ตอนที่แล้วจบลงตรงที่ ขณะที่พระบรมศาสดาทรงอยู่ในเมืองสาเกต อาวาสอัญชนวัน
ขณะนั้นหมู่พระภิกษุสงฆ์ติดตามเสด็จมาจำนวนมาก เสนาสนะไม่เพียงพอ ที่จะให้หมู่ภิกษุจำนวนมากพักอาศัย บ้างก็ไปปักกลดอยู่ชายป่าละเมาะ ริมแม่น้ำสรภู บ้างก็ไปทำเพิงพักแบบชั่วคราวที่มีหลังคามุ้งด้วยใบไม้ แต่ไม่มีพื้น อาศัยหลับนอนอยู่พื้นทราย บางพวกก็ไม่มีกลด ไม่สร้างเพิงพัก เอาเสื่อที่ชาวบ้านเขาถวายมาปูพื้น ใช้อาศัยหลับนอน ไม่ต้องมีหลังคา
ในเวลานั้น ทางทิศเหนือซึ่งเป็นต้นแม่น้ำสรภู มีฝนตกลงมามาก จนทำให้ปริมาณน้ำในต้นแม่น้ำสรภู เพิ่มปริมาณขึ้นเป็นจำนวนมหาศาล น้ำขุนปนดินโคลนเป็นสีแดง ไหลบ่าลงมาใกล้จะถึงบริเวณที่พักอาศัยของหมู่ภิกษุสงฆ์สามเณร ที่กำลังพักผ่อนอยู่ในยามค่ำคืน
น้ำป่าที่ไหลบ่าลงมาได้นำพาต้นไม้ กิ่งไม้ กรวดทราย และดิน ไหลปนมากับสายน้ำอันขุ่นข้น และเชียวกราดดังสนั่นไปทั่ว จนพระและเณรใหม่ต่างพากันตกใจส่งเสียงร้องกันระงมด้วยความหวาดกลัว
หากปล่อยให้น้ำป่านั้นไหลมาถึงที่พักคงได้กวาด พัดพาเอาหมู่พระเณรทั้งหมดที่พักอาศัยอยู่ริมแม่น้ำไปกับสายน้ำ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ท่านพระควัมปติเถระ จึงได้รับพุทธฎีกาตรัสสั่งให้พระควัมปติไปห้ามน้ำมิให้ไหลมา แล้วให้ทยอยผ่อนน้ำนั้น ค่อยๆ ไหลเป็นปกติ
ท่านพระควัมปติเถระ จึงได้รับพุทธบัญชา ออกไปยืนเข้าสมาบัติ แล้วเนรมิตเป็นเขื่อนแก้วที่มองไม่เห็น แล้วค่อยปล่อยให้น้ำนั้นทยอยไหลมาทีละน้อย เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อพระเณรที่พักอาศัยอยู่ริมแม่น้ำ และรวมทั้งชาวบ้านชาวเรือที่ทอดสมอจอดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสรภูนั้น
ด้วยเดชอานุภาพแห่งฤทธิ์ของพระควัมปติเถระปรากฎแก่สายตาชนทั้งหลายเช่นนั้น มหาชนทั้งหลายจึงบอกกล่าวเล่าขาน โจษจันกันไปทั่ว
อยู่มาวันหนึ่ง พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระเถระ นั่งอยู่ท่ามกลางเทวบริษัทจำนวนมาก แล้วแสดงธรรมอยู่ พระบรมศาสดาเมื่อจะทรงสรรเสริญพระเถระ เพื่อประกาศคุณของท่านพระควัมปติ ด้วยความอนุเคราะห์สัตวโลก จึงได้ทรงภาษิตพระคาถาว่า
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พากันนอบน้อมพระควัมปติ ผู้ห้ามแม่น้ำสรภูให้หยุดไหลได้ด้วยฤทธิ์ ไม่ติดอยู่ในกิเลสและตัณหาไรๆ ไม่หวั่นไหวต่ออะไรทั้งสิ้น เป็นผู้ผ่านพ้นเครื่องข้องทั้งปวง เป็นมหามุนี เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ ดังนี้.
ต่อแต่นั้น เทวดาและมนุษย์ทั้งปวงก็พากันนอบน้อมพระควัมปติผู้ชื่อว่าไม่หวั่นไหว เพราะไม่มีกิเลสเครื่องหวั่นไหวทั้งหลาย ผู้ผ่านพ้นเครื่องข้องทั้งปวงนั้น คือผู้เช่นนั้น ชื่อว่าผู้พ้นเครื่องข้องทั้งปวง เพราะก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องคือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะและทิฏฐิเสียได้แล้วตั้งอยู่ ชื่อว่าเป็นมหามุนี เพราะเป็นมุนีผู้อเสกขะ ต่อแต่นั้น ชื่อว่าเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ เพราะถึงพระนิพพานอันเป็นฝั่งแห่งภพแม้ทั้งสิ้น อันต่างด้วยกามภพและกรรมภพเป็นต้น.
