ความเดิมตอนที่แล้วจบลงตรงที่
องค์ราชามหากัปปินะ พร้อมบริวารจำนวน ๑ พันคนได้ตัดสินใจสละราชสมบัติออกจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว ออกบวชถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระบรมศาสดาทรงเสด็จออกมารับพร้อมทั้งทรงแสดงอนุปุพพิกถา อันได้แก่
ทานการให้
ศีล การรักษากาย วาจาให้เรียบร้อย
อานิสงส์ของการให้ทาน รักษาศีล
โทษของสวรรค์
อานิสงส์ของการออกบวช
ธรรมอันเป็นเครื่องล้าง เครื่องชำระจิตขององค์ราชากัปปินะ และบริวาร
ครั้งได้สดับพระธรรมอันประเสริฐนั้น จิตก็เข้าสู่อริยมรรค อริยผล พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ
พอถึงตอนนี้เราท่านทั้งหลายลองมาตามดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนครภุกฎวดี ที่องค์ราชามหากัปปินะและบรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพาร ทรงสละให้พระมเหสีอโนชาเทวีปกครองว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากองค์ราชาและหมู่อำมาตย์จากมาแล้ว
ฝ่ายพ่อค้าเหล่านั้นไปสู่ราชตระกูลให้เจ้าหน้าที่กราบทูลข่าวที่พระราชาทรงส่งมา เมื่อพระเทวีทรงรู้ว่าพวกพ่อค้าเหล่านี้ องค์ราชามหากัปปินะส่งมา จึงทรงตรัสเรียกให้เข้ามา
พ่อค้าเหล่านั้นจึงเข้าไปถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระเทวีตรัสถามพ่อค้าเหล่านั้นว่า "พ่อคุณทั้งหลาย พวกท่านมาเพราะเหตุอันใด ?"
พ่อค้า : พระราชาทรงส่งพวกข้าพระองค์มาเข้าเฝ้าพระเทวีเพื่อถวายพระราชสาส์นพระเจ้าข้า
พระเทวีอโนชา ครั้งรับพระราชสารนั้นมาแล้ว หลังจากทรงอ่านพระราชสาส์นนั้นแล้วจึงได้รู้ว่า จะต้องพระราชทานทรัพย์ให้แก่พวกพ่อค้าถึง ๓ แสนกหาปนะ
พระเทวี จึงทรงตรัสถามว่า พ่อคุณทั้งหลาย พวกท่านทำอะไรแก่พระราชาจึงทรงพระราชทานทรัพย์ ๓ แสนให้แก่พวกท่าน
พ่อค้า : พระเจ้าข้า อะไรๆ อย่างอื่น พวกข้าพระองค์มิได้ทำ, แต่พวกข้าพระองค์ได้กราบทูลข่าวมหามงคลแด่พระราชา.
พระเทวี จึงทรงตรัสถามว่า พ่อคุณทั้งหลาย ก็พวกท่านสามารถบอกแก่เราบ้างได้ไหมว่า ข่าวมหามงคลของท่านคืออะไร ?
พ่อค้า : ได้ พระเจ้าข้า.
พ่อค้า : ข้าแด่องค์พระเทวีผู้เจริญ บัดนี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก.
แม้พระเทวีทรงสดับคำนั้นแล้ว มีพระสรีระอันปีติเข้าครอบงำ จนเกิดพระวรกายพองโต พระโลมาลุกชัน น้ำพระเนตรเอ่อล้นไหลริน พระทัยเอิบอิ่มพองฟู ทรงประทับนั่งนิ่งอยู่ดังนั้น ทั้งยังสะอื้นไห้ด้วยความเอิบอิ่มถึง ๓ ครั้ง เมื่อได้ทรงสดับถึงข่าวมหามงคลถึงพระรัตนตรัยทั้ง ๓
ในวาระที่ ๔ ทรงอุทานออกมาว่า "พุทฺโธ" แล้วจึงตรัสว่า "พ่อคุณทั้งหลายนอกจากข่าวมหามงคลนี้ พระราชาทรงพระราชทานอะไรให้แก่พ่อบ้าง ?"
