ท่านเกิดเป็นบุตรของสกุลเศรษฐีสืบๆ มา ในพระนครพาราณสี มีชื่อว่า ควัมปติ เป็นหนึ่งในบรรดาสหายผู้เป็นคฤหัสถ์ทั้ง ๔ ของ ยสกุลบุตรผู้ เป็นบุตรของนางสุชาดา ผู้ถวายข้าวปายาส ผสมน้ำนมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าในเช้าวันวิสาขปุรณมี
ต่อมาสหายคฤหัสถ์ ๔ คนของท่านพระยส คือ วิมล ๑ สุพาหุ ๑ ปุณณชิ ๑ ควัมปติ ๑ ซึ่งเป็นบุตรของสกุลเศรษฐีกันทุกคน ในพระนครพาราณสี ได้ทราบข่าวว่า ยสกุลบุตรปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตแล้ว
สหายทั้ง ๔ ของพระยสครั้นทราบดังนั้นแล้วได้ดำริว่า ธรรมวินัยและบรรพชาที่ยสกุลบุตรที่กระทำลงไปนั้น คงไม่ต่ำทรามแน่นอน ดังนี้ จึงพากันเข้าไปหาท่านพระยส ท่านจึงพาสหายคฤหัสถ์ทั้ง ๔ นั้น เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคโปรดประทานโอวาทสั่งสอนสหายของข้าพระองค์เหล่านี้
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่พวกเขาดังนี้
1. ทานกถา คือ การให้ การเสียสละเผื่อแผ่แบ่งปัน ช่วยเหลือกัน
2. สีลกถา คือ ความประพฤติตนให้เรียบร้อยถูกต้องดีงาม
3. สัคคกถา คือ ความสุขความเจริญ และผลที่น่าปรารถนา เมื่อได้ประพฤติดีงามตามหลักธรรมสองข้อต้น แต่ก็ยังเป็นประโยชน์เฉพาะในกามคุณเท่านั้น
4. กามาทีนวกถา คือ โทษของกาม
5. เนกขัมมานิสังสกถา คือ อานิสงส์ของการถือบวช
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า กุลบุตรทั้ง ๔ มีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ
ทุกข์
สมุทัย เหตุที่เกิดทุกข์
นิโรธ ทางดับทุกข์
มรรค ข้อปฏิบัติที่ทำให้ทุกข์นั้นดับ
ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่พวกเขา พวกเขาก็บรรลุโสดาบัน ณ ที่นั้นเอง
จากนั้นท่านทั้ง ๔ จึงได้ทูลขอบบรรพชา อุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาค.พระผู้มีพระภาคจึงทรงโปรดประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาแก่ท่านทั้ง ๔ โดยทรงตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วได้ตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด
พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านทั้ง ๔ เหล่านั้น
ต่อมา พระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุเหล่านั้นด้วยธรรมีกถา เมื่อจบพระธรรมเทศนา จิตของภิกษุเหล่านั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น บรรลุเป็นพระอรหันต์ พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ
สมัยนั้น จึงมีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๑๑ องค์ ถ้าถือตามลำดับชื่อที่ปรากฏในพระบาลีพระควัมปติท่านก็เป็นพระอรหันต์องค์ที่ ๑๐ ของโลก
วันหนึ่งพระศาสดา ทรงประชุมพระสาวกที่พระเวฬุวัน ทรงประทานตำแหน่งพระอัครสาวกแก่พระโมคคัลลานะ และพระสารีบุตร มหาเถระทั้งสองแล้วทรง แสดงพระปาติโมกข์ เหล่าภิกษุผู้เป็นปุถุชนบางพวกจึงเกิดความไม่พอใจ กล่าวติเตียนว่า
“พระศาสดา ประทานตำแหน่งแก่พระอัครสาวกทั้งสองก็เพราะเห็นแก่หน้า พระองค์เมื่อจะประทานตำแหน่งอัครสาวก ควรประทานแก่พระปัญจวัคคีย์ผู้บวชเป็นพวกแรกสุด พ้นจากพระปัญจวัคคีย์เหล่านั้น ก็ควรประทานแก่ภิกษุ ๕๕ รูป มีพระยสเถระเป็นประมุข พ้นจากภิกษุเหล่านั้น ก็ควรประทานแก่พระพวกภัทรวัคคีย์ พ้นจากภิกษุเหล่านั้น ก็ควรประทานแก่ภิกษุ ๓ พี่น้อง มีพระอุรุเวลกัสสปะเป็นต้น แต่พระศาสดาทรงละเลยภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เมื่อจะประทานตำแหน่งอัครสาวก ก็ทรงเห็นแก่หน้า ประทานแก่ผู้บวชภายหลังเขาเหล่านั้น”
