ตอนที่แล้วจบลงตรงที่ พระบรมศาสดาทรงชี้ให้เห็นว่า ผู้เจริญกายานุสติในอานาปานสติย่อมเป็นผู้มีกายอันตั้งมั่น ตั้งตรง ดังเช่นพระมหากัปปินะเป็นต้น
วันนี้เรามาติดตามกันต่อ
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พรหมองค์หนึ่ง ชื่อพกพรหม เกิดมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิดว่า สมณะหรือพราหมณ์ ที่จะมาในพรหมโลกนี้ได้ไม่มีเลย
ซึ่งพรหมองค์นี้อุปบัติเมื่อครั้งยังไม่มีพระพุทธเจ้า แล้วได้บวชเป็นฤาษี กระทำกสิณบริกรรมจนทำสมาบัติให้เกิดขึ้น ไม่เสื่อมจากฌาน เมื่อทำกาละแล้ว ไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นเวหัปผลาใน ภูมิจตุตถฌาน มีอายุอยู่ ๕๐๐ กัป เขาดำรงอยู่ในพรหมโลกชั้นเวหัปผลานี้ ตลอดอายุขัย
ช่วงเวลาขณะที่เกิดเป็นพรหมชั้นเวหัปผลาอยู่นั้น ท่านได้เจริญตติยฌานให้ประณีต แล้วไปบังเกิดในพรหมโลกชั้นสุภกิณหะ มีอายุเพิ่มอีก ๖๔ กัป พกพรหมนั้นรู้กรรมที่ตนทำและสถานที่ที่ตนเกิดในปฐมกาลเกิดครั้งแรก แต่เมื่อกาลล่วงไป ๆ เขาได้หลงลืมกรรมและสถานที่ทั้ง ๒ นั้นเสีย จึงเกิดสัสสตทิฏฐิ คิดว่าฐานะของพรหมนั้นบังเกิดขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย ดำรงอยู่ตั้งมั่นเช่นนั้น อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกอันวิปริตแห่งใจของพกพรหมนั้นด้วยพระทัยแล้ว จึงทรงเสด็จไปจากพระวิหารเชตวันไปปรากฏในพรหมโลกนั้น ทรงนั่งขัดสมาธิในเวหาสเบื้องบนเหนือศีรษะของพรหมนั้น ทรงเข้าเตโชกสิณธาตุ
ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้มีความคิดเช่นนี้ว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ ท่านจึงได้เห็นด้วยทิพย์จักษุ ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประทับนั่งขัดสมาธิในเวหาสเบื้องบนเหนือศีรษะของพกพรหมนั้น แล้วเข้าเตโชธาตุกสิณอยู่ พระมหาโมคคัลลานะเถระจึงได้เหาะไปปรากฏบนพรหมโลกในเบื้องทิศบูรพา นั่งขัดสมาธิในเวหาสเบื้องบนเหนือศีรษะของพกพรหมนั้น แต่ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งเข้าเตโชธาตุกสิณเช่นเดียวกับพระพุทธองค์
ขณะเดียวกัน ท่านพระมหากัสสปะได้ดำริขึ้นว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเสด็จไปทรมานพกพรหมอยู่ในพรหมโลก เราก็จักไปเข้าเฝ้าองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าในสุภกิณหะพรหมโลกนั้นด้วย
คิดดังนั้นแล้วพระมหากัสสปะ ท่านจึงได้เหาะไปปรากฏในพรหมโลกในเบื้องทิศใต้ นั่งขัดสมาธิในเวหาสเบื้องบนเหนือศีรษะของพกพรหมนั้น แต่ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าเตโชธาตุกสิณด้วยเหมือนกัน
ต่อมาท่านพระมหากัปปินะก็เช่นกันได้เหาะไปปรากฏในพรหมโลกในเบื้องทิศตะวันตก นั่งขัดสมาธิในเวหาสเบื้องบนเหนือศีรษะของพกพรหมนั้น แต่ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าเตโชธาตุกสิณเช่นเดียวกัน
ในขณะเดียวกันนั้น ท่านพระอนุรุทธะ ได้ทราบว่า เวลานี้องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปโปรด ทรมานพกพรหมอยู่ในสุภกิณหะ ท่านจึงได้เหาะไปเข้าเฝ้าเช่นเดียวกัน ไปปรากฏบนพรหมโลกในเบื้องทิศเหนือ นั่งขัดสมาธิในเวหาสเบื้องบนเหนือศีรษะของพกพรหมนั้น แต่ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ทรงกำลังเข้าเตโชธาตุกสิณอยู่ด้วยเช่นกัน
ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวกะพกพรหมนั้นด้วย คาถาว่า
ดูก่อนผู้มีอายุ แม้วันนี้ ท่านก็ยังมีความเห็นผิดอยู่เหมือนเมื่อก่อน ท่านยังจะเห็นอยู่หรือว่าบนพรหมโลกจักมีแสงสว่างพวยพุ่งออกมาได้เอง.