พ่อค้า : ทรัพย์ ๓ แสน พระเจ้าข้า.
พระเทวี : พ่อคุณทั้งหลาย พระราชาทรงสดับข่าวเห็นปานนี้แล้ว
พระราชทานทรัพย์แค่ข่าวละ แสนหนึ่งแก่ท่านทั้งหลายเท่านั้นหรือ (ชื่อว่า) ทรงกระทำไม่สมกับข่าวอันเป็นมหามงคลเช่นนี้เลย, แต่เราจะให้แก่พวกท่าน ๓ แสนตามที่องค์ราชาทรงประทาน
พ่อคุณทั้งหลาย แจ้งข่าวอันเป็นมหามงคลทั้ง ๓ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้เกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ อันเป็นข่าวที่ประเสริฐยิ่งนักแก่เรา
เช่นนั้นเราจักเพิ่มเงินให้แก่พวกท่านอีกข่าวละ ๓ แสน
พ่อค้าเหล่านั้นได้ทรัพย์ทั้งหมดเป็น ๑๒ แสน ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น พระเทวีตรัสถามพ่อค้าเหล่านั้นว่า "พ่อคุณทั้งหลาย พระราชาเสด็จไปในทิศใด?"
พ่อค้า : พระเจ้าข้า พระราชารับสั่งว่า "จักทรงเสด็จออกบวชอุทิศพระศาสดา" ก็เสด็จไปในทิศอุดร ทั้งยังทรงฝากข่าวถึงพระเทวีมาอีกด้วย
พระเทวี : ข่าวอะไร? ที่พระองค์ฝากมาแจ้งแก่เรา.
พ่อค้า : นัยว่า พระองค์ทรงสละพระราชสมบัติทั้งหมดถวายแก่พระเทวี นัยว่า พระองค์จงเสวยสมบัติตามพระประสงค์เถิด.
พระเทวี : แล้วพวกอำมาตย์ทั้งหมดไปไหนหละ ? พ่อคุณ.
พ่อค้า : แม้อำมาตย์เหล่านั้นก็กล่าวว่า ‘เราจักตามเสด็จออกบวชกับพระราชาเหมือนกัน’ พระเจ้าข้า.
พระนางรับสั่งให้เรียกภรรยาของอำมาตย์เหล่านั้นมา และตรัสว่า "แม่คุณทั้งหลาย สามีของพวกเจ้ากล่าวว่า ‘ เราจักบวชกับพระราชา’ แล้วก็ไป พวกเจ้าจักทำอย่างไร?"
หญิงเหล่านั้นจึงทูลว่า แล้วพระองค์จักทรงทำอย่างไรเล่าเพคะ ?
พระเทวี : แม่คุณทั้งหลาย ทีแรก พระราชานั้นทรงสดับข่าวแล้ว ประทับยืนในหนทางเทียว ทรงบูชาพระรัตนตรัยด้วยทรัพย์ ๓ แสน ทรงสละสมบัติดุจก้อนน้ำลาย ตรัสว่าเราจักบวช แล้วเสด็จออกไป, ส่วนเราได้ฟังข่าวพระรัตนตรัยแล้ว บูชาพระรัตนตรัยด้วยทรัพย์ ๙ แสน;
ก็แล ชื่อว่าสมบัตินี้ มิได้นำความอาลัยอาวรณ์ ใยดีให้เกิดขึ้นแด่พระราชาเท่านั้น แม้เราก็รู้สึกไม่อาลัยอาวรณ์ ใยดีต่อทรัพย์และสมบัติเหล่านี้แก่เราเหมือนกัน ใครจักคุกเข่ารับเอาก้อนน้ำลายที่พระราชาทรงบ้วนทิ้งแล้วด้วยปากเล่า? เราไม่ต้องการทรัพย์สมบัติเหล่านี้ แม้เราก็จักไปบวชอุทิศพระศาสดาด้วยเหมือนกัน
หญิงภรรยาอำมาตย์ : พระเจ้าข้า แม้พวกหม่อมฉันก็จักออกบวชไปกับพระองค์เหมือนกัน
พระเทวีตรัสว่า "ถ้ากระนั้น พวกเจ้าจงไปออกบวชร่วมกับเรา" ดังนี้แล้ว รับสั่งให้นำม้าไปเทียมรถพันคัน พร้อมเสด็จขึ้นรถออกไปกับหญิงเหล่านั้น ทอดพระเนตรเห็นแม่น้ำสายที่หนึ่งขวางทางอยู่