ในการแสดงฤทธิ์หยุดกระแสน้ำของพระเถระในครั้งนั้น เป็นเหตุให้มาณพผู้หนึ่งชื่อว่า มหานาค ซึ่งได้เห็น ได้เกิดศรัทธา จึงขอบวชในสำนักของพระเถระ ต่อมาท่านมหานาคเถระก็ได้บำเพ็ญเพียรจนได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่ง
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ท่านพระกุมารกัสสปะพร้อมด้วยภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ไปถึงเสตัพยนคร ได้เทศนาโปรดพระราชาปายาสิผู้เข้าไปหาท่านในนครนั้น จากมิจฉาทิฏฐิ ให้ดำรงอยู่ใน สัมมาทิฏฐิ จำเดิมแต่นั้นมา พระราชาปายาสิก็เป็นผู้ขวนขวายในบุญ แต่เมื่อถวายทานแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ท่านได้ถวายทานโดยไม่เคารพเหตุ เพราะมิได้เคยสร้างสมในทานนั้นมาก่อน ในเวลาต่อมาทำกาลกิริยาตายไปบังเกิดใน เสรีสกวิมานในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช
อดีตชาติท่านพระควัมปติเถระ ท่านเคยบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่เสรีสกวิมานนี้มาก่อน ด้วยความเคยชินกับการพำนักอยู่ในวิมานนี้มาก่อน มาในพุทธุปบาทกาลนี้ เมื่อท่านเป็นพระควัมปติ ตั้งอยู่ในพระอรหัตแล้ว ในเวลาหลังภัต จึงเหาะไปพักผ่อนยังวิมานในชั้นจาตุมหาราชิกานั้นอยู่เนือง ๆ
ต่อมา เมื่อพระราชาปายาสิสิ้นชีวิตลงและไปบังเกิดเป็นเทพบุตร ณ ที่นั้น เมื่อท่านพระควัมปติเถระไปพักกลางวัน จึงได้พบกับปายาสิเทพบุตร ท่านจึงถามว่า ผู้มีอายุ ท่านเป็นใคร
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าคือราชาปายาสิ ฯ
พระควัมปติเถระ จึงกล่าวว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ท่านเป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้า ไม่มีเหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี มิใช่หรือ ฯ
เป็นความจริง ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า แม้เพราะ เหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดี ทำชั่วไม่มี แต่ว่า พระผู้เป็นเจ้ากุมารกัสสปได้ไถ่ถอนข้าพเจ้าออกจากทิฐิอันลามก นั้นแล้ว ฯ
พระควัมปติเถระ จึงถามต่อว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็อุตตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของท่าน ไปเกิด ที่ไหน ฯ
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อุตตรมาณพซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในทานของข้าพเจ้านั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตน ให้ทานด้วยความนอบน้อม มิได้ให้ทานอย่างทิ้งให้ เมื่อตายลงจึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คืออยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์
ส่วนข้าพเจ้ามิได้ให้ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทานด้วย มือของตน มิได้ให้ทานด้วยความนอบน้อม ให้ทานอย่างทิ้งให้ เมื่อตายลง จึงได้เพียงอยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราช คือได้วิมาน ชื่อเสรีสกะอันว่างเปล่า
ท่านควัมปติผู้เจริญ ถ้าอย่างนั้น ท่านไปยังมนุษยโลก แล้วโปรดบอกชนทั้งหลายอย่างนี้ว่า
มนุษย์ทั้งหลายจงให้ทานโดยเคารพ จงให้ทานด้วยมือของ ตน จงให้ทานโดยความนอบน้อม จงอย่าให้ทานอย่างทิ้งให้ เจ้าปายาสิมิได้ให้ทานโดยเคารพ มิได้ให้ทานด้วยมือของตน มิได้ให้ทานโดยความนอบน้อม ให้ ทานอย่างทิ้งให้ เมื่อตายลงจึงได้เพียงอยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราช คือได้วิมานชื่อเสรีสกะอันว่างเปล่า
ส่วนอุตตรมาณพ ซึ่งเป็น เจ้าหน้าที่ในทานของเจ้าปายาสินั้น ให้ทานโดยเคารพ ให้ทานด้วยมือของตนให้ ทานโดยความนอบน้อม มิได้ให้ทานอย่างทิ้งให้ เมื่อตายลง จึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ คืออยู่ร่วมกับพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ฯ
ท่านควัมปติ เมื่อท่านกลับมาสู่มนุษยโลกแล้วจึงได้บอกแก่ชนทั้งหลายเช่นนั้น ดังที่เทพบุตรปายาสิฝากมา
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ วันหน้าค่อยมาติดตามตอนจบ
พุทธะอิสระ