาณได้
จนทำให้พกพรหมมีความคิดผิดสำคัญผิดว่า ตนเป็นเจ้าของพรหมโลกทั้งปวง และเป็นผู้มั่นคง เที่ยงแท้ไม่แปรผัน จึงเป็นเหตุให้พระบรมศาสดาพร้อมภิกษุพุทธสาวกทั้ง ๔ อันมีพระมหาโมคคัลลานะ เป็นเบื้องต้น พระมหากัปปินะ เป็นเบื้องปลาย ต้องอันตรธานหายตัวไปปรากฎอยู่เหนือหัวของท้าวพกพรหม แล้วเจริญเตโชกสิณ จนปรากฏเป็นแสงไฟพวยพุ่งสว่างไปทั่วสุภกิณหะพรหมโลก
เป็นเหตุทำให้พกพรหมผู้อหังการ ที่คิดอยู่เสมอว่าไม่มีใครยิ่งใหญ่อยู่เหนือตนแล้ว แต่ต้องมาประหม่าลนลานตะลึงตรึกขึ้นว่า ในพรหมโลกนี้ยังมีผู้ที่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก มีเดชมากกว่าตนอยู่อีกหรือหน่อ
จึงใช้ให้พรหมในชั้นปาริสัชชะอันมีศักดิ์ที่ต่ำกว่าตน ไปถามพระมหาโมคคัลลานะว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ มีผู้ที่มีฤทธิ์ มีเดช มีอานุภาพมากยังมีอยู่อีกหรือไม่
พระมหาโมคคัลลานะกล่าวอย่างนี้ว่า
“เหล่าสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพมีวิชชา ๓ บรรลุอิทธิฤทธิ์ ฉลาดในการกำหนดจิตของผู้อื่นมีมากหลายดุจดังเมล็ดทรายในกำมือ ดังนี้.”
เมื่อ พกพรหม ได้ทราบเช่นนั้นนั้นมีใจยินดี ชื่นชมภาษิตของท่านพระมหาโมคคัลลานะนั้น
แล้วจึงมาตรึกอยู่ว่า เราคิดว่าเราเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีเดช มีศักดาไม่เปลี่ยนแปลง แต่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้า และพระสาวกสงฆ์กลับยิ่งใหญ่ มีเดช มีศักดามากกว่าเรา มีอยู่มากมาย
เราเคยคิดว่า เรากำเนิดเกิดขึ้นมาเอง ด้วยอำนาจตบะ แต่แท้จริงแล้ว เรากลับเกิดมาจากเหตุปัจจัยของผู้บำเพ็ญญาณสมาบัติโดยแท้
เราคิดว่า เราดำรงอยู่อย่างตั้งมั่นไม่แปรเปลี่ยน แต่แม้แต่ธรรมทั้งหลายยังเปลี่ยนแปรผัน ไม่คงที่ สาอะไรกับอำนาจ เดช ศักดา และตัวเรา ก็คงต้องไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่ดี
พกพรหมตรึกอยู่เช่นนี้จนทำให้ความอหังการ มมังการ ถือดี อวดดี ถือตัวถือตน ได้ลดน้อยถอยลงตามลำดับ แล้วตั้งมั่นสงบระงับสำรวมอยู่ในความไม่ประมาท ด้วยการสดับพระธรรมเทศนาจากองค์พระบรมศาสดาความว่า
“เย ธัมมา เหตุปัปพวา เตสัง เหตุ ตถาคโต เตสัญจ โย นิโรโธ จ เอวัง วาทีมหาสมโณ”
“ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ พระตถาคตกล่าวถึงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระมหาสมณะมีปกติกล่าวอย่างนี้”
สัพเพ ธัมมา อนัตตา แม้ธรรมทั้งหลายไม่มีอยู่จริง
ต่อไปเราท่านทั้งหลายก็มาตามดูบุพกรรมที่มีมาแล้วแต่อดีตของท่าน พระมหากัปปินะกันต่อว่า ท่านมีที่มาอย่างไร
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตระ ท่านพระกัปปินะเถระท่านได้บังเกิดในหังสวดีนคร บรรลุนิติภาวะแล้ว มีสติปัญญา วิชาความรู้ได้เป็นผู้พิพากษาอยู่ในพระนคร เมื่อกำลังฟังพระธรรมเทศนา ในสำนักของพระศาสดา ได้มองเห็นภิกษุรูปหนึ่ง ที่พระศาสดาทรงสถาปนา ไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้กล่าวสอนภิกษุทั้งหลายแล้ว ท่านจึงเกิดปีติโสมนัส นิมนต์ พระบรมศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ให้มารับอาหารบิณฑบาตยังเรือนของตนแล้ว ประกาศสัจอธิษฐานตั้งความปรารถนาไม่ว่าตนจะเกิดในชาติใด ที่ทันสมัยกับองค์พระบรมศาสดาในอนาคตกาลแล้วได้ฟังธรรม มีจิตศรัทธาตั้งมั่นบวชอยู่ในสำนักแห่งพระศาสดาในพระองค์นั้น ขอจงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความเป็นผู้เลิศในการให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายเถิด
ครั้งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายจงดูมหาอำมาตย์ผู้แกล้วกล้าในการตัดสิน หมอบอยู่แทบเท้าของเรา มีใจสูงด้วยปิติ มีวรรณะ นัยน์ตาและหน้าผ่องใส มีบริวารเป็นอันมาก ทำอาชีพรับราชการ มียศใหญ่ มหาอำมาตย์นี้เขาปรารถนาตำแหน่งภิกษุ ผู้ให้โอวาทอันเลิศแก่ภิกษุทั้งหลาย เหตุด้วยการบริจาคบิณฑบาตนี้ และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ เขาจักไม่เข้าถึงทุคติเลยตลอดแสนกัป จักเสวยความเป็นผู้มีโชคดีในหมู่ทวยเทพ และจักเสวยความเป็น ใหญ่ในหมู่มนุษย์ทั้งปวง
ในแสนกัปแต่กัปนี้ พระศาสดามีพระนามชื่อว่าโคดม ทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก มหาอำมาตย์นี้ จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นสาวกมีนามชื่อว่ากัปปินะ จักบรรลุถึงนิพพาน เป็นภิกษุผู้เป็นเลิศในการให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย
หลังจากที่มหาอำมาตย์ผู้นั้นได้รับพุทธพยากรณ์จากพระปทุมุตตรพุทธเจ้าแล้ว
เขาได้กระทำกุศลกรรมไว้ในมนุษยโลกนั้น จนตลอดชีวิตแล้วท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้ไปบังเกิดเป็นพระราชาบ้าง มหาอำมาตย์บ้าง สลับสับเปลี่ยนอยู่เช่นนี้อยู่ ๕๐๐ ชาติ เมื่อหมดจากมหากุศลที่เคยได้ทำไว้นั้นแล้ว จึงได้มาบังเกิดในเรือนของหัวหน้าช่างหูก ในหมู่บ้านช่างหูกแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงสาวัตถีนัก
ในเวลานั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าประมาณ ๑,๐๐๐ องค์ อยู่ที่ภูเขาหิมวันต์ ๘ เดือน เวลาจะใกล้เข้าพรรษาก็ออกจาริกมาอยู่ในชนบท ๔ เดือน พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น จึงเหาะลงมาในที่อันไม่ไกลจากกรุงพาราณสีมากนัก แล้วส่งพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์เป็นสมณทูต ไปพบพระราชายังพระราชวังพร้อมกราบทูลขอบิณฑบาตรหัตถกรรมที่เป็นช่างไม้เสื่อ ช่างสานด้วยไม้ไผ่ แก่องค์ราชาผู้เคยปวารณาไว้เพื่อนำมาก่อสร้างเสนาสนะสำหรับจำพรรษา
ขณะนั้นกำลังจะมีพระราชพิธีวัปปมงคล (พืชมงคล) พระราชานั้นได้ทรงตรัสว่า ท่านผู้เจริญ วันนี้คงจักยังไม่ได้ดังที่พระคุณเจ้าขอมา พวกโยมกำลังตระเตรียมงานพิธีมงคลอยู่ เพราะพรุ่งนี้เป็น พระราชพิธีวัปปมงคลของโยม เอาไว้วันที่ ๓ โยมจักทำกิจให้
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายพากันหลีกไปพร้อมกล่าวว่า พวกเราจักเข้าไปขอแก่โยมชาวบ้านผู้ปวารณาคนอื่นดู
ในสมัยนั้น ภริยาของหัวหน้าช่างหูก เดินทางไปยังกรุงพาราณสี ด้วยหน้าที่การงานบางอย่าง ได้พบพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นเข้า จึงเอ่ย ถามว่า
พระคุณเจ้ามาในกาลอันมิใช่เวลาเพื่อต้องการอะไรเจ้าคะ
พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นได้เล่าเรื่องแต่ต้นให้ฟังแล้ว หญิงผู้สมบูรณ์ด้วยศรัทธาถึง พร้อมด้วยปัญญา พอได้ฟังเรื่องนั้นแล้ว จึงกราบเรียนนิมนต์ว่า
ท่านเจ้าขา พรุ่งนี้นิมนต์รับภิกษาของพวกดิฉันนะเจ้าคะ
พระปัจเจกพุทธเจ้า กล่าวว่า โยมหญิง พวกอาตมภาพมีด้วยกันมากองค์