พระศาสดาตรัสถามภิกษุทั้งหลายถึงเรื่องที่พวกภิกษุเหล่านั้นพูดกันอยู่ ภิกษุทั้งหลายทูลเรื่องที่ตนพูดกัน พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
“ ภิกษุทั้งหลาย เราหาให้ตำแหน่งแก่พวกภิกษุ เพราะเห็นแก่หน้าไม่ แต่เราให้ ตำแหน่งที่แต่ละคน ๆ ด้วยเพราะเขาตั้งจิตปรารถนาไว้แต่ปางก่อนแล้ว ๆ นั่นแล”
แล้วจึงทรงแสดงถึงบุรพกรรมของชนเหล่านั้น โดยเล่าถึง
บุรพกรรมของยสกุลบุตรและสหายอีก ๕๔ คนว่า
กลุ่มพระยสกุลบุตรทั้ง ๕๕ คนนั้น เคยตั้งจิตปรารถนาพระอรหัต ไว้ในสำนักพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง และปฏิบัติทำกรรมที่เป็นบุญไว้เป็นอันมาก
ครั้งหนึ่งในสมัยเมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น เขาเหล่านั้นเป็นสหายกัน ร่วมเป็นพวกกันทำบุญโดยเที่ยวจัดงานศพคนไร้ญาติ วันหนึ่ง พวกเขาพบศพหญิงตายทั้งกลม จึงตกลงกันว่าจะเผาเสีย จึงนำศพนั้นไปป่าช้า เมื่อนำศพมาถึงป่าช้าแล้ว ยสกุลบุตรกับเพื่อนอีก ๔ คน จึงอยู่ที่ป่าช้านั้นเพื่อจัดการเผาศพ ส่วนเพื่อนที่เหลืออีก ๕๐ คนก็กลับไป
ในขณะที่ทำการเผาศพหญิงตายทั้งกลมอยู่นั้น ยสกุลบุตรได้ใช้หลาว (เหล็กแหลม) เขี่ยศพนั้นเพื่อพลิกศพกลับไปกลับมาให้โดนไฟทั่ว ๆ ขณะที่เอาเหล็กแหลมเขี่ยร่างศพอยู่นั้นก็ได้พิจารณาศพที่ถูกเผา จนได้อสุภสัญญา เกิดธรรมสังเวช เขาจึงแสดงอสุภสัญญาแก่สหายอีก ๔ คนนั้นว่า
“นี่เพื่อน ท่านจงดูศพนี้ มีหนังลอกแล้วในที่นั้น ๆ ดุจรูปด่างๆ ไม่สะอาด เหม็น น่ารังเกียจ”
สหายทั้ง ๔ คนนั้นก็ได้อสุภสัญญาในศพนั้น แล้วคนทั้ง ๕ นั้นเมื่อเผาศพเสร็จแล้วจึงได้นำอสุภสัญญาที่ปรากฏแก่ตนนั้น ไปบอกแก่สหายที่เหลือ ส่วนยสกุลบุตรนั้นเมื่อกลับถึงเรือนแล้วก็ได้บอกแก่มารดาบิดาและภรรยา คนทั้งหมดนั้นก็เจริญอสุภสัญญาแล้ว
นี้เป็นบุพกรรมของคน ๕๕ คน มียสกุลบุตรเป็นต้นนั้น จวบจนมาถึงชาติปัจจุบัน ยสกุลบุตรจึงได้เห็นว่าในเรือนของตน ที่เกลื่อนกล่นไปด้วยสตรี มีสัณฐานต่างๆ กัน นอนกองกันอยู่ในเรือนที่เปรียบประดุจดังป่าช้าจึงเกิดธรรมสังเวชแก่ยสกุลบุตร และด้วยอุปนิสัยสมบัติแห่งอสุภสัญญาที่เคยบำเพ็ญมาในอดีตนั้น การบรรลุคุณวิเศษจึงเกิดขึ้นแก่พวกเขาทั้งหมด คนเหล่านี้ได้รับผลที่ตนปรารถนาแล้วเหมือนกันทั้ง ๕๕ คน ด้วยประการนี้ หาใช่พระบรมศาสดาเลือกหน้าแต่งตั้งให้ไม่
พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เสวยวิมตติสุขอยู่ในอัญชนวัน เมืองสาเกต ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปยังเมืองสาเกต แล้วประทับอยู่ในพระวิหารอัญชนวัน เสนาสนะไม่พอ อาศัย ภิกษุเป็นอันมากพากันนอนที่เนินทราย ริมน้ำสรภู ใกล้ ๆ พระวิหาร
ครั้งนั้น เมื่อห้วงน้ำหลากมาในเวลาเที่ยงคืน พวกภิกษุใหม่และสามเณรเป็นต้น ส่งเสียงร้องดังลั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเหตุนั้นแล้ว สั่งท่านพระควัมปติไปว่า
ดูก่อนควัมปติ เธอจงไปสะกด (ข่ม) ห้วงน้ำไว้ เพื่อให้ภิกษุทั้งหลายอยู่อย่างปลอดภัย
พระเถระรับพระพุทธดำรัสว่า พระเจ้าข้า แล้วจึงออกไปยืนอยู่ชายน้ำ พร้อมใช้อภิญญา สะกดกระแสน้ำให้หยุดด้วยกำลังฤทธิ์ ห้วงน้ำนั้นได้หยุดตั้งอยู่ดุจยอดเขา มองเห็นได้แต่ไกล จำเดิมแต่นั้นมาอานุภาพของพระเถระ ได้ปรากฏแล้วในโลก
 
จบเอาไว้แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ วันหน้าจะมาเล่าสู่กันฟังในตอนต่อไป
 
พุทธะอิสระ