ในระหว่างทาง ทรงตรัสถามผู้ตามเสด็จเหมือนพระราชา ทรงสดับความเป็นไปทั้งหมดแล้ว ตรัสว่า "พวกเจ้าจงตรวจดูทางเสด็จไปของพระราชา"
เมื่อหญิงเหล่านั้นกราบทูลว่า "พวกหม่อมฉันไม่เห็นรอยเท้าม้าสินธพ พระเจ้าข้า" ทรงดำริว่า "พระราชาคงจักทรงทำสัจจกิริยาถึงคุณพระรัตนตรัย เพื่อข้ามแม่น้ำนี้ไป เราก็เช่นกันว่า ‘เราก็ออกบวชอุทิศพระรัตนตรัย ขอความสำเร็จอันใดที่พระสวามีข้าได้อธิษฐานเอาไว้แล้ว จงสำเร็จประโยชน์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด’ แล้วเสด็จไป, ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนะเหล่านั้น ขอน้ำนี้อย่าได้เป็นเหมือนน้ำเลย จงแข็งดุจดังแผ่นดินแลหินผา"
ทรงตรัสรับสั่งให้บังคับรถพันคันนั้นเดินทางไปบนน้ำได้ดุงดัจแผ่นหิน โดยไม่มีส่วนใดๆ ของรถและม้าต้องเปียกน้ำเลย
พระเทวีเสด็จข้ามแม่น้ำทั้งสองแม้นอกนี้ไปได้ โดยอุบายนั้นเหมือนกัน.
พระศาสดาทรงทราบการเสด็จมาของพระเทวี ได้ทรงเสด็จพระมหากัปปินะ และบริวารออกมาประทับยืนยัง ณ โคนต้นนิโครธ ทรงประทับอยู่บนรัตนบัลลังก์ พร้อมทรงบันดาลให้พระเทวีและหญิงบริวารทั้งพันคน มองไม่เห็นพระมหากัปปินะ และบริวารทั้งพันองค์
เมื่อพระเทวีเสด็จมาถึง ทอดพระเนตรเห็นพระรัศมีพุ่งออกจากพระสรีระของพระศาสดา ทรงดำริว่า แสงทั้ง ๖ ประการนี้คงเป็นความมหัศจรรย์ขององค์พระบรมศาสดา แล้วเสด็จเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว ประทับยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้ามหากัปปินะเสด็จออกผนวชอุทิศพระองค์, ท้าวเธอชะรอยจะเสด็จมาในที่นี้แล้ว, ท้าวเธอประทับอยู่ไหน? พระองค์ไม่ทรงแสดงแม้แก่พวกหม่อมฉันบ้าง."
พระศาสดาตรัสว่า "ท่านทั้งหลายจงนั่งก่อน, จักเห็นพระราชาในที่นี้เอง" หญิงเหล่านั้นแม้ทุกคน มีจิตยินดี นั่งแล้ว ด้วยคิดว่า " พวกเรามานั่งอยู่ในที่นี้ เพราะต้องการเห็นพวกสามีของเรา"
พระศาสดาตรัสอนุปุพพีกถาแล้ว. ในเวลาจบเทศนา พระนางอโนชาเทวีพร้อมทั้งบริวาร บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว.
พระมหากัปปินเถระพร้อมทั้งบริวาร สดับพระธรรมเทศนาที่พระศาสดาทรงขยายแก่หญิงเหล่านั้นแล้ว ก็ได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.
ในขณะนั้น พระศาสดาทรงคลายมนต์กำบังให้พระเทวีอโนชา และบริวารได้มองเห็นพระมหากัปปินะและบริวารทั้งพันคนนั้น ซึ่งเป็นผู้บรรลุพระอรหัตแล้ว
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ จะขอพักก่อน
พุทธะอิสระ