หญิงนั้นถามว่า มีกี่องค์พระคุณเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้าตอบว่า มีประมาณ ๑,๐๐๐ องค์
หญิงคนนั้น กราบเรียนว่า ท่านเจ้าขา ในหมู่บ้านของพวกดิฉันนี้ ก็มีคนอยู่ประมาณ ๑,๐๐๐ คนเช่นกัน คนคนหนึ่งจะถวายทานแก่พระคุณเจ้าองค์หนึ่ง ขอนิมนต์ท่านจงรับภิกษาเถิด ดิฉันคนเดียว จักให้ช่างก่อสร้างที่อยู่สำหรับพระคุณเจ้าทั้งหลาย
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายรับนิมนต์แล้ว
หญิงคนนั้น เข้าไปยังหมู่บ้านโฆษณาป่าวร้องว่า แม่คุณพ่อคุณทั้งหลายเอย ฉันได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าประมาณ ๑,๐๐๐ องค์ได้นิมนต์ท่านไว้แล้ว พวกท่านจงช่วยกันตระเตรียมที่สำหรับพระคุณเจ้าทั้งหลายด้วย และจงช่วยกันตระเตรียมข้าวยาคูและภัตรเป็นต้น เพื่อไว้ถวายแด่พระคุณเจ้าทั้ง ๑,๐๐๐ องค์เหล่านั้น
ดังนี้แล้ว นางจึงชักชวนผู้คนให้ช่วยกันก่อสร้างมณฑปในท่ามกลางหมู่บ้าน ให้ปูลาดอาสนะทั้งหลายไว้ ให้ครบจำนวนพระปัจเจกพุทธเจ้า
พอถึงวันรุ่งขึ้น จึงนิมนต์ให้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายนั่งแล้ว อังคาสด้วยขาทนียะโภชนียะอันประณีต ในเวลาเสร็จภัตรกิจ นางได้เรียกหญิงทั้งหมดในหมู่บ้านนั้นมานั่งเบื้องหน้าหมู่พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วพร้อมใจกันกราบ
หญิงเหล่านั้นจึงนิมนต์ให้ท่านรับอยู่จำพรรษาตลอดไตรมาสในที่โล่งกว้าง ว่างเปล่า กลางหมู่บ้านนี้แล้ว หญิงทั้งหลายจึงได้ช่วยกันออกประกาศให้ชนในหมู่บ้านทั้งหมดว่า
แม่คุณและพ่อคุณทั้งหลาย ขอบุรุษคนหนึ่งจากตระกูลหนึ่ง (คัดเอาผู้ชายบ้านละคน) ให้ถือมีดและขวานเป็นต้น เข้าป่าไปตัดไม้และหญ้าคามาช่วยกันสร้างที่อยู่ ถวายสำหรับพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายเถิด
พวกชาวบ้านได้ฟังคำของนางนั้น แล้ว แต่ละคนล้วนมีความยินดีเข้ามากุลีกุจอช่วยกันสร้างบรรณศาลาคนละหลัง พวกเขาทำงานก่อสร้างกันทั้งคืนทั้งวัน จน บรรณศาลา ๑,๐๐๐ หลังเสร็จเรียบร้อยภายใน ๗ วัน จึงพากันไปกราบอาราธนาพระปัจเจกพุทธเจ้าให้มานับคำถวายบรรณศาลาของตนของตน ทั้งยังปฏิญาณว่า เราจักบำรุงท่านโดยความเคารพ เราจักบำรุงท่านโดยความเคารพแล้ว จึงได้พากันกราบลาไปยังเรือนของตน เพื่อจัดเตรียมขาทนียะ โภชนียะ มาถวายในวันรุ่งขึ้น พร้อมน้ำใช้น้ำฉันไม่ขาดแคลนตลอด ๓ เดือน ของช่วงฤดูเข้าพรรษา
พอถึงเวลาออกพรรษาแล้ว ภริยาหัวหน้าช่างหูกคนนั้น จึงกล่าวแก่พวกชาวบ้านว่า พวกท่านจงช่วยกันตระเตรียม ผ้าจีวรสาฎก มาถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้อยู่จำพรรษาแล้ว ในบรรณศาลาของตนของตนเถิด
ชาวบ้านทั้งปวงจึงช่วยกันหาฝ้ายมาปั้นเป็นด้ายเพื่อทอเป็นจีวร และสบง พร้อมย้อมด้ายด้วยน้ำฝาดถวายผ้าจีวรนั้นอันมีจำนวน ๑,๐๐๐ ชุด แด่พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์ละ ๑ ชุด พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย รับผ้าแล้วทำอนุโมทนาแล้วก็หลีกไปสู่ป่าหิมวันต์ดังเดิม
ด้วยมหากุศลอันยิ่งใหญ่ที่พวกชาวบ้านได้ร่วมกันทำในครั้งนี้ ทำให้มีชีวิตดำรงอยู่อย่างสุขสงบ เมื่อตายแล้วได้ไปบังเกิดในดาวดึงสเทวโลก ได้เป็นเทพบุตร เทพธิดานามว่า คณะเทวดา คณะเทพธิดาเทวดา ได้เสวยทิพยสมบัติในดาวดึงสเทวโลกนั้น
 
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ มีนักข่าวขอมาสัมภาษณ์
 
พุทธะอิสระ