พรหมกล่าวว่า
พระคุณเจ้าผู้นิรทุกข์ ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นผิดเหมือนเมื่อก่อน ที่ว่าข้าพเจ้าเห็นแสงสว่างพวยพุ่งไปเองในพรหมโลก ไฉนในวันนี้ข้าพเจ้าจะพึงกล่าวว่า "เราเป็นผู้เที่ยงเป็นผู้ยั่งยืน" ดังนี้เล่า
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงธรรมแก่พกพรหมนั้นให้สลดใจด้วยพระวาจาว่า
“เย ธัมมา เหตุปัปพวา เตสัง เหตุ ตถาคโต เตสัญจ โย นิโรโธ จ เอวัง วาทีมหาสมโณ”
“ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ พระตถาคตกล่าวถึงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระมหาสมณะมีปกติกล่าวอย่างนี้”
สัพเพ ธัมมา อนัตตา แม้ธรรมทั้งหลายไม่มีอยู่จริง
ทรงตรัสเทศนาเช่นนี้แล้วได้อันตรธานหายไปจากพรหมโลกนั้น แล้วมาปรากฏพระองค์ในพระวิหารเชตวันดุจดังพายัพแดด ดังนี้
ลำดับนั้น พกพรหมนั้นได้เรียกพรหมปาริสัชชะ พรหมผู้รับใช้องค์หนึ่งมาสั่งว่า ท่านจงเข้าไปถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ สาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น แม้องค์อื่น ๆ จักมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เหมือนกับ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระกัสสปะ ท่านพระกัปปินะ และท่าน พระอนุรุทธะ ยังมีอยู่หรือไม่
เมื่อพรหมปาริสัชชะนั้นไปถามพระมหาโมคคัลลานะตามที่ได้รับคำสั่ง ท่านพระมหาโมคคัลลานะจึงได้กล่าวกะพรหมปาริสัชชะนั้นว่า
“เหล่าสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพมีวิชชา ๓ บรรลุอิทธิฤทธิ์ ฉลาดในการกำหนดจิตของผู้อื่นมีมากหลายดุจดังเมล็ดทรายในกำมือ ดังนี้.”
ลำดับนั้น พรหมปาริสัชชะนั้นเพลิดเพลินอนุโมทนาภาษิตของท่านพระมหาโมคคัลลานะ แล้วเข้าไปหาพกพรหมนั้นจนถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วกล่าวคำนั้นว่า ท่านผู้นิรทุกข์ พระมหาโมคคัลลานะผู้มีอายุกล่าวอย่างนี้ว่า
“เหล่าสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพมีวิชชา ๓ บรรลุอิทธิฤทธิ์ ฉลาดในการกำหนดจิตของผู้อื่นมีมากหลายดุจดังเมล็ดทรายในกำมือ ดังนี้.”
เมื่อ พกพรหม ได้ทราบเช่นนั้นนั้นมีใจยินดี ชื่นชมภาษิตของท่านพระมหาโมคคัลลานะนั้น ฉะนี้
แล้วจึงมาตรึกอยู่ว่า เราคิดว่าเราเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีเดช มีศักดาไม่เปลี่ยนแปลง แต่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้า และพระสาวกสงฆ์กลับยิ่งใหญ่ มีเดช มีศักดามากกว่าเรา มีอยู่มากมาย
เราเคยคิดว่า เรากำเนิดเกิดขึ้นมาเอง ด้วยอำนาจตบะ แต่แท้จริงแล้ว เรากลับเกิดมาจากเหตุปัจจัยของผู้บำเพ็ญญาณสมาบัติ
เราคิดว่า เราดำรงอยู่อย่างตั้งมั่นไม่แปรเปลี่ยน แต่แม้แต่ธรรมทั้งหลายยังเปลี่ยนแปรผัน ไม่คงที่ สาอะไรกับอำนาจ เดช ศักดา และตัวเรา ก็คงต้องไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่ดี
พกพรหมตรึกอยู่เช่นนี้จนทำให้ความอหังการ มมังการ ถือดี อวดดี ถือตัวถือตน ได้ลดน้อยถอยลงตามลำดับ แล้วตั้งมั่นสงบระงับสำรวมอยู่ในความไม่ประมาท
 
จบแล้วจ้า โปรดติดตามตอนต่อไป
 
พุทธะอิสระ